คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : ChapT20 ("It Will Rain") ; นครแห่งฝน
หลังจากที่กวีได้เห็นข้อความของเมเดีย ไม่นานเขาก็ปลีกตัวไปตามคำเชิญนั้นแล้วทิ้งให้ลลิตกับคิมหันต์อยู่กันตามลำพัง กวีใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆมาถึงที่พักส่วนตัวของเมเดียเป็นที่เรียบร้อย มันเป็นบ้านพักตากอากาศในป่าชื้นที่อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควร เห็นได้ชัดว่าเมื่อเข้ามาถึงในบริเวณนี้ ฝนก็เริ่มพรำตกน้อยลงแล้ว มันเป็นข้อสันนิษฐานชั้นดีเกี่ยวกับฝนที่ตกแค่ในเมืองหลวงราวกับจงใจ แต่ถึงอย่างนั้นป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงชะรูดก็ไม่ได้ทำให้กวีหายหนาวหรือรู้สึกว่าตัวเองห่างจากฝนมามากขึ้นเลย มีกลิ่นของต้นยูคาลิปตัสอบอวลไปทั่วป่าแห่งนี้ ทันทีที่กวีลงจากรถแท็กซี่ก็มองเห็นบ้านพักสีขาวครีมสร้างจากไม้ดูหราหราทว่าเรียบง่าย มันน่าจะมีสักสองชั้นได้ ซึ่งนั้นก็นับว่าเกินพอสำหรับการอยู่อาศัยเพียงคนเดียวแล้ว และกวีแทบไม่ต้องเข้าไปเคาะประตูเมเดียก็เดินออกมาต้อนรับให้เข้าไปข้างใน
“เข้ามาก่อนสิ” เมเดียยิ้ม
“ไม่บอกก็รู้น่า”
กวีวางร่มของตัวเองลงบนพื้นบ้านแล้วปล่อยให้น้ำฝนหยดลงมานองบนพื้นเล็กน้อย ถอดรองเท้าและเดินตามเข้าไปในบ้านมืดๆที่เงียบเหงาและวังเวง กวีพอจะเคยดูหนังสยองขวัญที่มีวัยรุ่นกลุ่มนึงไปพักตากอากาศที่ชนบทแล้วมีฆาตกรโรคจิตมาไล่ฆ่ามาบ้างแล้วและบ้านหลังนี้ก็กำลังทำให้กวีรู้สึกแบบเดียวกัน ถ้าหากจะมีการสร้างหนังสยองขวัญแนวนั้นอีกเรื่องละก็ บ้านหลังนี้คงจะเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“อยากได้อะไรมั้ย” เมเดียพูดก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปในห้องครัว
กวีไม่ได้เดินตามไป เพียงแต่ว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดของแผ่นไม้ก็ทำให้เขารู้ว่าเมเดียเดินหายไปในครัวแล้วจัดแจงอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น กวีใช้จังหวะระหว่างรอมองดูสภาพบ้านรอบๆ เขาเห็นโคมไฟฟักทองที่ประดับในงานฮัลโลวีนอยู่เต็มไปหมด มันเรืองแสงอยู่ในบ้านมืดๆที่ปิดทึบและอบอุ่น เขาไม่รู้ว่าทำไมเมเดียถึงชอบอยู่ในสถานที่มืดๆแบบนี้ แต่ที่รู้ๆก็คือมันตรงกันข้ามกับเขาเลย
และแค่รอเพียงสักพักเมเดียก็ออกมาจากห้องครัวพร้อมกับถาดน้ำชาส่งกลิ่นหอมกรุ่น เธอถือมันไว้แล้วเดินขึ้นไปยังบันไดบ้านพลางหันกลับมาเรียกกวี “มาสิ ไปคุยกันที่ห้องฉันเถอะ”
