ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #24 : ChapT22 ("The Gluttony;") ; นครแห่งฝน

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 56


    (ตั้งแต่ตอนที่ 22 ลงไป  ผู้เขียนจะขอเรียก สร้อยคอกางเขนของตระกูลเซ็นเควอเรียลว่า “โทเท็ม” จึงขอเรียนให้ทราบโดยทั่วกัน  และจะมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มข้อมูลในตอนเก่าๆภายหลัง  ตอนนี้มีความยาวที่สุดเท่าที่เคยแต่งมาเพราะเป็นจุดไคล์แม็กซ์ของภาคครับ  ผู้แต่งขอให้ขยันอ่านตอนนี้กันหน่อยนะเพื่ออรรถรส ^^ )

    หยดฝนย้อยลงมาบนดวงตาที่ชุ่มเลือดของคิมหันต์เสียจนตอนนี้เขาแทบลืมตาไม่ขึ้น  ไม่ต้องพูดถึงเม็ดฝนที่กำลังจะฆ่าเขาด้วยความหนาวเย็นอย่าช้าๆ  เพราะมันกำลังโหมกระหน่ำตกลงอย่าบ้าคลั่งเหมือนจะซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น  เนื่องด้วยช่องตึกมืดมิดแห่งนี้เป็นมุมอัพจึงทำให้ดูคล้ายกับจะตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

    “ถอยไปคิมหันต์” กวีพูดเรียบๆ “น้ำมนต์นี้จะทำให้มันอ่อนแอลงชั่วขณะหนึ่ง  ระหว่างนี้ฉันจัดการเอง” ว่าแล้วกวีก็เปลี่ยนโทเท็มในมือกลับเป็นดาบใหญ่สองคมดังเดิม 

    เบลเซบับแยกเขี้ยวต้อนรับกับใบดาบแวววาวของกวี

    แต่คิมหันต์ยังคงยืนกราน “ไม่เอาน่ากวี  ฉันยังไหว..”

    แต่ลลิตไม่เห็นด้วยดังนั้นเธอจึงเข้ามาหิ้วตัวคิมหันต์ออกห่างจากบริเวณแล้วพาไปนั่งพิงใกล้ๆร่างของแอน “พักก่อนเถอะคิม” เธอบอก

    แล้วโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดกวีก็พุ่งเข้าหาร่างของเบลเซบับพร้อมสอดดาบเข้าที่ซี่โครงของมันอย่างรวดเร็ว  แต่ปีศาจร้ายไม่ร้องออกมาด้วยเสียงใดๆทั้งสิ้น  ราวกับว่าดาบเล่มนั้นพุ่งผ่านความว่างเปล่าไปเสียดื้อๆ  มันหัวเราะแล้วใช้มือเพียงข้างเดียวทุ่มหัวของกวีลงกับพื้นคอนกรีตอย่างแรง

    “เจ้าโง่” เบลเซบับเอ่ยพร้อมเงื้อค้อนยักษ์หมายจะทุ่มให้เละ  แต่กวีฟันฉับเข้าที่ข้อมือขวาของมันเสียจนขาดทำให้ค้อนยักษ์นั้นตกกระแทกพื้นถนน “ฮึ่ม...”

    “แผลของแกจะสมานกันช้าลงในอณาเขตศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้” กวีเอ่ยขึ้นพร้อมใช้เท้าเหยียบมือที่ขาดออกของมันไว้แล้วสับลงจนขาดครึ่ง  เลือดสดๆสีดำสาดกระเซ็น “ระหว่างนี้ก็รอๆไปก่อนนะ”

    “แก!~” เบลเซบับคำรามแล้วกระพือปีกค้างคาว  พลันเกิดลมกรรโชกแรงจนทำให้กวีเซถอยหลัง  มันใช้จังหวะนั้นบินเข้ามาแล้วส่งกรงเล็บจิกเข้าที่ไหล่ของกวีจนทะลุ  เลือดสดๆไหลออกมาจากปากแผล  กวีล้มลงไปพร้อมกับปีศาจที่ค่อมร่างอยู่  ปีกสยายใหญ่สีดำของมันอ้ากว้างบดบังแสงจันทร์ “เจ้าเด็กโอหัง!

    ฉ่า!

    แต่จู่ๆเลือดที่นองอยู่บนบ่าของกวีก็พลันทวีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  มันกลายเป็นดั่งน้ำเดือดร้อนฉ่าพร้อมลวกฝ่ามือเพียงข้างเดียวของเบลเซบับเสียจนไหม้เกรียม “อ๊าก....นี่แกทำอะไรข้า! มันร้องเสียงหลงพร้อมกับผละตัวออกห่างจากกวีทันที

    กวีหยัดตัวลุกขึ้นแล้วถือดาบในมือเอาไว้อย่างมั่นคง “คิดว่าฉันจะไม่เตรียมการอะไรมาสู้กับแกเลยหรือไงเบล  ฉันดื่มน้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว  และตอนนี้มันคงวนเวียนอยู่ในกระแสเลือดของฉัน  ฉันรู้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะฆ่าแกไม่ได้  แต่เรื่องความเจ็บปวด...” กวีเฉือนดาบใส่ที่ฝ่ามือซ้ายของเขาเอง  เลือดสีแดงทาอยู่บนใบดาบจนย้อมมันให้เป็นสีแดง “...อันนี้แกก็คงปฏิเสธไม่ได้”

    แล้วชั่วพริบตานั้นกวีตวัดดาบไปข้างหน้าเพื่อเฉือนร่างของปีศาจให้ขาดสะพายแล่ง  แต่ทว่ามันฉากหลบทำให้หยดเลือดสาดกระจายเข้าที่ลำตัวของมันแทน  แล้วทันทีนั้นเองเลือดเพียงไม่กี่หยดพลันเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำกรดชั้นดีกัดกร่อนตามร่างของเบลเซบับเสียจนเป็นแผลเหวอะ

    “อ๊ากกก!

    กวีไม่รอให้อีกฝ่ายซึมซับความเจ็บปวดนานนักเขาก็พลันส่งความเจ็บปวดครั้งใหม่ตามมาโดยเร็ว  แล้วคราวนี้ดาบเล่มเดิมของเขาก็เสียบเข้ากลางหน้าท้องของปีศาจอย่างแรง  เกิดเสียงเดือดเหมือนเอาหยดน้ำไปเทลงบนกระทะร้อนๆ  แล้วแผลของมันก็พลันถูกลวกจนไหม้เกรียม  มันคำรามพร้อมกระพือปีกบินขึ้นสูงส่งให้ทั้งมันและกวีบินขึ้นสูงจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว

    “จะหนีไปไหนอีกล่ะ” กวีพูดพร้อมกับบิดดาบเพื่อคว้านปากแผลให้กว้างยิ่งขึ้น

    “ปล่อยข้า!” มันคำรามเสียงดังแล้วชั่ววินาทีนั้น  ดวงตาของมันก็พลันเปล่งแสงสีแดงเพลิง  กวีรู้ว่าเขาไม่ควรอยู่ใกล้มันในตอนนี้  เขาเปลี่ยนดาบของตัวเองกลับเป็นโทเท็มพร้อมกับดิ่งตัวลงมาบนพื้นด้วยความสูงหลายเมตร  แต่เจ้าปีศาจไม่อาจปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้อีก  มันเงื้อค้อนยักษ์ที่กำลังเปล่งแสงสีแดงเพลิงขึ้นเสียจนบดบังแสงจันทร์พร้อมกับทุ่มมันลงยังร่างของกวีอย่างแรง “ตายซะ!

