ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #25 : ChapT23 ("After Rain;") ; นครแห่งฝน

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 56


    ท้องฟ้าที่ยังคงมืดครึ้มแม้เวลาจะแตะหัววันแล้วช่างเป็นการปลุกที่เย็นชา  หน้าหนาวเข้ามาถึงในไม่กี่วันหลังจากที่พายุลูกสุดท้ายได้หอบเอาเรื่องหนักอึ้งผ่านไป  อหิวาตกโรคที่ระบาดทั่วเมืองกรุงได้รับการเยียวยาและทุเลาลงเรื่อยๆ  สายฝนไม่ได้ทำให้ทุกๆอย่างสกปรกอีกต่อไปแล้ว 

    จนกระทั่งวันเปิดเรียนที่ล่าช้าได้เข้ามาถึงในที่สุดหลังจากสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจได้ผ่านพ้นไป  กำหนดการณ์ที่ถูกเลื่อนก็เริ่มกลับมาเข้าที่  โรงเรียนวิชญ์วิชาวิทยาที่ลลิตเรียนอยู่นั้นได้เอาวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้เป็นวันเปิดเรียน  นักเรียนหลายๆคนที่ได้แต่หลบกายอยู่ในสายฝนตลอดหลายเดือนมานี้ได้กลับไปยังสถานที่ที่แสนเบื่อหน่ายเช่นเดิม

    วิธีการดำเนินชีวิตที่เรียบเฉยทว่าสุขสบายนั้นทำให้ลลิตรู้สึกดีขึ้นมาก  เธอรักความสงบ  การที่ไม่มีเรื่องเดือดร้อนเข้ามาในชีวิตเป็นสิ่งที่เธอคิดถึง  และเธอยังรู้สึกอุ่นใจอยู่ตลอดที่ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้นมาในหัวเธอโดยไม่ได้รับอนุญาติแล้ว  ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะใช้วันแรกของการเปิดเรียนเป็นวันขอบคุณตัวเอง

    ทันทีที่เธอก้าวท้าวออกจากคอนโดมิเนียมของตัวเอง  อากาศหนาวก็เข้ามาจู่โจมจนทำเอาเธอต้องเดินกลับไปหาเสื้อหนาๆมาสวมทับอีกตัวหนึ่ง  และเมื่อเธอเดินลงมาข้างล่าง  เสียงจากเมืองหลวงอันครึกครื้นก็กล่าวต้อนรับเธอเป็นอย่างแรก

    ...ผู้ป่วยอหิวาตกโรคที่ระบาดเมื่อสองสามวันก่อนได้รับการรักษา  จากรายงานยังไม่มีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าว  ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพในระหว่างนี้ด้วยค่ะ...

    ...เปิดเทอมวันแรกของเมืองหลวง  นักเรียนมากมายหลั่งใหลพร้อมใจกันไปโรงเรียนอย่างครึกครื้น  เมืองหลวงของเราผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความอึมครึมไปแล้ว...

    ...สุขอนามัยของมหานครกำลังดีดตัวสูงขึ้น  ทุกคนเริ่มสุขภาพแข็งแรง...

    ...อากาศหนาวที่ทุกคนคิดถึงกำลังกลับมา...

    เสียงจากโทรทัศน์ที่ล็อบบี้ของคอนโดมิเนียมเปิดทิ้งเอาไว้ดังเข้ามาต้อนรับลลิต  เธอยิ้มน้อยๆให้กับเรื่องราวที่ได้ยินแล้วเดินผ่านพ้นจากบริเวณนั้นไป

     

    มาหยุดอยู่ที่ The Maze สวนสาธารณะที่ถูกตกแต่งให้เป็นเขาวงกต  ซึ่งบัดนี้มันไม่ได้มีฝนปกคลุมอย่างทุกที  ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณนี้กลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่ปรากฏตัวพร้อมกับเสื้อกันหนาวของตัวเองหรือสุนัขคู่ใจ  ภาพเหล่านี้ทำให้ลลิตหวนคิดถึงวันเก่าๆและสวนสาธารณะนี้ 

    เธอเดินมาหยุดอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมที่เคยมานั่งกับกวี  นั่งลงค่อยๆแล้วเอนแผ่นหลังพิงพนักเย็นๆของเก้าอี้  ไอเย็นแผ่ซ่านทั่วร่างกาย  อากาศบริสุทธิ์ที่ไหลผ่านปอดกำลังทำให้ความเครียดเก่าๆมลายหายไป  เธอไม่แม้แต่จะต้องคิดถึงใคร  แอน  จิตติ  กวี  หรือคิมหันต์  เรียกง่ายๆว่าในสมองเธอไม่มีความคิดตกค้างอยู่เลยด้วยซ้ำ

    แมกไม้เบื้องบนเอนไหวเบาๆตามสายลมยามเช้า  แดดอ่อนๆที่ส่องผ่านร่มเงาของไม้มาช่างทำให้บริเวณนี้ดูราวกับสวรรค์  ลลิตอยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ไปตลอดกาล  แต่อะไรบางอย่างในใจก็ดูเหมือนจะผุดขึ้นมาในความคิดจนทำให้เธอรู้สึกเจ็บแปลบเหมือนโดนเข็มทิ่มตรงอก