และการสนทนานี้ก็ตรึงเครียดเสียจนกวีเองยังต้องนั่งไม่ติดเขาเดินไปมาอยู่ในห้องนอนของเมเดียที่หรูหราและมีระดับ มันถูกตกแต่งด้วยสีดำสลับกับแดงดูลงตัว แต่ความงดงามทั้งหลายนี้กลับถูกซ่อนไว้ภายใต้ความมืดมิด มีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มหนึ่งเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่างอยู่บนโต๊ะเท่านั้น แล้วเหนือสิ่งอื่นใดกลิ่นกุหลาบที่อบอวนอยู่ในห้องก็ฉุนเสียจนทำให้กวีหัวเสีย
“นี่ช่วยนั่งลงก่อนได้มั้ย ฉันมึนหัว” เมเดียบ่นตอนที่เงาของกวีส่ายไปส่ายมาจนตาลาย กวีพลันหยุดเดินแล้วนั่งลงตรงหน้าเมเดียแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาร้อนใจน้อยลงเลย
“ฉันคงจะนั่งลงเงียบๆกว่านี้ถ้าเธอบอกฉันมาว่าฉันควรจะทำยังไงกับร่างทรงคนนั้น” กวีพูดเครียดๆ ดูหัวเสียอย่างมากที่เขาตะบึงมาที่ที่พักของเมเดียโดยทันทีเพื่อหมายจะได้คำตอบที่มากกว่าเดิม แต่พี่สาวตัวดีกลับบอกให้เขานั่งลงแล้วทำใจเย็นๆ แล้วยังดูเหมือนพยายามจะถ่วงเวลาแบบสุดๆคล้ายๆกับว่าขี้เกียจที่จะตอบคำถามของกวี
“คนไหนนะ” เมเดียถาม
“ร่างทรงของเบลเซบับไง เธออย่ามาปฏิเสธว่าไม่รู้หน่อยเลย ก็เธอเรียกฉันมาคุยที่ห้องเธอไม่ใช่หรือไง” กวีพูด
“ใจเย็นๆซี่ นายเล่นยิงคำถามรัวๆแบบนี้ ฉันเองก็ตามเรื่องไม่ค่อยทันนะ” เมเดียยกชาในมือขึ้นมาจิบแล้ววางลงตรงหน้า “ก่อนอื่น...นายจะไม่ชิมชาที่ฉันชงให้หน่อยเลยหรอ ฉันอุตส่าห์เตรียมเผื่อนะ”
กวีพ่นลมหายใจแบบฉุนเฉียว เขานั้นเป็นคนใจเย็นโดยกมลสันดานแต่ทว่าในเวลานี้มันไม่ค่อยเหมาะกับความใจเย็นนัก “จะถ่วงเวลาไปถึงเมื่อไหร่กัน”
“เอาน่าๆ” เมเดียบอกปัด “ว่าแต่คนอย่างนายนี่รู้จักอยากช่วยเหลือคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ชำเลืองมองดูน้องชายเป็นเชิงถาม แต่กวีไม่ได้ตอบอะไร แค่เพียงนิ่งให้เมเดียเปลี่ยนเรื่องพูดเท่านั้น “ไม่ตอบสินะ”
กวีกระแทกเท้าเดินห่างไปจากโต๊ะแล้วกำลูกบิดประตูกำลังจะออกไปจากห้องที่อึดอัดนี้ “ฉันจะไปแล้ว” เขาหันกลับมาพูด
“เห้อ...ถึงนายทำเป็นงอนฉันก็ไม่ได้ทำให้ฉันตอบคำถามนายเร็วกว่าเดิมหรอกนะ” เมเดียพูดขึ้นข้างหลังของกวี แต่อีกฝ่ายไม่สนใจคำพูดนั้นเลย เขาแง้มบานประตูออกแล้วก้าวเท้าออกไปข้างหนึ่งก่อนที่เมเดียจะพูด “เบลเซบับมีพลังอย่างนึงที่นายยังไม่รู้จัก”
คำเปรยนั้นทำเอากวีชะงักนิ่ง เขาเหลียวหลังมามองเมเดียเป็นเชิงถาม “ว่าไงนะ?”
