คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : ChapT24 ("Chemical Club;") ; เหมันต์ลวงตา
การถูกขังอยู่ในห้องปิดตายที่มีแต่ความมืดและกลิ่นของสารเคมีแสบจมูกคงเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดเท่าที่พอจะจินตนาการออกในขณะนี้ ไม่ต้องพูดถึงการที่คนๆนี้อยู่ในสภาพที่ไม่อาจขัดขืนอันใดได้เพราะเรี่ยวแรงที่มีนั้นไม่เหลือ เขาถูกทิ้งให้อดข้าวในห้องปิดตายนี้มาสองวันเต็มๆ ในความมืดร่างที่นอนซมอยู่ใจกลางพื้นห้องเย็นๆไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าคนๆนั้นคือใครหรือเป็นเพศใด ภาพที่ตกค้างจากความทรงจำอันเลือนรางและสมองที่ไม่ค่อยเต็มใจจะทำงาน มีเพียงความรู้สึกที่เหมือนถูกร่างกายที่มองไม่เห็นของอะไรสักอย่างคอยตามติดอยู่หลายวัน จากนั้นก็ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจากข้างหลัง พอตื่นมาอีกทีก็พบว่าร่างกายถูกทุบตีจนฟกช้ำ กระดูกและกล้ามเนื้อทุกส่วนปวดเสียจนไม่อยากจะขยับเขยื้อน ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆในการคิดและขยับ เขาคนนี้รู้ตัวว่าอีกไม่นานถ้าหากยังถูกขังอยู่ในห้องนี้อยู่เขาคงได้พบกับความตายตามที่เขาปรารถนาเป็นแน่
“ฉันไม่รู้ว่าแกจะเป็นใคร แต่ได้โปรด....ช่วยฆ่าฉันทีเถอะ” เสียงที่แหบแห้งร้องขอเป็นครั้งสุดท้าย
อากาศหนาวทำให้ทั้งโรงเรียนดูเงียบและวังเวงเหลือเกินในยามเย็น แม้แสงจากข้างนอกอาคารจะสาดผ่านกระจกบนระเบียงทางเดินเข้ามาจนย้อมให้พื้นอาคารเป็นสีส้มสดแต่กระนั้นอากาศรอบๆก็ยังคงไว้ซึ่งความหนาวเย็นอยู่ดี ณ ทางเดินที่ปลอดคน กวีมาหยุดอยู่ที่ห้องปฏิบัติการเคมีห้องเดิมที่เป็นที่ตั้งของชมรมที่เขาเคยอยู่ เขาเรียกมันว่า “ชมรมเคมีศึกษา” ซึ่งถ้าในสถานการณ์ปกติแล้วมันควรจะมีสมาชิกชมรมสักสิบสองคนเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในชมรม แต่ในตอนนี้กลับว่างเปล่าและไร้ซึ่งกิจกรรมใดๆในห้องชมรมที่ไร้ผู้คน อาจเป็นเพราะมันตั้งอยู่ในมุมในสุดของตึกทั้งบริเวณทางเดินก็ยังถูกกั้นไว้อย่างแน่นหนาด้วยป้าย “ห้ามเข้า” กวีใช้ลวดสะเดาะกลอนประตูอย่างคุ้นเคยเพื่อเปิดเข้าไปในห้องๆนี้
กวีเดินเข้าไปยังห้องเย็นๆที่เปิดอ้าเอาไว้ สูดหายใจเอากลิ่นสารเคมีเจือจางเข้าไปในปอดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ยกสูงพลางหมุนตัวมองรอบห้องที่วังเวง ปกติแล้วธารินกับสมาชิกผู้หญิงในชมรมควรจะมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว เพราะคนที่ทำให้ชมรมนี้สามารถเป็นอยู่ต่อไปได้ก็คงเป็นธาริน เพราะกฎของการตั้งชมรมในโรงเรียนวิชญ์วิชาวิทยานี้คือจะต้องมีสมาชิกที่อยู่ในชมรมมากกว่า10 คนขึ้นไป แต่พอธารินไม่อยู่สมาชิกชมรมผู้หญิงที่พอจะเดาได้ว่าสมัครเข้ามาอยู่ในชมรมนี้เพราะความเพอร์เฟ็คของธารินก็พากันออกจากชมรมไป กวีรู้สึกสมเพสใจน้อยๆที่เข้ามาอยู่ในชมรมที่รายล้อมไปด้วยพวกไม่รักจริงทั้งหลาย แม้พวกนั้นจะเป็นปัจจัยให้ชมรมนี้ยังอยู่ก็ตามที
