คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : ChapT25 ("From The Above;") ; เหมันต์ลวงตา
หนึ่งวันก่อนหน้านี้
หลายวันมานี้ไม่มีเรื่องร้ายแรงหรือเหตุการณ์อันเป็นต้องเหตุที่จะนำไปสู่เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นเลย ในช่วงแรกของความเหน็บหนาวลลิตคิดเช่นนั้น เธอถูแขนตัวเองที่ขนลุกชูชันระหว่างที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ไปด้วย ซึ่ง ณ มุมสุดของห้อง คิมหันต์กำลังมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างทุกที ลลิตอดดีใจไม่ได้ที่พักนี้เขาและเธอไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันนัก เพราะทุกครั้งที่คุยกันมันไม่เคยเป็นเรื่องที่ดีเลย
“เฮ่ นี่!” เสียงเรียกที่ไม่คาดฝันดังจากข้างหลัง ดังห่างจากท้ายทอยของลลิตไปเล็กน้อย
เป็นคิมหันต์ที่ชะโงกหน้าผ่านเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งมาเพื่อคุยกับลลิต ซึ่งนั่นเป็นเรื่องแปลกมาก
“หา?” ลลิตตอบ
“เพิ่งนึกขึ้นได้ เย็นนี้เธอว่างหรือเปล่า?” คิมหันต์กระซิบ
“ทำไมล่ะ คงว่างมั้ง?” ลลิตตอบหยั่งเชิง แม้จริงๆแล้วเธอจะว่างสุดๆก็ตามที
“ฉันว่าจะชวนไปเดินห้างน่ะ” คิมหันต์กระแอม “ชวนกวีไปด้วย ไม่ได้ไปเที่ยวนะ ฉันว่าจะพาเธอไปดูอะไร”
“แล้วดูอะไรล่ะ” ลลิตเลิกคิ้ว
คิมหันต์ขยับปากให้ลลิตอ่าน เธอพอจะเดาได้ว่ามันน่าจะหมายถึง “เบาะแส” หรืออะไรทำนองนั้น
“เบาะแสอะไรนะ?”
คิมหันต์หยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ หมอนั่นคงจะบอกว่าถ้าอยากรู้ก็ต้องไปเองแน่ๆ ลลิตจึงไม่สนใจที่จะถามต่อเพราะคุณครูก็เริ่มจิกตามองแล้วด้วย แต่ถ้าคิมหันต์ถึงกับชวนกวีไปด้วยแถมยังกระซิบว่า “เบาะแส” อีก มันก็คงหนีไม่พ้นเรื่องคัมภีร์มรณะอีกแน่ๆ
แต่ทันทีนั้นเองประตูห้องเรียนก็ถูกเลื่อนออกพร้อมกับบุคคลที่ไม่คาดคิดอีกคนที่เดินเข้ามา มนัสวีผู้อำนวยการวัยกลางคนตัวผอมกับท่าทีเย่อหยิ่งน่าอึดอัดนั่นเอง ลลิตได้ยินเสียงความคิดที่ดูถูกเด็กนักเรียนดังออกมาจากสีหน้าของเขาแม้เธอจะไม่ต้องใช้พลังเลยก็ตาม
“ฉันขอรบกวนเวลาเรียนพวกเธอสักเล็กน้อยหน่อยนะ” เขากล่าวแล้วคุณครูประจำวิชาก็หยุดสอนทันที
นักเรียนทั้งห้องหยุดทุกกิจกรรมแล้วจ้องมองใบหน้าตรึงเครียดของมนัสวีอย่างสนใจ “เย็นนี้ครูขอพบ ‘คิมหันต์’ ที่ห้องปฏิบัติการณ์เคมีด้วยนะ”