“ใช่ เบลเซบับมีพลังวิเศษบางอย่าง คือ...เขาก็เป็นปีศาจในนรกน่ะนะ จะให้เขาไร้อำนาจเลยก็ยังไงอยู่ เขาต้องมีอำนาจวิเศษอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว อย่างแรกเลยก็คือ...ฝน” เปลวเทียนสั่นไหวเบาๆราวกับรู้ว่าการสนทนานี้กำลังจะเข้มข้นขึ้น
“เขาทำให้ฝนตกได้เมื่อเขาปรากฏตัว ข้อนี้ฉันรู้” กวีพูดเรียบๆ ปิดประตูแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น
เมเดียยิ้มแล้วว่าต่อ “แล้วเขาก็ควบคุมฝูงแมลงวันได้”
“หึ” กวีแค่นหัวเราะใส่ “แล้วมีอะไรแปลกใหม่ต่างจากที่ฉันรู้มาแล้วอย่างนั้นหรอ”
เปลวเทียนตรงหน้าของเมเดียสั่นไหวชั่ววินาทีหนึ่ง กลิ่นกุหลาบยังคงจุกอยู่ในจมูกของกวีจนตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกขมคออย่างบอกไม่ถูก พอเมเดียเห็นดังขึ้นเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วต่อเทียนอีกเล่มหนึ่งวางไว้บนตู้พลางพูดไปด้วย “เขาย้ายร่างได้”
“ย้ายร่างงั้นหรอ” กวีทวนอย่างสนใจ
“ถูกต้อง มันเป็นความสามารถที่เบลเซบับทำได้เพียงตนเดียวจากปิศาจทั้งเจ็ดตน นั่นก็คือการย้ายร่าง เขาจะปล่อยแมลงวันเข้าไปในร่างกายของเหยื่อเพื่อทำเครื่องหมายไว้ และเมื่อถึงเวลาอันสมควร เบลเซบับก็จะได้ร่างกายใหม่ไปเรื่อยๆทำให้เขาไม่อาจะถูกตามรอยได้” เมเดียพักแล้วยกชาขึ้นมาจิบ “แล้วก็อย่างที่รู้เขาเป็นปิศาจแห่งความตะกละ เขาโหยหิวการมีร่างใหม่ และก่อนที่เขาจะย้ายร่าง เขาก็ต้องกินเสียก่อน...”
“กิน...” กวีทวนคำ “เรากำลังพูดถึงศพที่ถูกทุบด้วยค้อนยักษ์แล้วมีแมลงวันมาตอมจนไม่เหลือซากสินะ”
“นั่นแหละ” เมเดียพยักหน้าเครียด “วิธีนั้นคือการกินของเบลเซบับ แต่ที่เขาย้ายร่างได้นี่ ทำให้ฉันปวดหัวเป็นว่าเล่นเหมือนกัน เพราะฉันไม่สามารถตามตัวเขาพบได้เลย”
กวีนึกถึงเรื่องที่คิมหันต์เล่าให้ฟังขึ้นมา เรื่องที่ว่าคิมหันต์ไปพบกับศพของคนอ้วนคนหนึ่งที่นอนตายแล้วมีแมลงวันตอม ไปจนถึงเรื่องที่มีคนเห็นเบลเซบับในร่างของบุรุษที่สูงและผอมในเสื้อกันฝน ภาพในจิตสำนึกฉายขึ้นในสมองสลับกันไปมาจนทำให้กวีนึกอะไรบางอย่างออกได้ “เข้าใจแล้ว...เบลเซบับเปลี่ยนร่างของตัวเองเป็นร่างของคนอื่นนี่เอง! ฉันคงต้องรีบบอกเจ้าพวกนั้นก่อนที่เบลเซบับจะย้ายร่าง” กวีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถืออย่างร้อนใจ กดไปยังหมายเลขของคิมหันต์อย่างไม่ต้องตริตรองอะไรทั้งนั้น
แต่ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกปวดที่หูของกวีก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง มือของเขากระตุกจนทิ้งให้โทรศัพท์ตกลงบนพื้นห้องพร้อมกับทรุดตัวลงทันที กวีรู้สึกคล้ายกับสมองกำลังหยุดทำงาน ตาของเขาเริ่มคล้อยปิด ลมหายใจแรงขึ้น ความรู้สึกมึนงง ง่วง และอ่อนเพลียถาโถมเข้าใส่ในคราวเดียว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพียงแต่รู้ดีว่าไม่นานเขาก็คงหมดสติลงเป็นแน่