    เคร้ง! ตูม! เกิดเสียงปะทะกันของดาบและค้อนแล้วตอนนี้ทั้งสองก็ตกลงบนพื้นโลกด้วยสภาพน่าอเนจอนาถไม่ต่างกัน  กวีพยุงร่างกายที่ปวดร้าวขึ้นจากหลุมเล็กๆที่เกิดจากแรงตกกระทบของเขาเอง  ในขณะที่เจ้าปีศาจใช้มืออีกของมันยันตัวมันขึ้นยืนแล้วลากค้อนมาพาดไว้บนบ่าอย่างทุลักทุเล

    กระดูกที่แตกหักของกวีเริ่มประกอบกับเข้าที่เข้าทาง  แม้มันจะเจ็บปวดแต่กวียังคงต้องทนไว้  เขากัดฟันกรอดระหว่างที่ร่างกายกำลังซ่อมแซมตัวมันเอง

    เมื่อเบลเซบับเห็นดังนั้นมันแสยะยิ้มใส่ด้วยความชิงชัง “แม้แต่คนจากตระกูลผู้อารักขายังมีพรของปีศาจ  อย่างนี้แกจะยังประกาศว่าตัวเองเป็นคนดีอีกอย่างนั้นหรือ”

    “ฉันไม่เคยพูดว่าตัวเองเป็นคนดี” กวีตอบสั้นๆพลางชี้ปลายดาบเข้าที่ใบหน้าของปีศาจ “แล้วก็ไม่เคยคิดว่าว่าไอ้ของแบบนี้จะเรียกว่า พร

    “ฮ่าฮ่าฮ่า!ๆ” ปีศาจร้ายแผดเสียงหัวเราะลั่น “ถูกแล้วเจ้าหนูนี่มันไม่ใช่พรแต่ว่าเป็นคำสาป!

    มันใช้มือซ้ายของมันกำรอบใบดาบของกวี  เลือดสีดำไหลออกมาจากฝ่ามือแล้วอาบไปทั่วไปดาบ “แทงข้าสิแล้วข้าจะสอนให้รู้ว่าเจ้ากับข้านั้นเหมือนกันเพียงไร”

    “เอางั้นหรอ”

    สวบ!

    กวีไม่รอช้า  เขาส่งใบดาบสีเงินทะลุผ่านเบ้าตาของปีศาจเสียจนทะลุกะโหลก  เลือดสีดำหลั่งทาทั่วใบดาบคล้ายกับน้ำมันดิบ  แต่กระนั้นเบลเซบับก็ยังนิ่งเฉย  ไม่แม้แต่จะแผดเสียงหรือแสดงอาการเจ็บปวดใดๆด้วยซ้ำ  มิหนำซ้ำมันกลับหัวเราะอย่างสะใจ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เห็นหรือเปล่าไม่มีอะไรข้าฆ่าได้  เจ้าเองก็ด้วย!  ข้ากับเจ้านั้นแทบไม่ได้มีอะไรต่างกันเลยแม้แต่อย่างเดียว!  จริงมั้ยเจ้ามนุษย์”

    “อันที่จริงฉันว่ามีอะไรฆ่าแกกับฉันได้อยู่นะ” กวีพูดแล้วบิดใบดาบเพื่อคว้านเบ้าตาของปีศาจจนแหลกเละ

    “หึ...เราจะมามัวเสียเวลาอยู่กับศึกที่ไม่มีวันจบสิ้นนี่อีกทำไมกัน  มาทำให้เรื่องมันจบๆไปเลยดีกว่า” เบลเซบับถอยหลังจนดาบของกวีหลุดออกจากกระโหลกศีรษะ  มันดีดนิ้วแล้วทันใดนั้นเศษมือที่ถูกสับเป็นส่วนๆก็พลันลอยกลับเข้ามาประกอบที่ข้อมือของเขาดังเดิม  รอยแผลที่ท้องกับดวงตาก็เริ่มสมานกันจนสนิทและเริ่มมองไม่เห็นร่องรอยของการถูกทำร้ายใดๆทั้งสิ้น

    “ฉันว่านายคงจะรีบจบเรื่องนี้ไม่ได้หรอกนะเบลเซบับ” เสียงนั้นเป็นเสียงที่ดังมาจากคิมหันต์  เขายืนหยัดลุกขึ้นในสภาพที่เลือดโชกดวงตา  มือทั้งสองประคองมีดคัตเตอร์ที่ทอแสงอย่างอ่อนล้าไม่แพ้นายมันเอง “เพราะว่านายกำลังรอใครบางคนอยู่”

    “หึ...ตายยากจริงนะเจ้าหนู” มันยิ้มแสยะๆเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาว “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะรู้อะไรบ้าง  แต่ข้าไม่จำเป็นต้องรอใครทั้งนั้น”

    “รอสิรอ” คิมหันต์ยืนกรานแน่แน่วพร้อมยิ้มน้อยๆที่มุมปาก “เพราะแกไม่อาจฆ่าร่างทรงคนนี้ได้ด้วยตัวเองยังไงล่ะ”

    “อะไรนะ” ลลิตอุทาน  อีกทั้งกวีก็ดูแปลกใจเช่นกัน

    “ใช่มั้ยล่ะ” คิมหันต์ถามซ้ำอีก  สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความได้ใจ “แกน่าจะฆ่าแอนไปตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะมาถึงแล้ว  แต่แกก็กลับปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่  เพื่ออะไรน่ะหรือ...ก็เพราะว่าแกไม่อาจะฆ่าเธอให้ตายได้ยังไงล่ะ”

    เบลเซบับตากระตุก “บอกมาซักเหตุผลสิว่าทำไมข้าถึงจะไม่ฆ่าเจ้าให้ตายตอนนี้เจ้าจะได้ไม่ปากสว่างแพร่งพรายเรื่องของข้าให้คนอื่นรู้” เบลเซบับครางฮึ่มในลำคอ  น้ำเสียงบ่งบอกถึงความข่มขู่เต็มอัตรา

    แต่คิมหันต์เพียงแค่ยักไหล่แล้วเดินไปใกล้ๆร่างที่แน่นิ่งของแอน “เพราะฉันจะเป็นคนฆ่าร่างทรงนี่ยังไงล่ะ”

    ทั้งกวีและลลิตที่ฟังอยู่ถึงกับสำลักลมหายใจตัวเอง  ทั้งสองร้องเสียงหลงเมื่อตอนที่คิมหันต์จ่อมีดคัตเตอร์ลงบนลำคอของแอนที่ยังไม่ได้สติ

    “หยุดนะคิมนายจะทำบ้าอะไรของนาย!” ลลิตโพล่งออกมาอย่างตื่นตูม

    คิมหันต์ไม่สนใจเสียงของเธอเขายังคงพูดต่อไป “ฉันไม่เข้าใจการทำงานของอาวุธนี่หรอก  แต่ถ้าให้เดาอาวุธที่สามารถทำให้แกเกิดบาดแผลได้และสามารถใช้ฆ่ากวีให้ตายได้ด  มันคงจะมีความสามารถในชะล้างลักษณะพิเศษต่างๆนานาได้เหมือนกัน  และถ้าเกิด...” ใบมีดถูกกดลงบนลำคอขาวๆอย่างบรรจงและใจเย็น “ถ้าเกิดฉันเสียบมีดนี่ทะลุลำคอของร่างทรง  ลักษณะพิเศษของร่างทรงก็จะถูกมีดนี่ชะล้างแล้วแกก็จะไม่ได้อะไรกลับไป  ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า”

    เบลเซบับไม่ได้แสดงอาการตื่นตกใจแต่อย่างใด  มันแค่แค่นหัวเราะแล้วพูดออกมา “เฮอะแกไม่กล้าทำอะไรแบบนั้นหรอก  นั่นมันเพื่อนแก  แล้วอีกอย่างไม่มีอาวุธอะไรนอกจาก หอกแห่งชะตากรรมที่จะมีความสามารถแบบนั้น!

