คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : ChapT23 ("After Rain;") ; นครแห่งฝน
ท้องฟ้าที่ยังคงมืดครึ้มแม้เวลาจะแตะหัววันแล้วช่างเป็นการปลุกที่เย็นชา หน้าหนาวเข้ามาถึงในไม่กี่วันหลังจากที่พายุลูกสุดท้ายได้หอบเอาเรื่องหนักอึ้งผ่านไป อหิวาตกโรคที่ระบาดทั่วเมืองกรุงได้รับการเยียวยาและทุเลาลงเรื่อยๆ สายฝนไม่ได้ทำให้ทุกๆอย่างสกปรกอีกต่อไปแล้ว
จนกระทั่งวันเปิดเรียนที่ล่าช้าได้เข้ามาถึงในที่สุดหลังจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจได้ผ่านพ้นไป กำหนดการณ์ที่ถูกเลื่อนก็เริ่มกลับมาเข้าที่ โรงเรียนวิชญ์วิชาวิทยาที่ลลิตเรียนอยู่นั้นได้เอาวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้เป็นวันเปิดเรียน นักเรียนหลายๆคนที่ได้แต่หลบกายอยู่ในสายฝนตลอดหลายเดือนมานี้ได้กลับไปยังสถานที่ที่แสนเบื่อหน่ายเช่นเดิม
วิธีการดำเนินชีวิตที่เรียบเฉยทว่าสุขสบายนั้นทำให้ลลิตรู้สึกดีขึ้นมาก เธอรักความสงบ การที่ไม่มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาในชีวิตเป็นสิ่งที่เธอคิดถึง และเธอยังรู้สึกอุ่นใจอยู่ตลอดที่ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาในหัวเธอโดยไม่ได้รับอนุญาติแล้ว ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะใช้วันแรกของการเปิดเรียนเป็นวันขอบคุณตัวเอง
ทันทีที่เธอก้าวท้าวออกจากคอนโดมิเนียมของตัวเอง อากาศหนาวก็เข้ามาจู่โจมจนทำเอาเธอต้องเดินกลับไปหาเสื้อหนาๆมาสวมทับอีกตัวหนึ่ง และเมื่อเธอเดินลงมาข้างล่าง เสียงจากเมืองหลวงอันครึกครื้นก็กล่าวต้อนรับเธอเป็นอย่างแรก
‘...ผู้ป่วยอหิวาตกโรคที่ระบาดเมื่อสองสามวันก่อนได้รับการรักษา จากรายงานยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าว ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพในระหว่างนี้ด้วยค่ะ...’
‘...เปิดเทอมวันแรกของเมืองหลวง นักเรียนมากมายหลั่งใหลพร้อมใจกันไปโรงเรียนอย่างครึกครื้น เมืองหลวงของเราผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความอึมครึมไปแล้ว...’
‘...สุขอนามัยของมหานครกำลังดีดตัวสูงขึ้น ทุกคนเริ่มสุขภาพแข็งแรง...’
‘...อากาศหนาวที่ทุกคนคิดถึงกำลังกลับมา...’
เสียงจากโทรทัศน์ที่ล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมเปิดทิ้งเอาไว้ดังเข้ามาต้อนรับลลิต เธอยิ้มน้อยๆให้กับเรื่องราวที่ได้ยินแล้วเดินผ่านพ้นจากบริเวณนั้นไป
มาหยุดอยู่ที่ The Maze สวนสาธารณะที่ถูกตกแต่งให้เป็นเขาวงกต ซึ่งบัดนี้มันไม่ได้มีฝนปกคลุมอย่างทุกที ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อกันหนาวของตัวเองหรือสุนัขคู่ใจ ภาพเหล่านี้ทำให้ลลิตหวนคิดถึงวันเก่าๆและสวนสาธารณะนี้
เธอเดินมาหยุดอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมที่เคยมานั่งกับกวี นั่งลงค่อยๆแล้วเอนแผ่นหลังพิงพนักเย็นๆของเก้าอี้ ไอเย็นแผ่ซ่านทั่วร่างกาย อากาศบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านปอดกำลังทำให้ความเครียดเก่าๆมลายหายไป เธอไม่แม้แต่จะต้องคิดถึงใคร แอน จิตติ กวี หรือคิมหันต์ เรียกง่ายๆว่าในสมองเธอไม่มีความคิดตกค้างอยู่เลยด้วยซ้ำ
แมกไม้เบื้องบนเอนไหวเบาๆตามสายลมยามเช้า แดดอ่อนๆที่ส่องผ่านร่มเงาของไม้มาช่างทำให้บริเวณนี้ดูราวกับสวรรค์ ลลิตอยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปตลอดกาล แต่อะไรบางอย่างในใจก็ดูเหมือนจะผุดขึ้นมาในความคิดจนทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มทิ่มตรงอก