    ไม่ได้ทิ่มจริงๆทว่าความเจ็บปวดนั้นช่างใกล้เคียง  แอน  จิตติ  สองพี่น้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกลับต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องที่เธอก่อ  ถ้าวันนั้นเธอไม่ตามกวีไปเพราะความลับที่เธอไม่อยากให้ใครบนโลกรู้  ถ้าวันนั้นเธอไม่เข้าไปคุยกับคิมหันต์  เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิด  บางทีสิ่งต่างๆเหล่านี้อาจจะไปเกิดกับคนอื่น  แล้วคนที่ต้องหายไปก็คงไม่ต้องเป็นแอนหรือว่าจิตติ

    ลลิตมั่นใจว่าคนในสวนสาธารณะเริ่มเบาบางลงแล้วเธอจึงมีความคิดบางอย่างที่อยากจะจัดการกับพลังพิเศษที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ของเธอ  เธอหวังว่าเธอจะใช้พลังนี้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนอีกสองคนของเธอกับการตามคืนคัมภีร์มรณะ  แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้มีโอกาสใช้มันได้เท่าที่ควร  เธอควรจะแข็งแกร่งกว่านี้  มีประโยชน์กว่านี้  บางทีถ้าเธอตั้งใจกับมันมากขึ้นคิมหันต์  หรือกวีอาจจะไม่ต้องเฉียดตาย  บางทีถ้าเธอฉลาดพอแอนและจิตติอาจจะไม่ต้องพบเจอเรื่องอย่างนี้

    ทันทีที่สร้อยเย็นๆเลื่อนผ่านศีรษะของลลิตออกมา  เสียงความคิดของผู้คนดังเอื่อยๆเข้ามาในหูของเธอ  ทว่าคราวนี้มันเงียบกว่าครั้งก่อนๆ  อาจเพราะผู้คนที่เบาบางหรือว่าเธอสามารถจูนตัวเองให้รับกับพลังนี้ของเธอได้มากขึ้นก็ไม่ทราบ  แต่ที่แน่ๆเธอรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม

    ลลิตลองหลับตาลงพร้อมตั้งสมาธิ  เธอยังคงได้ยินเสียงของใครก็ไม่ทราบกระซิบใส่เธอพร้อมๆกัน  เธอลองเงี่ยหูฟังเสียงเหล่านั้นอย่างตั้งใจ  เธอไม่รู้ว่าตัวเองสามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างไร  แต่มันก็ดูคล้ายกับการจูนคลื่นวิทยุ  คือต้องตั้งใจและละเอียดอ่อน  

    ไม่นานเสียงหลายๆเสียงก็ค่อยๆเบาลง  ลลิตได้ยินเสียงความคิดของใครสักคนเพียงเสียงเดียวแล้ว  นั่นจึงเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างดีกับการควบคุมอำนาจอ่านใจคน  ลลิตเปลี่ยนสมาธิให้ไกลออกไปอีกหน่อย  เธอรู้สึกว่าสติตัวเองเหมือนเริ่มขาดๆหายๆมากขึ้น  และรู้ดีแน่ว่าถ้าหากเธอเพ่งสมาธิออกไปไกลกว่านี้  คงจะเป็นผลดีมากกว่าผลร้าย  ทางที่ดีเธอควรจะลองจากรัศมีที่ใกล้กว่านี้อีกหน่อย

    แต่ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ปลุกลลิตจากห้วงสมาธิ “ทำอะไรอยู่เอ่ยลูกรัก”

    สายตาอ่อนโยนใต้กรอบแว่นเหลี่ยมๆมองมาที่ลลิต  สายตาของลลิตเลิกขึ้นแล้วหัวใจของเธอก็ตกวูบ  ไม่ใช่เพราะความตกใจแต่ทว่ามันคือความใจหาย  เนิ่นนานเท่าไหร่แล้วที่ลลิตไม่ได้พบกับพ่อแท้ๆของเธอเอง “เรืองริท”  มือของเธอสั่นทว่ามันกลับรู้สึกอุ่นคล้ายได้กับวางมือในแสงอาทิตย์อ่อนๆยามเช้าที่เหน็บหนาว  ผมสีดำที่เริ่มมีสีขาวสลับมาเล็กน้อยของชายผู้นี้ช่างดูภูมิฐานและใจดี  เขาปรากฏตัวในเสื้อเชิร์ตสีชมพูสบายๆกับกางเกงขายาวสีดำ  รอยย่นน้อยๆบนใบหน้าที่เพิ่มเข้ามานิดหน่อยยิ่งทำให้ลลิตรู้สึกถึงความเนิ่นนานที่ไม่ได้พบกับพ่อของเธอเอง  ถ้าบวกลบเวลาที่เธอไม่ได้อยู่กับพ่อแล้ว  ตอนนี้พ่อก็คงอายุสักสี่สิบกว่าๆเห็นจะได้  เธอใช้เวลารวบรวมสติสักสองสามวินาทีแล้วจึงรำพึง “พ่อ”

    “พ่อคิดถึงลูกนะ” แล้วเรืองริทก็นั่งลงข้างๆลูกสาวอย่างเป็นกันเอง  มือขวาของเขาเอื้อมผ่านบ่าของลลิตแล้วโอบให้ลูกสาวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนได้กลิ่นเสื้อรีดใหม่ๆกับลมหายใจหอมๆของยาอม “สบายดีมั้ยล่ะเราน่ะ”