“เอาสิ...นายอยากจะตั้งชมรมอะไรก็ตามใจเลย เดี๋ยวฉันไปหาคนเข้ามาให้เอง” ธารินพูดในหัวของกวีขึ้นมา
“ไม่ล่ะฉันไม่รบกวน” กวีเพียงตอบเรียบๆอย่างทุกที
“เฮ่ย! อย่าปฏิเสธความหวังดีกันสิ ชมรมของนายต้องมีคนอยากเข้าแน่ๆ” ภาพของธารินที่โอบรอบบ่าของกวีชัดขึ้นในสมอง กวีหมุนก๊อกน้ำเพื่อเปิดดูสายน้ำที่ไหลออกมาอย่างใจลอย
“ก็แล้วแต่นาย”
“แล้วแต่ฉันได้ไงกันละ งั้นถ้าแล้วแต่ฉันฉันให้นายเป็นหัวหน้าชมรมละกัน”
“ไม่” กวีปฏิเสธทันควัน
“งั้นฉันเขียนชื่อแกละนะ”
เขาหวนคิดถึงมิตรภาพเก่าๆ ความเป็นเพื่อนที่เหมือนจะตกค้างอยู่แต่ในความทรงจำกลับหวนมาทำร้ายให้รู้สึกผิดอย่างมหันต์ เพราะเขาเองที่ต้องทำให้เพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขาต้องพิการเดินไม่ได้ ถ้าเพื่อหยุดธารินในตอนนั้นเขาควรจะเลือกแทงในส่วนที่ไม่ต้องทำให้ธารินพิการอย่างนี้
แต่กวีเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า ถ้าไม่ลงมือกระทำให้รุนแรงดังเช่นตอนนั้น ธารินก็อาจจะไม่ยอมหยุดยั้งและปัญหาก็อาจจะบานปลายกว่าเดิม ต้นเหตุก็คงจะมาจากเขาเองถ้าเขาสามารถซ่อนคัมภีร์มรณะให้พ้นจากความอยากรู้อยากเห็นของธารินได้ เรื่องทุกอย่างคงจะไม่เกิด
“ป้ายบอกว่าห้ามเข้า ไม่เห็นหรือยังไง” เสียงอันเย็นชาปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์ น้ำจากก็อกไหลออกมาเสียจนเริ่มปริ่มอ่างซิงค์ จนเลอะเปรอะเท้าของกวี เขาตวัดสายตาไปยังต้นเสียงแล้วพบเข้ากับสายตาเหยียดๆอันเย็นชาของใครคนหนึ่ง
เขาคนนั้นคือชายวัยประมาณ35 ปี แก้มตอบ ผมยาวประบ่าที่เริ่มกลายเป็นสีเทา ร่างผอมสูงซ่อนอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทดูภูมิฐาน กวีคงจะทำเป็นหูทวนลมแล้วเขวี้ยงในคนนั้นด้วยถ้วยรูปชมพู่ไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเขาคือ “มนัสวี” ผู้อำนวยการของโรงเรียนวิชญ์วิชาวิทยา ดังนั้นฟังก่อนจึงดีที่สุด
“ผอ. รึ” กวีถามเรียบๆ
สายตาที่เรียบเฉยและมีอาการเหยีดหยามตลอดทุกวินาทีดูจะไม่พอใจกับถ้อยคำที่จงใจพูดให้ไม่มีหางเสียงของกวี มนัสวีจึงตอบกลับด้วยคำว่า “เลิกเล่นพิเรนท์กับข้าวของโรงเรียนแล้วตามฉันมากวี เรามีเรื่องอะไรต้องถกกันนิดหน่อย”
กวีแสยะยิ้มน้อยๆแล้วบิดวาล์วก๊อกกลับจนสุด “ผมว่าผมปิดก๊อกแล้วนะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” มนัสวีแค่นหัวเราะ “ว่าแต่ทำไมล่ะ คิดถึงอดีตงั้นหรือ ไม่มีใครทนอยู่ในชมรมเหม็นๆของเธอได้หรือยังไงถึงพาลออกกันไปหมด แต่ถึงยังไงพรุ่งนี้ห้องๆนี้ก็จะถูกปิดตายแล้ว”
สายตากวีไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ใบหน้ามนัสวีเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงจ้องมองหยดน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกที่ปิดสนิทพลางยิ้มขึ้น “ครูล่ะครับ คิดถึงลูกศิษย์สุดรักสุดหวงของตัวเองหรือเปล่า โรงเรียนมีชื่อเสียงมากมายก็จากธารินไม่ใช่หรือ”
มนัสวีชักสีหน้า เดินเข้ามาใกล้กวีมากกว่าเดิม “เชิญพูดไปเถอะคุณกวี การกระทำเรียกร้องความสนใจไม่สิ้นสุดของคุณจะถูกฉันนี่แหละจัดการภายในวันนี้ ฉันจะกุดเล็บแมวซนอย่างเธอให้หงอจนไม่กล้าจับหนูเลย”
“ขนาดนั้นเชียว” กวีย้อน
มนัสวีไล้นิ้วลงบนขอบอ่างซิงค์พลางพูด “หึหึ ก็ประมาณนั้นนั่นแหละ อย่าลืมสิว่าเธอเป็นนักเรียนแต่ฉันเป็น ผอ. เธอน่ะมันเป็นตัวแสบที่ฉันพร้อมจะขุดคดีเก่าๆมาเล่นงานได้ตลอด อย่างอะไรดีละ รมควันเพื่อนๆ? ละลายกล้องวงจรปิดของโรงเรียน? วางยาเบื่อหนู? ฆ่าแมว เอาสารเคมีไปปาใส่คนอื่น หรือว่าเรื่องล่าสุดดีที่แทงเพื่อนจนพิการเนี่ย?”
มนัสวีที่ดูได้ใจยกบีกเกอร์ที่บรรจุสารสีเหลืองเอาไว้ขึ้นมาถือแล้วแกว่งไปมาบนมือ
“นั่นมันแอมโมเนีย” กวีจงใจเตือนให้ช้าลงตอนที่สารเคมีหยดลงบนสูทหรูของผอ.จอมแดกดันจนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว “ล้างน้ำหน่อยดีมั้ยครับ”
มนัสวีถลึงตาใส่กวีเหมือนจะกินเนื้อ เขาตวาดขึ้นในห้องเงียบๆอย่างใส่อารมณ์แค้นเข้าไปสุดๆ “มาพบฉันที่ห้องอำนวยการ เดี๋ยวนี้!
ห้องอำนวยการควรจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยจำปี ถ้าไม่ใช่ว่าถูกกลบไปด้วยกลิ่นแอมโมเนียฉุนจมูกจากตัวผู้อำนวยการจอมวางมาดเอง
กวีนั่งลงตรงหน้าเขาพอดี รอคอยเวลาสำหรับการพิพากษาที่กำลังจะมาในไม่ช้า
“ก่อนอื่น...” มนัสวีเลื่อนกระดาษแผ่นบางๆมาตรงหน้ากวี “...นี่คือรายการค่าเสียหายที่เธอก่อเอาไว้เมื่อเทอมก่อน เธอเข้าใจนะว่าฉันเองก็ไม่อยากจะขูดเลือดขูดเนื้ออะไรจากเธอเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ใช่เธอนั่นแหละที่ทำตัวเอง แล้วก็...ถ้าเธอเดือดร้อนจริงๆ จะขอร้องกันดีๆก็ได้นะ” ว่าแล้วเจ้าตัวเองก็เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วประสานมือเข้าด้วยกันรอยยิ้มมีชัยปรากฏชัดบนริมฝีปากจนดูน่าเกลียด
“คงไม่ล่ะ” กวีตอบโดยไม่ก้มหน้ามองกระดาษที่น่ารังเกียจเลยสักนิด เขาไม่ลืมที่จะเก็บมันใส่ในกระเป๋าโดยขยำเต็มกำมือไปด้วย “ไว้ผมจะไปหามา ‘ตอบแทน’ นะครับ” ถ้อยคำถูกเน้นชัดขึ้นในความเงียบ มนัสวีคงจะไม่อาจเอาชนะลูกศิษย์ตัวดีของตัวเองได้เลยก็ได้ เขาจึงถลึงตามองดุๆแล้วว่าต่อ
“ฉันมีเรื่องจะถามเธอเรื่องนึง”
“หือ?” กวีครางถาม
“ช่วยพูดกับฉันให้มีหางเสียงหน่อยจะได้มั้ย” มนัสวีกล่าวแบบหัวเสีย
“หือ?”
