ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #22 : ChapT20 ("It Will Rain") ; นครแห่งฝน

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 55


    หลังจากที่กวีได้เห็นข้อความของเมเดีย  ไม่นานเขาก็ปลีกตัวไปตามคำเชิญนั้นแล้วทิ้งให้ลลิตกับคิมหันต์อยู่กันตามลำพัง  กวีใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆมาถึงที่พักส่วนตัวของเมเดียเป็นที่เรียบร้อย  มันเป็นบ้านพักตากอากาศในป่าชื้นที่อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควร  เห็นได้ชัดว่าเมื่อเข้ามาถึงในบริเวณนี้  ฝนก็เริ่มพรำตกน้อยลงแล้ว  มันเป็นข้อสันนิษฐานชั้นดีเกี่ยวกับฝนที่ตกแค่ในเมืองหลวงราวกับจงใจ  แต่ถึงอย่างนั้นป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงชะรูดก็ไม่ได้ทำให้กวีหายหนาวหรือรู้สึกว่าตัวเองห่างจากฝนมามากขึ้นเลย  มีกลิ่นของต้นยูคาลิปตัสอบอวลไปทั่วป่าแห่งนี้  ทันทีที่กวีลงจากรถแท็กซี่ก็มองเห็นบ้านพักสีขาวครีมสร้างจากไม้ดูหราหราทว่าเรียบง่าย  มันน่าจะมีสักสองชั้นได้  ซึ่งนั้นก็นับว่าเกินพอสำหรับการอยู่อาศัยเพียงคนเดียวแล้ว  และกวีแทบไม่ต้องเข้าไปเคาะประตูเมเดียก็เดินออกมาต้อนรับให้เข้าไปข้างใน

    “เข้ามาก่อนสิ” เมเดียยิ้ม

    “ไม่บอกก็รู้น่า”

    กวีวางร่มของตัวเองลงบนพื้นบ้านแล้วปล่อยให้น้ำฝนหยดลงมานองบนพื้นเล็กน้อย  ถอดรองเท้าและเดินตามเข้าไปในบ้านมืดๆที่เงียบเหงาและวังเวง  กวีพอจะเคยดูหนังสยองขวัญที่มีวัยรุ่นกลุ่มนึงไปพักตากอากาศที่ชนบทแล้วมีฆาตกรโรคจิตมาไล่ฆ่ามาบ้างแล้วและบ้านหลังนี้ก็กำลังทำให้กวีรู้สึกแบบเดียวกัน  ถ้าหากจะมีการสร้างหนังสยองขวัญแนวนั้นอีกเรื่องละก็  บ้านหลังนี้คงจะเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

    “อยากได้อะไรมั้ย” เมเดียพูดก่อนที่จะเลี้ยวเข้าไปในห้องครัว

    กวีไม่ได้เดินตามไป  เพียงแต่ว่าเสียงเอี๊ยดอ๊าดของแผ่นไม้ก็ทำให้เขารู้ว่าเมเดียเดินหายไปในครัวแล้วจัดแจงอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น  กวีใช้จังหวะระหว่างรอมองดูสภาพบ้านรอบๆ  เขาเห็นโคมไฟฟักทองที่ประดับในงานฮัลโลวีนอยู่เต็มไปหมด  มันเรืองแสงอยู่ในบ้านมืดๆที่ปิดทึบและอบอุ่น  เขาไม่รู้ว่าทำไมเมเดียถึงชอบอยู่ในสถานที่มืดๆแบบนี้  แต่ที่รู้ๆก็คือมันตรงกันข้ามกับเขาเลย

    และแค่รอเพียงสักพักเมเดียก็ออกมาจากห้องครัวพร้อมกับถาดน้ำชาส่งกลิ่นหอมกรุ่น  เธอถือมันไว้แล้วเดินขึ้นไปยังบันไดบ้านพลางหันกลับมาเรียกกวี “มาสิ  ไปคุยกันที่ห้องฉันเถอะ”

     