ไม่ได้ทิ่มจริงๆทว่าความเจ็บปวดนั้นช่างใกล้เคียง แอน จิตติ สองพี่น้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกลับต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องที่เธอก่อ ถ้าวันนั้นเธอไม่ตามกวีไปเพราะความลับที่เธอไม่อยากให้ใครบนโลกรู้ ถ้าวันนั้นเธอไม่เข้าไปคุยกับคิมหันต์ เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิด บางทีสิ่งต่างๆเหล่านี้อาจจะไปเกิดกับคนอื่น แล้วคนที่ต้องหายไปก็คงไม่ต้องเป็นแอนหรือว่าจิตติ
ลลิตมั่นใจว่าคนในสวนสาธารณะเริ่มเบาบางลงแล้วเธอจึงมีความคิดบางอย่างที่อยากจะจัดการกับพลังพิเศษที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ของเธอ เธอหวังว่าเธอจะใช้พลังนี้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนอีกสองคนของเธอกับการตามคืนคัมภีร์มรณะ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีโอกาสใช้มันได้เท่าที่ควร เธอควรจะแข็งแกร่งกว่านี้ มีประโยชน์กว่านี้ บางทีถ้าเธอตั้งใจกับมันมากขึ้นคิมหันต์ หรือกวีอาจจะไม่ต้องเฉียดตาย บางทีถ้าเธอฉลาดพอแอนและจิตติอาจจะไม่ต้องพบเจอเรื่องอย่างนี้
ทันทีที่สร้อยเย็นๆเลื่อนผ่านศีรษะของลลิตออกมา เสียงความคิดของผู้คนดังเอื่อยๆเข้ามาในหูของเธอ ทว่าคราวนี้มันเงียบกว่าครั้งก่อนๆ อาจเพราะผู้คนที่เบาบางหรือว่าเธอสามารถจูนตัวเองให้รับกับพลังนี้ของเธอได้มากขึ้นก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆเธอรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม
ลลิตลองหลับตาลงพร้อมตั้งสมาธิ เธอยังคงได้ยินเสียงของใครก็ไม่ทราบกระซิบใส่เธอพร้อมๆกัน เธอลองเงี่ยหูฟังเสียงเหล่านั้นอย่างตั้งใจ เธอไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างไร แต่มันก็ดูคล้ายกับการจูนคลื่นวิทยุ คือต้องตั้งใจและละเอียดอ่อน
ไม่นานเสียงหลายๆเสียงก็ค่อยๆเบาลง ลลิตได้ยินเสียงความคิดของใครสักคนเพียงเสียงเดียวแล้ว นั่นจึงเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างดีกับการควบคุมอำนาจอ่านใจคน ลลิตเปลี่ยนสมาธิให้ไกลออกไปอีกหน่อย เธอรู้สึกว่าสติตัวเองเหมือนเริ่มขาดๆหายๆมากขึ้น และรู้ดีแน่ว่าถ้าหากเธอเพ่งสมาธิออกไปไกลกว่านี้ คงจะเป็นผลดีมากกว่าผลร้าย ทางที่ดีเธอควรจะลองจากรัศมีที่ใกล้กว่านี้อีกหน่อย
แต่ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ปลุกลลิตจากห้วงสมาธิ “ทำอะไรอยู่เอ่ยลูกรัก”
สายตาอ่อนโยนใต้กรอบแว่นเหลี่ยมๆมองมาที่ลลิต สายตาของลลิตเลิกขึ้นแล้วหัวใจของเธอก็ตกวูบ ไม่ใช่เพราะความตกใจแต่ทว่ามันคือความใจหาย เนิ่นนานเท่าไหร่แล้วที่ลลิตไม่ได้พบกับพ่อแท้ๆของเธอเอง “เรืองริท” มือของเธอสั่นทว่ามันกลับรู้สึกอุ่นคล้ายได้กับวางมือในแสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าที่เหน็บหนาว ผมสีดำที่เริ่มมีสีขาวสลับมาเล็กน้อยของชายผู้นี้ช่างดูภูมิฐานและใจดี เขาปรากฏตัวในเสื้อเชิร์ตสีชมพูสบายๆกับกางเกงขายาวสีดำ รอยย่นน้อยๆบนใบหน้าที่เพิ่มเข้ามานิดหน่อยยิ่งทำให้ลลิตรู้สึกถึงความเนิ่นนานที่ไม่ได้พบกับพ่อของเธอเอง ถ้าบวกลบเวลาที่เธอไม่ได้อยู่กับพ่อแล้ว ตอนนี้พ่อก็คงอายุสักสี่สิบกว่าๆเห็นจะได้ เธอใช้เวลารวบรวมสติสักสองสามวินาทีแล้วจึงรำพึง “พ่อ”
“พ่อคิดถึงลูกนะ” แล้วเรืองริทก็นั่งลงข้างๆลูกสาวอย่างเป็นกันเอง มือขวาของเขาเอื้อมผ่านบ่าของลลิตแล้วโอบให้ลูกสาวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนได้กลิ่นเสื้อรีดใหม่ๆกับลมหายใจหอมๆของยาอม “สบายดีมั้ยล่ะเราน่ะ”
