ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #27 : ChapT24 ("Chemical Club;") ; เหมันต์ลวงตา

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 56


    การถูกขังอยู่ในห้องปิดตายที่มีแต่ความมืดและกลิ่นของสารเคมีแสบจมูกคงเป็นเรื่องที่แย่ที่สุดเท่าที่พอจะจินตนาการออกในขณะนี้  ไม่ต้องพูดถึงการที่คนๆนี้อยู่ในสภาพที่ไม่อาจขัดขืนอันใดได้เพราะเรี่ยวแรงที่มีนั้นไม่เหลือ  เขาถูกทิ้งให้อดข้าวในห้องปิดตายนี้มาสองวันเต็มๆ  ในความมืดร่างที่นอนซมอยู่ใจกลางพื้นห้องเย็นๆไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าคนๆนั้นคือใครหรือเป็นเพศใด  ภาพที่ตกค้างจากความทรงจำอันเลือนรางและสมองที่ไม่ค่อยเต็มใจจะทำงาน  มีเพียงความรู้สึกที่เหมือนถูกร่างกายที่มองไม่เห็นของอะไรสักอย่างคอยตามติดอยู่หลายวัน  จากนั้นก็ถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจากข้างหลัง  พอตื่นมาอีกทีก็พบว่าร่างกายถูกทุบตีจนฟกช้ำ  กระดูกและกล้ามเนื้อทุกส่วนปวดเสียจนไม่อยากจะขยับเขยื้อน  ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆในการคิดและขยับ  เขาคนนี้รู้ตัวว่าอีกไม่นานถ้าหากยังถูกขังอยู่ในห้องนี้อยู่เขาคงได้พบกับความตายตามที่เขาปรารถนาเป็นแน่

    “ฉันไม่รู้ว่าแกจะเป็นใคร  แต่ได้โปรด....ช่วยฆ่าฉันทีเถอะ” เสียงที่แหบแห้งร้องขอเป็นครั้งสุดท้าย

     


     

    อากาศหนาวทำให้ทั้งโรงเรียนดูเงียบและวังเวงเหลือเกินในยามเย็น  แม้แสงจากข้างนอกอาคารจะสาดผ่านกระจกบนระเบียงทางเดินเข้ามาจนย้อมให้พื้นอาคารเป็นสีส้มสดแต่กระนั้นอากาศรอบๆก็ยังคงไว้ซึ่งความหนาวเย็นอยู่ดี  ณ ทางเดินที่ปลอดคน  กวีมาหยุดอยู่ที่ห้องปฏิบัติการเคมีห้องเดิมที่เป็นที่ตั้งของชมรมที่เขาเคยอยู่  เขาเรียกมันว่า “ชมรมเคมีศึกษา” ซึ่งถ้าในสถานการณ์ปกติแล้วมันควรจะมีสมาชิกชมรมสักสิบสองคนเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในชมรม  แต่ในตอนนี้กลับว่างเปล่าและไร้ซึ่งกิจกรรมใดๆในห้องชมรมที่ไร้ผู้คน  อาจเป็นเพราะมันตั้งอยู่ในมุมในสุดของตึกทั้งบริเวณทางเดินก็ยังถูกกั้นไว้อย่างแน่นหนาด้วยป้าย “ห้ามเข้า”  กวีใช้ลวดสะเดาะกลอนประตูอย่างคุ้นเคยเพื่อเปิดเข้าไปในห้องๆนี้

    กวีเดินเข้าไปยังห้องเย็นๆที่เปิดอ้าเอาไว้  สูดหายใจเอากลิ่นสารเคมีเจือจางเข้าไปในปอดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ยกสูงพลางหมุนตัวมองรอบห้องที่วังเวง  ปกติแล้วธารินกับสมาชิกผู้หญิงในชมรมควรจะมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว  เพราะคนที่ทำให้ชมรมนี้สามารถเป็นอยู่ต่อไปได้ก็คงเป็นธาริน  เพราะกฎของการตั้งชมรมในโรงเรียนวิชญ์วิชาวิทยานี้คือจะต้องมีสมาชิกที่อยู่ในชมรมมากกว่า10 คนขึ้นไป  แต่พอธารินไม่อยู่สมาชิกชมรมผู้หญิงที่พอจะเดาได้ว่าสมัครเข้ามาอยู่ในชมรมนี้เพราะความเพอร์เฟ็คของธารินก็พากันออกจากชมรมไป  กวีรู้สึกสมเพสใจน้อยๆที่เข้ามาอยู่ในชมรมที่รายล้อมไปด้วยพวกไม่รักจริงทั้งหลาย  แม้พวกนั้นจะเป็นปัจจัยให้ชมรมนี้ยังอยู่ก็ตามที

