ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #23 : ChapT21 ("When It Rain") ; นครแห่งฝน

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 55


    กลิ่นกุหลาบจางลงไปแล้ว  ทิ้งไว้แค่เพียงห้องที่มืดมิดและเหน็บหนาว  เสียงของสายฝนข้างนอกยังคงดังเคล้าไปกับเสียงกบร้องโหวกเหวกน่าหนวกหู  สายฟ้าแลบแปลบใหญ่รอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไหวเข้ามาในห้องพลันปลุกให้กวีตื่นจากการหลับใหล 

    เขาเหยอเปลือกตาหนักๆขึ้นมองความมืดมิด  โชคดีที่เขาไม่ได้ปวดหัวตุบๆแบบเมื่อครู่นี้แล้ว  เพียงแต่ว่าเขายังคงง่วงอยู่  มันเป็นความง่วงที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาชนิดที่ว่าทำให้แขนขาหนักขึ้นเป็นตันๆได้จนไม่อยากจะยกขึ้นมา  แต่กวีก็ยังต้านทานความง่วงนี้เอาไว้  เขายันพื้นขึ้นนั่งพร้อมคลำโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง

    แต่ทว่าไม่พบอะไรอยู่ข้างในนั้น  เขาเดาว่ามันคงจะไม่อยู่ในกระเป๋าเขาอยู่แล้วแหละ  และขณะเดียวกันสายฟ้าก็ฟาดเข้ามาในห้องทำให้กวีเห็นโคมไฟที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงเข้า  กวีค่อยๆก้าวอย่างระมัดระวังไปใกล้ๆโดยพยายามจะไม่ไปเตะอะไรเข้า  แต่ความง่วงนี้ยังคงจู่โจมเขาอย่างหนัก  มันทำให้สมองของเขาตื้อจนคิดอะไรไม่ออก  กวีหยิกแขนตัวเองอย่างแรงแล้วตบเข้าที่สวิชต์โคมไฟแรงๆ

    แสงสว่างจ้าสีส้มนั้นแทบทำให้กวีตาบอด  แม้ไม่ไม่ได้บอดจริงๆแต่เขาก็มองไม่เห็นอะไรไปสักห้าวินาที  กวียกแขนขึ้นมาบังดวงตาไว้เพื่อไม่ให้แสงเหล่านั้นทำร้ายเขามากไปกว่านี้  และเพียงรอแค่ไม่กี่วินาที  สายตาของกวีก็ปรับสภาพได้ดีขึ้น

    กวีมองไปยังประตูห้องแล้วรีบรุดเข้าไปโดยเร็ว  แต่จู่ๆสติเขาก็วูบตกทันที  กวีล้มลงบนพื้นห้องเย็นๆที่บัดนี้มันเป็นดั่งเตียงที่ปูด้วยปุยเมฆคอยรองรับร่างกายและความอ่อนล้าของเขาเอาไว้  เจ้าตัวกัดลิ้นตัวเองเอาไว้เพื่อให้ความเจ็บปวดเป็นตัวยื้อไม่ให้เขาหลับ  อีกทั้งมืออีกข้างก็พยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งให้ได้ 

    และใช้ความพยายามนิดหน่อยเขาก็ล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงบานประตูจนได้  เขากุมลูกบิดแน่นแล้วบิดมันอย่างแรงจนกลิ่นกุหลาบที่ทำให้เขาง่วงโชยมาแตะจมูกเขาอีกครั้ง

     

    คิมหันต์และลลิตฝ่าฝูงชนและการจราจรที่ติดขัดมาจนถึงซอกตึกเก่าๆที่มีแต่ความมืดมิดข้างใน  มันเป็นช่องว่างแคบๆที่ชื้นแฉะและเหม็นอับที่ไม่เป็นที่สนใจของคนทั่วๆไป  อีกทั้งบนท้องฟ้านั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีที่อุบาทว์ที่สุดเท่าที่คิมหันต์พอจะจินตนาการออก  เพราะมันเริ่มกลายเป็นสีดำผสมไปกับสีแดงปนเหลือง  ทำให้เขานึกถึงแผลเน่าๆที่ช้ำเลือดช้ำหนอง  และยิ่งไปกว่านั้นเสียงหึ่งๆของฝูงแมลงวันก็แทบทำให้เขาหัวเสีย  ช่างผิดกับลลิตที่ดูมุ่งมั่นและตื่นตัว  เธอเดินอย่างกล้าหาญจนมาหยุดอยู่ที่กำแพงสีดำมหึมาที่ทำจากแมลงวันนับล้านๆตัวที่กั้นช่องตึกนี้เอาไว้จนไม่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นอะไรเลย