ลลิตยิ้มน้อยๆไม่กล้าสบตาพ่อตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บรรยากาศเก่าๆ ความทรงจำเก่าๆหวนคืนมา ถ้าแม่อยู่อีกคนด้วยล่ะก็ ทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบ “ก็สบายดีนะคะ”
“สบายดีจริงทำไมไม่ยอมไปโรงเรียนล่ะเราน่ะ” คนเป็นพ่อแซวเข้าให้ แต่ลลิตหัวเราะเบาๆแล้วตอบ
“ก็ยังรู้สึกว่ายังพักไม่พอเลยนี่คะ แหะๆ พ่อล่ะ วันนี้ทำไมไม่ไปทำงานหรอ” ลลิตถามกลับ เธอช้อนสายตาขึ้นมองพ่อตัวเอง
“อืมม์” เรืองริทครางในลำคอ “พ่อคิดถึงเราน่ะสิก็เลยลางานมาหา ตอนแรกพ่อว่าจะไปหาเราที่โรงเรียนแล้วพามาเดินเล่นที่นี่ซักหน่อย แต่พ่อเจอเราที่นี่ล่ะก็ดีแล้ว”
“บังเอิญจังนะคะ วันนี้หนูเองก็อยากมาที่นี่เหมือนกัน”
“เงินที่พ่อส่งให้พอใช้มั้ย” เรืองริทถาม
“พอค่ะ เหลือเลยล่ะ”
“แล้วห้องพักเราล่ะอยู่ได้ไม่คับแคบไปนะ”
“พ่อคะ หนูยังยืนกรานให้พ่อเปลี่ยนที่อยู่หนูให้มันถูกกว่านี้หน่อย คอนโดนั้นมันแพงเกินไป พ่อคงลำบากแย่เลย หนูยอมไปอยู่หอถูกๆเพื่อที่พ่อจะได้ทำงานน้อยลงแล้วกลับมาหาหนูมากขึ้น”
“ฮะฮะ เหมือนว่าพ่อคงทำงานน้อยลงไม่ได้หรอก ถ้าเพื่อลูกล่ะนะ” เรืองริทลูบศีรษะลลิตพลางหัวเราะร่วน
“อย่าหักโหมนะคะพ่อ” ลลิตเอนกายชิดผู้เป็นพ่อมากขึ้นอีก “ผ่อนคลายบ้างนะ อย่าเครียด กลับมาหาหนูบ่อยๆ”
ค่อนข้างใจหายทว่าลลิตก็ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดมาหลายปีแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ผู้เป็นพ่อได้รับฟังและเก็บไปคิดบ้าง คำเหล่านี้ของลลิตค่อนข้างมีความหมาย เธอหวังไว้มากว่าผู้เป็นพ่อจะรับฟังและรับรู้ว่าที่ผ่านมาเธอต้องการพ่อมากเพียงใด
แต่เรืองริทไม่ได้ตอบอะไร เขามองเลยไปยังทางเดินของเขาวงกตแล้วมือที่ลูบหัวลลิตอยู่จนเพลินก็นิ่งค้าง เขาก้มหน้าแล้วพูดขึ้นมาลอยๆ “พ่อใกล้มาแม่กลับมาได้แล้วนะ”
ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เรืองริทพูดคำนี้ออกมาต่อหน้าลูกสาวตัวเอง แต่มันทำให้ลลิตสะดุ้งโหยงจนต้องผละตัวออกห่างพ่อของเขาเอง ปลายนิ้วและอกของลลิตชาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ มันเหมือนความรู้สึกตกใจระคนเศร้า มีทั้งอาการแปลกใจไปจนถึงกลัวร่วมด้วย
“อะไรนะคะ”
“ลูกคงเหงามาก แต่ลูกใกล้จะหลุดพ้นแล้วล่ะ”
ลลิตควรจะดีใจที่พ่อเธอพูดคำนี้ ถ้าไม่ได้ติดอยู่ที่ตรงที่ “แม่” ที่เรืองริทพูดถึงได้ตายจากลลิตไปหลายปีมากแล้ว เธอดีดตัวลุกขึ้นแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา ความรู้สึกโกรธ เสียใจ เศร้า ความเดียวดายที่ได้สัมผัสมานับหลายปีเริ่มถาโถมเข้ามาใส่ เธอนึกเกลียดพ่อตัวเอง ความคิดที่เคยด่าว่าพ่อตัวเองในใจที่ไม่เคยเหลียวหลังมาหาเธอเลยนับตั้งแต่แม่ตายเริ่มกลับมาอีกครั้ง “หลุดพ้นอะไรกัน หนูไมได้เหงาอะไรทั้งนั้น” ลลิตกัดริมฝีปากพูด พยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้แสดงอาการโกรธออกไป
“สิ่งเหล่านี้มันทำให้ลูกเข้มแข็งมาก พ่อดีใจ แต่ลูกสมควรที่จะได้มันคืน” มือใหญ่หนาของเรืองริทกุมรอบข้อมือของลลิต หัวใจของเธอยังคงเต้นและตกใจ เธอนึกว่าเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้จะทำให้ชายที่ชื่อ เรืองริท ลืมภรรยาของเขาได้ เรืองริทควรจะเข้มแข็งและต่อสู้เพื่อลลิต เขาควรจะเติมเต็มในส่วนที่ลลิตไม่มี แทนที่จะไปขวนขวายอะไรที่ไม่มีวันได้กลับมามาทดแทนให้ลลิต ลลิตรู้สึกผิดหวังและเกลียดชังคนตรงหน้า ยิ่งคิดอีกว่าพ่อคงต้องร้องให้ทุกคืนเหมือนแต่ก่อนเพราะคิดถึงแม่ก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดพ่อตัวเอง