    และการสนทนานี้ก็ตรึงเครียดเสียจนกวีเองยังต้องนั่งไม่ติดเขาเดินไปมาอยู่ในห้องนอนของเมเดียที่หรูหราและมีระดับ  มันถูกตกแต่งด้วยสีดำสลับกับแดงดูลงตัว  แต่ความงดงามทั้งหลายนี้กลับถูกซ่อนไว้ภายใต้ความมืดมิด  มีเพียงแสงจากเทียนไขเล่มหนึ่งเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่างอยู่บนโต๊ะเท่านั้น  แล้วเหนือสิ่งอื่นใดกลิ่นกุหลาบที่อบอวนอยู่ในห้องก็ฉุนเสียจนทำให้กวีหัวเสีย

    “นี่ช่วยนั่งลงก่อนได้มั้ย  ฉันมึนหัว” เมเดียบ่นตอนที่เงาของกวีส่ายไปส่ายมาจนตาลาย  กวีพลันหยุดเดินแล้วนั่งลงตรงหน้าเมเดียแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาร้อนใจน้อยลงเลย

    “ฉันคงจะนั่งลงเงียบๆกว่านี้ถ้าเธอบอกฉันมาว่าฉันควรจะทำยังไงกับร่างทรงคนนั้น” กวีพูดเครียดๆ  ดูหัวเสียอย่างมากที่เขาตะบึงมาที่ที่พักของเมเดียโดยทันทีเพื่อหมายจะได้คำตอบที่มากกว่าเดิม  แต่พี่สาวตัวดีกลับบอกให้เขานั่งลงแล้วทำใจเย็นๆ  แล้วยังดูเหมือนพยายามจะถ่วงเวลาแบบสุดๆคล้ายๆกับว่าขี้เกียจที่จะตอบคำถามของกวี

    “คนไหนนะ” เมเดียถาม

    “ร่างทรงของเบลเซบับไง  เธออย่ามาปฏิเสธว่าไม่รู้หน่อยเลย  ก็เธอเรียกฉันมาคุยที่ห้องเธอไม่ใช่หรือไง” กวีพูด

    “ใจเย็นๆซี่  นายเล่นยิงคำถามรัวๆแบบนี้  ฉันเองก็ตามเรื่องไม่ค่อยทันนะ” เมเดียยกชาในมือขึ้นมาจิบแล้ววางลงตรงหน้า “ก่อนอื่น...นายจะไม่ชิมชาที่ฉันชงให้หน่อยเลยหรอ  ฉันอุตส่าห์เตรียมเผื่อนะ”

    กวีพ่นลมหายใจแบบฉุนเฉียว  เขานั้นเป็นคนใจเย็นโดยกมลสันดานแต่ทว่าในเวลานี้มันไม่ค่อยเหมาะกับความใจเย็นนัก “จะถ่วงเวลาไปถึงเมื่อไหร่กัน”

    “เอาน่าๆ” เมเดียบอกปัด “ว่าแต่คนอย่างนายนี่รู้จักอยากช่วยเหลือคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” ชำเลืองมองดูน้องชายเป็นเชิงถาม  แต่กวีไม่ได้ตอบอะไร  แค่เพียงนิ่งให้เมเดียเปลี่ยนเรื่องพูดเท่านั้น “ไม่ตอบสินะ”

    กวีกระแทกเท้าเดินห่างไปจากโต๊ะแล้วกำลูกบิดประตูกำลังจะออกไปจากห้องที่อึดอัดนี้ “ฉันจะไปแล้ว” เขาหันกลับมาพูด

    “เห้อ...ถึงนายทำเป็นงอนฉันก็ไม่ได้ทำให้ฉันตอบคำถามนายเร็วกว่าเดิมหรอกนะ” เมเดียพูดขึ้นข้างหลังของกวี  แต่อีกฝ่ายไม่สนใจคำพูดนั้นเลย  เขาแง้มบานประตูออกแล้วก้าวเท้าออกไปข้างหนึ่งก่อนที่เมเดียจะพูด “เบลเซบับมีพลังอย่างนึงที่นายยังไม่รู้จัก”

    คำเปรยนั้นทำเอากวีชะงักนิ่ง  เขาเหลียวหลังมามองเมเดียเป็นเชิงถาม “ว่าไงนะ?”