“กวี...กวี! เป็นอะไรหรือเปล่า!” และเสียงของเมเดียก็เป็นเสียงสุดท้ายที่กวีได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะถูกความมืดมิดกลืนกิน
ลลิตไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองๆนี้และห้องของเธอที่ว่างเปล่า ก่อนอื่นลลิตรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดเพราะว่าคืนนี้นั้นดูชุลมุนวุ่นวายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ข้างนอกเมืองกำลังมีเสียงไซเรนของรถพยาบาลดังโหยหวนไปทั่วอย่างน่าใจเสียคล้ายกับมีอุบัติเหตุครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็ไม่ปาน แล้วแอนก็ยังมาหายตัวไปจากห้อของเธอโดยไม่บอกล่วงหน้าในเวลาแบบนี้ด้วย ซึ่งขณะนี้เวลาประมาณหกโมงเย็น ลลิตรู้สึกทั้งหัวเสียและงุนงง เธอไม่น่าปล่อยแอนให้อยู่คนเดียวเลยแท้ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดันลงไปข้างล่างคนเดียวและปล่อยให้แอนอยู่ตามลำพังแม้จะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม และถึงแม้ในห้องจะไม่มีร่องรอยของการบุกรุกของใคร แต่ถึงอย่างนั้นลลิตก็ไม่ได้รู้สึกร้อนใจน้อยลงเลย เธอคิดดังนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดโทรไปหาคิมหันต์ผู้ที่พอจะช่วยเธอได้บ้าง
“คิม!” เธอเรียกทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย “แอนหายตัวไปจากห้องฉัน ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรขึ้นมา ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน”
“หายตัวไปหรอ...” เสียงของคิมหันต์ดูติดขัดและอ้ำอึ้ง “...หายตัวไปนานหรือยัง”
“เอ่อ...คงยังไม่นานหรอก” ลลิตคิด “ฉันออกไปข้างนอกไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง กลับมาอีกทีก็หายตัวไปแล้ว จะเอายังไงดีล่ะคิม”
คิมหันต์เงียบไปสักพัก จนกระทั่งเขาตัดสินใจขึ้น “ลลิตฟังนะ มาเจอกันที่เดอะไลออธก่อน แล้วเราค่อยตามหาด้วยกัน อย่าเพิ่งไปไหนคนเดียวนะ ฉันว่าคืนนี้เป็นคืนที่ผิดปกติมากๆเลย”
ที่บริเวณลานหน้า The Riot นั้นเต็มไปด้วยความจลาจลวุ่นวาย ผู้คนกว่าร้อยชีวิตวิ่งวุ่นกันอย่างแตกตื่น เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังระงมไปทั่วเมืองหลวงที่กำลังถูกวางยาพิษ ใช่แล้วค่ำคืนแห่งหายนะกำลังเข้าใกล้เข้ามาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อจู่ๆผู้คนทั่วทั้งเมืองก็ล้มป่วยลงเกือบพร้อมๆกันด้วยอหิวาตกโรคที่กำลังระบาด ผู้คนใน The Riot ล้มทรุดกันไปทีละคนจนรถพยาบาลไม่สามารถบรรจุคนไข้จำนวนมากขนาดนั้นได้อีก และเมื่อหายนะเช่นนั้นเกิดขึ้น คนบางคนเริ่มอาเจียนและหมดสติไปทีละราย ซึ่งคนที่ป่วยและกำลังจะตายในขณะนี้ลลิตคาดการณ์ว่าน่าจะมีสัก 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งเมืองก็เป็นได้ นั่นทำให้เกิดการแตกตื่นของประชาชนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลลิตมั่นใจว่าถ้าเธอถอดสร้อยคอที่กวีมอบให้ไว้ในตอนนี้ สมองของเธอคงจะละลายเพราะถูกความคิดอันชุลมุนของคนทั้งเมืองจู่โจมเป็นแน่