    แม้กวีจะค่อนข้างมั่นใจว่าคิมหันต์คงจะไม่เป็นคนลงมือฆ่าแอนเพื่อจบปัญหานี้  แต่ทว่าลึกๆในใจเขาแล้วนั้นมีความรู้สึกบางอย่างที่คัดค้านอยู่  เพราะเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้เขาไม่มั่นใจในตัวคิมหันต์  เนื่องจากคิมหันต์เคยกระจายข่าวน่ากลัวๆเพื่อทำให้คนในโรงเรียนหวาดกลัวในตัวกวีมาแล้ว  มันสื่อได้มากว่าคิมหันต์มีความเลือดเย็นอยู่ลึกๆและพร้อมจะสละส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนรวมอยู่ตลอด  ซึ่งกวีไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย  เขานึกโทษตัวเองที่มอบอาวุธแบบนั้นให้คิมหันต์ไป  เขาควรจะหาทางทำให้เรื่องนี้จบลงแบบที่ควรจะเป็นมากกว่า “หยุดนะคิมหันต์  นั่นไม่ใช่หอกแห่งชะตากรรมของจริง!

    คิมหันต์มองดูมีดคัตเตอร์ในมืออย่างชั่งใจ  เอาเบ้ปากแล้วยักไหล่กวนโมโห “อย่าหลอกซะให้ยากเลยน่ากวี  ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรฉันรู้ว่านี่คือของจริง”

    “ไม่ว่านายจะเชื่อฉันหรือเปล่า  อย่าฆ่า! แอน! เด็ดขาด” กวีส่งเสียงข่มขู่ออกมาจากลำคอ  เขาพร้อมจะละเลงดาบทันทีที่คิมหันต์คิดจะทำอะไรนอกเหนือจากที่เขาบอก

    “ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับนายอะไรตอนนี้นะกวี  แล้วฉันก็ไม่รังเกียจที่จะฆ่าคนที่ฉันไม่ได้แคร์ด้วย...” สายตาของคิมหันต์ชำเลืองลงต่ำ  มองดูร่างของแอนราวกับเป็นขยะที่น่ารังเกียจ “เด็กคนนี้คือตัวปัญหา”

    ลลิตรู้สึกเจ็บปวดในใจที่คิมหันต์พูดคำนี้ออกมา  และมั่นใจว่าแอนคงจะรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเธอสักร้อยเท่าได้ถ้าได้ยินคำๆนี้จากปากของที่เธอรัก  ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร  เธอรู้สึกเกลียดคิมหันต์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  เธอเกลียดนิสัยเลือดเย็นที่แก้ปัญหาด้วยความโหดร้ายแบบนี้ของคิมหันต์  ทำไมกันนะความอ่อนโยนแบบที่ปรากฏมาตลอดของคิมหันต์ถึงไม่ตกค้างอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ้างเลย

    “พอเถอะคิม  พอได้แล้ว...” ลลิตปราม  แต่คิมหันต์ไม่แม้แต่จะหันไปมอง

    “เบลเซบับ  นายไม่อาจฆ่าร่างทรงไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง  บางทีอาจจะเป็นกฏเกณฑ์ที่ถูกตั้งไว้ตั้งแต่แรกว่าซาตานไม่อาจทำอะไรร่างทรงได้  มันจึงเป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะเป็นผู้สังหารร่างทรง  นายจึงคิดจะใช้ฉันเป็นเครื่องมือในการสังหารแอน  แต่นายลืมไปว่าถ้าหากฉันสังหารแอนด้วยหอกแห่งชะตากรรมนี้  เธอจะถูกสะกดแล้วจะไม่มีซาตานตัวไหนโผล่ออกมาทั้งสิ้น  และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเมื่อก่อนหน้านี้ที่นายคิดจะควบคุมฉันเพื่อสังหารแอนแล้วเกิดทำสำเร็จขึ้นมา  นายก็เป็นฝ่ายแพ้ใช่มั้ยล่ะ...” มีดถูกกดลงบนคอของแอนเสียจนเลือดเริ่มซิบออกมา  ทั้งหมดต่างรู้ว่าคิมหันต์นั้นพูดจริงไมได้ขู่ “เอาไงล่ะ  เลือกสิ  ถอยออกไปแล้วฉันจะไว้ชีวิตเด็กคนนี้  หรือว่าดึงดันที่จะสู้ต่อแล้วนายจะไมได้อะไรกลับไปเลย”

    เบลเซบับแยกเขี้ยวออกมาเสียจนดูน่ากลัว  เขาไม่เหลือเค้าของความเป็นจิตติอยู่เลยแม้แต่น้อย  ลลิตไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่น้องสองคนนี้  แต่เธอนึกสงสารพวกเขาอยู่ในใจ  เพราะทั้งสองคนนั้นไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรเลยแม้แต่น้อย  ทั้งสองคนนั้นโดดเดี่ยวและต้องพึ่งพากันและกันอยู่เสมอ  เธอไม่เคยนึกว่าจะมีใครแยกเธอทั้งคู่ออกจากกัน  ยิ่งคิมหันต์ที่แอนรักด้วยแล้วเธอไม่อยากให้คิมหันต์ต้องทำหน้าที่นั้นเลย

    “คิม...อย่าทำแบบนี้เลยคิม” ลลิตวิงวอน “ขอร้องนะอย่าเลย  มีอีกหลายวิธีที่จะสะสางเรื่องนี้ให้จบลงได้”

    คิมหันต์หันมามองหน้าเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ทว่ามันทำให้ลลิตรู้สึกเจ็บปวดใจ  “เธอจะไปเข้าใจอะไรลลิต  เธออ่านใจฉันไม่ได้นี่” คิมพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาดั่งน้ำแข็ง

    ลลิตนิ่งเงียบไป  เธอตื้อชาและรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เต็มทีในสถานการณ์แบบนี้   กำหมัดแน่นจนข้อนิ้วเขียวคล้ำ  รู้สึกอยากจะชกหน้าคิมหันต์เต็มแก่แต่ก็ทำไม่ได้ “ก็ได้” เธอตะคอก

    “เรามาว่ากันต่อ...” คิมหันต์หันหน้าไปทางเบลเซบับ “ถึงเวลาต้องเลือกแล้วนะ”

    ปีศาจร้ายตัวซีดกู่ร้องออกมาด้วยความเดือดดาล  มันส่งเสียงคำรามแสบหูไปทั่วทั้งช่องตึกมืดๆนี้แล้วหัวเราะสะใจ “ฮ่า ฮ่า ฮ่าข้าเป็นถึงเจ้าชายแห่งนรก  เจ้ามีสิทธิอะไรมาบอกให้ข้าเลือ....”

    กรี๊ดดดดด! แล้วสถานการณ์ทุกอย่างก็ดูจะผิดพลาดไปหมด  คิมหันต์ตวัดสายตาไปยังต้นเสียงทันที 

    แล้วพบเพียงลลิตที่กำลังนอนอย่างเจ็บปวดอยู่บนพื้นแฉะๆโดยมีรอยบากขนาดเล็กๆอยู่บนแผ่นหลัง  เลือดสดๆไหลอาบทั่วเสื้อของเธอ  แล้วยิ่งไปกว่านั้นใครบางคนก็ยังปรากฏตัวในชุดกันฝนสีเลือดหมูดูชั่วร้าย  เจ้าของร่างนั้นพุ่งตรงมายังคิมหันต์แล้วกระบี่เล่มเล็กสีเงินก็มาจ่อใส่หน้าของเขาพอดี

    ฉัวะคมกระบี่เฉือนผ่านแก้มซ้ายของคิมหันต์พอดี  เขาล้มหงายหลังไปข้างๆร่างของแอนพร้อมกุมบาดแผลตัวเองเอาไว้แล้วเผลอปล่อยให้มีดประจำกายตกลงบนพื้นแบบไม่รู้ตัว 

    แล้ว ณ วินาทีต่อมา  คิมหันต์คิดว่าเขาจะถูกแทงซ้ำให้ตายแล้ว  แต่ทว่ากระบี่เล่มเดิมของผู้ปรากฏตัวกลับแทงลงบนหน้าอกของแอนอย่างแรงและไร้ความปราณี