    “ใช่  เบลเซบับมีพลังวิเศษบางอย่าง  คือ...เขาก็เป็นปีศาจในนรกน่ะนะ  จะให้เขาไร้อำนาจเลยก็ยังไงอยู่  เขาต้องมีอำนาจวิเศษอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว  อย่างแรกเลยก็คือ...ฝน” เปลวเทียนสั่นไหวเบาๆราวกับรู้ว่าการสนทนานี้กำลังจะเข้มข้นขึ้น

    “เขาทำให้ฝนตกได้เมื่อเขาปรากฏตัว  ข้อนี้ฉันรู้” กวีพูดเรียบๆ  ปิดประตูแล้วยืนพิงอยู่อย่างนั้น

    เมเดียยิ้มแล้วว่าต่อ “แล้วเขาก็ควบคุมฝูงแมลงวันได้”

    “หึ” กวีแค่นหัวเราะใส่ “แล้วมีอะไรแปลกใหม่ต่างจากที่ฉันรู้มาแล้วอย่างนั้นหรอ”

    เปลวเทียนตรงหน้าของเมเดียสั่นไหวชั่ววินาทีหนึ่ง  กลิ่นกุหลาบยังคงจุกอยู่ในจมูกของกวีจนตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกขมคออย่างบอกไม่ถูก  พอเมเดียเห็นดังขึ้นเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วต่อเทียนอีกเล่มหนึ่งวางไว้บนตู้พลางพูดไปด้วย “เขาย้ายร่างได้”

    “ย้ายร่างงั้นหรอ” กวีทวนอย่างสนใจ

    “ถูกต้อง  มันเป็นความสามารถที่เบลเซบับทำได้เพียงตนเดียวจากปิศาจทั้งเจ็ดตน นั่นก็คือการย้ายร่าง  เขาจะปล่อยแมลงวันเข้าไปในร่างกายของเหยื่อเพื่อทำเครื่องหมายไว้  และเมื่อถึงเวลาอันสมควร  เบลเซบับก็จะได้ร่างกายใหม่ไปเรื่อยๆทำให้เขาไม่อาจะถูกตามรอยได้” เมเดียพักแล้วยกชาขึ้นมาจิบ “แล้วก็อย่างที่รู้เขาเป็นปิศาจแห่งความตะกละ  เขาโหยหิวการมีร่างใหม่  และก่อนที่เขาจะย้ายร่าง  เขาก็ต้องกินเสียก่อน...”

    “กิน...” กวีทวนคำ “เรากำลังพูดถึงศพที่ถูกทุบด้วยค้อนยักษ์แล้วมีแมลงวันมาตอมจนไม่เหลือซากสินะ”

    “นั่นแหละ” เมเดียพยักหน้าเครียด “วิธีนั้นคือการกินของเบลเซบับ  แต่ที่เขาย้ายร่างได้นี่  ทำให้ฉันปวดหัวเป็นว่าเล่นเหมือนกัน  เพราะฉันไม่สามารถตามตัวเขาพบได้เลย”

    กวีนึกถึงเรื่องที่คิมหันต์เล่าให้ฟังขึ้นมา  เรื่องที่ว่าคิมหันต์ไปพบกับศพของคนอ้วนคนหนึ่งที่นอนตายแล้วมีแมลงวันตอม  ไปจนถึงเรื่องที่มีคนเห็นเบลเซบับในร่างของบุรุษที่สูงและผอมในเสื้อกันฝน  ภาพในจิตสำนึกฉายขึ้นในสมองสลับกันไปมาจนทำให้กวีนึกอะไรบางอย่างออกได้ “เข้าใจแล้ว...เบลเซบับเปลี่ยนร่างของตัวเองเป็นร่างของคนอื่นนี่เองฉันคงต้องรีบบอกเจ้าพวกนั้นก่อนที่เบลเซบับจะย้ายร่าง” กวีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถืออย่างร้อนใจ  กดไปยังหมายเลขของคิมหันต์อย่างไม่ต้องตริตรองอะไรทั้งนั้น

    แต่ทันใดนั้นเอง  ความรู้สึกปวดที่หูของกวีก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง  มือของเขากระตุกจนทิ้งให้โทรศัพท์ตกลงบนพื้นห้องพร้อมกับทรุดตัวลงทันที  กวีรู้สึกคล้ายกับสมองกำลังหยุดทำงาน  ตาของเขาเริ่มคล้อยปิด  ลมหายใจแรงขึ้น  ความรู้สึกมึนงง  ง่วง  และอ่อนเพลียถาโถมเข้าใส่ในคราวเดียว  เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง  เพียงแต่รู้ดีว่าไม่นานเขาก็คงหมดสติลงเป็นแน่