    ลลิตยิ้มน้อยๆไม่กล้าสบตาพ่อตัวเอง  แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  บรรยากาศเก่าๆ  ความทรงจำเก่าๆหวนคืนมา  ถ้าแม่อยู่อีกคนด้วยล่ะก็  ทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบ “ก็สบายดีนะคะ”

    “สบายดีจริงทำไมไม่ยอมไปโรงเรียนล่ะเราน่ะ” คนเป็นพ่อแซวเข้าให้  แต่ลลิตหัวเราะเบาๆแล้วตอบ

    “ก็ยังรู้สึกว่ายังพักไม่พอเลยนี่คะ  แหะๆ  พ่อล่ะ  วันนี้ทำไมไม่ไปทำงานหรอ” ลลิตถามกลับ  เธอช้อนสายตาขึ้นมองพ่อตัวเอง

    “อืมม์” เรืองริทครางในลำคอ “พ่อคิดถึงเราน่ะสิก็เลยลางานมาหา  ตอนแรกพ่อว่าจะไปหาเราที่โรงเรียนแล้วพามาเดินเล่นที่นี่ซักหน่อย  แต่พ่อเจอเราที่นี่ล่ะก็ดีแล้ว”

    “บังเอิญจังนะคะ  วันนี้หนูเองก็อยากมาที่นี่เหมือนกัน”

    “เงินที่พ่อส่งให้พอใช้มั้ย” เรืองริทถาม

    “พอค่ะ  เหลือเลยล่ะ”

    “แล้วห้องพักเราล่ะอยู่ได้ไม่คับแคบไปนะ”

    “พ่อคะ  หนูยังยืนกรานให้พ่อเปลี่ยนที่อยู่หนูให้มันถูกกว่านี้หน่อย  คอนโดนั้นมันแพงเกินไป  พ่อคงลำบากแย่เลย  หนูยอมไปอยู่หอถูกๆเพื่อที่พ่อจะได้ทำงานน้อยลงแล้วกลับมาหาหนูมากขึ้น”

    “ฮะฮะ  เหมือนว่าพ่อคงทำงานน้อยลงไม่ได้หรอก  ถ้าเพื่อลูกล่ะนะ” เรืองริทลูบศีรษะลลิตพลางหัวเราะร่วน

    “อย่าหักโหมนะคะพ่อ” ลลิตเอนกายชิดผู้เป็นพ่อมากขึ้นอีก “ผ่อนคลายบ้างนะ  อย่าเครียด  กลับมาหาหนูบ่อยๆ”

    ค่อนข้างใจหายทว่าลลิตก็ได้พูดในสิ่งที่อยากพูดมาหลายปีแล้ว  ที่เหลือก็แค่รอให้ผู้เป็นพ่อได้รับฟังและเก็บไปคิดบ้าง  คำเหล่านี้ของลลิตค่อนข้างมีความหมาย  เธอหวังไว้มากว่าผู้เป็นพ่อจะรับฟังและรับรู้ว่าที่ผ่านมาเธอต้องการพ่อมากเพียงใด

    แต่เรืองริทไม่ได้ตอบอะไร  เขามองเลยไปยังทางเดินของเขาวงกตแล้วมือที่ลูบหัวลลิตอยู่จนเพลินก็นิ่งค้าง  เขาก้มหน้าแล้วพูดขึ้นมาลอยๆ “พ่อใกล้มาแม่กลับมาได้แล้วนะ”

    ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เรืองริทพูดคำนี้ออกมาต่อหน้าลูกสาวตัวเอง  แต่มันทำให้ลลิตสะดุ้งโหยงจนต้องผละตัวออกห่างพ่อของเขาเอง  ปลายนิ้วและอกของลลิตชาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้  มันเหมือนความรู้สึกตกใจระคนเศร้า  มีทั้งอาการแปลกใจไปจนถึงกลัวร่วมด้วย

    “อะไรนะคะ”

    “ลูกคงเหงามาก  แต่ลูกใกล้จะหลุดพ้นแล้วล่ะ”

    ลลิตควรจะดีใจที่พ่อเธอพูดคำนี้  ถ้าไม่ได้ติดอยู่ที่ตรงที่ “แม่” ที่เรืองริทพูดถึงได้ตายจากลลิตไปหลายปีมากแล้ว  เธอดีดตัวลุกขึ้นแล้วมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา  ความรู้สึกโกรธ  เสียใจ  เศร้า  ความเดียวดายที่ได้สัมผัสมานับหลายปีเริ่มถาโถมเข้ามาใส่  เธอนึกเกลียดพ่อตัวเอง  ความคิดที่เคยด่าว่าพ่อตัวเองในใจที่ไม่เคยเหลียวหลังมาหาเธอเลยนับตั้งแต่แม่ตายเริ่มกลับมาอีกครั้ง  “หลุดพ้นอะไรกัน  หนูไมได้เหงาอะไรทั้งนั้น” ลลิตกัดริมฝีปากพูด  พยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้แสดงอาการโกรธออกไป