    “เอายังไงดี  เราไม่รู้ว่าแมลงวันพวกนี้มีเยอะขนาดไหน  จะให้ฝ่าเข้าไปก็คงจะไม่ไหว” ลลิตถามขึ้นมา

    คิมหันต์สารภาพในใจว่าเขาตื่นกลัวและเป็นกังวลเอามากๆเพราะเขาเคยถูกแมลงวันตัวหนึ่งบินเข้าไปในหู  แล้วไม่นานนับจากนั้นเขาก็เห็นภาพนิมิตอะไรบางอย่างอยู่บ่อยครั้ง  และทุกๆครั้งมันก็จะจบลงด้วยความเจ็บตัวที่ถ้าไม่ใช่ของเขาก็เป็นของใครสักคน  เขาจึงไม่ค่อยจะถูกกับแมลงวันพวกนี้นัก  ยิ่งไปกว่านั้นเบลเซบับยังเคยพูดว่าเขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งที่เอาไว้ฆ่าแอนเท่านั้น  เขาจึงไม่แน่ใจว่าควรจะฝ่ากำแพงมีชีวิตนี้เข้าไปดีหรือเปล่า

    “เอาเถอะคิม” ลลิตแตะบ่าของคิมแล้วบีบมันเบาๆ “แม้ฉันจะไม่ต้องอ่านใจของนายได้แบบที่ทำกับคนอื่นๆ  แต่นายก็ซ่อนสีหน้าเป็นกังวลแบบนั้นจากฉันไม่พ้นหรอก”

    คิมหันต์ยิ้มน้อยๆแล้วถามกลับ “ทำไมเธอถึงชอบคิดว่าฉันแบกรับอะไรไม่ไหวอยู่เรื่อยเลยนะ” แล้วเขาก็ล้วงอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงออกมา “เธอคงไม่คิดว่าฉันจะปล่อยผู้หญิงคนเดียวเข้าไปในนั้นใช่มั้ย”

    “เอ่อ...นั่นมัน...” ลลิตอ้ำอึ้ง

    ใบมีดคัตเตอร์บางๆถูกดันออกจากด้ามจับจนสุด  มันทอแสงสว่างนวลตาสีฟ้าอ่อนอยู่ในความมืดมิด  ลลิตมองอาวุธในมือของคิมหันต์อย่างตกใจระคนทึ่ง  คิมหันต์กระชับมันแน่นในกำมือแล้วยื่นมันออกไปข้างหน้าตรงอากาศว่าง  แล้วทันใดนั้นเองฝูงแมลงวันจำนวนหนึ่งก็แตกฮืออย่างรวดเร็วราวกับกับถูกจี้ด้วยไฟร้อนๆ  พวกมันแต่ละตัวบินออกห่างจากบริเวณที่แสงสว่างนั้นสาดส่องไปถึง  เขาค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆโดยมีลลิตเดินตาม

    ทุกทีที่แสงจากมีดคัตเตอร์ส่องไปตรงไหน  ฝูงแมลงวันก็จะบินหนีอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นความมืดมิดที่หวาดกลัวต่อแสงสว่าง  คิมหันต์ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวแล้วเขาก็ทะลุผ่านกำแพงที่น่าขยะแขยงนั้นมาได้อย่างไม่ทันจะรู้ตัว

    ภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้ามีเพียงร่างของแอนที่แน่นิ่งไม่ไหวติง  เธอไม่แม้แต่จะหอบหายใจหรืออะไร  และยิ่งไปกว่านั้นบริเวณท้องของเธอก็ยังเต็มไปด้วยเลือดชุ่มๆที่เจิ่งนองมาถึงพื้น  ในวินาทีแรกเขาคิดว่าเธอคงจะตายไปแล้ว