“พ่อพูดอะไรกันคะ!? หนูนึกว่าพ่อจะเลิกพูดถึงเรื่องแบบนี้แล้วซะอีก”
“ลลิต ลูกไม่เข้าใจ!” น้ำเสียงของเรืองริทช่างดูกร้านจนลลิตใจเสีย
“พ่อ...” เสียงของเธอแผ่วแล้วลลิตก็โน้มตัวโอบกอดรอบคอของพ่อ เธอค่อยๆพูดออกมา “หนูไม่ได้ต้องการใครหรืออะไรทั้งนั้น หนูขอแค่พ่อคนเดียวก็พอแล้ว”
เรืองริทนิ่งเงียบไปนานมาก แต่ลลิตก็ยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น กลิ่นเสื้อที่เพิ่งรีดทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในบรรยากาศที่หนาวเหน็บและเงียบเหงา เธออยากจะกอดคอพ่อตัวเองไว้เนิ่นนาน อยากจะติดตามเขาไปทุกๆที่ อยากจะรู้ว่าพ่อเดินทางไปที่ไหนแล้วก็ขอตามไปไม่ว่าจะที่ไหน
“หนูอยากอยู่กับพ่อนะ” ลลิตพูด
แต่เรืองริทไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมาเลย คงเพราะตอนนั้นลลิตโอบกอดเขาอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้ เขาจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนทว่าเย็นชาว่า “ลูกคงไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนเดิมที่ต้องการแม่แล้ว เพื่อนๆของลูกคงทดแทนอะไรพวกนั้นได้”
“ไม่ใช่นะคะพ่อ...หนูแค่”
มือกร้านของเรืองริทปลดอ้อมแขนของลลิตออกอย่างช้าๆ เขาลุกขึ้นแล้วจ้องมองลูกสาวตัวเองด้วยแววตาที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ชั่ววินาทีนั้นแสงอาทิตย์เข้ามาสะท้อนกับกรอบแว่นบดบังแววตาของเขาไว้ “คิมหันต์เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
ลลิตนิ่งค้าง หัวใจของเธอตกวูบ เธอไม่รู้ว่าพ่อพูดถึงคิมหันต์เพราะอะไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเธอที่ขยันเดินทางไปรอบโลกรู้จักกับเพื่อนของเธอได้อย่างไร
“ออกห่างจากเขาไว้ล่ะ หมอนั่นชอบทำให้ลูกเดือดร้อนใช่มั้ย”
ลลิตก้มหน้าหลบ “ไม่ใช่นะ..คะ”
“พ่อคงต้องไปแล้ว” รอยยิ้มน้อยๆของเรืองริทปรากฏ “พ่อรักลูกนะ”
รอยจูบอุ่นๆถูกส่งเข้าที่หน้าผากของลลิต แล้วคนเป็นพ่อก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงความรู้สึกงุนงงระคนแปลกใจของลลิต เธอไม่รู้ว่าควรร้องให้หรือโกรธดี พ่อคนที่เธออยากพบว่านับหลายปีได้จากเธอไปอีกครั้ง และการพบเจอกันอันแสนสั้นก็ยิ่งทำให้หัวใจของลลิตเศร้ายิ่งกว่าเดิม เธอหยิบเอาโทเท็มมาสวมรอบคอ นึกขอบใจพลังพิเศษของเธอที่ไม่ได้ทำให้เธอรับรู้ความคิดอันคาดเดาไม่ได้ของผู้เป็นพ่อ และอาจจะทำร้ายจิตใจเธอเสียจนยับเยิน
คิมหันต์เกลียดอากาศหนาวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เสื้อกันหนาวตัวหนาถูกหยิบยกขึ้นมาสวมอีกครั้งหลังจากไมได้ถูกแตะมานาน เขาช่างเกลียดการต้องเดินออกมาในเมืองหลวงของวันที่หนาวที่สุดในรอบเดือน อารมณ์ของเขาตอนนี้ครุกรุ่นและทุกอย่างก็เริ่มขัดหูขัดตาไปเสียหมด เช่นนั้นแล้วคิมหันต์จึงเลือกที่จะเลี้ยวเข้าไปใน The Riot เพื่อหลบอากาศหนาวๆและหาอะไรอุ่นๆทานสักหน่อย
ภายในเดอะไลออธนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเช่นทุกที และวันนี้คงเป็นวันแรกที่ฝนไม่ได้ตกหนักจึงทำให้ผู้คนเริ่มมีความรู้สึอยากออกจากบ้านกันมากขึ้น คิมหันต์เพียงแต่นึกในใจว่าทำไมมันต้องเป็นวันเดียวกับที่เขาเบื่อโต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวเองด้วย
“ลาเต้ร้อนแก้วนึงฮะ” คิมหันต์สั่งกับพนักงานชงกาแฟแล้วไปนั่งรอตรงโต๊ะที่ว่างอยู่ในภายในร้านกาแฟที่ปลอดคน เขาถูฝ่ามือแล้วพ่นลมหายใจออกมา รู้สึกเย็นชาบริเวณปลายจมูกจนต้องกอดตัวเองให้แน่นขึ้นไปอีก รอไม่นานลาเต้ร้อนๆก็มาเสริฟตรงหน้าพอดี คิมหันต์ยกมันขึ้นมาจิบเบาๆอย่างไม่กลัวร้อน
