คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ChapT21 ("When It Rain") ; นครแห่งฝน
กลิ่นกุหลาบจางลงไปแล้ว ทิ้งไว้แค่เพียงห้องที่มืดมิดและเหน็บหนาว เสียงของสายฝนข้างนอกยังคงดังเคล้าไปกับเสียงกบร้องโหวกเหวกน่าหนวกหู สายฟ้าแลบแปลบใหญ่รอดผ่านผ้าม่านที่ปลิวไหวเข้ามาในห้องพลันปลุกให้กวีตื่นจากการหลับใหล
เขาเหยอเปลือกตาหนักๆขึ้นมองความมืดมิด โชคดีที่เขาไม่ได้ปวดหัวตุบๆแบบเมื่อครู่นี้แล้ว เพียงแต่ว่าเขายังคงง่วงอยู่ มันเป็นความง่วงที่หนักที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาชนิดที่ว่าทำให้แขนขาหนักขึ้นเป็นตันๆได้จนไม่อยากจะยกขึ้นมา แต่กวีก็ยังต้านทานความง่วงนี้เอาไว้ เขายันพื้นขึ้นนั่งพร้อมคลำโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง
แต่ทว่าไม่พบอะไรอยู่ข้างในนั้น เขาเดาว่ามันคงจะไม่อยู่ในกระเป๋าเขาอยู่แล้วแหละ และขณะเดียวกันสายฟ้าก็ฟาดเข้ามาในห้องทำให้กวีเห็นโคมไฟที่ตั้งอยู่ตรงหัวเตียงเข้า กวีค่อยๆก้าวอย่างระมัดระวังไปใกล้ๆโดยพยายามจะไม่ไปเตะอะไรเข้า แต่ความง่วงนี้ยังคงจู่โจมเขาอย่างหนัก มันทำให้สมองของเขาตื้อจนคิดอะไรไม่ออก กวีหยิกแขนตัวเองอย่างแรงแล้วตบเข้าที่สวิชต์โคมไฟแรงๆ
แสงสว่างจ้าสีส้มนั้นแทบทำให้กวีตาบอด แม้ไม่ไม่ได้บอดจริงๆแต่เขาก็มองไม่เห็นอะไรไปสักห้าวินาที กวียกแขนขึ้นมาบังดวงตาไว้เพื่อไม่ให้แสงเหล่านั้นทำร้ายเขามากไปกว่านี้ และเพียงรอแค่ไม่กี่วินาที สายตาของกวีก็ปรับสภาพได้ดีขึ้น
กวีมองไปยังประตูห้องแล้วรีบรุดเข้าไปโดยเร็ว แต่จู่ๆสติเขาก็วูบตกทันที กวีล้มลงบนพื้นห้องเย็นๆที่บัดนี้มันเป็นดั่งเตียงที่ปูด้วยปุยเมฆคอยรองรับร่างกายและความอ่อนล้าของเขาเอาไว้ เจ้าตัวกัดลิ้นตัวเองเอาไว้เพื่อให้ความเจ็บปวดเป็นตัวยื้อไม่ให้เขาหลับ อีกทั้งมืออีกข้างก็พยายามดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งให้ได้
และใช้ความพยายามนิดหน่อยเขาก็ล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงบานประตูจนได้ เขากุมลูกบิดแน่นแล้วบิดมันอย่างแรงจนกลิ่นกุหลาบที่ทำให้เขาง่วงโชยมาแตะจมูกเขาอีกครั้ง
คิมหันต์และลลิตฝ่าฝูงชนและการจราจรที่ติดขัดมาจนถึงซอกตึกเก่าๆที่มีแต่ความมืดมิดข้างใน มันเป็นช่องว่างแคบๆที่ชื้นแฉะและเหม็นอับที่ไม่เป็นที่สนใจของคนทั่วๆไป อีกทั้งบนท้องฟ้านั้นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีที่อุบาทว์ที่สุดเท่าที่คิมหันต์พอจะจินตนาการออก เพราะมันเริ่มกลายเป็นสีดำผสมไปกับสีแดงปนเหลือง ทำให้เขานึกถึงแผลเน่าๆที่ช้ำเลือดช้ำหนอง และยิ่งไปกว่านั้นเสียงหึ่งๆของฝูงแมลงวันก็แทบทำให้เขาหัวเสีย ช่างผิดกับลลิตที่ดูมุ่งมั่นและตื่นตัว เธอเดินอย่างกล้าหาญจนมาหยุดอยู่ที่กำแพงสีดำมหึมาที่ทำจากแมลงวันนับล้านๆตัวที่กั้นช่องตึกนี้เอาไว้จนไม่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นอะไรเลย