    ลลิตรีบเข้าไปประคองเธอทันทีในขณะที่คิมหันต์ได้แต่นิ่งอึ้ง “ธ...เธอยังไม่ตาย!” เธอตระโกนหลังจากทาบหูลงบนหน้าอกของแอน “คิมระวังตัวด้วยนะ  ศัตรูอาจจะซุ่มอยู่แถวๆนี้”

    แล้วก็เป็นดั่งที่ลลิตพูด  ฝูงแมลงวันเหนือหัวของคิมหันต์พลันแตกฮือเหมือนบ่อน้ำที่ถูกระเบิด  ใครบางคนพุ่งทะยานมาจากเบื้องบนแล้วเงื้อค้อยยักษ์ในมือหมายจะทุบผู้บุกรุกเสียให้ดับดิ้น  แต่คิมหันต์ถลันหลบอย่างรวดเร็วจนค้อนหนักๆทุ่มเฉียดชายเสื้อของเขาไปเพียงเล็กน้อย  ส่งให้กระแทกเข้าที่พื้นเสียจนกระดูกในหูของคิมสั่นสะเทือน  คิมหันต์ใช้โอกาสที่อีกฝ่ายเผยช่องว่างแทงมีดเข้าที่ต้นคออย่างรวดเร็ว  แต่มันรู้ทันจึงก้มหัวหลบพร้อมถีบเข้าที่ท้องของคิมหันต์จนเขากระเด็นไปข้างหลัง

    พลั่กโครม!

    เพราะนี่คือความเป็นจริงที่ไม่ใช่การ์ตูนหรือภาพยนตร์  ความเจ็บปวดนี้จึงทำให้คิมหันต์เจ็บเสียจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ง่ายๆ  เขากุมท้องเอาไว้และพยายามกระชับมีดคัตเตอร์ไว้แม้จะยากลำบาก แต่แค่นั้นก็ลำบากพอที่จะทำให้เขาไม่ทันระวังข้างหลังตัวเอง 

    เพราะตอนนั้นเองฝูงแมลงวันจำนวนมากก็พลันถาโถมเข้ามาใส่คิมหันต์เหมือนกับกระแสน้ำ  คิมหันต์รู้สึกอึดอัดและขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก  มือทั้งสองพยายามบ่ายไปมาไม่ให้แมลงวันบินเข้ามาในปากหรือหูอีกครั้ง  แต่สิ่งที่น่ากลัวกลับไม่ใช่แมลงวันแต่มันเป็นเบลเซบับที่กำลังจะเปิดฉากโจมตีเขาซ้ำสอง 

    ตึงคิมหันต์ได้ยินเสียงกระแทกของพื้นดังสนั่นอยู่ข้างๆหูและเป็นจังหวะเดียวกับที่แมลงวันหยิบมือหนึ่งบินเข้ามาในรองเท้าเสียจนเขาเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นแฉะๆ  แต่เขาก็นึกขอบใจพวกมันอยู่ที่ทำให้เขารอดตายเมื่อครู่  แต่ที่แน่ๆก็คือเขาไม่สามารถอยู่นิ่งได้อีกครั้งเพราะค้อนยักษ์กำลังจะลงมือปลิดชีพเขาอีกทีและคราวนี้มันคงไม่ปล่อยให้พลาดเป็นแน่

    คิมหันต์คลานหลบอย่างยากลำบากเพราะยังคงถูกตอมด้วยแมลงวันจำนวนมาก  แม้ว่ามันไม่ได้กัดกินเนื้อหนังของคิมหันต์แต่มันก็ยังทำให้เขารำคาญและเสียการควบคุมชนิดที่ว่าแค่เผยอเปลือกตามองก็ยังไม่อาจทำได้  เขาแอบเห็นร่างดำๆของซาตานกำลังเงื้อง่าค้อนยักษ์หมายจะทุบร่างของตัวเองให้แหลกละเอียด  แต่คิมหันต์ก็ไม่รู้ตัวว่าร่างนั้นใกล้เข้ามาเพียงไร  แต่ที่แน่ๆคือเขาควรจะกำจัดแมลงวันพวกนี้ออกไปให้พ้นเสียก่อน 