สายตาของเขาทอดทะลุผ่านไปยังกระจกใสที่กั้นระหว่างร้านกาแฟกับทางเดินของห้างสรรพสินค้าสุดหรู ผู้คนมากมายนั้นช่างน่ารำคาญสายตาสำหรับคิมหันต์ เขานึกอยากจะลบคนพวกนี้ออกไปเสียให้พ้นๆสายตา แต่ทันใดนั้นอยู่ๆใครคนหนึ่งก็พลันทำให้คิมหันต์สนใจขึ้นมาเสียจนต้องเพ่งมอง
ห่างออกไปตรงบริเวณเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งพัก หญิงสาววัยรุ่นที่ดูคาดคะเนอายุยากเพราะเธอแต่งหน้าสไตล์พังก์ร็อค รอบๆดวงตาถูกเขียนด้วยมาสคาร่าหนาเตอะสีดำ ผมของเธอนั้นฟูฟ่องและแห้งกร้านเป็นสีดำดูคล้ายไม้กวาด มันถูกมัดเอาไว้อย่าวลวกๆด้วยโบสีแดงลายสก็อต ใบหน้าของเธอผู้นั้นขาวซีดราวกับไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเลยสักนิด เธอดูสวยด้วยใบหน้ารูปไข่และจมูกที่โด่งเป็นสัน ดวงตาของเธอควรจะโตและสดใสถ้าไม่ได้ถูกกลบด้วยเครื่องสำอางเกินพอดีแบบนี้
แล้วยิ่งไปกว่านั้นการแต่งตัวของเธอก็ช่างดูก้าวร้าวเหลือเกิน เพราะสายรัดหนังที่พันรอบคอของเธอมีหนามเหล็กโผล่ออกมารอบๆเหมือนที่พวกพังก์ชอบใส่กัน เธอใส่สายรัดนี้ในบริเวณอื่นๆรอบร่างกายทั้งข้อมือ ข้อเท้า ต้นแขน ทั้งยังเจาะห่วงเล็กบริเวณจมูกและหูด้วย คิมหันต์มองไม่เห็นว่าริมฝีปากของเธอเป็นสีอะไรหรือเจาะอะไรไว้หรือเปล่า เพราะเธอผู้นี้กำลังละเลงจุมพิตกับคู่ขาของเธอเองอย่างดูดดื่มชนิดที่เรียกว่าลิ้นแลกลิ้นในท่านั่งบนตักของฝ่ายชาย
คิมหันต์ยังคงจ้องมองด้วยความแปลกใจ ในใจของเขานึกรังเกียจเธอน้อยๆ เธอไม่น่าจะอายุเกิน 18 ด้วยซ้ำแต่ดันกล้าทำกริยาที่ไม่เหมาะสมต่อสายตาประชาชน คิมหันต์ยังคงมองต่อไปเพราะเขาค่อนข้างอยู่ห่างจากเธอพอสมควร
แต่ทันใดนั้นเองเด็กสาวพังก์ก็พลันผละตัวออกจากคู่ขาแล้วจ้องมองมายังคิมหันต์อย่างรวดเร็ว คิมหันต์สำลักกาแฟเพราะความตกใจพร้อมก้มหน้าหลบ เขารู้สึกชาที่ลิ้นแถมยังใจเต้นแบบแปลกๆ
และไม่นานเธอผู้นั้นก็เดินห่างจากคู่ขาตัวเองอย่างไม่แยแส พอคิมหันต์เลิกตาขึ้นมอง เธอก็เหมือนจะเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ คิมหันต์ลุกขึ้นพรวดแล้วทิ้งสตางค์ไว้บนโต๊ะแล้วเดินหนีออกจากร้านกาแฟให้เร็วที่สุด
‘...ผู้หญิงบ้าอะไรวะ คงไม่ได้มองเราหรอกมั้ง...’ คิมหันต์คิดในใจ ความกลัวและอาการที่อธิบายออกมาไม่ได้เริ่มเกาะกินจิตใจ ยิ่งนึกถึงเธอคนนั้น สามัญสำนึกก็ยิ่งเตือนว่าอยู่ให้ห่างเธอคนนั้นไว้เป็นดีที่สุด
คิมหันต์เลี้ยวหลบเข้าไปที่ซอยห้องน้ำ เขาหลบอยู่ที่นั่นสักพักเพราะเป็นมุมอับและปลอดคน แต่แล้วเด็กสาวท่าทางแปลกๆคนเมื่อครู่ก็โผล่ออกมาจากทางเดินหลักแล้วสืบเท้าเข้ามาใกล้คิมเรื่อยๆ จนเขาได้ยินเสียงโซ่ที่คล้องกระโปรงของเธออยู่สั่นกระเพื่อม
คิมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกำมีดคัตเตอร์ของเขาไว้แน่น แต่แล้วจู่ๆเขาก็ไม่อาจต้านทานความอยากรู้อยากเห็นที่ถาโถมใจตัวเองได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวคนเดิมที่ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นอยู่ข้างๆเขาเรียบร้อยแล้ว
“คิม” เธอผู้นั้นเรียก แต่คิมหันต์มั่นใจว่าเขาไม่เคยรู้จักเด็กพังก์พวกนี้มาก่อน
“เธอคือ...” แต่พอเขาเงยหน้าจ้องมอง แววตาของเด็กสาวผู้นั้นก็กลายมาเป็นคำตอบ “...แอนหรอ”
“ช่าย!” แอนยิ้มกว้าง คิมหันต์พบว่าเธอนั้นเปลี่ยนไปมาก ทั้งสวยโฉบเฉี่ยว ตาคม หน้าขาวซีด ปากซีด มีห่วงเหล็กเจาะตามจมูกและหู แถมสีผมก็ถูกย้อมให้ดำสนิทจนเห็นได้ชัด เธอไม่เหลือเค้าเด็กสาวผู้น่ารักที่ติดพี่ชายอีกต่อไปแล้ว “แอนเองค่ะคิม!”