    “กวี...กวีเป็นอะไรหรือเปล่า!” และเสียงของเมเดียก็เป็นเสียงสุดท้ายที่กวีได้ยินก่อนที่ทุกอย่างจะถูกความมืดมิดกลืนกิน

     

    ลลิตไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองๆนี้และห้องของเธอที่ว่างเปล่า  ก่อนอื่นลลิตรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดเพราะว่าคืนนี้นั้นดูชุลมุนวุ่นวายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ข้างนอกเมืองกำลังมีเสียงไซเรนของรถพยาบาลดังโหยหวนไปทั่วอย่างน่าใจเสียคล้ายกับมีอุบัติเหตุครั้งใหญ่เกิดขึ้นก็ไม่ปาน  แล้วแอนก็ยังมาหายตัวไปจากห้อของเธอโดยไม่บอกล่วงหน้าในเวลาแบบนี้ด้วย  ซึ่งขณะนี้เวลาประมาณหกโมงเย็น  ลลิตรู้สึกทั้งหัวเสียและงุนงง  เธอไม่น่าปล่อยแอนให้อยู่คนเดียวเลยแท้ๆ  แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดันลงไปข้างล่างคนเดียวและปล่อยให้แอนอยู่ตามลำพังแม้จะเป็นเวลาสั้นๆก็ตาม  และถึงแม้ในห้องจะไม่มีร่องรอยของการบุกรุกของใคร  แต่ถึงอย่างนั้นลลิตก็ไม่ได้รู้สึกร้อนใจน้อยลงเลย  เธอคิดดังนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดโทรไปหาคิมหันต์ผู้ที่พอจะช่วยเธอได้บ้าง

    “คิม!” เธอเรียกทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย “แอนหายตัวไปจากห้องฉัน  ฉันกลัวว่าเธอจะเป็นอะไรขึ้นมา  ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าเธออยู่ไหน”

    “หายตัวไปหรอ...” เสียงของคิมหันต์ดูติดขัดและอ้ำอึ้ง “...หายตัวไปนานหรือยัง”

    “เอ่อ...คงยังไม่นานหรอก” ลลิตคิด “ฉันออกไปข้างนอกไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง  กลับมาอีกทีก็หายตัวไปแล้ว จะเอายังไงดีล่ะคิม”

    คิมหันต์เงียบไปสักพัก  จนกระทั่งเขาตัดสินใจขึ้น “ลลิตฟังนะ  มาเจอกันที่เดอะไลออธก่อน  แล้วเราค่อยตามหาด้วยกัน  อย่าเพิ่งไปไหนคนเดียวนะ  ฉันว่าคืนนี้เป็นคืนที่ผิดปกติมากๆเลย”

     

    ที่บริเวณลานหน้า The Riot นั้นเต็มไปด้วยความจลาจลวุ่นวาย  ผู้คนกว่าร้อยชีวิตวิ่งวุ่นกันอย่างแตกตื่น  เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังระงมไปทั่วเมืองหลวงที่กำลังถูกวางยาพิษ  ใช่แล้วค่ำคืนแห่งหายนะกำลังเข้าใกล้เข้ามาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อจู่ๆผู้คนทั่วทั้งเมืองก็ล้มป่วยลงเกือบพร้อมๆกันด้วยอหิวาตกโรคที่กำลังระบาด  ผู้คนใน The Riot ล้มทรุดกันไปทีละคนจนรถพยาบาลไม่สามารถบรรจุคนไข้จำนวนมากขนาดนั้นได้อีก  และเมื่อหายนะเช่นนั้นเกิดขึ้น  คนบางคนเริ่มอาเจียนและหมดสติไปทีละราย  ซึ่งคนที่ป่วยและกำลังจะตายในขณะนี้ลลิตคาดการณ์ว่าน่าจะมีสัก 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งเมืองก็เป็นได้  นั่นทำให้เกิดการแตกตื่นของประชาชนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ลลิตมั่นใจว่าถ้าเธอถอดสร้อยคอที่กวีมอบให้ไว้ในตอนนี้  สมองของเธอคงจะละลายเพราะถูกความคิดอันชุลมุนของคนทั้งเมืองจู่โจมเป็นแน่