ทั้งห้องมีเสียงซุบซิบดังขึ้น จังหวะนั้นด้วยความสงสัยลลิตแกล้งปัดสมุดตัวเองจนตกโต๊ะแล้วทำเป็นก้มลงไปเก็บโดยใช้จังหวะนั้นปลดโทเท็มบนคอออก แล้วพอพลังจิตของเธอทำงาน ลลิตใช้เวลาสองสามวินาทีรวบรวมสมาธิเพื่อพยายามไม่ให้ความคิดของคนทั้งห้องทะลักเข้าในสมองเธอรวดเดียว มันค่อนข้างง่ายขึ้นเมื่อเธอเสียเวลาในการฝึกฝนไปเยอะเมื่อหลายวันมานี้ และเพียงแค่ไม่นานเธอก็เข้าถึงสมองของผู้อำนวยการได้อย่างง่ายดาย
ถ้อยคำที่เบาจนจับใจความไม่ได้ดังในหัวเธอ บางทีเธออาจจะทำได้ไม่ดีพอ แต่พอสมาธิของลลิตเริ่มเข้าที่ความคิดของเขาก็มาถึงจุดสิ้นสุดของประโยคเสียแล้ว ‘...ต้องเก็บภาพก่อน’
ลลิตจับใจความได้เพียงเท่านั้นเธอหลับตาลงแล้วเค้นสมาธิออกมา ซึ่งดูเหมือนจังหวะนั้นมนัสวีจะยังไม่ได้คิดอะไรแล้วเขาก็พูดต่อ “แล้วก็...’นัยนริน’ พบครูต่อจากคิมหันต์ที่ห้องผู้อำนวยการนะ” พอพูดจบเขาทำท่าจะเดินออกไปในทันทีถ้าไม่ใช่เพราะว่า มีนักเรียนในห้องคนหนึ่งพูดขึ้น “ผอ.คะ วันนี้นัยนรินไม่มาค่ะ”
“หืมม์...” ผอ.ครางถามอย่างเอะใจ “ป่วยหรือ”
ตอนนั้นเองความคิดของเขาก็ดังขึ้นต่อ ‘...บ้าชะมัด แล้วหยั่งงี้จะไปเค้นความจริงจากไหน’
นักเรียนในห้องมองหน้ากันเลิกลัก ดูแตกตื่นเพราะไม่รู้จะตอบอะไร จนกระทั่งมีคนหนึ่งพูด “ไม่ทราบเหมือนกันครับ ไม่มาโรงเรียนหลายวันแล้ว”
มนัสวีทำท่าใช้ความคิดแล้วลลิตก็ได้ยิน ‘อาจจะหนีไปด้วยกันก็ได้ จะตามจับเด็กนั่นกลับมายังไงล่ะทีนี้’ แล้วเขาก็เดินจากไปจากห้อง ทิ้งให้ทั้งห้องมีเสียงซุบซิบอื้ออึงจนลลิตต้องสวมโทเท็มกลับ
คิมหันต์เองก็เป็นเช่นนั้นเขาก็ยังแปลกใจไม่ต่างอะไรไปกับคนอื่น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีธุระอะไรสำคัญกับผู้อำนวยการคนนี้ เพราะว่าตั้งแต่เขาเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่นี้มาได้ปีกว่าๆเขาไม่เคยไปก่อเรื่องที่เตะตาผู้อำนวยการสักครั้ง เว้นแต่ว่าเรื่องเมื่อเทอมก่อนที่เกี่ยวพันกับธารินซึ่งน่าจะจบไปแล้ว เพราะเขาแก้ต่างทุกข้อครหาได้อย่างแนบเนียน
แต่ลลิตรู้ดีว่าเจตนาของมนัสวีนั้นไม่ชอบมาพากล มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคิมหันต์ที่เขาต้องการ แถมยังเรื่องของเด็กผู้หญิงที่ชื่อ “นัยนริน” เท่าที่ลลิตรู้จัก นัยนรินเป็นเด็กผู้หญิงในห้องคนหนึ่งที่มีเสน่ห์พอตัว เธอสวย ผิวขาว หุ่นดี และที่สำคัญยังเป็นที่หมายปองของเด็กหนุ่มหลายๆคนด้วย เธอไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกันยังไง แต่ที่รู้ๆคือเย็นนี้ทั้งคิมและเธอเองคงไปตามนัดไม่ได้แล้ว
ไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเย็น เพียงแค่บ่ายแก่ๆลลิตก็แอบย่องเข้าไปยังห้องปฏิบัติการณ์เคมี แต่เธอพบว่าห้องนี้ถูกแง้มเปิดไว้เล็กน้อยคงเพราะเอาไว้ต้อนรับคิมหันต์แน่ๆ ลลิตส่องดูที่ช่องว่างของประตูแล้วพบว่าไม่มีใครอยู่ในห้องเลย เธอจึงเข้าไปซ่อนตัวในตู้เก็บของที่ใหญ่พอจะให้เธอไปซ่อนตัวอยู่ได้ ในนี้อับและเก่า มีหยากไย่อยู่เต็มไปหมด แต่ลลิตจำเป็นต้องทนอยู่ในนี้สักพักเพื่อรอให้คิมหันต์กับผู้อำนวยการเข้ามา
เธอได้ยินเสียงฝีเท้า จึงแง้มประตูตู้ออกเล็กน้อยเพื่อมองสภาพภายในห้อง เธอเห็นคิมหันต์เข้ามาในห้องแล้ว แล้วไม่นานมัสวีก็ตามเข้ามา การสนทนาจึงเริ่มขึ้น ลลิตถอดโทเท็มของตัวเองออกค่อยๆเพื่อฟังการสนทนา
แต่นาทีนั้นเองเสียงหลายๆเสียงก็จู่โจมอัดแก้วหูของเธอ เธอหลับตาพริ้มแล้วตั้งสมาธิโดยที่หัวใจเต้นรัวเพราะความตื่นเต้น
“ขอบคุณที่มาตามนัดนะคิมหันต์” มนัสวีกล่าวอย่างคิมหันต์ แม้จะสุภาพแต่แฝงเลศนัยน์
“ครับ มีเรื่องอะไรกับผมหรือ”
ตอนนั้นเองลลิตได้ยินเสียงความคิดของใครบางคนดังขึ้น ซึ่งไม่มีทางเป็นคิมหันต์ และก็คงไม่ใช่มนัสวีเพราะเสียงนี้ดูไร้ความมั่นใจแล้วก็คนที่เป็นเจ้าของเสียงคงเด็กกว่ามาก “มะ...มากันแล้ว ทำไงดี”
ลลิตรู้สึกตกใจที่ความคิดที่สามนี้ดังในสมอง เธอตั้งสมาธิเพื่อขยายวงกว้างในการรับรู้ความคิดเธอให้มากขึ้น จึงรู้ว่ามีเสียงถึงสามเสียงอยู่ในห้องนี้ ทั้งๆที่มีคนที่เธอสามารถอ่านใจได้ในห้องมีเพียงคนเดียวคือมนัสวี
‘ช่วยฉันที! ฉันอยู่ตรงนี้! ช่วยด้วย!’ เสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง แผดลั่นราวกับจะตะโกน
‘...จะ...จะถึงเวลาหรือยังเนี่ย’ เสียงที่เด็กและดูขาดความมั่นใจกว่าคิด
‘ฉันอยู่ตรงนี้! ช่วยที! ช่วยรู้ตัวด้วยเถอะ’ เสียงของผู้หญิงคิด
เสียงสองเสียงนั้นมาจากไหน เสียงของผู้หญิงที่เหมือนอยากจะถูกเจอ กับเสียงของผู้ชายที่ดูเหมือนรอคอยอะไรอยู่ ลลิตฉงนสงสัยเสียจนลืมอ่านความคิดของมนัสวีไปชั่วขณะ
‘...ฉันต้องล่อแกมาตรงนี้’ มนัสวีคิด
“ครูอยากจะถามว่าเธอพอจะบอกสารเคมีตัวที่กวีใช้เขวี้ยงใส่เธอได้หรือเปล่าว่าเป็นตัวไหน คือครูจะทำลายทิ้งไปให้หมดน่ะ จะได้ไม่มีใครเอาไปเล่นพิเรนท์อีก” แค่ฟังลลิตก็รู้ว่าเป็นข้ออ้าง