    ฉึก! เป็นเสียงเบาๆที่ทำให้คิมหันต์แทบหยุดหายใจ  ทั้งลลิตและกวีได้แต่นิ่งค้างมองดูการลงมืออันรวดเร็วของผู้ปรากฏตัวผู้นี้  ดาบสีเงินของเธอทะลุผ่านหน้าอกและเลือดสดๆก็ไหลออกมาอย่างบ้าน่ากลัว  ใครคนนั้นชักใบดาบออกมาแล้วเปลี่ยนมันกลับเป็นสร้อยสีเงินโดยไม่แม้แต่จะหันมามองคิมหันต์หรือลลิต

    “ไม่นะ!” ลลิตแผดเสียงแทบจะในทันทีที่ทำได้  กวีพุ่งตรงเข้าใส่ใครคนนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ถูกเบลเซบับบินมาขวางตรงหน้า

    “ถอยไป!” กวีตวาด

    “คู่ข้อสู้ของเจ้าคือข้า  ปล่อยให้โรสทำงานให้เสร็จก่อน” มันพูดอย่างอวดดี  ตอนนี้กวีรู้สึกโกรธเกรี้ยวในใจอย่างมาก  เขารู้ดีว่ากลิ่นกุหลาบในบ้านของเมเดียกับดาบเล่มเงินนั้นหมายถึงอะไร  เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะเปิดผ้าคลุมศีรษะของใครคนนั้นออกมา

    “บอกให้ถอยไป!” กวีคำรามแล้วปะทะเข้ากับเบลเซบับอย่างรุนแรงและไม่ตริตรอง

    ทางด้านคิมหันต์  เลือดยังคงไหลออกจากหนังตากับแก้มจนตอนนี้เขารู้สึกว่าหน้าของเขากำลังซีดเพราะขาดเลือด รู้สึกหนาวและเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย  สมองสับสน  กล้ามเนื้อทุกมัดไม่ตอบสนองเขาดั่งใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่นี้แต่รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้แอนคงจะตายจริงๆแล้วและเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนั้นจริงๆ

    จริงอยู่ที่เขาขู่จะฆ่าแอนทิ้งซะ  แต่นั่นก็คือส่วนหนึ่งของแผน  เขาคงจะต่อรองจนเสร็จไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะใครคนนั้นโผล่เข้ามาขัดขวางจนเสียเรื่อง

    ลลิตก็เช่นเดียวกันเธอคงเจ็บปวดและอับจนหนทางอยู่ไม่ผิดแน่  เธอคลานเข้ามาฟังเสียงหัวใจของแอนแล้วเริ่มกรีดร้องอย่างเจ็บใจ “บ้าที่สุดบ้าชะมัดเลย!  แกทำแบบนี้ทำไม!

    “เพื่อเปิดผนึกสุดยอดวิทยาการที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจเอื้อมถึง” ร่างนั้นตอบเบาๆ  แต่ลลิตโกรธเกรี้ยวเกินกว่าจะตีความคำพูดนั้น

    “แกเป็นใครเผยตัวสิเผยตัวออกมา!” ลลิตร้อง

    “โรสเธอคือโรสสินะ” คิมหันต์กล่าวอย่างยากลำบาก  เขายังต้องพยายามพูดไม่ให้แผลที่แก้มฉีกมากกว่านี้

    แล้วทันทีนั้นเองคนตรงหน้าก็ค่อยๆถอดเสื้อคลุมฝนออกเผยให้เห็นชุดประโปรงทรงกลมสีดำที่ถูกคลุมด้วยผ้ากันเปื้อน  บริเวณชายกระโปรงนั้นมีลูกไม้เล็กๆน่ารักตกแต่งอย่างหรูหรา  คิมหันต์เคยเห็นชุดๆนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว  แถมเจ้าของชุดก็ยังเป็นคนเดียวกับที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วย 

    “ม...เมเดียหรอ” คิมหันต์ถามอย่างกระอักกระอ่วน

    “ทั้งใช่และไม่ใช่” เมเดียตอบพลางยิ้ม  “เอาล่ะสงสัยฉันต้องแนะนำตัวอีกที  ฉันคือโรสหนึ่งในสมาชิกขององค์กรลับอิลลูมินาติ  ฉันมาเพื่อสะสางภารกิจนี้ให้ลุล่วง” เธอโยนดอกกุหลาบให้กับคิมหันต์  มันตกลงตรงหน้าเขาแล้วถูกน้ำโคลนย้อมให้เป็นสีดำตุ่นๆ “มีคนฝากมาสวัสดีเธอ”

    “อะไรนะ” คิมหันต์โพล่ง

    “โรสเปิดอาคมของเจ้าสิ! ข้าจะได้ฆ่าเจ้าพวกนี้ให้ตายให้หมด! มันตะโกนขึ้นมาขณะที่กำลังฟาดฟันอยู่กับกวี

    เมเดียส่ายหัวเบาๆ  เดินไปตรงศพของแอนแล้วคุกเข่าลงพิจารณาบริเวณคราบเลือดอย่างใจเย็น “ศพยังคงใช้ได้และไม่มีบาดแผลสาหัส  ถือว่าทำครบเงื่อนไข”

    “ข้าบอกให้เปิดอาคมของเจ้ายังไงล่ะ!” เบลเซบับตะเบ็งเสียงดังยิ่งกว่าเดิม

    “ข้ายังไม่ได้จนกว่าน้ำมนตร์พวกนี้จะหมดฤทธิ์  คงอีกสักสามนาที” เมเดียพูด “ระหว่างนี้เรามาคุยอะไรกันนิดหน่อยดีกว่ามั้ย  อย่างเช่น...คำถามที่พวกเธอยังสงสัยอยู่” เธอหันมาทางคิมหันต์ที่มอบราบคาบแก้วอยู่เบื้องหน้าเธอ

    “เป็นเธอตลอดเลยสินะเมเดีย  เธอทรยศเรา” กวีพูดอย่างเจ็บแค้น  แม้เขาจะไม่อาจหันไปมองหน้าเมเดียได้เนื่องจากกำลังรับมือกับเบลเซบับแต่เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความโกรธเล็กๆในตัวของเขา

    “ทรยศหรอ...หึ...ฉันไม่ได้เป็นพวกเดียวกับนายมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ” เธอตอบแล้วลุกขึ้นเดินมาชมการปะทะกันของกวีและเบลเซบับ “ไม่ใช่ตั้งแต่เธอเกิดมานั่นแหละ”

    “อะไรนะ...” กวีชะงัก

    “อย่าหันไปมองทางอื่นสิ!” เบลเซบับหัวเราะแล้วเหวี่ยงค้อนยักษ์เข้าที่หัวไหล่ของกวี  เขากระเด็นไปทางแรงเหวี่ยงพร้อมกับกระแทกเข้าที่กำแพงตึก  ส่งเสียงโอดครวญอย่างทุรนทุราย

    “ฉันจะไม่ขอตอบคำถามใดๆก็ตามเกี่ยวกับเราสองคน  แต่ถ้านายสงสัยว่าอะไรบ้างที่เป็นฝีมือฉัน  ฉันก็จะตอบให้นายฟังก็ได้  ถ้ามันทำให้พวกเธอตายตาหลับ” เมเดียกล่าวอย่างใจเย็น  กวีหอบหายใจรวยรินก่อนที่จะถูกเบลเซบับบีบคอแล้วยกไว้กลางอากาศ

    “แค่ก...แค่ก” เขาพยายามต่อสู้แต่เขาก็เริ่มสูญเสียแรงเต็มที  เขาตายไม่ได้นั่นคือข้อเสียที่ทำให้เขาต้องทรมานกับอาการหายใจไม่ออก 

    แล้วเบลเซบับก็ทุ่มเขาลงกับพื้นอย่างแรง “อ๊าก!”  