    “ลลิต!” เขาเรียก

    “คิมหันต์ทางซ้าย!” อีกฝ่ายตะโกนตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว  คิมหันต์ไม่เข้าใจว่าทางซ้ายที่ว่าหมายถึงเบลเซบับกำลังตามมาทางซ้าย  หรือว่าเขาควรหลบไปข้างซ้าย  แต่คิมหันต์เลือกเชื่อสัญชาตญาณตัวเองที่บอกว่าทางซ้ายไม่ปลอดภัย  เขาจึงกลิ้งไปทางด้านขวาสุดตัว

    ตูม!

    แล้วก็จริงดังที่คิด  ค้อนยักษ์เฉียดผ่านปลายเท้าของคิมหันต์ไปเล็กน้อยเท่านั้น  เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำเอาหัวใจเขาเต้นรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความกลัว  ในสมองเริ่มเห็นภาพตัวเขาเองกำลังถูกทุบด้วยค้อนยักษ์เหมือนเหยื่อคนก่อนๆที่เขาเห็นในนิมิต 

    แล้วถ้าเมื่อกี้เขาหลบไม่พ้นล่ะ  ถ้าเขาตัดสินใจผิดพลาดเมื่อกี้นี้ล่ะ  เขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา  เขามีความกลัวและความเจ็บปวด  เขายังคงจุกที่ท้องน้อยอยู่ตลอดเวลา  และแค่จะวิ่งหนีไปมั่วๆก็แทบทำให้เขาเองหมดแรง  แถมยังไม่ต้องพูดถึงตอนที่เขาถูกฝูงแมลงวันรุมตอมจนลืมตาไม่ขึ้น

    “คิมฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ  แต่มีดของนายไม่มีแสงแล้ว  แล้วพวกแมลงวันก็ไม่กลัวนายแล้วด้วย!” เสียงของลลิตตะโกนมา  คิมหันต์เองก็ไม่เข้าใจในข้อนี้เช่นเดียวกัน 

    และจู่ๆเขาก็สะดุดกับอะไรบางอย่างที่คงจะเป็นหนูตัวใหญ่ๆจนล้มลงกับพื้น  น้ำคลำเหม็นๆกระจายเปียกผมแล้วหัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเสียงลากค้อนครืดๆเริ่มใกล้เข้ามาราวกับมัจจุราชที่กำลังมาพาเขาไปนรก

    โครม!

    แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตรงหน้า  มันเป็นเหมือนเสียงกระป๋องน้ำอัดลมที่ถูกบี้  แล้วหลังจากนั้นเบลเซบับก็พูดขึ้นด้วยเสียงแหบๆที่คล้ายกับเป็นเสียงคำรามว่า “ข้าตั้งใจจะเก็บเจ้าไว้สังหารทีหลัง  เจ้าไม่ต้องรีบรนหาที่ตายเร็วนักก็ได้แม่สาว”

    “หุบปากซะ!  ฉันไม่สนหรอกว่าแกเป็นใคร  แต่แกจะทำอะไรเพื่อนฉันไมได้!” ลลิตตะโกนลั่น  แล้วเสียงกระแทกของกระป๋องถังขยะก็ดังตามมาอีกสองสามครั้ง  คิมหันต์เข้าใจว่าลลิตคงพยายามถ่วงเวลาให้  แต่เขาก็รู้ดีว่ามันก็เป็นเหมือนหยดน้ำที่รดลงบนก้อนหินหรือก็คือช่างเปล่าประโยชน์

      แต่จะว่าไปหยดน้ำรดลงบนหินทุกวันหินยังกร่อนได้  เพราะฉะนั้นการซื้อเวลาเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ก็ย่อมมีค่าสำหรับคิม

    คิมหันต์เริ่มมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง  เขารู้เพียงแค่ว่าต้องปกป้องลลิตเอาไว้  และจะต้องให้เวลาเพียงน้อยนิดเหล่านี้พลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้  และทันใดนั้นเองหอกแห่งชะตากรรมก็ทอเรืองแสงด้วยตัวมันเอง  แสงสว่างสีฟ้าพลันขับไล่เหล่าแมลงวันน่ารำคาญออกไปจากร่างกายของคิมหันต์เสียจนหมด

