ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #21 : ChapT19 ("November") ; นครแห่งฝน

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 55


    “ฉันฝัน” คิมหันต์เปรยขึ้นในวงสนทนาบนโต๊ะกาแฟที่ดูเคร่งเครียด  ไออุ่นลอยกรุ่นขึ้นมาปะทะกับหน้าของคิมหันต์จนบัดนี้เขามีเหงื่อย้อยบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว  ลลิตมุ่นคิ้ว  ส่วนกวีไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆเช่นเคย  ทั้งสามคนต่างรอฟังเรื่องราวที่จะออกมาจากปากของคิมหันต์อย่างใจจดใจจ่อ  จนกระทั่งเขาพูดต่อ “ไม่เชิงฝันหรอก  แต่มันเหมือนนิมิต  ลางบอกเหตุหรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า”

    “นายฝันว่าอะไรล่ะ” ลลิตถาม  ยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบแต่ทว่ามันร้อนเสียเธอเกือบทำหก

    “ฉันเห็นเบลเซบับ...” คิมพูด  ทำเอาวงสนทนาอึดอัดเสียจนอยากจะอาเจียน “เขากำลังฆ่าใครอยู่  แต่มีคนออกมาขัดขวางเขาไว้....ไม่เชิงขัดขวางหรอก”  คิมแก้ “เป็นเหมือนการต่อรองเสียมากกว่า”

    “คนๆนั้นหน้าตาเป็นยังไง” กวีถามอย่างเอะใจ  เขาดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติ

    คิมหันต์ส่ายหน้าค่อยๆ “ไม่รู้สีมันเลือนรางแล้วมืดมน  แม้แต่น้ำเสียงฉันยังจำไม่ได้เลย  แต่ใครจะไปจำรายละเอียดเล็กน้อยได้ในความฝันตัวเองเล่าจริงมั้ย  แล้วอีกอย่างคนๆนั้นก็ใส่ชุดกันฝนคลุมหน้าไว้ด้วย”

    “คลุมหน้าหรอ...” ลลิตพึมพำยกเข่าขึ้นมากอด “...เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงพอจะระบุได้มั้ย”

    “ผู้หญิง...” คิมหันต์ตอบ  “เป็นผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่า โรส

    “โรสหรือคะ” แอนทวนอย่างเอะใจ

    “รู้จักหรือแอน” ลลิตถามขึ้น

    “เปล่าหรอกแอนมีเพื่อนใน Chatbox ชื่อโรสคนนึง  แต่คงไม่ใช่คนเดียวกัน  แหะๆลืมๆไปเถอะค่ะไม่ได้ช่วยอะไรเลย” แอนเกาหัวแล้วหัวเราะแห้งๆ

    “งั้นว่าต่อนะ” คิมหันต์พูดเข้าเรื่องอีกที “ดูเหมือนโรสจะต่อรองกับเบลเซบับให้เขาหยุดการฆาตกรรมทั้งสิ้นลง เพราะมันเป็นการขัดขวางผลประโยชน์ขององค์กรของเธอ  อันนี้ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าเป็นองค์กรอะไร  แต่สิ่งที่ฉันพอจะรู้แน่ชัดก็คือจุดมุ่งหมายขององค์กรที่โรสพูดถึง...” บัดนี้น้ำลายในคอของคิมหันต์หนืดเหนียว  เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบากและเคร่งเครียด   พยายามจะเล่าต่อไปโดยไม่แสดงอาการเป็นกังวลจนเกินไปออกมา “คือการเผยแพร่คัมภีร์มรณะออกมา  พวกนั้นต้องการให้มีคนใช้คัมภีร์ให้มากที่สุด  ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร  แต่ดูเหมือนเบลเซบับที่ออกมาสังหารหมู่พวกที่มีคัมภีร์แบบนั้นคงจะทำให้แผนการณ์ของโรสต้องล่าช้าออกไป”

    ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกจนกระทั่งกวีถามขึ้น

    “เป็นไปได้มั้ยที่ว่า...องค์กรที่พูดถึงอยู่นี่  เป็นพวกที่เผยแพร่คัมภีร์เข้าไปในอินเตอร์เน็ตเมื่อเร็วๆนี้  พวกนายคงเห็นแล้วสินะภาพนั้นน่ะ”

    “ยัง...ยังไม่เห็นเลย” ลลิตตอบ

    “แอนพอผ่านตามานิดหน่อย  ไม่คิดว่าจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้ด้วย” แอนว่า

    “ฉันปริ้นท์ติดตัวมาด้วย” กวีคลี่แผ่นกระดาษที่สอดไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะกาแฟเบาๆ  มันเป็นกระดาษที่เต็มไปด้วยข้อความแยกย่อยเป็นข้อๆ