    “เอาสิ...นายอยากจะตั้งชมรมอะไรก็ตามใจเลย  เดี๋ยวฉันไปหาคนเข้ามาให้เอง” ธารินพูดในหัวของกวีขึ้นมา

    “ไม่ล่ะฉันไม่รบกวน” กวีเพียงตอบเรียบๆอย่างทุกที

    “เฮ่ยอย่าปฏิเสธความหวังดีกันสิ  ชมรมของนายต้องมีคนอยากเข้าแน่ๆ” ภาพของธารินที่โอบรอบบ่าของกวีชัดขึ้นในสมอง  กวีหมุนก๊อกน้ำเพื่อเปิดดูสายน้ำที่ไหลออกมาอย่างใจลอย

    “ก็แล้วแต่นาย”

    “แล้วแต่ฉันได้ไงกันละ  งั้นถ้าแล้วแต่ฉันฉันให้นายเป็นหัวหน้าชมรมละกัน”

    “ไม่” กวีปฏิเสธทันควัน

    “งั้นฉันเขียนชื่อแกละนะ”

    เขาหวนคิดถึงมิตรภาพเก่าๆ  ความเป็นเพื่อนที่เหมือนจะตกค้างอยู่แต่ในความทรงจำกลับหวนมาทำร้ายให้รู้สึกผิดอย่างมหันต์  เพราะเขาเองที่ต้องทำให้เพื่อนรักเพียงคนเดียวของเขาต้องพิการเดินไม่ได้  ถ้าเพื่อหยุดธารินในตอนนั้นเขาควรจะเลือกแทงในส่วนที่ไม่ต้องทำให้ธารินพิการอย่างนี้ 

    แต่กวีเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า  ถ้าไม่ลงมือกระทำให้รุนแรงดังเช่นตอนนั้น  ธารินก็อาจจะไม่ยอมหยุดยั้งและปัญหาก็อาจจะบานปลายกว่าเดิม  ต้นเหตุก็คงจะมาจากเขาเองถ้าเขาสามารถซ่อนคัมภีร์มรณะให้พ้นจากความอยากรู้อยากเห็นของธารินได้  เรื่องทุกอย่างคงจะไม่เกิด

    “ป้ายบอกว่าห้ามเข้า  ไม่เห็นหรือยังไง” เสียงอันเย็นชาปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์  น้ำจากก็อกไหลออกมาเสียจนเริ่มปริ่มอ่างซิงค์  จนเลอะเปรอะเท้าของกวี  เขาตวัดสายตาไปยังต้นเสียงแล้วพบเข้ากับสายตาเหยียดๆอันเย็นชาของใครคนหนึ่ง

    เขาคนนั้นคือชายวัยประมาณ35 ปี  แก้มตอบ  ผมยาวประบ่าที่เริ่มกลายเป็นสีเทา  ร่างผอมสูงซ่อนอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทดูภูมิฐาน  กวีคงจะทำเป็นหูทวนลมแล้วเขวี้ยงในคนนั้นด้วยถ้วยรูปชมพู่ไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะเขาคือ “มนัสวี” ผู้อำนวยการของโรงเรียนวิชญ์วิชาวิทยา  ดังนั้นฟังก่อนจึงดีที่สุด

    “ผอ. รึ” กวีถามเรียบๆ

    สายตาที่เรียบเฉยและมีอาการเหยีดหยามตลอดทุกวินาทีดูจะไม่พอใจกับถ้อยคำที่จงใจพูดให้ไม่มีหางเสียงของกวี  มนัสวีจึงตอบกลับด้วยคำว่า “เลิกเล่นพิเรนท์กับข้าวของโรงเรียนแล้วตามฉันมากวี  เรามีเรื่องอะไรต้องถกกันนิดหน่อย”

    กวีแสยะยิ้มน้อยๆแล้วบิดวาล์วก๊อกกลับจนสุด “ผมว่าผมปิดก๊อกแล้วนะ”