แต่เหมือนถ้อยคำนั้นจะเปลี่ยนท่าทีของกวีไม่ได้เลย มนัสวีจึงข่มอารมณ์โกรธไว้แล้วค่อยๆพูด “เอาเป็นว่า ฉันอยากรู้เรื่องเมื่อเทอมก่อนแบบละเอียด เอาแบบละเอียดที่สุดแล้วขอความจริงด้วย พอจะได้มั้ย?”
กวีนิ่งจ้องมองหน้าของมนัสวีแบบไม่เกรงกลัว “อยากรู้ตรงส่วนไหนละ”
“เอาเป็น...ปมปัญหาที่ทำให้เธอกับเพื่อนรักของเธอแตกหักล่ะเป็นยังไง อะไรน้า...ความรักหรอ ผู้หญิงที่แย่งกันจนแตกเพื่อนนี่สวยมากมั้ยล่ะหือ?”
กวีไม่แสดงอารมณ์อันใดออกจากสีหน้า บรรยากาศและถ้อยคำสบปรามาสของผู้อำนวยการตัวดีดังอยู่ในหัวของกวีสักพัก แล้วเขาจึงตอบ “ก็สวยอยู่นะ แต่เจ้าหล่อนคงจะตรอมใจพอตัวที่คู่แข่งผมกลายเป็นไอ้พิการไปแล้ว เลยจำยอมต้องเลือกเด็กเลวแบบผมไป”
“หรอ...แล้วการที่เธออาละวาดโดยการระเบิดอ่างล้างมือของโรงเรียน จนมีนักเรียนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องบาดเจ็บสองคนนี่ สืบเนื่องจากมีอะไรมากระตุ้นสัญชาตญาณดิบของเธอล่ะหือ?” มนัสวียังคงยิงคำถามต่อ เขาคงมุ่งหวังอย่างยิ่งเลยที่จะละลายความสามารถทางการไตร่ตรองเหตุผลของกวีจนทำให้นักเรียนที่เขาแสนจะเกลียดชังอาละวาดขึ้นมาจริงๆ
“ก็เขาล้อผมนี่นา” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูขำขันและไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “ผมเลยเผลอทำการบ้านเคมีหกใส่อ่างล้างมือ มันเป็นอุบัติเหตุน่ะครับ”
มนัสวียิ่งดูตรึงเครียดมากขึ้นเมื่อกวีตอบคำถามอย่างนั้น ครั้นจะหาว่าเด็กคนนี้โกหกก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะคำให้การที่ได้ยินมาจากพยานอีกสองคนก็เป็นเหตุผลและสาเหตุเดียวกัน
“มีอะไรจะถามอีกหรือเปล่าครับ ผอ.” กวีเร่งเร้าภายใต้ความตรึงเครียด
และท้ายที่สุดแล้วมนัสวีก็หยิบเอาแผ่นกระดาษสีเหลืองขุ่นเก่าคร่ำครึออกมาจากใต้ลิ้นชัก บนกระดาษแผ่นนั้นถูกชโลมไปด้วยเลือดแดงฉานที่แห้งกรังสิ่งกลิ่นเหม็นคาวอย่างยิ่ง กวีใจหายพอสมควรที่พบว่ามนัสวีมีชิ้นส่วนของคัมภีร์มรณะอยู่กับตัว “ตอบทีว่าของน่ากลัวนี่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อเทอมก่อน ฉันรู้ว่ามันใช้ทำอะไร และไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ เจตนาที่มันมาปรากฏในโรงเรียนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องดี”
“แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรล่ะว่ามันมาจากผม” กวียังคงทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน
“นี่กวี...” มนัสวีพูดอย่างหมดความอดทนพลางประสานมือไว้ตรงหน้าอย่างที่ชอบทำ “ถึงเธอจะมั่นใจอย่างยิ่งแล้วว่าได้ทำลายกล้องวงจรปิดของโรงเรียนไปเกือบทุกตัวในโรงเรียนเว้นแต่ตัวที่ฉายให้เห็นว่าธารินเพื่อนของเธอเป็นคนที่ฆ่าแมวตัวนั้น แต่เธอยังพลาดไปหนึ่ง ภาพในกล้องนั้นมันฟ้องว่าเธอครอบครองของชิ้นนี้อยู่นะ”
กวียักไหล่ “ใครจะรู้ ธารินเป็นคนใช้มันนี่นา อาจจะเป็นของเขาก็ได้”
“งั้นหรือ...แต่ฉันว่าไม่นะ เพราะพยานรู้เห็นที่ฉันได้ถามมาก่อนหน้านี้ ยืนยันแล้วว่าเป็นของเธอ”
กวีขบฟันในใจความคิดแรกของเขาก็คือคิมหันต์ ต่อมาก็คือลลิต แต่สองคนนั้นไม่น่าโง่พอที่จะแฉเรื่องนี้ออกไปให้คนนอกรู้นี่นา แต่แล้วทำไมมนัสวีถึพูดแบบนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เพราะลองใจก็คงจะกุเรื่องเพื่อต้อนกวีให้จนมุมเป็นแน่ แต่ว่าเขาเจอคัมภีร์ที่ใช้แล้วนี่ได้อย่างไรล่ะ บังเอิญงั้นหรือ คงไม่หรอก กลิ่นคาวนี้เด่นชัดว่าเพิ่งถูกใช้ไปเมื่อไม่นานแน่ๆ แม้เลือดนี้จะแห้งแล้วแต่ถ้าเป็นคัมภีร์ของเก่ากลิ่นและสีของมันคงจะเจือจางกว่านี้
“พอจะบอกได้มั้ยว่าพยานที่ว่านี่ใครกัน” กวีถาม
“อ้อเพื่อความปลอดภัยของตัวพยานเอง ฉันจะไม่แจ้งข้อมูลนั้นกับเธอนะกวี”
“ทำไมกันล่ะครับ กลัวว่าผมจะเข้าไปทำร้ายเขาหรือยังไง ไม่หรอก...ผมไม่เคยทำร้ายอะไรใครก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าใครคนนั้นเข้ามาแส่หาเรื่องเจ็บตัวเองแบบลูกของใครบางคน...” กวีหรี่ตาจ้องเข้าไปในแววตาเย็นชาของผู้อำนวยการ และแล้วแววตาของเขาก็พลันเบิกกว้างและถมึงทึงขึ้นมาทันที
“ฉันรู้นะว่าหมายถึงใครกวี! แกไม่มีวันได้แตะต้องเด็กคนนั้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่!” ผู้อำนวยการตวาดลั่น
“ฮะฮะ ‘สายฟ้า’ เป็นยังไงบ้างล่ะ สบายดีมั้ย พักนี้ไม่เห็นมาโรงเรียนเลยนี่ ตั้งใจเรียนขึ้นหรือเปล่าครับ เห็นว่าเขาชอบเรียนวิชานี้มากขึ้นนี่ วิชาอะไรน้า...” กวีรู้สึกได้ว่าตัวของผู้อำนวยการเริ่มสั่นเทิ้มด้วยโทสะ พอพูดเข้าเรื่องลูกชายสุดรักสุดหวงที่เคยโดนกวีแหย่เข้าก็ถึงกับเดือด “อ้อ...เคมี”
รอยยิ้มมีชัยปรากฏบนใบหน้าของกวี แล้วทันทีนั้นเอง
“ออกไป!” มนัสวีคำราม “ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”
“เอ๋...อะไรกันล่ะ หรือว่าที่ผมพูดมันไปสะกิด ‘ปม’ ที่มีลูกชายเกเรเข้า”
“ฉันขอตัดคะแนนพฤติกรรมเธอ! ห้าสิบคะแนน!”