จากช่องว่างที่ลลิตเห็น คิมหันต์ดูลังเลและมีความสงสัยในแววตา แต่เขาก็ยักไหล่ตอบ “ไม่รู้ครับ ผมจำไม่ได้”
‘ดี! เข้าทางฉันล่ะ’ มนัสวีคิด
“งั้นพอจะจำหน้าตาหรือสีมันได้หรือเปล่า ครูจะเอาไปตรวจสอบอีกทีน่ะ” เขาถาม พยายามปั้นน้ำเสียงให้ดูใจดีที่สุด
คิมหันต์ถอนหายใจเบื่อหน่ายแล้วเดินไปตรงตู้ที่บรรจุขวดสารเคมีมากมายเอาไว้พร้อมเลือกดูอย่างไม่เต็มใจ ลลิตแอบคิดว่าคิมหันต์คงจะตอบมั่วๆไปเพราะเขาหยิบขวดยาออกมาสองสามขวดอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้ผู้อำนวยการ
“ใช่หรอ แอมโมเนีย กับด่างทับทิมพวกนี้เนี่ยนะ” มนัสวีดูยังไม่พอใจ
“มั้งคับ” คิมหันต์ยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้
‘เจ้าโง่! ไม่ใช่ทางนั้น ตรงนี้ต่างหาก’ ความคิดมนัสวีดูหัวเสียมากขึ้น
“เอ่อลองอ่านชื่อถังแก๊สพวกนี้ดูสิว่าเข้าเค้าหรือเปล่า” เขาชี้ไปยังถังโลหะที่มีสัญลักษณ์สารเคมีไวไฟติดเอาไว้ คิมหันต์ก้มลงไปอ่านบนฉลากเพราะชื่อสารเคมีนั้นคงจะตัวเล็กเหลือเกิน
‘อ๊ะ...ถึงเวลาแล้ว ตอนนี้สินะ’ เสียงของผู้ชายคนนั้นที่ไม่ใช่มนัสวีพูด
‘เวลาหรอ เวลาอะไรกัน ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้นเลยนี่’ ลลิตนึกในใจ รู้สึกฉงนสงสัยกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นที่สุด อีกทั้งเสียงความคิดที่เธอไม่รู้จักอีกสองก็ยิ่งทำให้สับสนมากขึ้นไปอีก
“ไม่น่าใช่แก๊สนะครับ เพราะที่กวีใช้คือของเหลว แต่ผมจำไม่ได้แล้ว” คิมหันต์ตอบ
“งั้นก็ไม่เป็นไร” มนัสวีดูพึงพอใจสุดๆ “เอาเป็นว่าเราไปคุยกันต่อที่ห้องพักครูเถอะ”
“ยังไม่จบอีกหรอครับ” คิมหันต์ดูอีดออดและเบื่อหน่าย
“รบกวนไม่นานเท่านั้นล่ะ” แล้วมนัสวีก็เดินออกไปจากอนาเขตพลังของลลิตพร้อมกับคิมหันต์จนเธออ่านใจเขาไม่ได้แล้ว ลลิตตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในตู้ต่อเพื่อให้คนที่ซ่อนตัวอยู่ก่อนแล้วเผยตัวออกก่อน แต่ความคิดของคนๆนั้นก็ดังขึ้น
‘เมื่อไหร่ผู้หญิงที่แอบเข้ามานั่นจะออกไปกันนะ งี้ถ้าเราโดนหล่อนเจอก็เป็นเรื่องน่ะสิ’
ความคิดนั้นยืนยันแล้วว่ามีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้จริงแถมยังกลัวการพบเห็นด้วย ลลิตตัดสินใจเดินออกมาจากตู้เก็บของ
‘ออกไปซักที ต้องรายงานเรื่องนี้กับ ผอ. ด้วยว่ามีคนดักฟัง’ เสียงนั้นคิด
ลลิตกวาดสายตาดูรอบๆห้อง มีตู้อยู่ห้าหลังในห้อง ลลิตจึงเริ่มเปิดจากตู้ใบริมสุด ‘ตายล่ะ! งี้ก็โดนเจอสิ!’