    “สิ่งเหล่านี้มันทำให้ลูกเข้มแข็งมาก  พ่อดีใจ  แต่ลูกสมควรที่จะได้มันคืน” มือใหญ่หนาของเรืองริทกุมรอบข้อมือของลลิต  หัวใจของเธอยังคงเต้นและตกใจ   เธอนึกว่าเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้จะทำให้ชายที่ชื่อ เรืองริท ลืมภรรยาของเขาได้  เรืองริทควรจะเข้มแข็งและต่อสู้เพื่อลลิต  เขาควรจะเติมเต็มในส่วนที่ลลิตไม่มี  แทนที่จะไปขวนขวายอะไรที่ไม่มีวันได้กลับมามาทดแทนให้ลลิต  ลลิตรู้สึกผิดหวังและเกลียดชังคนตรงหน้า  ยิ่งคิดอีกว่าพ่อคงต้องร้องให้ทุกคืนเหมือนแต่ก่อนเพราะคิดถึงแม่ก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดพ่อตัวเอง

    “พ่อพูดอะไรกันคะ!?  หนูนึกว่าพ่อจะเลิกพูดถึงเรื่องแบบนี้แล้วซะอีก”

    “ลลิต  ลูกไม่เข้าใจ!” น้ำเสียงของเรืองริทช่างดูกร้านจนลลิตใจเสีย

    “พ่อ...” เสียงของเธอแผ่วแล้วลลิตก็โน้มตัวโอบกอดรอบคอของพ่อ เธอค่อยๆพูดออกมา “หนูไม่ได้ต้องการใครหรืออะไรทั้งนั้น  หนูขอแค่พ่อคนเดียวก็พอแล้ว”

    เรืองริทนิ่งเงียบไปนานมาก  แต่ลลิตก็ยังคงกอดเขาเอาไว้แน่น  กลิ่นเสื้อที่เพิ่งรีดทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในบรรยากาศที่หนาวเหน็บและเงียบเหงา  เธออยากจะกอดคอพ่อตัวเองไว้เนิ่นนาน  อยากจะติดตามเขาไปทุกๆที่  อยากจะรู้ว่าพ่อเดินทางไปที่ไหนแล้วก็ขอตามไปไม่ว่าจะที่ไหน 

    “หนูอยากอยู่กับพ่อนะ” ลลิตพูด

    แต่เรืองริทไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมาเลย  คงเพราะตอนนั้นลลิตโอบกอดเขาอยู่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้  เขาจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนทว่าเย็นชาว่า “ลูกคงไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนเดิมที่ต้องการแม่แล้ว  เพื่อนๆของลูกคงทดแทนอะไรพวกนั้นได้”

    “ไม่ใช่นะคะพ่อ...หนูแค่”

    มือกร้านของเรืองริทปลดอ้อมแขนของลลิตออกอย่างช้าๆ  เขาลุกขึ้นแล้วจ้องมองลูกสาวตัวเองด้วยแววตาที่ไม่แสดงอารมณ์ใด  ชั่ววินาทีนั้นแสงอาทิตย์เข้ามาสะท้อนกับกรอบแว่นบดบังแววตาของเขาไว้ “คิมหันต์เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

    ลลิตนิ่งค้าง  หัวใจของเธอตกวูบ  เธอไม่รู้ว่าพ่อพูดถึงคิมหันต์เพราะอะไร  และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเธอที่ขยันเดินทางไปรอบโลกรู้จักกับเพื่อนของเธอได้อย่างไร

    “ออกห่างจากเขาไว้ล่ะ  หมอนั่นชอบทำให้ลูกเดือดร้อนใช่มั้ย”

    ลลิตก้มหน้าหลบ “ไม่ใช่นะ..คะ”

    “พ่อคงต้องไปแล้ว” รอยยิ้มน้อยๆของเรืองริทปรากฏ “พ่อรักลูกนะ”

    รอยจูบอุ่นๆถูกส่งเข้าที่หน้าผากของลลิต  แล้วคนเป็นพ่อก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงความรู้สึกงุนงงระคนแปลกใจของลลิต  เธอไม่รู้ว่าควรร้องให้หรือโกรธดี  พ่อคนที่เธออยากพบว่านับหลายปีได้จากเธอไปอีกครั้ง  และการพบเจอกันอันแสนสั้นก็ยิ่งทำให้หัวใจของลลิตเศร้ายิ่งกว่าเดิม  เธอหยิบเอาโทเท็มมาสวมรอบคอ  นึกขอบใจพลังพิเศษของเธอที่ไม่ได้ทำให้เธอรับรู้ความคิดอันคาดเดาไม่ได้ของผู้เป็นพ่อ  และอาจจะทำร้ายจิตใจเธอเสียจนยับเยิน

     
     

    คิมหันต์เกลียดอากาศหนาวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด  เสื้อกันหนาวตัวหนาถูกหยิบยกขึ้นมาสวมอีกครั้งหลังจากไมได้ถูกแตะมานาน  เขาช่างเกลียดการต้องเดินออกมาในเมืองหลวงของวันที่หนาวที่สุดในรอบเดือน  อารมณ์ของเขาตอนนี้ครุกรุ่นและทุกอย่างก็เริ่มขัดหูขัดตาไปเสียหมด  เช่นนั้นแล้วคิมหันต์จึงเลือกที่จะเลี้ยวเข้าไปใน The Riot เพื่อหลบอากาศหนาวๆและหาอะไรอุ่นๆทานสักหน่อย

    ภายในเดอะไลออธนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเช่นทุกที  และวันนี้คงเป็นวันแรกที่ฝนไม่ได้ตกหนักจึงทำให้ผู้คนเริ่มมีความรู้สึอยากออกจากบ้านกันมากขึ้น  คิมหันต์เพียงแต่นึกในใจว่าทำไมมันต้องเป็นวันเดียวกับที่เขาเบื่อโต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวเองด้วย