    “ธ...เธอฆ่าร่างทรงของเบลเซบับ” กวีเอ่ยขณะพยายามยืนขึ้นอย่างทุลักทุเลก่อนที่จะถูกเบลเซบับเหยียบศีรษะจนใบหน้ากดลงกับพื้น

    “ใช่” เมเดียตอบเรียบๆพลางยืนกอดอก “ฉันเดินทางจากลอนดอนมายังเมืองๆนี้ทันทีที่รู้ว่าคัมภีร์มรณะสูญหายไป  แล้วฉันก็ออกตามล่าร่างทรงทีละคน  คนแล้วคนเล่า  อย่างที่เธอรู้...ฉันเป็นคนทรงซึ่งนั่นแปลว่าฉันมองออกทันทีว่าใครบ้างที่มีพลังอะไรหรือไม่มี  เป็นเทวาหรือซาตาน  จากนั้นฉันก็สัมผัสได้ถึงพลังของร่างทรงคนแรก  เขาเป็นผู้ชายร่างอ้วน  แทบจะอ้วนที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา  เขาไม่เคยออกไปจากที่พักของตัวเองเลย  ไม่แม้แต่จะลงจากเตียงด้วยซ้ำ  แถมเขายังเป็นโรคแผลกดทับและป่วยด้วยโรคอ้วนกับเบาหวานจนใกล้จะตาย  แล้วรู้อะไรมั้ยตอนที่ฉันเข้าไปฆ่าเขาในห้อง  มันแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะตาย  มันได้แก่กินๆเหมือนหมูที่น่าสมเพช

    ชายคนนั้นคนเป็น กร หรือที่คิมหันต์รู้จักในชื่อ Galactus เขาเป็นคนใจดีและร่าเริงในความคิดของคิม  ไม่นึกมาก่อนว่าเขาคนนี้จะเป็นชายร่างอ้วนติดอาหารเช่นนี้

    “แล้วฉันก็สังหารเขาบนเตียงพร้อมปลุกปีศาจตนแรกขึ้นมา  นั่นก็คือ เบลเซบับ” เธอชำเลืองมองไปยังปีศาจที่เธอพูดถึงและเห็นได้ชัดว่าเธอดูไม่ค่อยชอบใจมันนัก “แต่ฉันไม่ได้เข้าไปรับใช้เขาในทันที  ฉันปล่อยให้เขาอยู่ในร่างนั้นต่อไปและออกตามหาร่างทรงคนอื่นๆต่อ”

    คำตอบของเมเดียถูกตอบจนจบแล้ว  แต่คำถามในใจคิมหันต์ยังคงเหลืออยู่อีกมากมาย “เป็นไปไมได้งั้นเบลเซบับก็สวมรอยกรมาตลอดเลยงั้นหรอ!

    ปีศาจผู้ถูกเอ่ยนามชักเท้ากลับแล้วปล่อยให้กวีหอบหายใจอย่างอ่อนแรง “ข้าคอยควบคุมเจ้านั่นแล้วเรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านร่างใหม่ของข้า  จนกระทั่งข้าได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่ง...ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใครแต่ข้าสัมผัสได้ถึงพลังราคะอ่อนๆที่ส่งมาตามข้อความของนาง  ข้าจึงเอ่ยปากบอกให้นางแสดงตนเพื่อดูใบหน้านั้น  เพื่อที่ข้าจะได้กินนางยังไงล่ะ!

    “กินเนี่ยนะ” คิมหันต์ ทวนอย่างไม่เชื่อหู

    “ฮะฮ่า” เบลเซบับหัวเราะอย่างสะใจ “แค่เห็นใบหน้าของยัยนั่นผ่านหน้าจอเหลี่ยมๆฉันก็หิวโดยไม่รู้ตัว  ยิ่งยัยนั่นมีพลังแห่งราคะที่เป็นบาปมหันต์แล้วข้ายิ่งหิวจนไม่รู้จะพูดยังไงข้าอยากกิน  อยากกินนางเหลือเกินรู้มั้ยถ้าข้ากินสาวสวยบริสุทธิ์แบบนั้นได้  พลังของข้าจะเพิ่มพูนขึ้นมากเพียงใด!

    ช่างเป็นถ้อยคำที่วิปลาสสมกับเป็นปีศาจเสียจริงๆ  คิมหันต์คิด

    “แล้วข้าก็ค่อยๆหาทางที่จะเข้าถึงตัวนาง  ข้าส่งแมลงวันที่เป็นของข้าออกไปทั่วเมืองและเปลี่ยนเมืองนี้ให้กลายเป็นฝน  ลูกๆของข้าจะได้เพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว  และในที่สุดข้าก็เจอนางจนได้” มันกัดฟันกรอด  “แต่นางดันเป็นร่างทรงนี่น่ะสิ  ทำให้ข้าไม่สามารถกินนางหรือฆ่าได้  ข้าจึงพุ่งเป้าไปที่พี่ชายของนาง...”

    “จะ...จิตติงั้นหรอ” กวีถามพลางสำลักน้ำฝน

    มันพยักหน้าเนิบ “ข้าก็เลยปล่อยลูกสมุนของข้าเข้าไปอยู่ในร่างของพี่ชายมันยังไงเล่า!” เจ้าปีศาจละเลงเสียงหัวเราะอย่างสะใจ “ข้าค่อยๆย้ายร่างเข้าไปอยู่ในร่างนั้น  แล้วค่อยๆกลืนกินจิตใจของมันทีละน้อยๆ คอยแทรกแทรงจิตใจมันแล้วออกตามล่าอาหารของข้าทุกๆคืน!  รอคอยสักวันที่ข้าจะหาทางกินร่างของนางให้ได้สักวันหนึ่ง!

    แปลว่าชายในชุดกันฝนที่ปรากฏตัวขึ้นบ่อยๆก่อนหน้านี้คือจิตติอย่างไม่ต้องสงสัย  คิมหันต์คิด “เข้าใจแล้ว  งั้นแกก็แสดงเป็นจิตติมาตลอดเวลาที่รู้จักฉันสินะ” เขาถาม

    “หึหึหึ  ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นเล่า!” เบลเซบับเดินเข้ามาใกล้ศพของแอนแล้วใช้เท้าเขี่ยดูสภาพที่น่าอเนจอนาถของเธอ “ฉันก็ปล่อยให้ร่างจริงของมันแสดงเองสิ  ฉันแค่คอยเฝ้าดูอยู่ข้างในตัวของมันไม่ดีกว่าหรอฮ่าฮ่าฮ่า  ฉันจะบอกให้เอาบุญนะฉันเป็นคนควบคุมแมลงวันให้โจมตีพวกแกในวันที่พวกแกเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์นั้นเอง!

    คิมหันต์จำได้ดีในตอนที่เขาถูกฝูงแมลงวันบินมาทำร้าย  และถ้าเรื่องนี้เป็นจริงตามที่เล่าคนที่เผาอพาร์ตเม้นต์นั้นก็คงเป็นจิตติอย่างไม่ผิดแน่ “งั้นแกก็เป็นคนเผาอพาร์ตเม้นต์นั้นใช่มั้ย”

    “ถูกต้อง!...” เบลเซบับกล่าวอย่างภูมิใจ “ข้าเข้าควบคุมเจ้านั่นให้เผาทั้งชั้นให้ราบเพื่อทำลายหลักฐานยังไงล่ะ!  ฮ่าฮ่า! แล้วพอไม่มีหลักฐานพวกเจ้าก็ตามจับตัวข้าไม่ได้อีกต่อไป  ไม่แม้แต่จะเอื้อมคว้าถึงตัวข้าได้ถ้าข้าไม่เชิญพวกเจ้ามา!