“บ้าจริงเชียว คนเยอะขนาดนี้แล้วจะหาแอนเจอได้ยังไงนะ” ลลิตสบถ
และทันใดนั้นเอง หน้าจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ตรงลานหน้า The Riot ก็ฉายภาพนักประกาศข่าวสาวที่มีท่าทีร้อนรนขึ้นมา เธอกำลังรายล้อมไปด้วยฝูงชนที่ชุลมุนวุ่นวายราวกับเกิดเหตุไฟไหม้ “ขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนของทุกๆท่าน แต่ในขณะนี้กรุงเทพมหานครกำลังเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อผู้คนหลายๆคนเริ่มล้มป่วยลงด้วยอหิวาตกโรคจนร่างกายเกิดอาการช็อคอย่างเฉียบพลัน ทางแพทย์วินิจฉัยว่ามีสาเหตุมาจากแมลงวันที่เต็มไปทั้งเมืองในรอบหลายๆเดือนที่ผ่านมานี้ หากใครมีอาการเจ็บป่วยดังกล่าว ขอให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง และต่อไปเราได้รับข้อความเสียงจากอีเมล์ประหลาด...ชะ เชิญรับฟังกันได้เลยค่ะ!...” เสียงของผู้ประกาศข่าวสาวสั่นเครือ แล้วไม่นานภาพก็ตัดไปเป็นหน้าจอสีขาวที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่มีรูปดวงตาอยู่ตรงกลาง
เสียงที่ฟังดูเหมือนถูกดัดแปลงดังขึ้น มันคล้ายๆกับเสียงของหุ่นยนต์หรืออะไรสักอย่าง แต่ที่แน่ๆคงไม่มีใครในโลกทำเสียงแปร่งๆแบบนั้นได้แน่ ลลิตเงยหน้าขึ้นมองจอมอร์นิเตอร์อย่างตั้งใจในขณะที่ความชุลมุนเหมือนจะหยุดชะงักพร้อมกันเพื่อเงี่ยหูฟังข้อความเสียงต่อไปนี้ “เราคือ ‘อิลลูมินาติ’และค่ำคืนแห่งหายนะก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว มนุษย์ผู้ตะกละและหิวโหยกำลังจะถูกพิพากษาด้วยฝีมือของปิศาจ ไม่นานพวกเจ้าจะล้มลงตายทีละคน เมืองๆนี้จะถูกฝังอยู่ในสิ่งปฏิกูลน่าสะอิดสะเอียนของหมู่แมลงวันที่จะขึ้นแทนที่พวกเจ้า เมืองๆนี้เลยเวลามานานแล้วสำหรับการเยียวยา ไม่มีอะไรรักษาความตะกละตะกลามของพวกเจ้าได้อีกแล้ว บาปหนาจะถูกชำระในคืนนี้ ซาตานผู้ทรงอำนาจกำลังจะทำลายพวกเจ้า แต่ว่า...” เสียงซุบซิบอันหวาดผวาดังอยู่ทั่วลานกว้างนี้ ท้องไส้ของลลิตเริ่มบิดตัว เธอรู้สึกอยากจะอาเจียนเพราะความเครียดขึ้นมาในทันที
“...พวกเจ้าสามารถรอดพ้นจากความหมายได้ด้วยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า” เสียงซุบซิบดังยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็พลันเงียบลงอีกเพื่อรับฟังหนทางที่กำลังถูกเสนอให้ “จงใช้คัมภีร์มรณะเพื่อรักษาตัวเองซะ จงพึ่งพาอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า สังเวยชีวิตของพวกเจ้าเพื่อแลกกับความเป็นอยู่ของนครแห่งฝนนี้! มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะรอด! จงเลือก! ล่มสลายหรือสังเวย!”