ลลิตเริ่มรู้สึกได้ใจที่ได้เขย่าขวัญใครบางคน เธอจึงเริ่มก้าวช้าๆไปยังตู้ต่อไป แล้วก็เจอเข้า!
เด็กวัยรุ่นผู้ชายน่าจะอายุน้อยกว่าลลิตไม่เกินปีเดียว เขามีผมหยักศก สวมแว่นตาหนา ในมือยังถือกล้องโพราลอยด์คาเอาไว้ เขามองหน้าลลิตอย่างตกใจเหมือนเห็นผี แล้วก็ไม่ต้องบอกกล่าวลลิตกระชากคอเสื้อของเขาออกมาจากตู้ทันที “นายแอบถ่ายรูปหรอ!” เธอตะคอก
“อะ...เอ่อ...ผมมาเล่นซ่อนแอบน่ะครับ” เขาตอบ
‘ตายๆๆๆๆ ยัยนี่เจอเราได้ยังไงเนี่ย!’ เขาคิด
“ไม่ต้องโกหก แล้วก็ไม่ต้องสงสัยด้วยว่าฉันเจอนายได้ยังไง! ตอบมา! ผอ.สั่งนายให้ถ่ายรูปคิมหรอ แล้วรูปนั่นรูปอะไร!” ลลิตคาดคั้น นี่เพราะว่าเด็กคนนี้อยู่ม.สี่หรอกนะ เธอถึงกล้า
‘ตายล่ะสิ เดาทางถูกซะงั้น !’
“ปะ...เปล่าครับ ผมมาเล่นซ่อนแอบจริงๆ ผมไม่ได้ถ่ายอะไรไว้เลยนะสาบาน!” เขาแบมือเปล่าทั้งสองมือ ทั้งๆที่ลลิตรู้ว่ามีรูปถ่ายซ่อนอยู่ในตัวเขา
“เมื่อกี้นายยังคิดในใจเลยว่า ‘เดาทางถูก’ แปลว่าจริงล่ะสิท่า!” ลลิตดุ
“อะเอ๋....ผมเปล่านะ”
‘อะไรกันเนี่ย! น่ากลัวเกินไปแล้ว!’ เสียงในใจเด็กคนนั้นกรีดร้อง
“อ๋อ! น่ากลัวสิ น่ากลัวมากด้วยฉันน่ะ ได้ยินความคิดดำมืดที่สุดในใจนายได้ง่ายด่ายมากเลยรู้มั้ย! ลองคิดอะไรไม่เข้าท่าสิ ฉันระเบิดสมองนายกระจุยแน่!” ลลิตขู่
แล้วสีหน้าของเด็กคนนั้นก็ซีดเผือด ลลิตมองเห็นชื่อที่หน้าอกของเขา แม้นามสกุลของเขาจะยาวแล้วอ่านยาก แต่ชื่อกลับสั้นและมีพยางค์เดียวว่า ‘จินต์’
“ค...คือผมต้องไปแล้วนะครับ คงอยู่คุยไม่ได้ ลาก่อนครับ!” เขาก้มคำนับแล้ววิ่งออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวสิยะ!” ลลิตคว้าจินต์ไว้ไม่ทัน “อย่าให้ฉันเจอนายอีกที่โรงเรียนน้า!” แล้วเขาก็หายไป ลลิตรู้สึกหนำใจเพราะได้ข่มขวัญเด็กคนนั้น
ข้างนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว นี่คือเวลาโพล้เพล้ที่เด็กนักเรียนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน แต่ลลิตยังกลับไม่ได้ เธอยังคงต้องค้นหาเจ้าของเสียงที่เหลืออยู่ต่อไป เสียงของผู้หญิงที่ขอความช่วยเหลือ
เวลานี้ในห้องเริ่มมืดสลัว ลลิตเดินไปเปิดสวิชต์ไฟทว่ามันไม่สามารถเปิดได้ เธอจิ๊ปากแล้วเริ่มเปิดตู้ทีละบานเพื่อหาเจ้าของความคิดนั้น
‘ไม่ใช่ ไม่ใช่ข้างล่าง! ฉันอยู่ข้างบน มองขึ้นมาสิ!’