    “ลาเต้ร้อนแก้วนึงฮะ” คิมหันต์สั่งกับพนักงานชงกาแฟแล้วไปนั่งรอตรงโต๊ะที่ว่างอยู่ในภายในร้านกาแฟที่ปลอดคน  เขาถูฝ่ามือแล้วพ่นลมหายใจออกมา  รู้สึกเย็นชาบริเวณปลายจมูกจนต้องกอดตัวเองให้แน่นขึ้นไปอีก  รอไม่นานลาเต้ร้อนๆก็มาเสริฟตรงหน้าพอดี  คิมหันต์ยกมันขึ้นมาจิบเบาๆอย่างไม่กลัวร้อน

    สายตาของเขาทอดทะลุผ่านไปยังกระจกใสที่กั้นระหว่างร้านกาแฟกับทางเดินของห้างสรรพสินค้าสุดหรู  ผู้คนมากมายนั้นช่างน่ารำคาญสายตาสำหรับคิมหันต์  เขานึกอยากจะลบคนพวกนี้ออกไปเสียให้พ้นๆสายตา  แต่ทันใดนั้นอยู่ๆใครคนหนึ่งก็พลันทำให้คิมหันต์สนใจขึ้นมาเสียจนต้องเพ่งมอง

    ห่างออกไปตรงบริเวณเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งพัก  หญิงสาววัยรุ่นที่ดูคาดคะเนอายุยากเพราะเธอแต่งหน้าสไตล์พังก์ร็อค  รอบๆดวงตาถูกเขียนด้วยมาสคาร่าหนาเตอะสีดำ  ผมของเธอนั้นฟูฟ่องและแห้งกร้านเป็นสีดำดูคล้ายไม้กวาด  มันถูกมัดเอาไว้อย่าวลวกๆด้วยโบสีแดงลายสก็อต  ใบหน้าของเธอผู้นั้นขาวซีดราวกับไม่มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเลยสักนิด  เธอดูสวยด้วยใบหน้ารูปไข่และจมูกที่โด่งเป็นสัน  ดวงตาของเธอควรจะโตและสดใสถ้าไม่ได้ถูกกลบด้วยเครื่องสำอางเกินพอดีแบบนี้ 

    แล้วยิ่งไปกว่านั้นการแต่งตัวของเธอก็ช่างดูก้าวร้าวเหลือเกิน  เพราะสายรัดหนังที่พันรอบคอของเธอมีหนามเหล็กโผล่ออกมารอบๆเหมือนที่พวกพังก์ชอบใส่กัน  เธอใส่สายรัดนี้ในบริเวณอื่นๆรอบร่างกายทั้งข้อมือ  ข้อเท้า  ต้นแขน  ทั้งยังเจาะห่วงเล็กบริเวณจมูกและหูด้วย  คิมหันต์มองไม่เห็นว่าริมฝีปากของเธอเป็นสีอะไรหรือเจาะอะไรไว้หรือเปล่า  เพราะเธอผู้นี้กำลังละเลงจุมพิตกับคู่ขาของเธอเองอย่างดูดดื่มชนิดที่เรียกว่าลิ้นแลกลิ้นในท่านั่งบนตักของฝ่ายชาย

    คิมหันต์ยังคงจ้องมองด้วยความแปลกใจ  ในใจของเขานึกรังเกียจเธอน้อยๆ  เธอไม่น่าจะอายุเกิน 18 ด้วยซ้ำแต่ดันกล้าทำกริยาที่ไม่เหมาะสมต่อสายตาประชาชน  คิมหันต์ยังคงมองต่อไปเพราะเขาค่อนข้างอยู่ห่างจากเธอพอสมควร 

    แต่ทันใดนั้นเองเด็กสาวพังก์ก็พลันผละตัวออกจากคู่ขาแล้วจ้องมองมายังคิมหันต์อย่างรวดเร็ว  คิมหันต์สำลักกาแฟเพราะความตกใจพร้อมก้มหน้าหลบ  เขารู้สึกชาที่ลิ้นแถมยังใจเต้นแบบแปลกๆ

    และไม่นานเธอผู้นั้นก็เดินห่างจากคู่ขาตัวเองอย่างไม่แยแส  พอคิมหันต์เลิกตาขึ้นมอง  เธอก็เหมือนจะเดินเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆ  คิมหันต์ลุกขึ้นพรวดแล้วทิ้งสตางค์ไว้บนโต๊ะแล้วเดินหนีออกจากร้านกาแฟให้เร็วที่สุด

    ...ผู้หญิงบ้าอะไรวะ   คงไม่ได้มองเราหรอกมั้ง...คิมหันต์คิดในใจ  ความกลัวและอาการที่อธิบายออกมาไม่ได้เริ่มเกาะกินจิตใจ  ยิ่งนึกถึงเธอคนนั้น  สามัญสำนึกก็ยิ่งเตือนว่าอยู่ให้ห่างเธอคนนั้นไว้เป็นดีที่สุด