    “บ้าจริงเชียว  คนเยอะขนาดนี้แล้วจะหาแอนเจอได้ยังไงนะ” ลลิตสบถ

    และทันใดนั้นเอง  หน้าจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ตรงลานหน้า The Riot ก็ฉายภาพนักประกาศข่าวสาวที่มีท่าทีร้อนรนขึ้นมา  เธอกำลังรายล้อมไปด้วยฝูงชนที่ชุลมุนวุ่นวายราวกับเกิดเหตุไฟไหม้ “ขออภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนของทุกๆท่าน  แต่ในขณะนี้กรุงเทพมหานครกำลังเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น  เมื่อผู้คนหลายๆคนเริ่มล้มป่วยลงด้วยอหิวาตกโรคจนร่างกายเกิดอาการช็อคอย่างเฉียบพลัน  ทางแพทย์วินิจฉัยว่ามีสาเหตุมาจากแมลงวันที่เต็มไปทั้งเมืองในรอบหลายๆเดือนที่ผ่านมานี้  หากใครมีอาการเจ็บป่วยดังกล่าว  ขอให้รีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง  และต่อไปเราได้รับข้อความเสียงจากอีเมล์ประหลาด...ชะ  เชิญรับฟังกันได้เลยค่ะ!...” เสียงของผู้ประกาศข่าวสาวสั่นเครือ  แล้วไม่นานภาพก็ตัดไปเป็นหน้าจอสีขาวที่มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่มีรูปดวงตาอยู่ตรงกลาง

    เสียงที่ฟังดูเหมือนถูกดัดแปลงดังขึ้น  มันคล้ายๆกับเสียงของหุ่นยนต์หรืออะไรสักอย่าง  แต่ที่แน่ๆคงไม่มีใครในโลกทำเสียงแปร่งๆแบบนั้นได้แน่  ลลิตเงยหน้าขึ้นมองจอมอร์นิเตอร์อย่างตั้งใจในขณะที่ความชุลมุนเหมือนจะหยุดชะงักพร้อมกันเพื่อเงี่ยหูฟังข้อความเสียงต่อไปนี้  “เราคือ อิลลูมินาติและค่ำคืนแห่งหายนะก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว  มนุษย์ผู้ตะกละและหิวโหยกำลังจะถูกพิพากษาด้วยฝีมือของปิศาจ  ไม่นานพวกเจ้าจะล้มลงตายทีละคน  เมืองๆนี้จะถูกฝังอยู่ในสิ่งปฏิกูลน่าสะอิดสะเอียนของหมู่แมลงวันที่จะขึ้นแทนที่พวกเจ้า  เมืองๆนี้เลยเวลามานานแล้วสำหรับการเยียวยา  ไม่มีอะไรรักษาความตะกละตะกลามของพวกเจ้าได้อีกแล้ว  บาปหนาจะถูกชำระในคืนนี้  ซาตานผู้ทรงอำนาจกำลังจะทำลายพวกเจ้า  แต่ว่า...” เสียงซุบซิบอันหวาดผวาดังอยู่ทั่วลานกว้างนี้  ท้องไส้ของลลิตเริ่มบิดตัว  เธอรู้สึกอยากจะอาเจียนเพราะความเครียดขึ้นมาในทันที

    “...พวกเจ้าสามารถรอดพ้นจากความหมายได้ด้วยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า” เสียงซุบซิบดังยิ่งขึ้นไปอีก  แต่ก็พลันเงียบลงอีกเพื่อรับฟังหนทางที่กำลังถูกเสนอให้  “จงใช้คัมภีร์มรณะเพื่อรักษาตัวเองซะ  จงพึ่งพาอำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้า  สังเวยชีวิตของพวกเจ้าเพื่อแลกกับความเป็นอยู่ของนครแห่งฝนนี้มีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่เจ้าจะรอด!  จงเลือกล่มสลายหรือสังเวย!