“อาจารย์ไม่อยากรู้หรือไงว่าไอ้กระดาษนี่เป็นของผมหรือเปล่า”
“หกสิบ! และฉันจะตัดไปเรื่อยๆถ้าแกยังเสนอหน้าพูดเรื่องนี้อีก!” มนัสวีตะเพิด
“หรือบางที....อาจารย์คงจะแค้นผม บอกตรงๆว่าเรื่องนั้นผมไม่ได้ผิดนะ เขามาหาเรื่องก่อนเอง...”
ตอนนั้นเองผู้อำนวยการเลือดร้อนกำลังจะอ้าปากด่ากวีเข้าให้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะถูกขัดด้วยใครบางคนที่แง้มประตูเข้ามาในห้องอย่างสุภาพ ทุกสายตาตวัดไปจ้องมองเขาเป็นตาเดียว
“ขะ...ขออณุญาติครับ”
เขาคือเด็กชายอายุน่าจะน้อยกว่ากวีสักปีเดียวเพราะเป็นรุ่นน้อง ผิวขาวเหลืองตัวไม่สูงมากนัก ออกแนวร่างเล็กสมส่วน ใบหน้าของเขาเรียวมนและหล่อเหลา ดวงตากลมโตถูกซ่อนไว้ใต้แว่นตาหนาเตอะดูเทอะทะคับใบหน้า ผมหยักศกดำสนิท บนคอคล้องสายห้อยของกล้องโพราลอยด์เอาไว้ เขาดูสุภาพและภูมิฐาน ทั้งยั้งดูเป็นมิตรมากด้วย
ผู้อำนวยการที่ยังคงเดือดกับกวีไม่หายอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะสงบสติอารมณ์แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของตนดังเดิม “นั่งสิ จินต์” เขาผายมือออก
แล้ว ‘จินต์’ เด็กหนุ่มที่ว่าก็เข้ามานั่งข้างๆกับกวี ส่งยิ้มทักทายเล็กๆแล้วจึงพูด
“ผมมาตามนัดแล้วนะครับ ผอ. ส่วนนี่ก็...คุณกวีใช่มั้ยครับ” จินต์ยื่นมือมาทักทายแต่กวีไม่แม้แต่จะมองหน้า
มนัสวีแหงนมองนาฬิกาพลางพูด “มาตรงเวลาดีจินต์ เอาล่ะอย่างที่ตกลงกัน แจ้งความต้องการของเธอให้เขาฟังซะสิ”
จินต์ยิ้มแล้วจึงหันไปพูดกับกวี “คุณกวีครับ เนื่องด้วยชมรมเคมีศึกษาของคุณนั้นไม่เหลือสมาชิกคนไหนในชมรมแล้วนอกจากคุณ ผมที่เคยแจ้งเจตจำนงให้กับผู้อำนวยการเมื่อเทอมที่แล้วว่า อยากให้มีชมรมถ่ายภาพ แต่ว่าโควต้าการตั้งชมรมนั้นมีไม่พอ ผมก็เลย...”