    คิมหันต์เลี้ยวหลบเข้าไปที่ซอยห้องน้ำ  เขาหลบอยู่ที่นั่นสักพักเพราะเป็นมุมอับและปลอดคน  แต่แล้วเด็กสาวท่าทางแปลกๆคนเมื่อครู่ก็โผล่ออกมาจากทางเดินหลักแล้วสืบเท้าเข้ามาใกล้คิมเรื่อยๆ  จนเขาได้ยินเสียงโซ่ที่คล้องกระโปรงของเธออยู่สั่นกระเพื่อม

    คิมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกำมีดคัตเตอร์ของเขาไว้แน่น  แต่แล้วจู่ๆเขาก็ไม่อาจต้านทานความอยากรู้อยากเห็นที่ถาโถมใจตัวเองได้  เขาเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวคนเดิมที่ตอนนี้ปรากฏตัวขึ้นอยู่ข้างๆเขาเรียบร้อยแล้ว

    “คิม” เธอผู้นั้นเรียก  แต่คิมหันต์มั่นใจว่าเขาไม่เคยรู้จักเด็กพังก์พวกนี้มาก่อน

    “เธอคือ...” แต่พอเขาเงยหน้าจ้องมอง  แววตาของเด็กสาวผู้นั้นก็กลายมาเป็นคำตอบ “...แอนหรอ”

    “ช่าย!” แอนยิ้มกว้าง  คิมหันต์พบว่าเธอนั้นเปลี่ยนไปมาก  ทั้งสวยโฉบเฉี่ยว  ตาคม  หน้าขาวซีด  ปากซีด  มีห่วงเหล็กเจาะตามจมูกและหู  แถมสีผมก็ถูกย้อมให้ดำสนิทจนเห็นได้ชัด  เธอไม่เหลือเค้าเด็กสาวผู้น่ารักที่ติดพี่ชายอีกต่อไปแล้ว “แอนเองค่ะคิม!

    แอนกอดรอบแขนซ้ายของคิมแล้วเข้าใกล้มากขึ้น  คิมหันต์แปลกใจแต่ก็ยังใช้มือขวากำมีดคัตเตอร์ไว้ที่กระเป๋ากางเกง “ทำอะไรน่ะ...”

    “แอนคิดถึงคิมจังเลย...รู้อะไรมั้ยที่ผ่านมาน่ะแอนชอบคิมขนาดไหน” มาถึงก็เริ่มเข้าประเด็น  คิมหันต์เอนหลังหลบเพราะอีกฝ่ายพยายามจะโน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นลมหายใจ  มันช่างเป็นลมหายใจที่กลิ่นเหมือนเขม่าควัน  นี่แอนเป็นมังกรพ่นไฟไปแล้วหรือยังไง

    “เธอไม่ใช่แอน...ใช่มั้ย  แอนคงไม่ทำตัวอย่างนี้หรอก” คิมหันต์พูดเรียบๆแล้วแกะมือของ “คนที่น่าจะเป็นแอน” ออกจากแขนตัวเอง

    อีกฝ่ายมุ่นคิ้วแล้วเบ้ปาก “พูดอะไรกันคิม  นี่แหละแอน  แอนตัวจริงเลย”

    “พอเถอะ” คิมหันต์ตัดบท  กระถดตัวหนีไปหนึ่งก้าว “เลิกเล่นตลกอะไรได้แล้ว  เผยตัวออกมาซะ  เธอต้องการอะไรกันแน่”

    “ต้องการอะไรกันล่ะ  ก็คิมเป็นคนมองแอนก่อนมิใช่หรือ”

    “จะบอกอะไรให้นะ  ยัยเด็กน่ารำคาญ  ฉันไม่เคยสนใจหรือแม้แต่จะแยแสความรู้สึกหงุงหงิงของเธอเลยสักนิด  ไม่แม้แต่ตอนที่เธอยังเป็นคนแล้วทำตัวน่ารำคาญกับฉัน  นี่ขนาดเธอตายแล้วกลายเป็นผียังน่ารำคาญไม่เปลี่ยนเลย  หัดรู้ตัวซะบ้างว่าที่พี่ชายเธอต้องมาตายก็เพราะเธอเองนั่นแหละ”

    เงียบงันชั่วขณะ  แล้วลมหายใจหน่วงๆของแอนก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะหนักๆและทรงพลัง  เธอแผดเสียงลั่น  มันเป็นเสียงหัวเราะของคนสองคนที่ไม่อาจแยกออกว่าชายหรือหญิง  เสียงนั้นซ้อนทับกันราวกับว่าเป็นเสียงเดียวกันแต่ก็ไม่ใช่  มันช่างดูเหือดแห้งและน่ากลัว  คิมหันต์กรีดมีตคัตเตอร์ออกมาจากด้ามจับทันที “โถๆๆๆนี่หรือคือความรู้สึกของคนที่เด็กนี่รักนักรักหนา  ช่างเย็นชาแล้วร่วนราวกับดิน  ถ้ามันมาได้ยินเข้ากับหูตัวเองคงจะเจ็บปวดราวกับถูกไฟเผากลางอก  แต่ก็เอาเถิด...เจ้าหนู  แกใจดำใช้ได้  ใจดำอย่างกับไม่ใช่มนุษย์แน่ะ” เสียงของปีศาจพูดในร่างของคนที่เคยเป็นแอน

    “หึ!” คิมหันต์แค่นหัวเราะ “อย่างแกคงพูดแบบนี้ไม่ถูกเสียทีเดียวละมั้ง  ปีศาจ”