“เอายังไงดี เราไม่รู้ว่าแมลงวันพวกนี้มีเยอะขนาดไหน จะให้ฝ่าเข้าไปก็คงจะไม่ไหว” ลลิตถามขึ้นมา
คิมหันต์สารภาพในใจว่าเขาตื่นกลัวและเป็นกังวลเอามากๆเพราะเขาเคยถูกแมลงวันตัวหนึ่งบินเข้าไปในหู แล้วไม่นานนับจากนั้นเขาก็เห็นภาพนิมิตอะไรบางอย่างอยู่บ่อยครั้ง และทุกๆครั้งมันก็จะจบลงด้วยความเจ็บตัวที่ถ้าไม่ใช่ของเขาก็เป็นของใครสักคน เขาจึงไม่ค่อยจะถูกกับแมลงวันพวกนี้นัก ยิ่งไปกว่านั้นเบลเซบับยังเคยพูดว่าเขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งที่เอาไว้ฆ่าแอนเท่านั้น เขาจึงใไม่แน่ใจว่าควรจะฝ่ากำแพงมีชีวิตนี้เข้าไปดีหรือเปล่า
“เอาเถอะคิม” ลลิตแตะบ่าของคิมแล้วบีบมันเบาๆ “แม้ฉันจะไม่ต้องอ่านใจของนายได้แบบที่ทำกับคนอื่นๆ แต่นายก็ซ่อนสีหน้าเป็นกังวลแบบนั้นจากฉันไม่พ้นหรอก”
คิมหันต์ยิ้มน้อยๆแล้วถามกลับ “ทำไมเธอถึงชอบคิดว่าฉันแบกรับอะไรไม่ไหวอยู่เรื่อยเลยนะ” แล้วเขาก็ล้วงอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงออกมา “เธอคงไม่คิดว่าฉันจะปล่อยผู้หญิงคนเดียวเข้าไปในนั้นใช่มั้ย”
“เอ่อ...นั่นมัน...” ลลิตอ้ำอึ้ง
ใบมีดคัตเตอร์บางๆถูกดันออกจากด้ามจับจนสุด มันทอแสงสว่างนวลตาสีฟ้าอ่อนอยู่ในความมืดมิด ลลิตมองอาวุธในมือของคิมหันต์อย่างตกใจระคนทึ่ง คิมหันต์กระชับมันแน่นในกำมือแล้วยื่นมันออกไปข้างหน้าตรงอากาศว่าง แล้วทันใดนั้นเองฝูงแมลงวันจำนวนหนึ่งก็แตกฮืออย่างรวดเร็วราวกับกับถูกจี้ด้วยไฟร้อนๆ พวกมันแต่ละตัวบินออกห่างจากบริเวณที่แสงสว่างนั้นสาดส่องไปถึง เขาค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆโดยมีลลิตเดินตาม
ทุกทีที่แสงจากมีดคัตเตอร์ส่องไปตรงไหน ฝูงแมลงวันก็จะบินหนีอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นความมืดมิดที่หวาดกลัวต่อแสงสว่าง คิมหันต์ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวแล้วเขาก็ทะลุผ่านกำแพงที่น่าขยะแขยงนั้นมาได้อย่างไม่ทันจะรู้ตัว
ภาพที่เขาเห็นเบื้องหน้ามีเพียงร่างของแอนที่แน่นิ่งไม่ไหวติง เธอไม่แม้แต่จะหอบหายใจหรืออะไร และยิ่งไปกว่านั้นบริเวณท้องของเธอก็ยังเต็มไปด้วยเลือดชุ่มๆที่เจิ่งนองมาถึงพื้น ในวินาทีแรกเขาคิดว่าเธอคงจะตายไปแล้ว