    แล้วจอภาพก็ดับไปกลับมาเป็นภาพสไลด์ของโฆษณาแฟชั่นดังเดิมทิ้งให้ทั้งเมืองตกอยู่ในความชุลมุนเสียยิ่งกว่าเดิม  ลลิตรู้สึกโหวงเหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก  เธอตะลึงมากที่ได้ยินข้อความเสียงน่ากลัวแบบนั้นในสถานการณ์แบบนี้  ใครกันนะที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายไปอีก  หรือนี่จะเป็นแผนการขององค์กรอะไรก็ตามที่เรียกตัวเองว่า อิลลูมินาติ

    ไม่หรอก  จะมีใครทำให้คนทั้งเมืองล้มป่วยลงพร้อมๆกันได้แน่  แม้แต่อำนาจของคัมภีร์มรณะยังทำไม่ได้ขนาดนั้นเลย  มันจะต้องเป็นฝีมือของเบลเซบับไม่ผิดแน่  แต่ลลิตไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะทำอะไรก่อน  เธอควรจะรีบตามหาแอนให้พบเพราะอาจจะเกิดเรื่องขึ้นกับเธอหรือว่าควรจะหยุดการจราจลนี้ลงก่อนดี  เธอนึกอยากให้มีกวีหรือคิมหันต์อยู่ข้างๆ  น่าจะมีใครคอยให้เธอปรึกษาในขณะนี้

    “ลลิตลลิต!” เสียงหนึ่งเรียก “กะ  เกิดอะไรขึ้นกัน!” คิมหันต์วิ่งเข้ามาแตะบ่าเธอจากด้านหลัง  ลลิตดีใจจนแทบจะโผกอดแต่ก็ยั้งตัวไว้  เธอรวบรวมสติแล้วเริ่มตั้งต้นอธิบาย

    “เมื่อกี้...เมื่อกี้น่ะ  มีข้อความเสียงจากพวกที่เรียกตัวเองว่า อิลลูมินาติ  มันบอกว่าเมืองนี้กำลังจะถูกโรคระบาดกลืนกิน  ให้ผู้คนใช้คัมภีร์มรณะแล้วขอพรเพื่อรักษาคนที่กำลังป่วย” คิมหันต์หน้าซีดเสียจนลลิตยังตกใจ “นายโอเคมั้ยคิม  นายไม่ได้ป่วยแบบคนอื่นเค้าใช่มั้ย” ลลิตบีบต้นแขนของคิมเสียจนแน่น 

    คิมหันต์กลืนน้ำลายแล้วยิ้มเป็นคำตอบ  เขายังคงหน้าซีดเพราะคำว่าอิลลูมินาติที่ลลิตพูดถึงทำเอาเขาอยู่ไม่สุข  ถ้าองค์กรนั้นเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้  นั่นแปลว่าพวกนั้นคงกำลังร่วมมือกับเบลเซบับเพื่อเพิ่มจำนวนคนที่ใช้คัมภีร์มากกว่าเดิมและคิมจะปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้  ในฐานะที่เขาเป็นศัตรู  เขาจะต้องหยุดยั้งแผนการนี้ให้เร็วที่สุด  ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

    “เจ้ากวีล่ะอยู่ไหน  หมอนั่นน่าจะติดต่อเรามานะในสถานการณ์แบบนี้  เพราะนี้มันเกี่ยวกับคัมภีร์มรณะเต็มๆเลย” คิมหันต์ถามอย่างร้อนใจ

    ลลิตส่ายหัวผิดหวังเป็นคำตอบ  เธอบึ้งปากพูด “ไม่เห็นเลยคิม  กวีไม่ติดต่อมาเลย  แถมแอนก็หายตัวไปแล้ว  ฉันไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขเรื่องไหนก่อน  ฉัน...”