    “ไม่ใช่เรื่องนั้น” มนัสวีแค่นหัวเราะ “ว่าแต่ทำไมล่ะ  คิดถึงอดีตงั้นหรือ  ไม่มีใครทนอยู่ในชมรมเหม็นๆของเธอได้หรือยังไงถึงพาลออกกันไปหมด  แต่ถึงยังไงพรุ่งนี้ห้องๆนี้ก็จะถูกปิดตายแล้ว”

    สายตากวีไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ใบหน้ามนัสวีเลยแม้แต่น้อย  เขาเพียงจ้องมองหยดน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกที่ปิดสนิทพลางยิ้มขึ้น “ครูล่ะครับ  คิดถึงลูกศิษย์สุดรักสุดหวงของตัวเองหรือเปล่า  โรงเรียนมีชื่อเสียงมากมายก็จากธารินไม่ใช่หรือ”

    มนัสวีชักสีหน้า  เดินเข้ามาใกล้กวีมากกว่าเดิม “เชิญพูดไปเถอะคุณกวี  การกระทำเรียกร้องความสนใจไม่สิ้นสุดของคุณจะถูกฉันนี่แหละจัดการภายในวันนี้  ฉันจะกุดเล็บแมวซนอย่างเธอให้หงอจนไม่กล้าจับหนูเลย”

    “ขนาดนั้นเชียว” กวีย้อน

    มนัสวีไล้นิ้วลงบนขอบอ่างซิงค์พลางพูด “หึหึ ก็ประมาณนั้นนั่นแหละ  อย่าลืมสิว่าเธอเป็นนักเรียนแต่ฉันเป็น ผอ. เธอน่ะมันเป็นตัวแสบที่ฉันพร้อมจะขุดคดีเก่าๆมาเล่นงานได้ตลอด  อย่างอะไรดีละ  รมควันเพื่อนๆ?  ละลายกล้องวงจรปิดของโรงเรียน?  วางยาเบื่อหนู?  ฆ่าแมว  เอาสารเคมีไปปาใส่คนอื่น  หรือว่าเรื่องล่าสุดดีที่แทงเพื่อนจนพิการเนี่ย?”

    มนัสวีที่ดูได้ใจยกบีกเกอร์ที่บรรจุสารสีเหลืองเอาไว้ขึ้นมาถือแล้วแกว่งไปมาบนมือ

    “นั่นมันแอมโมเนีย” กวีจงใจเตือนให้ช้าลงตอนที่สารเคมีหยดลงบนสูทหรูของผอ.จอมแดกดันจนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว “ล้างน้ำหน่อยดีมั้ยครับ”

    มนัสวีถลึงตาใส่กวีเหมือนจะกินเนื้อ  เขาตวาดขึ้นในห้องเงียบๆอย่างใส่อารมณ์แค้นเข้าไปสุดๆ “มาพบฉันที่ห้องอำนวยการ  เดี๋ยวนี้!

     
     

    ห้องอำนวยการควรจะมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยจำปี  ถ้าไม่ใช่ว่าถูกกลบไปด้วยกลิ่นแอมโมเนียฉุนจมูกจากตัวผู้อำนวยการจอมวางมาดเอง 

    กวีนั่งลงตรงหน้าเขาพอดี  รอคอยเวลาสำหรับการพิพากษาที่กำลังจะมาในไม่ช้า

    “ก่อนอื่น...” มนัสวีเลื่อนกระดาษแผ่นบางๆมาตรงหน้ากวี “...นี่คือรายการค่าเสียหายที่เธอก่อเอาไว้เมื่อเทอมก่อน  เธอเข้าใจนะว่าฉันเองก็ไม่อยากจะขูดเลือดขูดเนื้ออะไรจากเธอเท่าไหร่หรอก  ถ้าไม่ใช่เธอนั่นแหละที่ทำตัวเอง แล้วก็...ถ้าเธอเดือดร้อนจริงๆ  จะขอร้องกันดีๆก็ได้นะ” ว่าแล้วเจ้าตัวเองก็เอนหลังพิงเก้าอี้แล้วประสานมือเข้าด้วยกันรอยยิ้มมีชัยปรากฏชัดบนริมฝีปากจนดูน่าเกลียด