แล้วจอภาพก็ดับไปกลับมาเป็นภาพสไลด์ของโฆษณาแฟชั่นดังเดิมทิ้งให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความชุลมุนเสียยิ่งกว่าเดิม ลลิตรู้สึกโหวงเหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก เธอตะลึงมากที่ได้ยินข้อความเสียงน่ากลัวแบบนั้นในสถานการณ์แบบนี้ ใครกันนะที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปอีก หรือนี่จะเป็นแผนการขององค์กรอะไรก็ตามที่เรียกตัวเองว่า ‘อิลลูมินาติ’
ไม่หรอก จะมีใครทำให้คนทั้งเมืองล้มป่วยลงพร้อมๆกันได้แน่ แม้แต่อำนาจของคัมภีร์มรณะยังทำไม่ได้ขนาดนั้นเลย มันจะต้องเป็นฝีมือของเบลเซบับไม่ผิดแน่ แต่ลลิตไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะทำอะไรก่อน เธอควรจะรีบตามหาแอนให้พบเพราะอาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอหรือว่าควรจะหยุดการจราจลนี้ลงก่อนดี เธอนึกอยากให้มีกวีหรือคิมหันต์อยู่ข้างๆ น่าจะมีใครคอยให้เธอปรึกษาในขณะนี้
“ลลิต! ลลิต!” เสียงหนึ่งเรียก “กะ เกิดอะไรขึ้นกัน!” คิมหันต์วิ่งเข้ามาแตะบ่าเธอจากด้านหลัง ลลิตดีใจจนแทบจะโผกอดแต่ก็ยั้งตัวไว้ เธอรวบรวมสติแล้วเริ่มตั้งต้นอธิบาย
“เมื่อกี้...เมื่อกี้น่ะ มีข้อความเสียงจากพวกที่เรียกตัวเองว่า อิลลูมินาติ มันบอกว่าเมืองนี้กำลังจะถูกโรคระบาดกลืนกิน ให้ผู้คนใช้คัมภีร์มรณะแล้วขอพรเพื่อรักษาคนที่กำลังป่วย” คิมหันต์หน้าซีดเสียจนลลิตยังตกใจ “นายโอเคมั้ยคิม นายไม่ได้ป่วยแบบคนอื่นเค้าใช่มั้ย” ลลิตบีบต้นแขนของคิมเสียจนแน่น
คิมหันต์กลืนน้ำลายแล้วยิ้มเป็นคำตอบ เขายังคงหน้าซีดเพราะคำว่าอิลลูมินาติที่ลลิตพูดถึงทำเอาเขาอยู่ไม่สุข ถ้าองค์กรนั้นเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ นั่นแปลว่าพวกนั้นคงกำลังร่วมมือกับเบลเซบับเพื่อเพิ่มจำนวนคนที่ใช้คัมภีร์มากกว่าเดิมและคิมจะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ ในฐานะที่เขาเป็นศัตรู เขาจะต้องหยุดยั้งแผนการนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
“เจ้ากวีล่ะอยู่ไหน หมอนั่นน่าจะติดต่อเรามานะในสถานการณ์แบบนี้ เพราะนี้มันเกี่ยวกับคัมภีร์มรณะเต็มๆเลย” คิมหันต์ถามอย่างร้อนใจ
ลลิตส่ายหัวผิดหวังเป็นคำตอบ เธอบึ้งปากพูด “ไม่เห็นเลยคิม กวีไม่ติดต่อมาเลย แถมแอนก็หายตัวไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขเรื่องไหนก่อน ฉัน...”