    ซ่า! แล้วทันใดนั้นเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น  ตอนแรกคิมหันต์นึกว่านั่นเป็นเสียงฝนที่กำลังโหมตกหนักเรื่อยๆแต่ก็ไม่ใช่  แต่มันเป็นอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนคลื่นสีดำกำลังโผบินเข้าไปรวมอยู่ในที่ๆเดียวกัน  เมื่อมองจากที่ไกลๆมันดูเหมือนกับว่ามีพลังงานสีดำบินออกมาจากทุกบริเวณของเมืองเพื่อเข้าไปรวมตัวกันในซอกตึกแคบๆที่ใดที่หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก  คิมหันต์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วพบว่าฝูงแมลงวันจำนวนมากกำลังบินผ่านศีรษะเขาไป

    “พวกมันจะไปไหนกัน” ลลิตถาม

    แล้วคำถามของเธอก็ดูเหมือนจะได้คำตอบในทันที  เพราะจู่ๆความรู้สึกเจ็บที่เบ้าตาของคิมหันต์ก็กลับมาเล่นงานเขาอีกครั้ง  คราวนี้ภาพที่เขาเห็นเริ่มเปลี่ยนไป  มันเป็นภาพของแอนที่กำลังถูกล้อมด้วยฝูงแมลงวันโดยที่เจ้าของสายตาคู่นี้กำลังจ้องมองอยู่ใกล้ๆ  เธอกรีดร้องแล้วดูหวาดกลัวเหลือเกิน  แล้วมันก็ตัดกลับมาเป็นภาพใบหน้าของลลิตที่ชะโงกเข้ามาใกล้ๆ

    “เป็นอะไรหรือเปล่าคิม  นายป่วยงั้นหรอ” ลลิตถามอย่างเป็นห่วง  สีหน้าของเธอดูไม่ดีเลย

    “เปล่า...เปล่า” คิมหันต์หอบหายใจตอบ “แต่ฉันรู้แล้วล่ะว่าแอนอยู่ตรงไหน” คิมหันต์พูดพลางมองไปยังกลุ่มก้อนสีดำๆที่รวมตัวกันอยู่เหนือช่องตึกเก่าๆนั้น

    “ตรงไหนคิม  นายเห็นนิมิตอีกแล้วหรอ!

    “ตรงนั้น” เขาชี้ไปยังช่องตึกที่มีแมลงวันบินวนอยู่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ “แอนน่าจะอยู่แถวๆนั้นรีบไปกันเถอะลลิต  เราไม่มีเวลามารอใครอีกแล้ว” คิมหันต์จูงแขนของลลิตวิ่งฝ่ากระแสคนเพื่อตรงไปยังซอกตึกเก่าๆที่มีพายุแห่งฝูงแมลงวันกำลังรอคอยเขาอยู่

     

    แอนรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในวังวนของแมลงวันที่บินอยู่รอบๆเธอ  มันเป็นดั่งพายุทรายหรืออะไรสักอย่างที่คอยก่อกวนเธอให้ไม่สามารถหนีไปไหนได้  เธอน่าจะติดอยู่ตรงบริเวณนี้มาสักสิบนาทีได้แล้ว  และเท่าที่เธอเห็นก็มีแต่ฝูงแมลงวันกับซอกตึกแคบๆ กำแพงอิฐเก่าๆ  พื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำเสีย  และถังขยะเน่าเหม็นส่งกลิ่นอบอวลเท่านั้นที่กลายมาเป็นคุกขังเธอไว้  และมันช่างเป็นคุกที่แย่ที่สุดในโลกเลย  ซึ่งยิ่งไปกว่านั้นเสียงไซเรนจากรถพยาบาลที่ดังระงมไปทั่วก็แทบทำให้เธอเป็นบ้าด้วย

    “แอนแอนเป็นอะไรมั้ย” ในวินาทีแรก  แอนนึกว่าคิมหันต์กำลังเรียกหาเธอ  แต่ไม่ใช่  คนตรงหน้าคือจิตติที่ปรากฏตัวในชุดกันฝนสีเทาดำ  เขาวิ่งฝ่าฝูงแมลงวันเข้ามาอย่างง่ายดายแบบที่แอนก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไรเหมือนกัน  เธอไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนั้นเพียงแค่โผเข้าใส่พี่ชายตัวเองทันทีที่เห็น 

    “พี่จิตพี่จิตจริงๆด้วยขอบคุณพระเจ้า!” แอนร้องเสียงอู้อี้  ซุกใบหน้าลงบนอกของพี่ชายผู้แสนดี  เธอตั้งต้นสะอึกสะอื้นและปลิดเปลื้องความกดดันทุกอย่างในทันที