    “คงไม่ล่ะ” กวีตอบโดยไม่ก้มหน้ามองกระดาษที่น่ารังเกียจเลยสักนิด  เขาไม่ลืมที่จะเก็บมันใส่ในกระเป๋าโดยขยำเต็มกำมือไปด้วย “ไว้ผมจะไปหามา ตอบแทน นะครับ” ถ้อยคำถูกเน้นชัดขึ้นในความเงียบ  มนัสวีคงจะไม่อาจเอาชนะลูกศิษย์ตัวดีของตัวเองได้เลยก็ได้  เขาจึงถลึงตามองดุๆแล้วว่าต่อ

    “ฉันมีเรื่องจะถามเธอเรื่องนึง”

    “หือ?” กวีครางถาม

    “ช่วยพูดกับฉันให้มีหางเสียงหน่อยจะได้มั้ย” มนัสวีกล่าวแบบหัวเสีย

    “หือ?”

    แต่เหมือนถ้อยคำนั้นจะเปลี่ยนท่าทีของกวีไม่ได้เลย  มนัสวีจึงข่มอารมณ์โกรธไว้แล้วค่อยๆพูด “เอาเป็นว่า  ฉันอยากรู้เรื่องเมื่อเทอมก่อนแบบละเอียด  เอาแบบละเอียดที่สุดแล้วขอความจริงด้วย  พอจะได้มั้ย?”

    กวีนิ่งจ้องมองหน้าของมนัสวีแบบไม่เกรงกลัว “อยากรู้ตรงส่วนไหนละ”

    “เอาเป็น...ปมปัญหาที่ทำให้เธอกับเพื่อนรักของเธอแตกหักล่ะเป็นยังไง  อะไรน้า...ความรักหรอ  ผู้หญิงที่แย่งกันจนแตกเพื่อนนี่สวยมากมั้ยล่ะหือ?”

    กวีไม่แสดงอารมณ์อันใดออกจากสีหน้า  บรรยากาศและถ้อยคำสบปรามาสของผู้อำนวยการตัวดีดังอยู่ในหัวของกวีสักพัก  แล้วเขาจึงตอบ “ก็สวยอยู่นะ  แต่เจ้าหล่อนคงจะตรอมใจพอตัวที่คู่แข่งผมกลายเป็นไอ้พิการไปแล้ว  เลยจำยอมต้องเลือกเด็กเลวแบบผมไป”

    “หรอ...แล้วการที่เธออาละวาดโดยการระเบิดอ่างล้างมือของโรงเรียน  จนมีนักเรียนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องบาดเจ็บสองคนนี่  สืบเนื่องจากมีอะไรมากระตุ้นสัญชาตญาณดิบของเธอล่ะหือ?” มนัสวียังคงยิงคำถามต่อ  เขาคงมุ่งหวังอย่างยิ่งเลยที่จะละลายความสามารถทางการไตร่ตรองเหตุผลของกวีจนทำให้นักเรียนที่เขาแสนจะเกลียดชังอาละวาดขึ้นมาจริงๆ

    “ก็เขาล้อผมนี่นา” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูขำขันและไม่เป็นเดือดเป็นร้อน “ผมเลยเผลอทำการบ้านเคมีหกใส่อ่างล้างมือ  มันเป็นอุบัติเหตุน่ะครับ”

    มนัสวียิ่งดูตรึงเครียดมากขึ้นเมื่อกวีตอบคำถามอย่างนั้น  ครั้นจะหาว่าเด็กคนนี้โกหกก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปาก  เพราะคำให้การที่ได้ยินมาจากพยานอีกสองคนก็เป็นเหตุผลและสาเหตุเดียวกัน

    “มีอะไรจะถามอีกหรือเปล่าครับ  ผอ.” กวีเร่งเร้าภายใต้ความตรึงเครียด 

    และท้ายที่สุดแล้วมนัสวีก็หยิบเอาแผ่นกระดาษสีเหลืองขุ่นเก่าคร่ำครึออกมาจากใต้ลิ้นชัก  บนกระดาษแผ่นนั้นถูกชโลมไปด้วยเลือดแดงฉานที่แห้งกรังสิ่งกลิ่นเหม็นคาวอย่างยิ่ง  กวีใจหายพอสมควรที่พบว่ามนัสวีมีชิ้นส่วนของคัมภีร์มรณะอยู่กับตัว  “ตอบทีว่าของน่ากลัวนี่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อเทอมก่อน  ฉันรู้ว่ามันใช้ทำอะไร  และไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่  เจตนาที่มันมาปรากฏในโรงเรียนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องดี”