แอนกอดรอบแขนซ้ายของคิมแล้วเข้าใกล้มากขึ้น คิมหันต์แปลกใจแต่ก็ยังใช้มือขวากำมีดคัตเตอร์ไว้ที่กระเป๋ากางเกง “ทำอะไรน่ะ...”
“แอนคิดถึงคิมจังเลย...รู้อะไรมั้ยที่ผ่านมาน่ะแอนชอบคิมขนาดไหน” มาถึงก็เริ่มเข้าประเด็น คิมหันต์เอนหลังหลบเพราะอีกฝ่ายพยายามจะโน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจ มันช่างเป็นลมหายใจที่กลิ่นเหมือนเขม่าควัน นี่แอนเป็นมังกรพ่นไฟไปแล้วหรือยังไง
“เธอไม่ใช่แอน...ใช่มั้ย แอนคงไม่ทำตัวอย่างนี้หรอก” คิมหันต์พูดเรียบๆแล้วแกะมือของ “คนที่น่าจะเป็นแอน” ออกจากแขนตัวเอง
อีกฝ่ายมุ่นคิ้วแล้วเบ้ปาก “พูดอะไรกันคิม นี่แหละแอน แอนตัวจริงเลย”
“พอเถอะ” คิมหันต์ตัดบท กระถดตัวหนีไปหนึ่งก้าว “เลิกเล่นตลกอะไรได้แล้ว เผยตัวออกมาซะ เธอต้องการอะไรกันแน่”
“ต้องการอะไรกันล่ะ ก็คิมเป็นคนมองแอนก่อนมิใช่หรือ”
“จะบอกอะไรให้นะ ยัยเด็กน่ารำคาญ ฉันไม่เคยสนใจหรือแม้แต่จะแยแสความรู้สึกหงุงหงิงของเธอเลยสักนิด ไม่แม้แต่ตอนที่เธอยังเป็นคนแล้วทำตัวน่ารำคาญกับฉัน นี่ขนาดเธอตายแล้วกลายเป็นผียังน่ารำคาญไม่เปลี่ยนเลย หัดรู้ตัวซะบ้างว่าที่พี่ชายเธอต้องมาตายก็เพราะเธอเองนั่นแหละ”
เงียบงันชั่วขณะ แล้วลมหายใจหน่วงๆของแอนก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะหนักๆและทรงพลัง เธอแผดเสียงลั่น มันเป็นเสียงหัวเราะของคนสองคนที่ไม่อาจแยกออกว่าชายหรือหญิง เสียงนั้นซ้อนทับกันราวกับว่าเป็นเสียงเดียวกันแต่ก็ไม่ใช่ มันช่างดูเหือดแห้งและน่ากลัว คิมหันต์กรีดมีตคัตเตอร์ออกมาจากด้ามจับทันที “โถๆๆๆ! นี่หรือคือความรู้สึกของคนที่เด็กนี่รักนักรักหนา ช่างเย็นชาแล้วร่วนราวกับดิน ถ้ามันมาได้ยินเข้ากับหูตัวเองคงจะเจ็บปวดราวกับถูกไฟเผากลางอก แต่ก็เอาเถิด...เจ้าหนู แกใจดำใช้ได้ ใจดำอย่างกับไม่ใช่มนุษย์แน่ะ” เสียงของปีศาจพูดในร่างของคนที่เคยเป็นแอน
“หึ!” คิมหันต์แค่นหัวเราะ “อย่างแกคงพูดแบบนี้ไม่ถูกเสียทีเดียวละมั้ง ปีศาจ”
“ฉันคือ แอสโมดิวส์ ยินดีที่ได้รู้จัก” มันยื่นมือออกมาข้างหน้า คงหวังให้คิมหันต์สัมผัสตอบ
“ขืนเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันจะเสียบแกให้ทะลุ” คิมหันต์ยื่นคำขาด แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อ
“โถ่ใจดำจริงจริ๊ง! ตั้งแต่คำพูดแร้งน้ำใจเมื่อกี้นี้แล้ว แกนี่มันเคยรักใครบ้างหรือเปล่าน้า” แอสโมดิวส์พูด
“ก็มีบ้าง แต่หนึ่งในนั้นคงไม่ใช่แก อ้อแล้วก็ถ้าฉันไม่พูดคำพูดเมื่อกี้ออกมา แกก็คงไม่แสดงตัวออกมาหรอกใช่มั้ย?”