    เขาลูบหัวเธอ “ไม่เป็นอะไรนะแอน  สบายดีนะ  พี่ขอโทษด้วยที่นิสัยไม่ดีในคืนนั้น” จิตติกล่าวอย่างอบอุ่น  มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้แอนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก  แม้เธอจะถูกพายุของฝูงแมลงวันล้อมอยู่จนออกไปจากที่นี่ไม่ได้

    “ไม่...ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” แอนปาดน้ำตาแล้วพูดอย่างติดขัด “แอนผิดเอง  แอนไม่น่าหนีออกมาเลย”

    “พี่ขอบใจแอนนะที่มาตามนัดพี่  ตอนแรกพี่นึกว่าแอนจะไม่มาแล้วซะอีก”

    “แอนผิดไปแล้วค่ะ  ขอบใจนะคะที่ส่งข้อความมาตามแอนกลับบ้าน  แอนขอโทษ  แอน...”

    แต่ไม่ทันกล่าวจบความเจ็บปวดก็แล่นแปลบอย่างรุนแรงตรงบริเวณหน้าท้องข้างซ้าย  แอนพบว่ามีมีดทำครัวเล่มบางเสียบคาอยู่ที่บริเวณเอวของเธอ  เลือดสดๆไหลทะลักออกมาเหมือนถุงน้ำแกงที่ถูกกรีด  แอนหน้าซีดเผือด  หัวใจเต้นรัว  มือสั่นระริกแล้วร่างของเธอก็ทรุดล้มลงไปแบบไม่ได้ตั้งใจ

    “พี่จิต...พี่จิต...” แอนอ้าปากพะงาบๆ  ราวกับสมองกำลังเปลี่ยนหน้าที่จากประมวลความคิดไปเป็นรับความเจ็บปวดจากปากแผลโดยสิ้นเชิง

    แล้วจิตติเดินก็เข้ามาใกล้  ไม่มีท่าทีสงสารหรือตกใจอะไรทั้งนั้น  เพียงแต่มีเลือดสดๆกระจายเปรอะหน้าเสียจนใบหน้าหล่อเหลานั้นดูน่ากลัวขึ้นมา  เขานิ่วหน้านิ่งๆแล้วพูด “ช่างเป็นเด็กที่โง่เง่าเหลือเกิน”

    “พี่จิต...พี่จิต...พี่ทำแบบนี้ทำไม...” แอนถามอย่างยากลำบาก  ดูเหมือนน้ำตาของเธอก็ไหลนองออกมาไม่แพ้กับเลือดเช่นเดียวกัน  ตอนนี้มันคลอเสียจนสายตาของเธอเองมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว “ไม่ได้เกี่ยวกับคัมภีร์พวกนั้นใช่มั้ยคะตอบแอนมาสิพี่จิต!” แอนรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อตวาดใส่พี่ชายตัวเองออกไป  แต่ก็มีเพียงความเงียบงันเท่านั้นที่ตอบกลับมา

    แอนไม่รู้ว่าโลกกำลังมืดลงเพราะเธอกำลังเสียเลือด  หรือว่ามีแมลงวันนับล้านๆตัวบินอยู่เหนือหัวจนบังท้องฟ้าไปสิ้น  แต่เท่าที่แอนเห็นก็คือจิตติประคองหมวกคลุมศีรษะในชุดกันฝนขึ้นมาบังใบหน้าเอาไว้  มันคลุมเสียจนใบหน้าครึ่งบนของจิตติเป็นเงาดำ  ทำเอาแอนรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก  เธอพึมพำออกมาอย่างหวาดกลัว “เกิดอะไรขึ้นกับพี่จิตกันแน่...”

    แต่ชายในชุดกันฝนกลับแสยะยิ้มใส่ราวกับเป็นคนที่แอนไม่เคยรู้จัก  เขาดูเหมือนปีศาจผู้ออกมาจากฝันร้ายของเด็กๆ  เป็นเสมือนซาตานที่จำแลงกายมาในร่างของมนุษย์  เป็นดั่งภาพจากมโนสำนึกที่แอนรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด  รอยยิ้มเลือดเย็นเปื้อนเลือดปรากฏบนใบหน้าซีดๆนั้นก่อนจะพูด “ข้าไม่ใช่พี่ชายของเจ้าอีกต่อไปแล้ว  ข้าคือเบลเซบับ  และนี่คือเวลาตายของเจ้า"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×