    “ฉันคือ แอสโมดิวส์ ยินดีที่ได้รู้จัก” มันยื่นมือออกมาข้างหน้า  คงหวังให้คิมหันต์สัมผัสตอบ

    “ขืนเข้ามาอีกก้าวเดียว  ฉันจะเสียบแกให้ทะลุ” คิมหันต์ยื่นคำขาด แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่เชื่อ

    “โถ่ใจดำจริงจริ๊งตั้งแต่คำพูดแร้งน้ำใจเมื่อกี้นี้แล้ว  แกนี่มันเคยรักใครบ้างหรือเปล่าน้า” แอสโมดิวส์พูด

    “ก็มีบ้าง  แต่หนึ่งในนั้นคงไม่ใช่แก  อ้อแล้วก็ถ้าฉันไม่พูดคำพูดเมื่อกี้ออกมา  แกก็คงไม่แสดงตัวออกมาหรอกใช่มั้ย?”

    “ฮะฮะฮะ  แต่นั่นคงเป็นความในใจของแกต่อเด็กคนนี้ใช่มั้ยล่ะ ฉันดูออกนะ” มันบอก  แต่คิมหันต์ได้แต่จ้องมันชนิดที่ว่าถ้ามันขยับเข้ามาใกล้อีกนิด  เขาก็พร้อมจะเสียบมันด้วยหอกแห่งชะตากรรมให้สลายหายไปแบบเบลเซบับ

    "แกต้องการอะไร!” ถ้อยคำถูกเน้นให้ชัดเจนขึ้นจากปากของคิมหันต์  เจ้าปีศาจแสยะยิ้มแล้วหัวเราะแห้งๆ

    “ก็ไม่อะไรมาก  ฉันไม่ใช่ปีศาจสวะๆที่ยอมทำงานให้มนุษย์อย่างพวกแกเพื่อแลกข้าวกินแบบเบลเซบับมันหรอก  ฉันแค่จะหาอะไรทำสนุกๆนิดหน่อย  ก็อย่างที่รู้ฉันน่ะปีศาจแห่งราคะ  ราคะก็คือความรักใช่มั้ยล่ะ?  เห็นอย่างนี้ฉันก็รักมนุษย์อย่างพวกแกเหมือนกันน้าแถมฉันก็ไม่ชอบถูกปลุกขึ้นมาเพื่อรับใช้ใครด้วย  เอาเป็นว่าฉันยังไม่อยากเห็นพวกแกถูกฆาตกรรมหมู่ครั้งใหญ่  ก็เลย...มีข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย”

    “ฆาตกรรมหมู่?” คิมหันต์ทวนคำ “พูดเหมือนแกรู้อะไรเลย”

    “ก็รู้น่ะซี่แต่ไว้ฉันจะบอกแกเมื่อแกรับข้อเสนอของฉัน  และข้อเสนอที่ว่าก็คือ...” มันเข้ามาใกล้คิมหันต์แล้วฉีกยิ้มใส่ “...ฉันจะกลายมาเป็นผู้นำของพวกแก  และฉันจะหยุดการฆาตกรรมหมู่ที่ว่านั่นให้  แลกกับ....”

    “แลกอะไร” คิมหันต์ถามห้วนๆ

    “ไม่แลกกับอะไรเลย  เพราะฉันไม่อยากได้อะไร” ว่าจบแอสโมดิวส์ก็แผดเสียงหัวเราะราวกับว่านั่นเป็นมุขตลกที่ขำมาก  แต่คิมหันต์ไม่ขำด้วยเขาเลยกระชากสายรัดหนังติดหนามบนลำคอของมันแล้วจ่อหอกแห่งชะตากรรมที่เรืองแสงจนใบมิดกดเข้าที่ผิวหนัง

    “บอกมาสักเหตุผลสิว่าทำไมฉันไม่ปาดคอแกให้ตายๆไปซะ!  มันจะไม่ดีกว่าหรือถ้าฉันฆ่าแกแล้วขัดขวางแผนการณ์ของพวกนั้นซะเองน่ะ”

    แอสโมดิวส์ไม่ได้มีอาการหวาดกลัวเลยสักนิด  มันแค่ฉีกยิ้มแล้วพูด”ก็เพราะว่าแกต้องพึ่งฉัน...”

    ฉัวะไม่ทันว่าจบ  ใบมีดคมกริบของมีดคัตเตอร์ก็เฉือนผ่านคอหอยของปีศาจแห่งราคะ  เลือดสีดำราวกับน้ำมันดิบสาดกระจายเต็มบริเวณ  แล้วร่างของปีศาจร้ายก็แตกกระจายเป็นฝุ่นควันสีดำเมื่อมคลุ้งไปทั่วบริเวณ

    “ฮ่าๆๆๆๆๆ!  แม้มันจะไม่มีร่างเนื้อ  แต่มันก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่นอยู่ดี “ถึงแกจะฆ่าฉันด้วยหอกแห่งชะตากรรมนั่น  แต่ฉันก็แค่ถูกผนึกไปสักพักเท่านั้นเอง  ไม่นานฉันจะกลับมาคืนชีพใหม่  และเป็นเช่นนี้เรื่อยๆตราบที่มนุษย์ยังเปี่ยมไปด้วยราคะแกไม่มีวันกำจัดฉันได้โดยสิ้นเชิง  ฉันจะให้เวลาแกลองคิดดู  แกจำเป็นต้องพึ่งฉันอ้อแล้วคราวหน้าที่เราเจอกัน  ฉันจะทำให้แกได้ตระหนักถึงความโหดร้ายของราคะที่จะซึมลึกเข้าไปถึงไขสันหลังแกเลยละ!