“ฮะฮะฮะ แต่นั่นคงเป็นความในใจของแกต่อเด็กคนนี้ใช่มั้ยล่ะ ฉันดูออกนะ” มันบอก แต่คิมหันต์ได้แต่จ้องมันชนิดที่ว่าถ้ามันขยับเข้ามาใกล้อีกนิด เขาก็พร้อมจะเสียบมันด้วยหอกแห่งชะตากรรมให้สลายหายไปแบบเบลเซบับ
"แกต้องการอะไร!” ถ้อยคำถูกเน้นให้ชัดเจนขึ้นจากปากของคิมหันต์ เจ้าปีศาจแสยะยิ้มแล้วหัวเราะแห้งๆ
“ก็ไม่อะไรมาก ฉันไม่ใช่ปีศาจสวะๆที่ยอมทำงานให้มนุษย์อย่างพวกแกเพื่อแลกข้าวกินแบบเบลเซบับมันหรอก ฉันแค่จะหาอะไรทำสนุกๆนิดหน่อย ก็อย่างที่รู้ฉันน่ะปีศาจแห่งราคะ ราคะก็คือความรักใช่มั้ยล่ะ? เห็นอย่างนี้ฉันก็รักมนุษย์อย่างพวกแกเหมือนกันน้า! แถมฉันก็ไม่ชอบถูกปลุกขึ้นมาเพื่อรับใช้ใครด้วย เอาเป็นว่าฉันยังไม่อยากเห็นพวกแกถูกฆาตกรรมหมู่ครั้งใหญ่ ก็เลย...มีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”
“ฆาตกรรมหมู่?” คิมหันต์ทวนคำ “พูดเหมือนแกรู้อะไรเลย”
“ก็รู้น่ะซี่! แต่ไว้ฉันจะบอกแกเมื่อแกรับข้อเสนอของฉัน และข้อเสนอที่ว่าก็คือ...” มันเข้ามาใกล้คิมหันต์แล้วฉีกยิ้มใส่ “...ฉันจะกลายมาเป็นผู้นำของพวกแก และฉันจะหยุดการฆาตกรรมหมู่ที่ว่านั่นให้ แลกกับ....”
“แลกอะไร” คิมหันต์ถามห้วนๆ
“ไม่แลกกับอะไรเลย เพราะฉันไม่อยากได้อะไร” ว่าจบแอสโมดิวส์ก็แผดเสียงหัวเราะราวกับว่านั่นเป็นมุขตลกที่ขำมาก แต่คิมหันต์ไม่ขำด้วยเขาเลยกระชากสายรัดหนังติดหนามบนลำคอของมันแล้วจ่อหอกแห่งชะตากรรมที่เรืองแสงจนใบมิดกดเข้าที่ผิวหนัง
“บอกมาสักเหตุผลสิว่าทำไมฉันไม่ปาดคอแกให้ตายๆไปซะ! มันจะไม่ดีกว่าหรือถ้าฉันฆ่าแกแล้วขัดขวางแผนการณ์ของพวกนั้นซะเองน่ะ”
แอสโมดิวส์ไม่ได้มีอาการหวาดกลัวเลยสักนิด มันแค่ฉีกยิ้มแล้วพูด”ก็เพราะว่าแกต้องพึ่งฉัน...”
ฉัวะ! ไม่ทันว่าจบ ใบมีดคมกริบของมีดคัตเตอร์ก็เฉือนผ่านคอหอยของปีศาจแห่งราคะ เลือดสีดำราวกับน้ำมันดิบสาดกระจายเต็มบริเวณ แล้วร่างของปีศาจร้ายก็แตกกระจายเป็นฝุ่นควันสีดำเมื่อมคลุ้งไปทั่วบริเวณ
“ฮ่าๆๆๆๆๆ!” แม้มันจะไม่มีร่างเนื้อ แต่มันก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่นอยู่ดี “ถึงแกจะฆ่าฉันด้วยหอกแห่งชะตากรรมนั่น แต่ฉันก็แค่ถูกผนึกไปสักพักเท่านั้นเอง ไม่นานฉันจะกลับมาคืนชีพใหม่ และเป็นเช่นนี้เรื่อยๆตราบที่มนุษย์ยังเปี่ยมไปด้วยราคะ! แกไม่มีวันกำจัดฉันได้โดยสิ้นเชิง ฉันจะให้เวลาแกลองคิดดู แกจำเป็นต้องพึ่งฉัน! อ้อแล้วคราวหน้าที่เราเจอกัน ฉันจะทำให้แกได้ตระหนักถึงความโหดร้ายของราคะที่จะซึมลึกเข้าไปถึงไขสันหลังแกเลยละ!”