แม้เสียงนั้นจะวิงวอน แต่ลลิตมีความรู้สึกเสียววาบในหัวใจ เสียงนั้นจะเป็นเสียงของอะไรที่ไม่ใช่คนหรือเปล่า อะไรบางอย่างที่ไปไกลจากโลกความเป็นจริง แค่คิดลลิตก็นิ่งค้าง ขนทั่วกายลุกชูชัน ความหนาวเย็นของเหมันต์กาลเกาะกินจิตใจโดยทันที ความรู้สึกเหมือนมีความมืดมาลามเลียท้ายทอยกลับมาอีกครั้ง มันดูน่าหวาดกลัวคล้ายๆกับตอนที่กวีกลับมาจากความตายแล้วคุกคามเธอที่ห้องน้ำตอนกลางคืน คราวนี้ก็เช่นกันเธอไม่แม้แต่อยากจะเงยหน้ามองเป็นเพดาน ถ้าที่รออยู่เป็นอะไรที่น่ากลัวล่ะ ไม่ใช่คน เป็นอะไรที่เธอไม่เคยพบเห็น แค่คิดเธอก็อยากจะวิ่งหนีออกไปจากห้องน่ากลัวๆนี่เสียที
‘ขอร้อง! ฉันอยู่บนเพดาน ช่วยขึ้นมาที!’ ความคิดนั้นวิงวอนสุดเสียง
ลลิตตัดสินใจเงยหน้ามองเพดานอย่างช้าๆ
สิ่งที่เธอเห็นนั้นว่างเปล่า มันเป็นฝ้าเพดานแบบยิปซัมบอร์ดหรือก็คือ เป็นแผ่นกระดานรูปจัตุรัสที่สามารถยกให้มันเปิดออกได้เพื่อขึ้นไปบนฝ้า มันมีรูโบ๋อยู่สองสามรูบนฝ้า อาจจะเกิดการความเก่าของมันหรือไม่ก็ฝีมือของแมว แต่ทันใดนั้นลลิตได้ยินเสียงกุกักบนฝ้าจนเธอต้องสะดุ้ง
‘ตรงนี้! ขึ้นมาเลย ฉันขยับแล้ว เร็วสิก่อนที่เขาจะกลับมา!’
ใครจะกลับมา! ลลิตใจหายวาบ ตวัดสายตากลับไปมองที่บานประตูซึ่งเปิดอ้าไว้
‘ถ้าเขากลับมาเขาฆ่าเธอแน่ๆ! ช่วยฉันที!’