ลลิตรีบเข้าไปประคองเธอทันทีในขณะที่คิมหันต์ได้แต่นิ่งอึ้ง “ธ...เธอยังไม่ตาย!” เธอตระโกนหลังจากทาบหูลงบนหน้าอกของแอน “คิมระวังตัวด้วยนะ ศัตรูอาจจะซุ่มอยู่แถวๆนี้”
แล้วก็เป็นดั่งที่ลลิตพูด ฝูงแมลงวันเหนือหัวของคิมหันต์พลันแตกฮือเหมือนบ่อน้ำที่ถูกระเบิด ใครบางคนพุ่งทะยานมาจากเบื้องบนแล้วเงื้อค้อยยักษ์ในมือหมายจะทุบผู้บุกรุกเสียให้ดับดิ้น แต่คิมหันต์ถลันหลบอย่างรวดเร็วจนค้อนหนักๆทุ่มเฉียดชายเสื้อของเขาไปเพียงเล็กน้อย ส่งให้กระแทกเข้าที่พื้นเสียจนกระดูกในหูของคิมสั่นสะเทือน คิมหันต์ใช้โอกาสที่อีกฝ่ายเผยช่องว่างแทงมีดเข้าที่ต้นคออย่างรวดเร็ว แต่มันรู้ทันจึงก้มหัวหลบพร้อมถีบเข้าที่ท้องของคิมหันต์จนเขากระเด็นไปข้างหลัง
พลั่ก! โครม!
เพราะนี่คือความเป็นจริงที่ไม่ใช่การ์ตูนหรือภาพยนตร์ ความเจ็บปวดนี้จึงทำให้คิมหันต์เจ็บเสียจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ง่ายๆ เขากุมท้องเอาไว้และพยายามกระชับมีดคัตเตอร์ไว้แม้จะยากลำบาก แต่แค่นั้นก็ลำบากพอที่จะทำให้เขาไม่ทันระวังข้างหลังตัวเอง
เพราะตอนนั้นเองฝูงแมลงวันจำนวนมากก็พลันถาโถมเข้ามาใส่คิมหันต์เหมือนกับกระแสน้ำ คิมหันต์รู้สึกอึดอัดและขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก มือทั้งสองพยายามบ่ายไปมาไม่ให้แมลงวันบินเข้ามาในปากหรือหูอีกครั้ง แต่สิ่งที่น่ากลัวกลับไม่ใช่แมลงวันแต่มันเป็นเบลเซบับที่กำลังจะเปิดฉากโจมตีเขาซ้ำสอง
ตึง! คิมหันต์ได้ยินเสียงกระแทกของพื้นดังสนั่นอยู่ข้างๆหูและเป็นจังหวะเดียวกับที่แมลงวันหยิบมือหนึ่งบินเข้ามาในรองเท้าเสียจนเขาเสียหลักล้มลงไปกองกับพื้นแฉะๆ แต่เขาก็นึกขอบใจพวกมันอยู่ที่ทำให้เขารอดตายเมื่อครู่ แต่ที่แน่ๆก็คือเขาไม่สามารถอยู่นิ่งได้อีกครั้งเพราะค้อนยักษ์กำลังจะลงมือปลิดชีพเขาอีกทีและคราวนี้มันคงไม่ปล่อยให้พลาดเป็นแน่
คิมหันต์คลานหลบอย่างยากลำบากเพราะยังคงถูกตอมด้วยแมลงวันจำนวนมาก แม้ว่ามันไม่ได้กัดกินเนื้อหนังของคิมหันต์แต่มันก็ยังทำให้เขารำคาญและเสียการควบคุมชนิดที่ว่าแค่เผยอเปลือกตามองก็ยังไม่อาจทำได้ เขาแอบเห็นร่างดำๆของซาตานกำลังเงื้อง่าค้อนยักษ์หมายจะทุบร่างของตัวเองให้แหลกละเอียด แต่คิมหันต์ก็ไม่รู้ตัวว่าร่างนั้นใกล้เข้ามาเพียงไร แต่ที่แน่ๆคือเขาควรจะกำจัดแมลงวันพวกนี้ออกไปให้พ้นเสียก่อน
“ลลิต!” เขาเรียก
“คิมหันต์ทางซ้าย!” อีกฝ่ายตะโกนตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว คิมหันต์ไม่เข้าใจว่าทางซ้ายที่ว่าหมายถึงเบลเซบับกำลังตามมาทางซ้าย หรือว่าเขาควรหลบไปข้างซ้าย แต่คิมหันต์เลือกเชื่อสัญชาตญาณตัวเองที่บอกว่าทางซ้ายไม่ปลอดภัย เขาจึงกลิ้งไปทางด้านขวาสุดตัว
ตูม!