“ฉันรู้ว่านายจะขออะไร ตัดใจซะเพราะคำตอบคงจะเป็นไม่” กวีตอบอย่างไม่แยแสเลยสักนิด
“จะดื้อดึงยังไงชมรมของเธอก็ต้องถูกปิด” มนัสวีพูดขึ้น “และห้องปฏิบัติการเคมีก็จะถูกปิดตายในวันพรุ่งนี้อยู่ดีด้วย”
“ปิดตาย?” กวีทวนคำ “เพื่ออะไรรึ”
“เพื่อไม่ให้มีใครเข้าไปเล่นพิเรนท์กับสารเคมีแบบเธอยังไงล่ะ ซึ่งจะว่าไปก็คงไม่มีหรอก ฉันปิดเพื่อกันมันห่างจากเธอ สิ่งที่เธอรัก สิ่งที่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่ทำไป น่าเจ็บปวดใช่มั้ยล่ะเมื่อฉันพรากมันไปจากเธอเอง อย่าปฏิเสธสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสายตาเลยว่าห้องๆนั้นมันทำให้เธอรู้สึกคิดถึงอดีตอันชวนอ้วกของเธอยังไง เตรียมบอกลามันได้”
“แต่อาจารย์ครับ! ที่ตกลงกันไว้ก็คือผมจะต้องได้ใช้ห้องเคมีนะครับ!” จินต์ค้าน
“เธอไม่เห็นหรือยังไงว่าห้องๆนั้นมีการรั่วไหลของสารเคมี แค่เข้าไปก็ได้กลิ่นแล้ว ขืนมีประกายไฟแล็บนิดเดียวมีหวังได้ระเบิดกันทั้งตึกแน่” มนัสวีพูด
จินต์ทำท่าจะเถียง ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาดูจะต้องการห้องปฏิบัติการเคมีมาก เขาจึงได้แต่นั่งหน้าหงออยู่กับที่
ดูเหมือนการรั่วไหลของสารเคมีที่มนัสวีพูดถึงจะเป็นเรื่องจริง กวีได้กลิ่นสารเคมีไวไฟที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยคลุ้งอยู่เต็มห้องตอนที่เข้าไป มันกระจายตัวอย่างหนาแน่นชนิดที่ว่าถ้ามันระเบิดคงจะเป็นอะไรที่เลวร้ายมากเป็นแน่ นี่คงเป็นหตุผลที่มันถูกปิดไว้ตอนที่กวีพยายามจะเข้าไปในตอนแรก บางทีการรั่วไหลที่ว่านี้คงทำให้มนัสวีได้แก้เผ็ดกวีอย่างสมใจแล้วก็ได้
กวีพ่นลมหายใจ “ถึงห้องนั่นจะเป็นยังไงฉันก็ไม่สนอยู่แล้ว แต่เรากำลังพูดถึงสิทธิการเป็นเจ้าของชมรมนี้ ตามกฏโรงเรียนว่าไว้ว่าหากสมาชิกในชมรมขาดหายไปจนเหลือต่ำกว่าสิบ จะมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงในการตามคืนมาจนครบได้ ฉันขออ้างกฎนี้ในการปฏิเสธคำร้องขอของหมอนี่ได้ใช่มั้ย ผอ.”
มนัสวีครุ่นคิดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ก่อนที่จะพูด “ก็ได้! แต่แค่วันเดียวนะ ถ้าเธอตามสมาชิกมาให้ครบไม่ได้ เตรียมบอกลาชมรมเธอเองแล้วเรียนซ้ำชั้นอีกปีนึงได้เลย”
กวีเตะโต๊ะของผอ.อย่างแรงแล้วลุกขึ้นให้ไร้มารยาทที่สุดเท่าที่จะทำได้ จินต์ตกใจตอนที่ศอกของกวีมากระแทกหัว แล้วเขาก็เดินหันหลังออกไปจากห้อง
“ดะ...เดี๋ยวครับ!” จินต์ตะโกนเรียกแล้ววิ่งกระฟัดกระเฟียดมาทางกวี เขามองซ้ายมองขวาแล้วค่อยๆกระซิบกับกวี “ผมพอจะรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้สารเคมีในห้องนั่นรั่วออกมาน่ะครับ”
กวีเลิกคิ้วสนใจ แล้วจินต์ก็ยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้กับกวี “เก็บไว้อย่าบอกใครนะครับ ผมเห็นหมอนี่เข้าไปด้อมๆมองๆในห้องนั่นเมื่อสองวันก่อนเลยถ่ายเอาไว้ได้”
กวียกรูปในมือขึ้นมาดู มันเป็นภาพถ่ายของเด็กนักเรียนม.ปลายตัวสูงคนหนึ่งในท่าหันข้าง เขากำลังก้มตัวลงมองถังแก๊สไวไฟอยู่โดยมือหนึ่งจับบริเวณวาล์วเปิดไว้ แม้จะมองจากด้านข้างและรูปก็ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก และถึงทุกเหตุผลที่มีอยู่ในหัวตอนนี้จะคัดค้านรูปถ่ายนี้ทุกอย่าง แต่กระนั้นกวีก็ยังคงตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น
เมื่อบุคคลในรูปนั้นคือ “คิมหันต์” อย่างไม่ผิดแน่!
ความคิดเห็น