ซ่า! แล้วทันใดนั้นเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น ตอนแรกคิมหันต์นึกว่านั่นเป็นเสียงฝนที่กำลังโหมตกหนักเรื่อยๆแต่ก็ไม่ใช่ แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนคลื่นสีดำกำลังโผบินเข้าไปรวมอยู่ในที่ๆเดียวกัน เมื่อมองจากที่ไกลๆมันดูเหมือนกับว่ามีพลังงานสีดำบินออกมาจากทุกบริเวณของเมืองเพื่อเข้าไปรวมตัวกันในซอกตึกแคบๆที่ใดที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วพบว่าฝูงแมลงวันจำนวนมากกำลังบินผ่านศีรษะเขาไป
“พวกมันจะไปไหนกัน” ลลิตถาม
แล้วคำถามของเธอก็ดูเหมือนจะได้คำตอบในทันที เพราะจู่ๆความรู้สึกเจ็บที่เบ้าตาของคิมหันต์ก็กลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง คราวนี้ภาพที่เขาเห็นเริ่มเปลี่ยนไป มันเป็นภาพของแอนที่กำลังถูกล้อมด้วยฝูงแมลงวันโดยที่เจ้าของสายตาคู่นี้กำลังจ้องมองอยู่ใกล้ๆ เธอกรีดร้องแล้วดูหวาดกลัวเหลือเกิน แล้วมันก็ตัดกลับมาเป็นภาพใบหน้าของลลิตที่ชะโงกเข้ามาใกล้ๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าคิม นายป่วยงั้นหรอ” ลลิตถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าของเธอดูไม่ดีเลย
“เปล่า...เปล่า” คิมหันต์หอบหายใจตอบ “แต่ฉันรู้แล้วล่ะว่าแอนอยู่ตรงไหน” คิมหันต์พูดพลางมองไปยังกลุ่มก้อนสีดำๆที่รวมตัวกันอยู่เหนือช่องตึกเก่าๆนั้น
“ตรงไหนคิม นายเห็นนิมิตอีกแล้วหรอ!”
“ตรงนั้น” เขาชี้ไปยังช่องตึกที่มีแมลงวันบินวนอยู่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ “แอนน่าจะอยู่แถวๆนั้น! รีบไปกันเถอะลลิต เราไม่มีเวลามารอใครอีกแล้ว” คิมหันต์จูงแขนของลลิตวิ่งฝ่ากระแสคนเพื่อตรงไปยังซอกตึกเก่าๆที่มีพายุแห่งฝูงแมลงวันกำลังรอคอยเขาอยู่
แอนรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในวังวนของแมลงวันที่บินอยู่รอบๆเธอ มันเป็นดั่งพายุทรายหรืออะไรสักอย่างที่คอยก่อกวนเธอให้ไม่สามารถหนีไปไหนได้ เธอน่าจะติดอยู่ตรงบริเวณนี้มาสักสิบนาทีได้แล้ว และเท่าที่เธอเห็นก็มีแต่ฝูงแมลงวันกับซอกตึกแคบๆ กำแพงอิฐเก่าๆ พื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำเสีย และถังขยะเน่าเหม็นส่งกลิ่นอบอวลเท่านั้นที่กลายมาเป็นคุกขังเธอไว้ และมันช่างเป็นคุกที่แย่ที่สุดในโลกเลย ซึ่งยิ่งไปกว่านั้นเสียงไซเรนจากรถพยาบาลที่ดังระงมไปทั่วก็แทบทำให้เธอเป็นบ้าด้วย
“แอน! แอน! เป็นอะไรมั้ย” ในวินาทีแรก แอนนึกว่าคิมหันต์กำลังเรียกหาเธอ แต่ไม่ใช่ คนตรงหน้าคือจิตติที่ปรากฏตัวในชุดกันฝนสีเทาดำ เขาวิ่งฝ่าฝูงแมลงวันเข้ามาอย่างง่ายดายแบบที่แอนก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไรเหมือนกัน เธอไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนั้นเพียงแค่โผเข้าใส่พี่ชายตัวเองทันทีที่เห็น
“พี่จิต! พี่จิตจริงๆด้วย! ขอบคุณพระเจ้า!” แอนร้องเสียงอู้อี้ ซุกใบหน้าลงบนอกของพี่ชายผู้แสนดี เธอตั้งต้นสะอึกสะอื้นและปลิดเปลื้องความกดดันทุกอย่างในทันที
เขาลูบหัวเธอ “ไม่เป็นอะไรนะแอน สบายดีนะ พี่ขอโทษด้วยที่นิสัยไม่ดีในคืนนั้น” จิตติกล่าวอย่างอบอุ่น มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้แอนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แม้เธอจะถูกพายุของฝูงแมลงวันล้อมอยู่จนออกไปจากที่นี่ไม่ได้
“ไม่...ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” แอนปาดน้ำตาแล้วพูดอย่างติดขัด “แอนผิดเอง แอนไม่น่าหนีออกมาเลย”
“พี่ขอบใจแอนนะที่มาตามนัดพี่ ตอนแรกพี่นึกว่าแอนจะไม่มาแล้วซะอีก”
“แอนผิดไปแล้วค่ะ ขอบใจนะคะที่ส่งข้อความมาตามแอนกลับบ้าน แอนขอโทษ แอน...”