แล้วก็จริงดังที่คิด ค้อนยักษ์เฉียดผ่านปลายเท้าของคิมหันต์ไปเล็กน้อยเท่านั้น เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำเอาหัวใจเขาเต้นรัวยิ่งกว่าเดิมเพราะความกลัว ในสมองเริ่มเห็นภาพตัวเขาเองกำลังถูกทุบด้วยค้อนยักษ์เหมือนเหยื่อคนก่อนๆที่เขาเห็นในนิมิต
แล้วถ้าเมื่อกี้เขาหลบไม่พ้นล่ะ ถ้าเขาตัดสินใจผิดพลาดเมื่อกี้นี้ล่ะ เขาเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา เขามีความกลัวและความเจ็บปวด เขายังคงจุกที่ท้องน้อยอยู่ตลอดเวลา และแค่จะวิ่งหนีไปมั่วๆก็แทบทำให้เขาเองหมดแรง แถมยังไม่ต้องพูดถึงตอนที่เขาถูกฝูงแมลงวันรุมตอมจนลืมตาไม่ขึ้น
“คิม! ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนะ แต่มีดของนายไม่มีแสงแล้ว แล้วพวกแมลงวันก็ไม่กลัวนายแล้วด้วย!” เสียงของลลิตตะโกนมา คิมหันต์เองก็ไม่เข้าใจในข้อนี้เช่นเดียวกัน
และจู่ๆเขาก็สะดุดกับอะไรบางอย่างที่คงจะเป็นหนูตัวใหญ่ๆจนล้มลงกับพื้น น้ำคลำเหม็นๆกระจายเปียกผมแล้วหัวใจเขาก็เต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเสียงลากค้อนครืดๆเริ่มใกล้เข้ามาราวกับมัจจุราชที่กำลังมาพาเขาไปนรก
โครม!
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตรงหน้า มันเป็นเหมือนเสียงกระป๋องน้ำอัดลมที่ถูกบี้ แล้วหลังจากนั้นเบลเซบับก็พูดขึ้นด้วยเสียงแหบๆที่คล้ายกับเป็นเสียงคำรามว่า “ข้าตั้งใจจะเก็บเจ้าไว้สังหารทีหลัง เจ้าไม่ต้องรีบรนหาที่ตายเร็วนักก็ได้แม่สาว”
“หุบปากซะ! ฉันไม่สนหรอกว่าแกเป็นใคร แต่แกจะทำอะไรเพื่อนฉันไมได้!” ลลิตตะโกนลั่น แล้วเสียงกระแทกของกระป๋องถังขยะก็ดังตามมาอีกสองสามครั้ง คิมหันต์เข้าใจว่าลลิตคงพยายามถ่วงเวลาให้ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันก็เป็นเหมือนหยดน้ำที่รดลงบนก้อนหินหรือก็คือช่างเปล่าประโยชน์
แต่จะว่าไปหยดน้ำรดลงบนหินทุกวันหินยังกร่อนได้ เพราะฉะนั้นการซื้อเวลาเพียงเล็กน้อยเหล่านี้ก็ย่อมมีค่าสำหรับคิม
คิมหันต์เริ่มมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้เพียงแค่ว่าต้องปกป้องลลิตเอาไว้ และจะต้องให้เวลาเพียงน้อยนิดเหล่านี้พลิกสถานการณ์กลับมาให้ได้ และทันใดนั้นเองหอกแห่งชะตากรรมก็ทอเรืองแสงด้วยตัวมันเอง แสงสว่างสีฟ้าพลันขับไล่เหล่าแมลงวันน่ารำคาญออกไปจากร่างกายของคิมหันต์เสียจนหมด
คิมหันต์กระพริบตาถี่ๆและมองดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และภาพที่เห็นก็คือลลิตกำลังถูกบีบคอเสียจนตัวลอยด้วยมือเพียงข้างเดียวของเบลเซบับ อีกฝ่ายนั้นไร้ซึ่งบาดแผลและผิดกับคิมหันต์อย่างสิ้นเชิง คิมไม่รอช้าพุ่งเข้าหาร่างของเจ้าปีศาจที่หันข้างให้พร้อมเสือกแทงมีดในมือเข้าที่เอวของอีกฝ่ายจนมิดด้าม
ฉึก!