    คิมหันต์กระพริบตาถี่ๆและมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  และภาพที่เห็นก็คือลลิตกำลังถูกบีบคอเสียจนตัวลอยด้วยมือเพียงข้างเดียวของเบลเซบับ  อีกฝ่ายนั้นไร้ซึ่งบาดแผลและผิดกับคิมหันต์อย่างสิ้นเชิง  คิมไม่รอช้าพุ่งเข้าหาร่างของเจ้าปีศาจที่หันข้างให้พร้อมเสือกแทงมีดในมือเข้าที่เอวของอีกฝ่ายจนมิดด้าม

    ฉึก!

    ณ วินาทีที่คมมีดแทงลึกผ่านเสื้อกันฝนและเข้าไปในซี่โครงของเบลเซบับ  ฝูงแมลงวันนับล้านก็พลันแตกฮือราวกับเกิดการระเบิดขึ้น  คิมหันต์ยกมืออีกข้างขึ้นมาป้องดวงตาแล้วชักมีดกลับคืนมาดังเดิม

    หยดเลือดสีดำราวคล้ายน้ำมันดิบไหลหยดลงบนพื้นท่ามกลางสายตาตะลึงงันของลลิตและและของตัวมันเอง  แม้ใบหน้าของปิศาจผู้นี้จะซ่อนไว้ใต้เงามืดของเสื้อคลุม  แต่คิมหันต์เดาได้ว่ามันคงจะเหยเกและงงงวยจนน่าตลกเป็นแน่

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!” เบลเซบับแผดเสียงร้องลั่นราวกับว่าไม่เคยตะโกนมาก่อน  มันดังก้องไปสามช่วงตึกจนคิมหันต์เองยังรู้สึกหนวกหู  เสียงหึ่งๆของฝูงแมลงวันก็เช่นเดียวกัน  พวกมันตอบรับเสียงแผดร้องนั้นโดยการบินวนไปมาอย่างไร้ทิศทางและบางตัวก็เริ่มตายและตกลงบนพื้นราวกับหิมะสีดำ “เป็นไป...เป็นไปไม่ได้!” เบลเซบับพึมพำอย่างเสียสติ  มันเอามือแตะที่ปากแผลตัวเองแล้วยกขึ้นมาดูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

    “แทงได้สวยนี่คิมหันต์” ลลิตออกปากชมพรางถูคอไปมา  รอบๆคอยังคงมีรอยแดงจากการถูกบีบอยู่

    “ต้องขอบใจเธอล่ะ”

    “เฮือก...ไม่เป็นไปไมได้ไม่มีอะไรที่ทำร้ายข้าได้!” เบลเซบับหอบหายใจจากลำคอ  เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธเกรี้ยว “หิว...หิว....ข้าหิวเหลือเกิน” ฉับพลันทันใดมันก็เริ่มคลานอย่างทุรนทุรายไปยังถังขยะที่ล้มระเนระนาดพร้อมคว้าเอาเศษขยะมาเคี้ยวอย่างน่าสมเพช  จนน้ำขยะไหลเยิ้มออกมาจากมุมปาก  คิมหันต์ไม่อาจมองภาพที่เห็นได้ตรงๆเพราะเขาขยะแขยง

    แล้วไม่นานนับจากนั้น  เลือดสีดำบนปากแผลก็เริ่มหยุดไหล  คิมหันต์เดาว่าแผลของมันคงสมานตัวกลับมาเป็นเนื้อที่ติดกันแน่นเรียบร้อยแล้ว  เบลเซบับยืนขึ้นพลันกระชับค้อนในมือแน่นแล้วก็แผดเสียงหัวเราะลั่น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ไม่นานนับจากนั้นฝูงแมลงวันก็พลันบินเร็วขึ้นอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่  พวกมันบินเข้าไปหาเจ้านายของมันที่กำลังเสียสติอย่างถึงขีดสุด  คิมหันต์เห็นแมลงวันหลายต่อหลายตัวบนเข้าไปในปาก  รูหู  และไปจนถึงดวงตาของเบลเซบับ  มันช่างเป็นภาพที่น่าขยะแขยงจนทำให้เขาขนลุกเกรียวกราว