แต่ไม่ทันกล่าวจบความเจ็บปวดก็แล่นแปลบอย่างรุนแรงตรงบริเวณหน้าท้องข้างซ้าย แอนพบว่ามีมีดทำครัวเล่มบางเสียบคาอยู่ที่บริเวณเอวของเธอ เลือดสดๆไหลทะลักออกมาเหมือนถุงน้ำแกงที่ถูกกรีด แอนหน้าซีดเผือด หัวใจเต้นรัว มือสั่นระริกแล้วร่างของเธอก็ทรุดล้มลงไปแบบไม่ได้ตั้งใจ
“พี่จิต...พี่จิต...” แอนอ้าปากพะงาบๆ ราวกับสมองกำลังเปลี่ยนหน้าที่จากประมวลความคิดไปเป็นรับความเจ็บปวดจากปากแผลโดยสิ้นเชิง
แล้วจิตติเดินก็เข้ามาใกล้ ไม่มีท่าทีสงสารหรือตกใจอะไรทั้งนั้น เพียงแต่มีเลือดสดๆกระจายเปรอะหน้าเสียจนใบหน้าหล่อเหลานั้นดูน่ากลัวขึ้นมา เขานิ่วหน้านิ่งๆแล้วพูด “ช่างเป็นเด็กที่โง่เง่าเหลือเกิน”
“พี่จิต...พี่จิต...พี่ทำแบบนี้ทำไม...” แอนถามอย่างยากลำบาก ดูเหมือนน้ำตาของเธอก็ไหลนองออกมาไม่แพ้กับเลือดเช่นเดียวกัน ตอนนี้มันคลอเสียจนสายตาของเธอเองมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว “ไม่ได้เกี่ยวกับคัมภีร์พวกนั้นใช่มั้ยคะ! ตอบแอนมาสิ! พี่จิต!” แอนรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อตวาดใส่พี่ชายตัวเองออกไป แต่ก็มีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่ตอบกลับมา
แอนไม่รู้ว่าโลกกำลังมืดลงเพราะเธอกำลังเสียเลือด หรือว่ามีแมลงวันนับล้านๆตัวบินอยู่เหนือหัวจนบังท้องฟ้าไปสิ้น แต่เท่าที่แอนเห็นก็คือจิตติประคองหมวกคลุมศีรษะในชุดกันฝนขึ้นมาบังใบหน้าเอาไว้ มันคลุมเสียจนใบหน้าครึ่งบนของจิตติเป็นเงาดำ ทำเอาแอนรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก เธอพึมพำออกมาอย่างหวาดกลัว “เกิดอะไรขึ้นกับพี่จิตกันแน่...”
แต่ชายในชุดกันฝนกลับแสยะยิ้มใส่ราวกับเป็นคนที่แอนไม่เคยรู้จัก เขาดูเหมือนปีศาจผู้ออกมาจากฝันร้ายของเด็กๆ เป็นเสมือนซาตานที่จำแลงกายมาในร่างของมนุษย์ เป็นดั่งภาพจากมโนสำนึกที่แอนรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด รอยยิ้มเลือดเย็นเปื้อนเลือดปรากฏบนใบหน้าซีดๆนั้นก่อนจะพูด “ข้าไม่ใช่พี่ชายของเจ้าอีกต่อไปแล้ว ข้าคือเบลเซบับ และนี่คือเวลาตายของเจ้า"
ความคิดเห็น