แล้วควันสีดำก็หายไป คิมหันต์ถูกทิ้งไว้ในทางเดินเปลี่ยวๆหน้าห้องน้ำที่เหมือนกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน
กวีใช้เวลาหน้าคอมพ์ตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มของเมื่อคืนนี้ จวบจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่ เขายังคงสืบค้นหาที่มาของเว็ปปริศนาที่เขาไปค้นพบเข้าโดยบังเอิญ เว็ปนี้เรียกกันว่า ‘สมาพันธ์เทวทูต’ มันเป็นเว็ปไซต์ที่ถูกส่งต่อโดยลัทธิผู้ที่คลั่งไคล้ในคัมภีร์มรณะเมื่อสองสามวันมานี้ มันเป็นเว็ปไซต์สีขาวปลอดที่ไม่มีข้อความอันใดปรากฏอยู่เลยนอกจากคำว่า “จงอ้อนวอนจนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะได้ฟังคำร้องขอของเจ้า” มาเนิ่นนานแล้ว สาบานได้ว่าเขาจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นมาหลายต่อหลายชั่วโมงแล้ว นึกในใจให้มันปรากฏข้อความบางอย่างขึ้นมา
“พระเจ้าหรอ ถ้าแกเจ๋งจริง ทำให้ฉันเห็นหน่อยเป็นไง”
และทันใดนั้นเอง ราวกับมีใครที่แอบฟังกวีอยู่ ข้อความบนเว็ปพลันเปลี่ยนแปลงไป
‘จงรับการทดสอบจากพระผู้เป็นเจ้า’
รอไม่นานข้อความก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ‘เจ้าเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ จงตอบคำถามในใจของเจ้าเอง’
กวีเม้มปากแล้วนึกในใจว่า “ไร้สาระ”
‘เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ... และอะไรกันที่ทำให้เจ้าเข้ามาในนี้’
กวีนึกในใจว่าข้อความตอบรับอัตโนมัติของเว็ปไซต์นี้ฉลาดพอดู แต่ไม่มีอิเล็กทรอนิกใดบนโลกที่สวมรอยทำตัวเป็นพระเจ้าได้โดยแท้จริงหรอก เขาจึงนึกในใจว่า “เพื่อลองดีกับแกยังไงล่ะ”
‘ความคิดโอหังของเจ้ากำลังทำให้ตัวเองมืดบอดมนุษย์เอ๋ย ข้าคือพระผู้เป็นเจ้า ข้าเข้าถึงจิตใจอันลึกล้ำที่สุดของเจ้า เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลา ลาก่อน เจ้าจะไม่มีวันได้รับโอกาสเช่นนี้อีกต่อไป’
กวีนิ่งค้างและข้อความตรงหน้าก็ค่อยๆเลือนหายไป จริงอยู่ที่เขาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่ากวีตกใจพอสมควรกับข้อความเหล่านั้น เขารีบคิดในใจทันทีเพื่อไม่ให้อะไรก็ตามที่เขากำลังสื่อสารอยู่หายไป
“แกเป็นใคร” กวีคิด
‘จงอย่าสงสัยในตัวตนแห่งพระผู้เป็นเจ้า แล้วเจ้าล่ะคือใคร? มีสิทธิ์อะไรมาตั้งคำถามต่อข้า’
“ถ้าแกเก่งจริง ก็ต้องรู้สิว่าฉันคือใคร”
‘อย่าได้ท้าทายให้ข้าลอง ข้ารู้ ข้ารู้ถึงความลับที่ลึกที่สุดของเจ้า อะไรอยู่ในหัวเจ้าตอนนี้กันนะ’
กวีไม่อาจต้านทานความคิดตัวเองได้ เขาพยายามปิดกั้นไม่ให้ความคิดตัวเองทะลักออกมาในตอนนี้ พยายามไม่นึกภาพใคร พยายามนึกเรื่องต่างๆในสมองเพื่อกลบเกลื่อน ถ้าหากอีกฝ่ายสามารถอ่านใจได้จริง แล้วเกิดรู้ความลับในสมองเขาได้ ทุกเรื่องจะเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น
‘ลลิตา คิมหันต์ หรือ? เจ้าเปิดเผยมากเกินไปแล้วเด็กเอ๋ย จงอย่าได้ท้าทายข้าอีกเป็นครั้งที่สอง มิเช่นนั้นบุคคลในสมองของเจ้าจะถูกลงทัณฑ์ตามเจ้าไปด้วย ลาก่อนตลอดกาลนะ กวี เซ็นเควอเรียล’
แล้วเว็ปไซต์ปริศนาก็ปิดตัวเองมันเองลง ทิ้งไว้แต่เพียงความว่างเปล่า และศัตรูที่กวีไม่อาจจะสู้ได้เลย...
ความคิดเห็น