    “คิม  ตอนนี้แหละแทงมันอีกแผลเลย” ลลิตพูดขึ้นแล้วมองหน้าคิมอย่างแน่วแน่  เขาตอบรับด้วยการพยักหน้า  แต่ทันใดนั้นเอง  แมลงวันที่ยังคงบินอยู่ในหัวของคิมก็พลันส่งเสียงประท้วง  อาการปวดที่เบ้าตาซ้ายกลับมาอีกครั้ง  แถมคราวนี้ก็ดูเหมือนมันจะทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม  คิมหันต์โก่งตัวร้องอย่างทุรนทุรายจนไม่สามารถประคองมีดเล่มเดิมเอาไว้ได้จนมันตกลงบนพื้นแฉะๆ

    “บ้า...บ้าที่สุด  มาปวดอะไรตอนนี้!” คิมหันต์ก่นด่าอย่างเจ็บแค้น

    “เกิดอะไรขึ้นคิม  เกิดอะไรขึ้น!” ลลิตถามอย่างร้อนใจ

    “ฮ่าฮ่าฮ่า!” เบลเซบับที่ห้อมล้อมด้วยลูกสมุนน่าขยะแขยงกำลังหัวเราะเยาะ  มันยืนอยู่นิ่งปล่อยให้แมลงวันบินเข้ามาในร่างกายของตัวเอง “ข้าทำให้เจ้าเป็นหนึ่งในเบี้ยของข้าโดยการส่งแมลงวันเข้าไปในตัวของเจ้า...”

    “ไม่บอกฉันก็รู้น่า...โอ๊ย!” คิมหันต์ตัดบทแล้วร้องอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกอยู่ที่ข้างหลังดวงตา

    “ข้าเคยคิดว่าจะใช้เจ้ากำจัดยัยร่างทรงน่าขยะแขยงนี้” มันชี้ไปที่ร่างของแอนที่สลบอยู่ “แต่ข้าก็เปลี่ยนแผนแล้วโดยจะให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าเป็นคนลงมือ  จนกระทั่ง...” เบลเซบับยืนมือออกมาข้างหน้า  นิ้วทั้งห้าของมันชี้ตรงมายังคิมหันต์ราวกับจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง

    แล้วความรู้สึกทำยองว่าถูกกระชากเบ้าตาก็ทำให้คิมหันต์ถึงกับต้องร้องออกมา  เหมือนรู้สึกว่ามีอะไรกำลังจะดันออกมาจากลูกตาซ้าย  และอีกไม่นานลูกตาของเขาก็คงจะแหลกละเอียดเป็นเศษเนื้อแน่ๆ

    “เจ้าดันก้าวเข้ามาอยู่ในนี้โดยที่ข้าไม่ได้รับเชิญ!” มันตะโกน “ยอมจำนนต่อข้า! หรือไม่ก็ตาย! จงสังหารแม่สาวนี่ซะ! เท้าข้างหนึ่งของมันเหยีบลงบนศีรษะของแอนที่ไร้สติ  คิมหันต์กัดฟันกรอดด้วยความโกรธและแล้วเท้าสองข้างของเขาก็เริ่มก้าวขยับไปเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ  ทั้งๆที่สติของเขายังคงเป็นของเขาอยู่แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตามแม้แต่จะฝืนก็ไม่อาจทำได้

    “ลลิตหยิบมีดขึ้นมาเร็วเข้า!” คิมหันต์ส่งเสียงอย่างยากลำบาก

    “ด...ได้” ลลิตตอบรับทันที

    “กรีดเหนือตาฉันซะ  เดี๋ยวนี้เลย!” คิมหันต์ตะเบ็งเสียง  แต่ลลิตยังดูอ้ำอึ้ง  เธอถือมีดในมือไว้อย่างครั่นคร้าม