    “แล้วคุณมั่นใจได้อย่างไรล่ะว่ามันมาจากผม” กวียังคงทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียน

    “นี่กวี...” มนัสวีพูดอย่างหมดความอดทนพลางประสานมือไว้ตรงหน้าอย่างที่ชอบทำ “ถึงเธอจะมั่นใจอย่างยิ่งแล้วว่าได้ทำลายกล้องวงจรปิดของโรงเรียนไปเกือบทุกตัวในโรงเรียนเว้นแต่ตัวที่ฉายให้เห็นว่าธารินเพื่อนของเธอเป็นคนที่ฆ่าแมวตัวนั้น  แต่เธอยังพลาดไปหนึ่ง  ภาพในกล้องนั้นมันฟ้องว่าเธอครอบครองของชิ้นนี้อยู่นะ”

    กวียักไหล่ “ใครจะรู้  ธารินเป็นคนใช้มันนี่นา อาจจะเป็นของเขาก็ได้”

    “งั้นหรือ...แต่ฉันว่าไม่นะ  เพราะพยานรู้เห็นที่ฉันได้ถามมาก่อนหน้านี้  ยืนยันแล้วว่าเป็นของเธอ”

    กวีขบฟันในใจความคิดแรกของเขาก็คือคิมหันต์ ต่อมาก็คือลลิต  แต่สองคนนั้นไม่น่าโง่พอที่จะแฉเรื่องนี้ออกไปให้คนนอกรู้นี่นา แต่แล้วทำไมมนัสวีถึพูดแบบนั้นได้  ถ้าไม่ใช่เพราะลองใจก็คงจะกุเรื่องเพื่อต้อนกวีให้จนมุมเป็นแน่  แต่ว่าเขาเจอคัมภีร์ที่ใช้แล้วนี่ได้อย่างไรล่ะ  บังเอิญงั้นหรือ  คงไม่หรอก  กลิ่นคาวนี้เด่นชัดว่าเพิ่งถูกใช้ไปเมื่อไม่นานแน่ๆ  แม้เลือดนี้จะแห้งแล้วแต่ถ้าเป็นคัมภีร์ของเก่ากลิ่นและสีของมันคงจะเจือจางกว่านี้

    “พอจะบอกได้มั้ยว่าพยานที่ว่านี่ใครกัน” กวีถาม

    “อ้อเพื่อความปลอดภัยของตัวพยานเอง  ฉันจะไม่แจ้งข้อมูลนั้นกับเธอนะกวี”

    “ทำไมกันล่ะครับ  กลัวว่าผมจะเข้าไปทำร้ายเขาหรือยังไง  ไม่หรอก...ผมไม่เคยทำร้ายอะไรใครก่อน  ถ้าไม่ใช่เพราะว่าใครคนนั้นเข้ามาแส่หาเรื่องเจ็บตัวเองแบบลูกของใครบางคน...” กวีหรี่ตาจ้องเข้าไปในแววตาเย็นชาของผู้อำนวยการ  และแล้วแววตาของเขาก็พลันเบิกกว้างและถมึงทึงขึ้นมาทันที

    “ฉันรู้นะว่าหมายถึงใครกวีแกไม่มีวันได้แตะต้องเด็กคนนั้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่!” ผู้อำนวยการตวาดลั่น

    “ฮะฮะ  สายฟ้าเป็นยังไงบ้างล่ะ  สบายดีมั้ย  พักนี้ไม่เห็นมาโรงเรียนเลยนี่  ตั้งใจเรียนขึ้นหรือเปล่าครับ  เห็นว่าเขาชอบเรียนวิชานี้มากขึ้นนี่  วิชาอะไรน้า...” กวีรู้สึกได้ว่าตัวของผู้อำนวยการเริ่มสั่นเทิ้มด้วยโทสะ  พอพูดเข้าเรื่องลูกชายสุดรักสุดหวงที่เคยโดนกวีแหย่เข้าก็ถึงกับเดือด “อ้อ...เคมี”

    รอยยิ้มมีชัยปรากฏบนใบหน้าของกวี  แล้วทันทีนั้นเอง

    “ออกไป!” มนัสวีคำราม “ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!

    “เอ๋...อะไรกันล่ะ  หรือว่าที่ผมพูดมันไปสะกิด ปมที่มีลูกชายเกเรเข้า”

    “ฉันขอตัดคะแนนพฤติกรรมเธอห้าสิบคะแนน!