ณ วินาทีที่คมมีดแทงลึกผ่านเสื้อกันฝนและเข้าไปในซี่โครงของเบลเซบับ ฝูงแมลงวันนับล้านก็พลันแตกฮือราวกับเกิดการระเบิดขึ้น คิมหันต์ยกมืออีกข้างขึ้นมาป้องดวงตาแล้วชักมีดกลับคืนมาดังเดิม
หยดเลือดสีดำราวคล้ายน้ำมันดิบไหลหยดลงบนพื้นท่ามกลางสายตาตะลึงงันของลลิตและและของตัวมันเอง แม้ใบหน้าของปิศาจผู้นี้จะซ่อนไว้ใต้เงามืดของเสื้อคลุม แต่คิมหันต์เดาได้ว่ามันคงจะเหยเกและงงงวยจนน่าตลกเป็นแน่
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก!” เบลเซบับแผดเสียงร้องลั่นราวกับว่าไม่เคยตะโกนมาก่อน มันดังก้องไปสามช่วงตึกจนคิมหันต์เองยังรู้สึกหนวกหู เสียงหึ่งๆของฝูงแมลงวันก็เช่นเดียวกัน พวกมันตอบรับเสียงแผดร้องนั้นโดยการบินวนไปมาอย่างไร้ทิศทางและบางตัวก็เริ่มตายและตกลงบนพื้นราวกับหิมะสีดำ “เป็นไป...เป็นไปไม่ได้!” เบลเซบับพึมพำอย่างเสียสติ มันเอามือแตะที่ปากแผลตัวเองแล้วยกขึ้นมาดูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“แทงได้สวยนี่คิมหันต์” ลลิตออกปากชมพรางถูคอไปมา รอบๆคอยังคงมีรอยแดงจากการถูกบีบอยู่
“ต้องขอบใจเธอล่ะ”
“เฮือก...ไม่! เป็นไปไมได้! ไม่มีอะไรที่ทำร้ายข้าได้!” เบลเซบับหอบหายใจจากลำคอ เนื้อตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธเกรี้ยว “หิว...หิว....ข้าหิวเหลือเกิน” ฉับพลันทันใดมันก็เริ่มคลานอย่างทุรนทุรายไปยังถังขยะที่ล้มระเนระนาดพร้อมคว้าเอาเศษขยะมาเคี้ยวอย่างน่าสมเพช จนน้ำขยะไหลเยิ้มออกมาจากมุมปาก คิมหันต์ไม่อาจมองภาพที่เห็นได้ตรงๆเพราะเขาขยะแขยง
แล้วไม่นานนับจากนั้น เลือดสีดำบนปากแผลก็เริ่มหยุดไหล คิมหันต์เดาว่าแผลของมันคงสมานตัวกลับมาเป็นเนื้อที่ติดกันแน่นเรียบร้อยแล้ว เบลเซบับยืนขึ้นพลันกระชับค้อนในมือแน่นแล้วก็แผดเสียงหัวเราะลั่น “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ไม่นานนับจากนั้นฝูงแมลงวันก็พลันบินเร็วขึ้นอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่ พวกมันบินเข้าไปหาเจ้านายของมันที่กำลังเสียสติอย่างถึงขีดสุด คิมหันต์เห็นแมลงวันหลายต่อหลายตัวบนเข้าไปในปาก รูหู และไปจนถึงดวงตาของเบลเซบับ มันช่างเป็นภาพที่น่าขยะแขยงจนทำให้เขาขนลุกเกรียวกราว