    แล้วควันสีดำก็หายไป  คิมหันต์ถูกทิ้งไว้ในทางเดินเปลี่ยวๆหน้าห้องน้ำที่เหมือนกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน

     

    กวีใช้เวลาหน้าคอมพ์ตั้งแต่ตอนสี่ทุ่มของเมื่อคืนนี้  จวบจนถึงรุ่งเช้าของวันใหม่  เขายังคงสืบค้นหาที่มาของเว็ปปริศนาที่เขาไปค้นพบเข้าโดยบังเอิญ เว็ปนี้เรียกกันว่า สมาพันธ์เทวทูต มันเป็นเว็ปไซต์ที่ถูกส่งต่อโดยลัทธิผู้ที่คลั่งไคล้ในคัมภีร์มรณะเมื่อสองสามวันมานี้  มันเป็นเว็ปไซต์สีขาวปลอดที่ไม่มีข้อความอันใดปรากฏอยู่เลยนอกจากคำว่า “จงอ้อนวอนจนกว่าพระผู้เป็นเจ้าจะได้ฟังคำร้องขอของเจ้า” มาเนิ่นนานแล้ว  สาบานได้ว่าเขาจ้องมองมันอยู่อย่างนั้นมาหลายต่อหลายชั่วโมงแล้ว  นึกในใจให้มันปรากฏข้อความบางอย่างขึ้นมา

    “พระเจ้าหรอ  ถ้าแกเจ๋งจริง  ทำให้ฉันเห็นหน่อยเป็นไง”

    และทันใดนั้นเอง  ราวกับมีใครที่แอบฟังกวีอยู่  ข้อความบนเว็ปพลันเปลี่ยนแปลงไป

    จงรับการทดสอบจากพระผู้เป็นเจ้า

    รอไม่นานข้อความก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เจ้าเชื่อในพระเจ้าหรือไม่  จงตอบคำถามในใจของเจ้าเอง

    กวีเม้มปากแล้วนึกในใจว่า “ไร้สาระ”

    เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ...  และอะไรกันที่ทำให้เจ้าเข้ามาในนี้

    กวีนึกในใจว่าข้อความตอบรับอัตโนมัติของเว็ปไซต์นี้ฉลาดพอดู  แต่ไม่มีอิเล็กทรอนิกใดบนโลกที่สวมรอยทำตัวเป็นพระเจ้าได้โดยแท้จริงหรอก  เขาจึงนึกในใจว่า “เพื่อลองดีกับแกยังไงล่ะ”

    ความคิดโอหังของเจ้ากำลังทำให้ตัวเองมืดบอดมนุษย์เอ๋ย  ข้าคือพระผู้เป็นเจ้า  ข้าเข้าถึงจิตใจอันลึกล้ำที่สุดของเจ้า  เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลา  ลาก่อน  เจ้าจะไม่มีวันได้รับโอกาสเช่นนี้อีกต่อไป

    กวีนิ่งค้างและข้อความตรงหน้าก็ค่อยๆเลือนหายไป  จริงอยู่ที่เขาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  ทว่ากวีตกใจพอสมควรกับข้อความเหล่านั้น  เขารีบคิดในใจทันทีเพื่อไม่ให้อะไรก็ตามที่เขากำลังสื่อสารอยู่หายไป

    “แกเป็นใคร” กวีคิด

    จงอย่าสงสัยในตัวตนแห่งพระผู้เป็นเจ้า  แล้วเจ้าล่ะคือใคร?  มีสิทธิ์อะไรมาตั้งคำถามต่อข้า

    “ถ้าแกเก่งจริง  ก็ต้องรู้สิว่าฉันคือใคร”

    อย่าได้ท้าทายให้ข้าลอง  ข้ารู้  ข้ารู้ถึงความลับที่ลึกที่สุดของเจ้า  อะไรอยู่ในหัวเจ้าตอนนี้กันนะ

    กวีไม่อาจต้านทานความคิดตัวเองได้  เขาพยายามปิดกั้นไม่ให้ความคิดตัวเองทะลักออกมาในตอนนี้  พยายามไม่นึกภาพใคร  พยายามนึกเรื่องต่างๆในสมองเพื่อกลบเกลื่อน  ถ้าหากอีกฝ่ายสามารถอ่านใจได้จริง  แล้วเกิดรู้ความลับในสมองเขาได้  ทุกเรื่องจะเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น

    ลลิตา  คิมหันต์ หรือ?  เจ้าเปิดเผยมากเกินไปแล้วเด็กเอ๋ย  จงอย่าได้ท้าทายข้าอีกเป็นครั้งที่สอง  มิเช่นนั้นบุคคลในสมองของเจ้าจะถูกลงทัณฑ์ตามเจ้าไปด้วย  ลาก่อนตลอดกาลนะ  กวี เซ็นเควอเรียล

    แล้วเว็ปไซต์ปริศนาก็ปิดตัวเองมันเองลง  ทิ้งไว้แต่เพียงความว่างเปล่า  และศัตรูที่กวีไม่อาจจะสู้ได้เลย...
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×