    แต่เมเดียกลับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายพลางพูดขึ้น “รู้มั้ยการที่ท่านทำแบบนั้นทำให้ข้าต้องเหนื่อยขนาดไหนที่จะตามท่านแล้วหยุดท่านซะ”

    เบลเซบับหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่เธอ

    “ข้าจำเป็นต้องกินอย่างที่พวกเจ้ากินนั่นแหละมนุษย์ข้าจำเป็นต้องล่าไม่เช่นนั้นข้าจะอ่อนแอ!” เบลเซบับตะคอกใส่หน้าของผู้รับใช้

    “แต่ทว่าการกินของท่านเป็นการขัดขวางแผนการของเราอยู่อ้อมๆ  องค์กรของเราไม่อยากให้มนุษย์ตายแม้จะแค่หยิบมือ  ข้าเลยต้องออกตามหาท่านอีกครั้ง  แล้วข้าก็พบกับ...แอน”

    “ที่เธอชักดาบใส่แอนตอนแรกเห็น  แปลว่าเธอรู้ทันทีสินะว่าแอนเป็นร่างทรง” คิมหันต์ถาม

    เมเดียส่ายหัวพลางขำ “เปล่าหรอก...เด็กคนนี้แผ่พลังชั่วร้ายร้ายออกมาจนฉันเข้าใจผิดว่าเธอเป็นปีศาจ แต่จริงๆแล้วเธอกลับเป็นร่างทรงเหมือนฉันซะได้  แต่พี่ชายของเธอนี่สิที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างสิงอยู่  ฉันก็เลย...” แล้วเมเดียก็เดินไปไกล้ร่างของเบลเซบับแล้วไล้นิ้วไปตามแผงอกที่กำยำของเขา “พยายามเข้าใกล้เขาแล้วตีสนิทกับร่างของยังไงล่ะ”

    คิมหันต์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสองคนนี้จะมีความสัมพันธ์ต่อกันมาก่อน   ยิ่งมันเกิดขึ้นตอนที่เขาไม่รู้เรื่องด้วยแล้ว  นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองพลาดอะไรไปหลายๆอย่าง “เพื่ออะไรกัน...”

    เมเดียค่อยๆเอื้อมตัวมาโอบรอบคอของเบลเซบับแล้วตอบเสียหวาน “เพื่อให้ฉันมันใจไงล่ะว่าฉันกำลังคุยอยู่กับปีศาจตัวจริงไม่ใช่ตัวปลอม  จนเมื่อฉันแน่ใจฉันจึงเปิดเผยตัวต่อหน้าเขาทันที”

    “ออกไปให้พ้นจากตัวฉันซะ  เจ้ามนุษย์” เบลเซบับผลักเมเดียให้พ้นทางแล้วยกค้อนยักษ์มาพาดไว้บนบ่า

    เมเดียค้อนใส่เบลเซบับแล้วจึงหันมาพูดอย่างหัวเสีย “เอาล่ะ...ตอนนี้น้ำมนตร์คงจะหมดฤทธิ์แล้ว  เรามาจบเรื่องกันเลยดีมั้ย” ว่าแล้วเธอก็เปลี่ยนโทเท็มของตัวเองเป็นกระบี่เงินพร้อมกับดีดนิ้วเพื่อเปลี่ยนให้สภาพในบริเวณนี้ให้กลายเป็นนรก

    แล้วภาพก็ค่อยๆทับซ้อน  ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงเหมือนเพลิงโดยมีดวงอาทิตย์ร้อนระอุฉายอยู่ที่เบื้องบน  กำแพงตึกที่ล้อมสองข้างทางเอาไว้เริ่มผุพังและแตกหัก  พายุฝนที่พัดกระหน่ำอยู่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเพียงแค่ฝุ่นควันปลิวว่อนราวกับอยู่ในทะเลทราย  เมเดียกำลังเชื้อเชิญคิมหันต์เข้าสู่ยมโลก

    “ดี...ดี...” เบลเซบับครางในลำคออย่างได้ใจ “ข้ากำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!

    แล้วทันใดนั้นร่างกายของเจ้าชายแห่งนรกก็พลันเกิดปฏิกริยา  ร่างกายของมันขายใหญ่ขึ้นแต่ไม่ใช่ด้วยมัดกล้ามแต่กลับเป็นชั้นไขมันจำนวนมากที่ขึ้นมาแทนที่  พุงของมันโย้ลงมาล้ำหน้าจนดูน่าเกลียด  ลำตัวของมันเริ่มพองเหมือนลูกบอลที่ถูกสูบลมใส่  มันอ้วนเสียจนตอนนี้มันดูไม่มีคอเสียด้วยซ้ำ  มิหนำซ้ำเขาวัวของมันก็เริ่มผุดออกมาจากกลางหัวดูน่าเกลียดน่ากลัว

    “ไอ้ตัวน่าเกลียด...” กวีพยุงตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆในขณะที่ร่างกายของเขากำลังซ่อมแซมตัวมันเองอยู่  เขาเงื้อดาบขึ้นแล้วพุ่งเข้าหาเมเดียหอย่างไม่รีรอ

    เคร้ง!

    ดาบและกระบี่ปะทะกันจนสะเก็ดไฟปะทุ  เมเดียล่าถอยไปด้วยแรงของกวีที่มีมากกว่า  แต่ว่าเธอก็ว่องไวเกินคาดโดยการก้มเตะเข้าที่ขาของกวีจนเสียหลักแล้วจ่อใบดาบเข้าที่ลำคอของเขา “ฉันไม่อยากฆ่านาย  เพราะฉะนั้นนายถอยไปดีกว่า”

    “ไม่อยากฆ่าหรือฆ่าไม่ได้” กวียอกย้อน เขาลุกขึ้นแล้วจับคมกระบี่ของเมเดียให้แทงเข้าที่ไหล่ซ้ายของตนอย่างไร้ความเกรงกลัว  พร้อมกับโผเข้าหาเมเดียที่ได้แต่ตะลึง

    กวีพลันเฉือนคมดาบของเขาเข้าที่ต้นแขนขวาของเมเดีย

    “โอ๊ย!” เมเดียชักดาบออกจากไหล่ของกวีพลางถอยไปตั้งหลัก  เลือดสดๆไหลลงมาจนสัมผัสกับพื้นนรก “เธอจะต่อสู้โดยเอาตัวเข้าแลกไปถึงเมื่อไหร่กัน”

    ระหว่างนั้นแผลบนหัวไหล่ของกวีค่อยๆสมานกลับดังเดิม  เขารู้ว่าตัวเองเจ็บเสียจนชินไปเรียบร้อยแล้ว “แล้วทำไมเธอถึงเลือกเส้นทางนี้กัน”

    เมเดียครางฮึ่มในลำคอพร้อมใช้มือข้างซ้ายที่ตัวเองไม่ค่อยถนัดเป็นข้างจับดาบ “เพราะว่าฉันไปในเส้นทางของเธอไม่ได้ล่ะมั้ง”

    เคร้ง! ดาบและกระบี่เชือดเฉือนกันอีกครั้งหนึ่ง  แถมคราวนี้ผู้ใช้ดาบดูจะรุกหนักเสียยิ่งกว่าเดิม

    “ฉันไม่เข้าใจ...เธอควรจะต่อสู้เพื่อปกป้องตระกูลเรา” กวีพูดอย่างใจเย็นแม้ท่วงท่าที่เขาลงดาบนั้นจะหนักแน่นกว่าคำพูด

    “ตระกูลสวะที่ฆ่าแม่ฉันตายอย่างนั้นหรือ...” เมเดียตอบ  กวีสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นและเจ็บปวดในน้ำเสียง  และกวีเองยังตัวชาและรู้สึกคล้อยตามไปกับสายตาเคียดแค้นของเมเดียในวินาทีนั้น

    “เมเดีย...”