“คิม ตอนนี้แหละแทงมันอีกแผลเลย” ลลิตพูดขึ้นแล้วมองหน้าคิมอย่างแน่วแน่ เขาตอบรับด้วยการพยักหน้า แต่ทันใดนั้นเอง แมลงวันที่ยังคงบินอยู่ในหัวของคิมก็พลันส่งเสียงประท้วง อาการปวดที่เบ้าตาซ้ายกลับมาอีกครั้ง แถมคราวนี้ก็ดูเหมือนมันจะทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม คิมหันต์โก่งตัวร้องอย่างทุรนทุรายจนไม่สามารถประคองมีดเล่มเดิมเอาไว้ได้จนมันตกลงบนพื้นแฉะๆ
“บ้า...บ้าที่สุด มาปวดอะไรตอนนี้!” คิมหันต์ก่นด่าอย่างเจ็บแค้น
“เกิดอะไรขึ้นคิม เกิดอะไรขึ้น!” ลลิตถามอย่างร้อนใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เบลเซบับที่ห้อมล้อมด้วยลูกสมุนน่าขยะแขยงกำลังหัวเราะเยาะ มันยืนอยู่นิ่งปล่อยให้แมลงวันบินเข้ามาในร่างกายของตัวเอง “ข้าทำให้เจ้าเป็นหนึ่งในเบี้ยของข้าโดยการส่งแมลงวันเข้าไปในตัวของเจ้า...”
“ไม่บอกฉันก็รู้น่า...โอ๊ย!” คิมหันต์ตัดบทแล้วร้องอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกอยู่ที่ข้างหลังดวงตา
“ข้าเคยคิดว่าจะใช้เจ้ากำจัดยัยร่างทรงน่าขยะแขยงนี้” มันชี้ไปที่ร่างของแอนที่สลบอยู่ “แต่ข้าก็เปลี่ยนแผนแล้วโดยจะให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าเป็นคนลงมือ จนกระทั่ง...” เบลเซบับยืนมือออกมาข้างหน้า นิ้วทั้งห้าของมันชี้ตรงมายังคิมหันต์ราวกับจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง
แล้วความรู้สึกทำยองว่าถูกกระชากเบ้าตาก็ทำให้คิมหันต์ถึงกับต้องร้องออกมา เหมือนรู้สึกว่ามีอะไรกำลังจะดันออกมาจากลูกตาซ้าย และอีกไม่นานลูกตาของเขาก็คงจะแหลกละเอียดเป็นเศษเนื้อแน่ๆ
“เจ้าดันก้าวเข้ามาอยู่ในนี้โดยที่ข้าไม่ได้รับเชิญ!” มันตะโกน “ยอมจำนนต่อข้า! หรือไม่ก็ตาย! จงสังหารแม่สาวนี่ซะ!” เท้าข้างหนึ่งของมันเหยีบลงบนศีรษะของแอนที่ไร้สติ คิมหันต์กัดฟันกรอดด้วยความโกรธและแล้วเท้าสองข้างของเขาก็เริ่มก้าวขยับไปเองอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งๆที่สติของเขายังคงเป็นของเขาอยู่แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตามแม้แต่จะฝืนก็ไม่อาจทำได้
“ลลิต! หยิบมีดขึ้นมาเร็วเข้า!” คิมหันต์ส่งเสียงอย่างยากลำบาก
“ด...ได้” ลลิตตอบรับทันที
“กรีดเหนือตาฉันซะ เดี๋ยวนี้เลย!” คิมหันต์ตะเบ็งเสียง แต่ลลิตยังดูอ้ำอึ้ง เธอถือมีดในมือไว้อย่างครั่นคร้าม
“อะ เอาจริงหรอ” เธอถามอย่างหวาดกลัว