    “อะ  เอาจริงหรอ” เธอถามอย่างหวาดกลัว

     “ขอร้อง  ลลิต!” คิมหันต์ตวาดเสียงดังเสียจนลลิตสะดุ้ง  เธอรีบวิ่งไปที่คิมหันต์ก่อนที่เขาจะถึงตัวเอง แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคิมหันต์พอดี  ทั้งๆที่อีกฝ่ายยังคงเดินมาข้างหน้าอย่างช้าๆราวกับซอมบี้แต่ลลิตยังคงยืนขวางทางเอาไว้อย่างกล้าหาญ “ขอโทษนะคิม...” เธอพูด

    แล้วทันใดนั้นเองใบมีดบางๆก็เฉือนผ่านหนังตาของคิมอย่างช้าๆและเจ็บปวด  มันเป็นวินาทีที่ทรมานที่สุดในชีวิตของคิมหันต์เมื่อใบมีดคมๆกรีดผ่านหนังตาบางๆของเขาไปประมาณสามสี่เซนติเมตร  ทันทีที่เลือดสดๆไหลรินออกมา  คิมก็ไม่อาจมองเห็นอะไรจากตาข้างซ้ายอีกแล้ว  เขาโค้งตัวลงแล้วตั้งต้นกรีดร้อง

    “อ๊ากกกกกกกกกก!

    “โง่เง่า  โง่เง่า  โง่เง่าอะไรเช่นนี้!” เบลเซบับหัวเราะอย่างสะใจ “คิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้รึ”

    คิมหันต์อ้าปากพะงาบแล้วทรุดตัวลงบนน้ำแฉะๆ  แมลงวันตัวหนึ่งที่น่าจะใหญ่ประมาณข้อนิ้วก้อยได้คลานออกมาจากปากแผลแล้วตกลงบนพื้น  มันตัวใหญ่และมีลำตัวเป็นสีทองแวววาว  ปากของมันแหลมเป็นกรวยเหมือนหัวสว่าน  มันดิ้นพราดๆอยู่บนพื้นแล้วลลิตก็รีบเข้ามากระทืบมันเสียจนแน่นิ่งไป

    “ตายซะ  ตายซะ!” เธอคำราม  ยังคงกระทืบเท้าไม่หยุด

    “ทีนี้...แกก็ควบคุมอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว!” คิมหันต์ยิ้มเยาะอย่างท้าทาย  เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองมีชัยอะไรขนาดนี้มาก่อน  ยิ่งเมื่อมีชัยเหนือกว่าซาตานด้วยแล้ว

    “นี่เจ้า...” เบลเซบับ นิ่งค้างไป  มันใช้เวลาสองสามวินาทีกว่าจะรวบรวมสติกลับมาแน่แน่วดังเดิม “แต่ก็ช่างเถอะ...เพราะอย่างไรก็ตาม  ฝูงแมลงวันที่ข้าเคยส่งไปทั่วเมืองกำลังกลับมาหาข้าดังเดิมแล้ว  ข้ากำลังจะแข็งแกร่งที่สุดเหมือนตอนที่อยู่ในนรก!” ถ้อยคำอันโอ้อวดถูกป่าวประกาศออกมาพลันดังสะท้อนก้องในซอกตรึกที่มีฝนโปรยหนักขึ้น 

    พอได้ยินดังนั้นคิมหันต์กลับรู้สึกสิ้นหวังเล็กๆในใจ  แต่ถ้าเขาเผลอให้ตัวเองหวาดกลัวอีกครั้ง  แสงจากหอกแห่งชะตากรรมเล่มนี้ก็คงจะดับเหมือนเมื่อครู่นี้เป็นแน่  เพราะฉะนั้นเขาจะต้องไม่สิ้นหวังและกล้าหาญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

    “ส่วนพวกเจ้า...” เบลเซบับชี้มายังคิมหันต์และลลิตที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “จะต้องตา...”