    “ไม่ต้องมาสงสารฉัน!” เธอตวาดแล้วตวัดอาวุธเฉือนที่ข้อมือของกวีเสียจนเลือดไหลพร้อมส่งให้ดาบหนักๆของเขากลิ้งตกไปบนพื้นที่เปื้อนฝุ่น “เด็กเมื่อวานซืนที่ไม่มีปัญญาเปิดโทเท็มของตัวเอง  แถมยังใช้โทเท็มของพ่อฉันสู้ฉันไม่มีอะไรจะต้องอิจฉานายเลยแท้ๆแล้วทำไม...”

     เสียงของเมเดียดูสั่นเครือขึ้นมา  น้ำตาของเธอไหลเยิ้มลงมาจนเปรอะมาสคาร่า “ทำไม...กัน...” เธอส่งกระบี่เล่มเล็กของเธอเสียบผ่านหน้าท้องข้างซ้ายของกวีเข้าไป  เลือดสดๆไหลออกมาจากมุมปากของกวีแล้วเขาก็ทรุดลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง “ทำไมฉันถึงอิจฉาพลังของนาย  พลังที่ดีแต่ทำให้นายเจ็บปวดไม่มีสิ้นสุด  ทำไมฉันถึงอิจฉาแม่ของนายที่เข้ามาแทนที่แม่ของฉัน  ทำไมฉันถึงต้องอิจฉาคนทั้งโลกที่ไมได้สูญเสียแม่ไปแบบฉัน  ทำไม...ทำไมฉันต้องอิจฉาด้วย  ฉัน...ฉัน...”

    “พูดมากไปแล้วโรส!” เบลเซบับร่างอ้วนคำราม  ตอนนี้มันกำลังบีบคอคิมหันต์อยู่อย่างเลือดเย็น “ตัดคอมันซะ  แยกหัวออกจากตัวมันก็คงไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วล่ะมั้ง”

    “เมเดีย...ฉัน...” กวีอ้าปากจะพูด  แต่เมเดียชักกระบี่กลับมาถือไว้แล้วเงื้อขึ้นสูงหมายจะตัดคอน้องชายตัวเองให้ดับดิ้น

    ผัวะ! ทันใดนั้นเองเมเดียก็ล้มคะมำลงกับพื้น  ลลิตที่ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังพร้อมกับท่อนไม้ฟาดเข้าใส่ที่หลังของเมเดียอย่างแรง “เธอจะฆ่าน้องชายตัวเองหรือยังไงกัน!” ลลิตพูด

    “เขาตายไม่ได้!” เมเดียตวาดลั่นเสียงสั่นเครือ

    “แต่เขาก็เจ็บเป็น!” ลลิตตวาดกลับ  ตอนนี้ทั่วทั้งนรกที่ร้อนอบอ้าวดูราวกับจะเย็นวูบมาชั่วขณะหนึ่ง

    “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องจะได้มั้ย!” เมเดียฟันเข้าที่ลำคอของลลิตอย่างแรง

    ในวินาทีนั้นลลิตคงจะหัวขาดไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะกวีเข้ามาตะครุบเมเดียเอาไว้ทำให้คมดาบนั้นเฉือนบางๆไปตรงบริเวณลำคอของลลิต  เธอล้มลงแล้วเลือดสดๆก็ซึมออกมาจากปากแผล  สร้อยโทเท็มที่กวีให้ไว้แตกกระจายแล้วเสียงพร้อมกับมีเสียงพึมพำหลายเสียงแวบเข้ามาในหัวเธอ

    เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับตอนที่เธออ่านใจคน  มันทั้งสับสนและมึนงง  ตอนนี้เสียงความคิดของทุกคนในที่แห่งนี้กำลังตีกันอยู่ในหัวของลลิต

    ...กลิ่นเลือดของยัยนั่นน่าทานชะมัด...นี่คงเป็นเสียงของเบลเซบับ

    ...ลลิตเธออย่าเข้าไปสิ  ถอยไป...คิมหันต์ที่มองอยู่ขณะที่เขากำลังหนีตายคิดขึ้น

    ...เจ็บจนจะประคองสติไม่ไหวแล้ว...” กวีที่บอบช้ำคงกำลังบอกตัวเองในใจ

    ...ฉันไม่ได้อยากฆ่านายเลยกวี  แต่ถ้าฉันไม่ทำเบลเซบับจะทำ...” และนี่คงเป็นความในใจจากเมเดียถึงกวี  เธอคงเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดที่จะต้องทำอย่างนี้  ลลิตไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง  เพียงแต่ตอนนี้เธอกำลังเข้าถึงความคิดที่ลึกที่สุดในใจของคนทุกคนแล้ว 

    ใช่...เธอกำลังอ่านใจทุกคนได้อีกครั้ง

    “เมเดียถ้าคุณไม่อยากทำคุณก็ไม่ต้องทำก็ได้นะ” ลลิตรวบรวมความกล้าเพื่อพูดขึ้น  เมเดียดูตะลึงระคนสงสัยเธอกำกระบี่ในมือเสียจนสั่นระริก

    “ว่าไงนะ...”

    “แกล้งทำเป็นเสียท่าเราสิ...เร็วเข้า  ไม่เจ็บหรอก” ลลิตเร่งเร้า

    “พูดอะไรของเธอ...” เมเดียลดกระบี่ลงต่ำอย่างไม่รู้ตัว

    “ฉันรู้สึกได้ถึงความดีในตัวคุณ  ไม่รู้สิ...คุณไม่ได้อยากฆ่าน้องชายของคุณหรอกใช่มั้ยคะ” ลลิตจ้องเข้าไปในแววตาเปื้อนน้ำตาของเมเดียแล้วพยักหน้าให้เธอ “เอาเลย...คุณแกล้งทำเป็นเสียท่าแล้วเราค่อยพบกันใหม่ดีมั้ย  ซื้อเวลาให้ค่ำคืนนี้แล้วหาทางแก้ไขเรื่องต่างๆ”

    ณ วินาทีที่เมเดียลังเลกวีพลันตวัดดาบเฉือนที่ข้อมือของเมเดียบางๆจนกระทั่งกระบี่ในมือของเธอตกลงบนพื้นพลันเปลี่ยนกลับเป็นสร้อยโทเท็ม  เมเดียคุกเข่าลงขณะที่กวีเอาดาบจ่อเข้าที่คอของเธออย่างทันท่วงที

    “ลลิต  เธอรีบไปช่วยคิมเร็วเข้า  ฉันจะเฝ้าเมเดียเอง” กวีกล่าวอย่างอ่อนแรง

    ลลิตพยักหน้าหนักแน่น  เธอวิ่งห้อเข้าไปหาคิมหันต์กำลังจะถูกจับทุ่มกับกำแพงอิฐ  ลลิตคว้าเอาถังขยะเปล่าๆที่ตกอยู่ขึ้นมาแล้วจับทุ่มใส่หัวของเบลเซบับ 

    ก๊อง!

    แต่มันก็ทำให้อีกฝ่ายแค่ชะงักเท่านั้น  ปีศาจตวัดสายตากลับมาแล้วปล่อยร่างของคิมหันต์ให้ตกลงบนพื้นอย่างไร้ค่า “รนหาที่ตายจริงนะแม่สาว...”

    “ก็คงงั้น  แล้วแกมีจุดอ่อนบ้างมั้ยล่ะ” ลลิตถามขึ้น “แบบแทงตรงไหนแล้วตายอะไรพวกนี้”

    “เฮอะ!” เบลเซบับแค่นหัวเราะ  มันก้าวเข้ามาใกล้ลลิตเรื่อยๆแถมทุกย่างก้าวของมันก็แทบทำให้พื้นดินสะเทือน “ข้าเป็นเจ้าชายแห่งนรกนะ  ของแบบนั้นจะไปมีได้ยังไงกันเล่า!

    แต่ลลิตไม่ได้อยากจะได้ยินคำโอ้อวดนั้น  เธอไม่คิดว่าปีศาจจะมีจิตใจ  แต่ถ้าความคิดล่ะก็มันน่าจะมีอยู่บ้าง  เธอเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังอยู่ในหัว ...เจ้าพวกโง่  ถ้าแค่แทงข้าด้วยหอกบ้านั่น  ข้าก็ตายแล้วแท้ๆ  ช่างไร้ไหวพริบกันเสียจริง...”