ลลิตหัวเสียอยากตะโกนให้เสียงนั้นหยุดขู่เธอทางอ้อมสักที เธอไม่อยากรู้ทั้งนั้นว่าคนที่กำลังกลับมาคือใครแล้วจะฆ่าเธอหรือไม่ เธอแค่กำลังต้องหาอะไรสูงๆพอที่จะเปิดฝ้าออกแล้วมองหาเจ้าของความคิดนั้น เธอต้องไม่กลัวและทำทุกอย่างให้เสร็จเร็วที่สุดก่อนที่ “ใคร” คนที่ว่าจะกลับมา
ลลิตลากโต๊ะมาตั้งไว้ตรงกลางห้อง แล้วปีนขึ้นไปยืน เธอดันฝ้าออกด้วยหัวใจเต้นรัว ภาวนาอย่างยิ่งให้สิ่งที่ซ่อนอยู่ในฝ้ามืดๆนั้นไม่น่ากลัวเกินรับไหว
‘ดีมากๆ เธอเปิดแล้ว!’
เสียงกุกกักทวีความรุนแรงมากขึ้น เหมือนใครบางคนดีใจสุดขีดที่ลลิตเข้าใกล้เธอเรื่อยๆ
ลลิตใช้เวลาเตรียมใจกับฝ้ามืดๆอยู่ครึ่งนาที เธอสั่นไปทั้งตัว ความกลัวแล่นจับใจ ขอให้อย่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้ฝ้านั้นเลย หรือถ้ามีก็ขอให้เป็น ‘มนุษย์’ จะได้หรือเปล่า
เธอตัดสินใจเขย่งตัว ในฝ้ามืดๆนั้นว่างเปล่า! ลลิตใจหายวาบรู้สึกอยากจะร้องให้ น้ำตาไหลออกมาจนปริ่มดวงตาแล้วตอนนี้
‘ไม่! เธอหันหลังสิ ฉันอยู่ข้างหลังเธอ’
ข้างหลังหรอ! ลลิตกรีดร้องในใจ ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ความกลัวเกาะกินจิตใจ เธอไม่กล้าหันไป เธอกลัวจนไม่รู้จะทำยังไง
‘หันมาสิ! แล้วจับตัวฉันไว้ ฉันขอร้อง!’
แต่เสียงนั้นดูเจ็บปวดสุดขีด ราวกับว่าถ้าลลิตไม่ยอมหันไป ชีวิตทั้งชีวิตของเธอจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีหลายๆความรู้สึกสะท้อนออกมาจากเสียงนั้น ลลิตสมควรที่จะหันไปสินะ
แต่เมื่อลลิตหันควับไป สิ่งที่รอเธออยู่กลับมีเพียงความมืดมิดเท่านั้น! ไม่มีอะไร มีเพียงเพดานที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่ง! และทันทีนั้นเองโดยที่สมองลลิตยังประมวลผลอะไรไม่ทัน สัมผัสของมือเย็นๆและหยาบกำรอบข้อเท้าของเธอ แล้วเธอก็ถูกอะไรบางอย่างกระชากอย่างแรง ลลิตร่วงตกจากโต๊ะโดยที่ก้นกระแทกกับพื้นห้อง
เธอมึนงง กลัว ตกใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นในคราวเดียวกัน และเมื่อมองไปรอบๆห้อง กลับมีเพียงความมืดกับแสงอาทิตย์สีแดงเลือดเท่านั้นที่เธอรับรู้!
ไม่มีใครอยู่ในห้อง! ไม่มีใครทั้งสิ้น! แล้วใครที่กระชากเธอลงมาล่ะ!
‘เขากลับมาแล้ว! เขากลับมาแล้ว! พาฉันหนีไป พาฉันหนีไปเถอะขอร้อง ลลิต! ได้โปรดลลิต! นี่ฉันเอง!’ เสียงนั้นวิงวอนสุดขีด แต่ลลิตไม่มีความรู้สึกอยากช่วยใครอีกแล้วนอกจากตัวเอง เธอรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายหนีออกไปจากห้องน่ากลัวนี้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี มุ่งสู่ตึกมืดๆและว่างเปล่าที่ราตรีกำลังร่วงโรยทุกขณะ!
ความคิดเห็น