    “ถ้าแกจะพูดว่า จะต้องตายฉันว่ามันดูเหมือนตัวร้ายในการ์ตูนเกินไปหน่อยนะ” เสียงนิ่งๆที่เย่อหยิ่งขัดขึ้นมาทันควัน

     ยามที่ท้องฟ้าเปิดโปร่งและไม่มีเมฆมาบดบัง  ดวงจันทร์สีเงินดวงโตฉายแสงลงมาเจิดจ้า  เด็กหนุ่มผมดำสนิทคนหนึ่งกำลังยืนย้อนแสงจันทร์อยู่บนตึกสูงสามชั้น  ดาบใหญ่สองคมที่พาดบ่าสะท้อนรับกับแสงสีเงินนวลตาเป็นอย่างดี  แล้วทันใดนั้นเขาก็กระโดดลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับสับร่างของปิศาจผู้ชั่วร้ายเสียจนขาดครึ่ง

    ฉัวะ!  

    ท่ามกลาวความงุนงง  กวีตกลงบนพื้นอย่างสง่างามพร้อมตวัดดาบอีกครั้งจนอีกฝ่ายกลายเป็นสี่ส่วนอย่างง่ายดาย  ร่างที่ไร้วิญญาณของเบลเซบับแตกกระจายเป็นฝูงแมลงวันสีดำแล้วบินว่อนไปทั่วบริเวณ  ณ วินาทีนั้นคิมหันต์มองเห็นชัยชนะ

    “ก...กวี  นาย...มาได้ไง” เขาอ้าปากอย่างอ้ำอึ้ง

    “สภาพแบบนั้นอย่าเปิดปากให้มาก” กวีตัดบททันที  เขาก้าวมาตรงกลางแล้วทันใดนั้นดาบใหญ่ในมือก็พลันเปลี่ยนสภาพกลับไปเป็นจี้กางเขนดังเดิม

    “น...นั่นอาวุธนายหรอ  เจ๋งชะมัด” ลลิตอ้ำอึ้ง

    กวีไม่ได้สนใจจะตอบตามเคยเขาเพียงพึมพำออกมาพร้อมเทของเหลวใสๆจากขวดเล็กๆให้ไหลลงบนพื้น “อามาคัส  คาเมนทรา ข้าขอสละน้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์หยดสุดท้ายจากตระกูลผู้อารักขาแห่งข้า  ขอพระผู้เป็นเจ้าจงขับไล่ความชั่วร้ายทั้งมวลออกไปด้วยเถิด  เอเมน”

    “กวีระวัง!” ลลิตตะโกน

    แต่ทันใดนั้นเองฝูงแมลงวันรอบๆตัวก็เริ่มกลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอีกครั้งหนึ่ง  คราวนี้มันสละเสื้อคลุมกันฝนทิ้งไปแล้วเผยให้เห็นร่างกายที่แท้จริง

    ผิวหนังขาวซีดเป็นสีขาวสนิท  บนเนื้อตัวที่เปลือยเปล่ามีเพียงกางเกงตัวเดียวเท่านั้นที่ปกปิดเนื้อหนังของมันเอาไว้  เนื้อตัวสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดูดุดันและแข็งเกร่ง  ตรงบริเวณแผ่นหลังมีปีกค้างคาวน่าเกลียดน่ากลัวยื่นออกมาพร้อมแผ่สยายบดบังแสงจันทร์เสียจนมืดมิด  และยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าหล่อเหลาของมันก็แทบทำให้ทั้งสามคนหายใจไม่ออก

    “จิต...จิตติ” คำพูดของคิมหันต์แผ่วเบาเสียจนเกือบจะเป็นเพียงลมหายใจ

    เป็นเขามาโดยตลอด  จิตติคือเบลเซบับ  และเบลเซบับก็คือจิตติ  ใบหน้านี้ไมได้ตอบคำถามในใจคิมหันต์สักอย่าง  ซ้ำร้ายมันยิ่งทำให้เขาเกิดคำถามนับพันในใจ

    รอยยิ้มบนมุมปากของเบลเซบับแย้มออกมาอีกครั้ง  มันเผยให้เห็นเขี้ยวที่ดูเหมือนสัตว์ร้าย  “เฮอะสวดภาวนางั้นเรอะ  ช่างเปล่าประโยชน์เสียนี่กะไร  แต่ดูเหมือนเราจะได้เจอกันอีกครั้งแล้วสินะเจ้าพวกตระกูลขยะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×