“ขอร้อง ลลิต!” คิมหันต์ตวาดเสียงดังเสียจนลลิตสะดุ้ง เธอรีบวิ่งไปที่คิมหันต์ก่อนที่เขาจะถึงตัวเอง แล้วมาหยุดอยู่ตรงหน้าของคิมหันต์พอดี ทั้งๆที่อีกฝ่ายยังคงเดินมาข้างหน้าอย่างช้าๆราวกับซอมบี้แต่ลลิตยังคงยืนขวางทางเอาไว้อย่างกล้าหาญ “ขอโทษนะคิม...” เธอพูด
แล้วทันใดนั้นเองใบมีดบางๆก็เฉือนผ่านหนังตาของคิมอย่างช้าๆและเจ็บปวด มันเป็นวินาทีที่ทรมานที่สุดในชีวิตของคิมหันต์เมื่อใบมีดคมๆกรีดผ่านหนังตาบางๆของเขาไปประมาณสามสี่เซนติเมตร ทันทีที่เลือดสดๆไหลรินออกมา คิมก็ไม่อาจมองเห็นอะไรจากตาข้างซ้ายอีกแล้ว เขาโค้งตัวลงแล้วตั้งต้นกรีดร้อง
“อ๊ากกกกกกกกกก!”
“โง่เง่า โง่เง่า โง่เง่าอะไรเช่นนี้!” เบลเซบับหัวเราะอย่างสะใจ “คิดว่าทำแบบนั้นแล้วจะเปลี่ยนอะไรได้รึ”
คิมหันต์อ้าปากพะงาบแล้วทรุดตัวลงบนน้ำแฉะๆ แมลงวันตัวหนึ่งที่น่าจะใหญ่ประมาณข้อนิ้วก้อยได้คลานออกมาจากปากแผลแล้วตกลงบนพื้น มันตัวใหญ่และมีลำตัวเป็นสีทองแวววาว ปากของมันแหลมเป็นกรวยเหมือนหัวสว่าน มันดิ้นพราดๆอยู่บนพื้นแล้วลลิตก็รีบเข้ามากระทืบมันเสียจนแน่นิ่งไป
“ตายซะ ตายซะ!” เธอคำราม ยังคงกระทืบเท้าไม่หยุด
“ทีนี้...แกก็ควบคุมอะไรฉันไม่ได้อีกแล้ว!” คิมหันต์ยิ้มเยาะอย่างท้าทาย เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองมีชัยอะไรขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเมื่อมีชัยเหนือกว่าซาตานด้วยแล้ว
“นี่เจ้า...” เบลเซบับ นิ่งค้างไป มันใช้เวลาสองสามวินาทีกว่าจะรวบรวมสติกลับมาแน่แน่วดังเดิม “แต่ก็ช่างเถอะ...เพราะอย่างไรก็ตาม ฝูงแมลงวันที่ข้าเคยส่งไปทั่วเมืองกำลังกลับมาหาข้าดังเดิมแล้ว ข้ากำลังจะแข็งแกร่งที่สุดเหมือนตอนที่อยู่ในนรก!” ถ้อยคำอันโอ้อวดถูกป่าวประกาศออกมาพลันดังสะท้อนก้องในซอกตรึกที่มีฝนโปรยหนักขึ้น
พอได้ยินดังนั้นคิมหันต์กลับรู้สึกสิ้นหวังเล็กๆในใจ แต่ถ้าเขาเผลอให้ตัวเองหวาดกลัวอีกครั้ง แสงจากหอกแห่งชะตากรรมเล่มนี้ก็คงจะดับเหมือนเมื่อครู่นี้เป็นแน่ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องไม่สิ้นหวังและกล้าหาญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ส่วนพวกเจ้า...” เบลเซบับชี้มายังคิมหันต์และลลิตที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “จะต้องตา...”