    “อาจารย์ไม่อยากรู้หรือไงว่าไอ้กระดาษนี่เป็นของผมหรือเปล่า”

    “หกสิบและฉันจะตัดไปเรื่อยๆถ้าแกยังเสนอหน้าพูดเรื่องนี้อีก! มนัสวีตะเพิด

    “หรือบางที....อาจารย์คงจะแค้นผม  บอกตรงๆว่าเรื่องนั้นผมไม่ได้ผิดนะ  เขามาหาเรื่องก่อนเอง...”

    ตอนนั้นเองผู้อำนวยการเลือดร้อนกำลังจะอ้าปากด่ากวีเข้าให้แล้ว  ถ้าไม่ใช่เพราะถูกขัดด้วยใครบางคนที่แง้มประตูเข้ามาในห้องอย่างสุภาพ  ทุกสายตาตวัดไปจ้องมองเขาเป็นตาเดียว

    “ขะ...ขออณุญาติครับ”

    เขาคือเด็กชายอายุน่าจะน้อยกว่ากวีสักปีเดียวเพราะเป็นรุ่นน้อง  ผิวขาวเหลืองตัวไม่สูงมากนัก  ออกแนวร่างเล็กสมส่วน  ใบหน้าของเขาเรียวมนและหล่อเหลา  ดวงตากลมโตถูกซ่อนไว้ใต้แว่นตาหนาเตอะดูเทอะทะคับใบหน้า  ผมหยักศกดำสนิท  บนคอคล้องสายห้อยของกล้องโพราลอยด์เอาไว้  เขาดูสุภาพและภูมิฐาน  ทั้งยั้งดูเป็นมิตรมากด้วย

    ผู้อำนวยการที่ยังคงเดือดกับกวีไม่หายอ้ำอึ้งเล็กน้อย  ก่อนจะสงบสติอารมณ์แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ของตนดังเดิม “นั่งสิ จินต์” เขาผายมือออก

    แล้ว จินต์เด็กหนุ่มที่ว่าก็เข้ามานั่งข้างๆกับกวี  ส่งยิ้มทักทายเล็กๆแล้วจึงพูด

    “ผมมาตามนัดแล้วนะครับ ผอ. ส่วนนี่ก็...คุณกวีใช่มั้ยครับ” จินต์ยื่นมือมาทักทายแต่กวีไม่แม้แต่จะมองหน้า

    มนัสวีแหงนมองนาฬิกาพลางพูด “มาตรงเวลาดีจินต์  เอาล่ะอย่างที่ตกลงกัน  แจ้งความต้องการของเธอให้เขาฟังซะสิ”

    จินต์ยิ้มแล้วจึงหันไปพูดกับกวี “คุณกวีครับ  เนื่องด้วยชมรมเคมีศึกษาของคุณนั้นไม่เหลือสมาชิกคนไหนในชมรมแล้วนอกจากคุณ  ผมที่เคยแจ้งเจตจำนงให้กับผู้อำนวยการเมื่อเทอมที่แล้วว่า อยากให้มีชมรมถ่ายภาพ  แต่ว่าโควต้าการตั้งชมรมนั้นมีไม่พอ  ผมก็เลย...”

    “ฉันรู้ว่านายจะขออะไร  ตัดใจซะเพราะคำตอบคงจะเป็นไม่” กวีตอบอย่างไม่แยแสเลยสักนิด

    “จะดื้อดึงยังไงชมรมของเธอก็ต้องถูกปิด” มนัสวีพูดขึ้น “และห้องปฏิบัติการเคมีก็จะถูกปิดตายในวันพรุ่งนี้อยู่ดีด้วย”

    “ปิดตาย?” กวีทวนคำ “เพื่ออะไรรึ”

    “เพื่อไม่ให้มีใครเข้าไปเล่นพิเรนท์กับสารเคมีแบบเธอยังไงล่ะ  ซึ่งจะว่าไปก็คงไม่มีหรอก  ฉันปิดเพื่อกันมันห่างจากเธอ  สิ่งที่เธอรัก  สิ่งที่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่ทำไป  น่าเจ็บปวดใช่มั้ยล่ะเมื่อฉันพรากมันไปจากเธอเอง  อย่าปฏิเสธสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสายตาเลยว่าห้องๆนั้นมันทำให้เธอรู้สึกคิดถึงอดีตอันชวนอ้วกของเธอยังไง  เตรียมบอกลามันได้”