    แล้วรอยยิ้มมีชัยก็ปรากฏที่มุมปากของเธอ “อ๋อ...ขอบคุณที่บอกนะคะ” ลลิตรีบวิ่งอ้อมเข้าไปประคองร่างของคิมหันต์ทันที “คิมเร็วเข้าหยิบหอกนั่นขึ้นมา  ฉันหมายถึงมีดคัตเตอร์น่ะ”

    “อ...อะไรนะ” คิมหันต์กล่าวอย่างอ่อนแรง  เลือดเริ่มแห้งกรังที่ตาซ้ายและบริเวณแก้ม “ฉันจะไปสู้มันได้ไง”

    “แทงมันด้วยหอกนี่จังๆแล้วเราก็จะได้จบเรื่องนี้ยังไงล่ะ” ลลิตพูดแล้วกุมมือของคิมไว้พร้อมกับมีดคัตเตอร์ที่ไม่แม้แต่จะส่องแสงใดๆ

    “ลลิต...ถอยไป  อย่าเข้ามา  มันอันตราย...” คิมหันต์พึมพำ

    “เชื่อฉันเถอะน่า  กล้าๆหน่อยสิ  หอกนี่จะได้เปล่งแสงไง  แล้วเธอก็แทงมันอีกแผลก็ชนะแล้ว  เถอะนะ  ฉันขอร้องมีแต่นายที่ใช้มันได้” ลลิตวิงวอน  คิมหันต์ดูครั่นคร้ามชั่ววินาทีหนึ่งก่อนที่เขาจะพยุงตัวลุกขึ้นแม้แทบจะสิ้นแรงก็ตาม

    “เอางั้นก็ได้...เพื่อเธอนะ” เขามองเข้าไปในดวงตามุ่งมั่นของลลิตแล้วไฟแห่งความกล้าก็พลันจุดติดในใจของคิมหันต์อีกครั้ง  เขากุมมีดคัตเตอร์ในมือขึ้นสูงแล้วมันก็ค่อยๆเปล่งแสงเรืองรองสีฟ้าอ่อนในนรกอันร้อนระอุ

     เบลเซบับกำลังทะยานเข้ามาหาเขาโดยเร็ว  ค้อนยักษ์ในมือของมันเงื้อขึ้นและคิมหันต์ก็ไม่คิดจะเตรียมตัวหลบด้วยซ้ำ  คราวนี้เขาพร้อมที่จะเดิมพันครั้งใหญ่กับการแทงเพียงครั้งเดียว  เขาจะต้องแทงมันให้ถึงก่อนที่เขาจะโดนทุบ 

    แล้วร่างใหญ่ๆของปีศาจก็ใกล้เข้ามาหาเขาแล้ว  คราวนี้มันเงื้อค้อนเสียจนบดบังพระอาทิตย์  คิมหันต์ใช้จังหวะนั้นรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อก้มตัวแทงเข้าที่อกของปีศาจอย่างสุดพลัง

    ฉึก!

    แล้วมีดเล่มเล็กๆก็พลันเปล่งแสงถึงขีดสุด  มันเปลี่ยนตัวมันเองให้กลายเป็นหอกสีทองคำแวววาว  ดัดตัวออกแล้วแทงทะลุเข้าที่หน้าอกของเบลเซบับพอดี  “ม่ายยยยยยยยย!” เจ้าชายแห่งหมู่แมลงวันกรีดร้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของเขาจะสลายกลายเป็นฝูงแมลงวันบินว่อนไปทั่วท้องฟ้าของนรก

    ภาพทุกอย่างพลันเปลี่ยนแปลงอีกครา  คราวนี้ทั้งหมดกลับมาอยู่ในซอกตึกมืดๆดังเดิม  แสงจันทร์สาดส่องลงมายังร่างที่ไร้ชีวิตของแอนและสภาพที่รวยรินของทั้งคิมหันต์และกวี  ลลิตเข้ามาประคองคิมเอาไว้ทันทีที่เขาทำท่าจะล้ม

    “ได้ผลจริงๆด้วย...” คิมหันต์กล่าวพลางหอบหายใจ

    “นั่นสิเนอะ  ก็นายเก่งนี่” ลลิตยิ้มรับ

    ปัง! เสียงปืนดังสนั่นซอกตึกที่มืดมิด  ลลิตมองเห็นประกายไฟจากกระบอกปืนอยู่ทางหางตา  แล้วร่างของกวีก็ล้มแน่นิ่งไปกับพื้น  เมเดียถูกกระชากโดยใครบางคนที่ปรากฏตัวขึ้น  เขาสวมผ้าคลุมสีดำปกปิดร่างกายตัวเองเอาไว้ “ไปกันได้แล้ว” เสียงของผู้ชายที่ฟังดูขี้เล่นกล่าว

    “แมมม่อน” เมเดียพึมพำ “บอสส่งแกมาหรอ” เมเดียพยายามเดินลากสังขารตามชายคนนั้นไป

    “แมมม่อนงั้นหรอ” ลลิตพึมพำ  “เดี๋ยว!” เธอรีบปล่อยให้ร่างของคิมหันต์ตกลงกับพื้นแล้ววิ่งตามสองคนนั้นไป

    แต่ร่างของแอนถูกช้อนไว้บนบ่าของชายผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว  มันหันมายิ้มกว้างให้กับลลิตและโบกมือลา  จากนั้นร่างของทั้งสองคนพร้อมกับศพของแอนก็พลันสลายกลายเป็นฝุ่นควัน  ทิ้งไว้แต่เพียงเหรียญเงินสีทองกับธนบัตรที่ลลิตไม่คุ้นตา

    “บ้าจริง” ลลิตสบถ  ก้มลงเก็บเศษเงินที่ไม่น่าจะใช้ในประเทศนี้ได้ขึ้นมามองดู “เกือบตามทันแล้วเชียว”

    “ช่างเถอะลลิต  ยังไงมันก็จบลงซะที” คิมหันต์กล่าวอย่างอ่อนแรง  เขาคลานเข้าไปดูร่างที่สลบเหมือดของกวี “ดูเหมือนหมอนี่มันหลับอยู่เลยเนอะ”

    “ฮิฮิ” ลลิตหัวเราะแล้วเดินเข้ามามองดูกวีที่กำลังกรน  กระสุนที่ทำมาจากเหรียญเงินถูกเนื้อหนังที่สร้างขึ้นมาใหม่ดันออกมาจากหน้าท้องของกวีแล้ววางอยู่ตรงท้องของเข้าพอดี “สังเกตอะไรมั้ยคิม”

    “หือ...สังเกตุอะไรล่ะ” คิมหันต์ถามพลางทิ้งตัวลงนอนข้างๆตัวของกวี  มองดูหมู่ดาวที่พร่างพรายในขณะนี้

    “ฝนหยุดตกแล้วละ”

    และก็เป็นดั่งที่ลลิตว่าจริงๆ  คืนนี้เป็นคืนที่ท้องฟ้าเปิดกว้าง  แสงจันทร์กระจ่างกว่าที่เคยเป็น  ไม่มีเมฆทะมึน  ไม่มีท้องฟ้าสีดำทว่าเป็นสีน้ำเงิน  หยดฝนที่ตกลงมาประปรายกลับถูกแทนที่ด้วยกระจุกดวงดาวส่องแสงสว่างระยิบระยับ  ไม่มีอีกแล้วกลิ่นของฝน  ทิ้งไว้แต่เพียงไอเย็นๆแห่งการจากลาของความหม่นหมอง  ทุกความเศร้าหมองกำลังจะค่อยๆปลดเปลื้อง  คอยให้เหมันต์ฤดูเข้ามาเยือนในอีกไม่ช้า...



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×