“ถ้าแกจะพูดว่า ‘จะต้องตาย’ ฉันว่ามันดูเหมือนตัวร้ายในการ์ตูนเกินไปหน่อยนะ” เสียงนิ่งๆที่เย่อหยิ่งขัดขึ้นมาทันควัน
ยามที่ท้องฟ้าเปิดโปร่งและไม่มีเมฆมาบดบัง ดวงจันทร์สีเงินดวงโตฉายแสงลงมาเจิดจ้า เด็กหนุ่มผมดำสนิทคนหนึ่งกำลังยืนย้อนแสงจันทร์อยู่บนตึกสูงสามชั้น ดาบใหญ่สองคมที่พาดบ่าสะท้อนรับกับแสงสีเงินนวลตาเป็นอย่างดี แล้วทันใดนั้นเขาก็กระโดดลงมาจากเบื้องบนพร้อมกับสับร่างของปิศาจผู้ชั่วร้ายเสียจนขาดครึ่ง
ฉัวะ!
ท่ามกลาวความงุนงง กวีตกลงบนพื้นอย่างสง่างามพร้อมตวัดดาบอีกครั้งจนอีกฝ่ายกลายเป็นสี่ส่วนอย่างง่ายดาย ร่างที่ไร้วิญญาณของเบลเซบับแตกกระจายเป็นฝูงแมลงวันสีดำแล้วบินว่อนไปทั่วบริเวณ ณ วินาทีนั้นคิมหันต์มองเห็นชัยชนะ
“ก...กวี นาย...มาได้ไง” เขาอ้าปากอย่างอ้ำอึ้ง
“สภาพแบบนั้นอย่าเปิดปากให้มาก” กวีตัดบททันที เขาก้าวมาตรงกลางแล้วทันใดนั้นดาบใหญ่ในมือก็พลันเปลี่ยนสภาพกลับไปเป็นจี้กางเขนดังเดิม
“น...นั่นอาวุธนายหรอ เจ๋งชะมัด” ลลิตอ้ำอึ้ง
กวีไม่ได้สนใจจะตอบตามเคยเขาเพียงพึมพำออกมาพร้อมเทของเหลวใสๆจากขวดเล็กๆให้ไหลลงบนพื้น “อามาคัส คาเมนทรา ข้าขอสละน้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์หยดสุดท้ายจากตระกูลผู้อารักขาแห่งข้า ขอพระผู้เป็นเจ้าจงขับไล่ความชั่วร้ายทั้งมวลออกไปด้วยเถิด เอเมน”
“กวี! ระวัง!” ลลิตตะโกน
แต่ทันใดนั้นเองฝูงแมลงวันรอบๆตัวก็เริ่มกลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันสละเสื้อคลุมกันฝนทิ้งไปแล้วเผยให้เห็นร่างกายที่แท้จริง
ผิวหนังขาวซีดเป็นสีขาวสนิท บนเนื้อตัวที่เปลือยเปล่ามีเพียงกางเกงตัวเดียวเท่านั้นที่ปกปิดเนื้อหนังของมันเอาไว้ เนื้อตัวสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามดูดุดันและแข็งเกร่ง ตรงบริเวณแผ่นหลังมีปีกค้างคาวน่าเกลียดน่ากลัวยื่นออกมาพร้อมแผ่สยายบดบังแสงจันทร์เสียจนมืดมิด และยิ่งไปกว่านั้นใบหน้าหล่อเหลาของมันก็แทบทำให้ทั้งสามคนหายใจไม่ออก
“จิต...จิตติ” คำพูดของคิมหันต์แผ่วเบาเสียจนเกือบจะเป็นเพียงลมหายใจ
เป็นเขามาโดยตลอด จิตติคือเบลเซบับ และเบลเซบับก็คือจิตติ ใบหน้านี้ไมได้ตอบคำถามในใจคิมหันต์สักอย่าง ซ้ำร้ายมันยิ่งทำให้เขาเกิดคำถามนับพันในใจ
รอยยิ้มบนมุมปากของเบลเซบับแย้มออกมาอีกครั้ง มันเผยให้เห็นเขี้ยวที่ดูเหมือนสัตว์ร้าย “เฮอะ! สวดภาวนางั้นเรอะ ช่างเปล่าประโยชน์เสียนี่กะไร แต่ดูเหมือนเราจะได้เจอกันอีกครั้งแล้วสินะเจ้าพวกตระกูลขยะ”
ความคิดเห็น