    “แต่อาจารย์ครับที่ตกลงกันไว้ก็คือผมจะต้องได้ใช้ห้องเคมีนะครับ!” จินต์ค้าน

    “เธอไม่เห็นหรือยังไงว่าห้องๆนั้นมีการรั่วไหลของสารเคมี  แค่เข้าไปก็ได้กลิ่นแล้ว  ขืนมีประกายไฟแล็บนิดเดียวมีหวังได้ระเบิดกันทั้งตึกแน่” มนัสวีพูด

    จินต์ทำท่าจะเถียง  ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาดูจะต้องการห้องปฏิบัติการเคมีมาก  เขาจึงได้แต่นั่งหน้าหงออยู่กับที่

    ดูเหมือนการรั่วไหลของสารเคมีที่มนัสวีพูดถึงจะเป็นเรื่องจริง  กวีได้กลิ่นสารเคมีไวไฟที่เขาค่อนข้างคุ้นเคยคลุ้งอยู่เต็มห้องตอนที่เข้าไป  มันกระจายตัวอย่างหนาแน่นชนิดที่ว่าถ้ามันระเบิดคงจะเป็นอะไรที่เลวร้ายมากเป็นแน่  นี่คงเป็นหตุผลที่มันถูกปิดไว้ตอนที่กวีพยายามจะเข้าไปในตอนแรก  บางทีการรั่วไหลที่ว่านี้คงทำให้มนัสวีได้แก้เผ็ดกวีอย่างสมใจแล้วก็ได้

    กวีพ่นลมหายใจ “ถึงห้องนั่นจะเป็นยังไงฉันก็ไม่สนอยู่แล้ว  แต่เรากำลังพูดถึงสิทธิการเป็นเจ้าของชมรมนี้  ตามกฏโรงเรียนว่าไว้ว่าหากสมาชิกในชมรมขาดหายไปจนเหลือต่ำกว่าสิบ  จะมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงในการตามคืนมาจนครบได้  ฉันขออ้างกฎนี้ในการปฏิเสธคำร้องขอของหมอนี่ได้ใช่มั้ย ผอ.”

    มนัสวีครุ่นคิดอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ก่อนที่จะพูด “ก็ได้แต่แค่วันเดียวนะ  ถ้าเธอตามสมาชิกมาให้ครบไม่ได้  เตรียมบอกลาชมรมเธอเองแล้วเรียนซ้ำชั้นอีกปีนึงได้เลย”

    กวีเตะโต๊ะของผอ.อย่างแรงแล้วลุกขึ้นให้ไร้มารยาทที่สุดเท่าที่จะทำได้  จินต์ตกใจตอนที่ศอกของกวีมากระแทกหัว  แล้วเขาก็เดินหันหลังออกไปจากห้อง

    “ดะ...เดี๋ยวครับ!” จินต์ตะโกนเรียกแล้ววิ่งกระฟัดกระเฟียดมาทางกวี เขามองซ้ายมองขวาแล้วค่อยๆกระซิบกับกวี “ผมพอจะรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุที่ทำให้สารเคมีในห้องนั่นรั่วออกมาน่ะครับ”

    กวีเลิกคิ้วสนใจ  แล้วจินต์ก็ยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้กับกวี “เก็บไว้อย่าบอกใครนะครับ  ผมเห็นหมอนี่เข้าไปด้อมๆมองๆในห้องนั่นเมื่อสองวันก่อนเลยถ่ายเอาไว้ได้”

    กวียกรูปในมือขึ้นมาดู  มันเป็นภาพถ่ายของเด็กนักเรียนม.ปลายตัวสูงคนหนึ่งในท่าหันข้าง  เขากำลังก้มตัวลงมองถังแก๊สไวไฟอยู่โดยมือหนึ่งจับบริเวณวาล์วเปิดไว้  แม้จะมองจากด้านข้างและรูปก็ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก  และถึงทุกเหตุผลที่มีอยู่ในหัวตอนนี้จะคัดค้านรูปถ่ายนี้ทุกอย่าง  แต่กระนั้นกวีก็ยังคงตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น

    เมื่อบุคคลในรูปนั้นคือ “คิมหันต์” อย่างไม่ผิดแน่!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×