    คัมภีร์มรณะ

    เป็นคัมภีร์ที่มีอยู่จริงและไม่ใช่เรื่องหลอกแต่อย่างใด  กรุณาโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย  หากท่านใดอยากทดลองสามารถปริ้นท์ไว้และนำไปลองใช้ดูได้  ท่านจะพบว่าคัมภีร์นี้มีพลังวิเศษที่แม้แต่ท่านเองก็ยังคาดไม่ถึง

    การใช้คัมภีร์

    1.ผู้ใช้ต้องสังหารหนึ่งชีวิต  อาจจะเป็นชีวิตของใครก็ได้  แต่ถ้าเป็นของมนุษย์จะได้ผลดีที่สุด

    2.ชโลมเลือดจากส่วนใดก็ได้ของศพลงบนใจกลางคัมภีร์

    3.จากนั้นท่านจะเป็นผู้ที่ได้ครอบครองพรวิเศษ 3 ข้อที่สามาถขออะไรก็ได้  ทว่ามิอาจขอชีวิต

    4.ไม่อาจขอพรที่มีผลต่อคนมากกว่าสองคน  อย่างเช่น ขอให้มนุษย์ทุกคนตาย  ขอให้ทุกคนเป็นโรค  หรือขอให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลง

    5.สามารถขอพรให้แสดงผลกับผู้อื่นได้

    6.สามารถขอพรให้ตนเองมีความสามารถพิเศษดั่งใจนึกได้  ทว่าจำเป็นต้องเป็นความสามารถที่ซาตานเห็นชอบด้วย

    7.พรทุกข้อจำเป็นต้องผ่านการเห็นชอบจากซาตาน  หากท่านขอพรที่เป็นไปไม่ได้หรือเกินขอบเขตของพร  พรที่ขอไปจะสลายไปและไม่อาจทวงคืน

    8.อำนาจของพรจะอยู่ตราบสิ้นอายุขัยของผู้ที่ขอเท่านั้น

    9.เมื่อขอพรแล้ว  มิอาจสละอำนาจของพรทิ้งได้  จำเป็นต้องแบกรับสิ่งนั้นไว้จนกว่าจะสิ้นอายุขัย  นอกเสียจากซาตานจะพรากมันไป

    10.อำนาจที่แท้จริงของคัมภีร์มรณะคือวงเวทย์มิใช่แผ่นกระดาษ  ท่านสามารถทำการคัดลอกวงเวทย์ได้โดยวิธีการต่างๆ  จากนั้นวาดมันลงบนพื้นผิวได้ทุกชนิด

    ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นจากข้อความวิปลาสและพิลึกพิลั่น  กวียังคงหน้านิ่งไม่เปลี่ยน  ส่วนลลิตดูหน้าเสียและหวาดกลัว  คิมหันต์อึดอัดและอยากจะอาเจียนออกมา  ยิ่งคิดถึงว่าจะมีใครหน้าไหนลงเชื่อไปบ้างก็ยิ่งทำให้เขาอยากจะบ้า

    “ดูข้อที่สี่สิ” คิมหันต์ทัก “ไม่สามารถขอให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงได้  แต่เราเคยเห็นหิมะตกมาแล้วนี่นา”

    “หิมะตกหรอ” แอนทวนอย่างสนใจ “หมายถึงเมื่อสองเดือนก่อนที่โรงเรียนของคิมหรือเปล่าคะ”

    “ใช่นั่นแหละ” คิมตอบ

    ลลิตไม่สบายใจเท่าไหร่ที่เรื่องนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูด  เธอคิดว่ากวีคงไม่ชอบหัวข้อการสนทนานี้  แต่ว่าเขากลับอยู่นิ่งๆและไม่แสดงท่าทีออกมาเพียงแค่ตอบคำถามอย่างสุขุม “ถ้าหมายถึงธาริน ...” กวีพูดขึ้นเบาๆ “หมอนั่นไม่ได้ขอให้ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงแต่ขอให้มีหิมะตกลงมาเฉยๆ  แล้วอย่างที่เห็น  หิมะไม่ได้ตกลงทุกบริเวณแต่ว่าตกเพียงบริเวณเดียวเพียงเวลาสั้นๆ  เพราะฉะนั้นเหตุการณ์นี้น่าจะไม่นับ”

    ทั้งลลิตและคิมพยักหน้าพร้อมกัน  ปล่อยให้วงสนทนานี้ถูกความเครียดกลืนอีกที

    “แต่...” แอนพูดขึ้นในความเงียบ “ข้อความดูสุดโต่งแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อเลยนะคะ  แอนไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อสักเท่าไหร่หรอกนะ”

    กวีถอนหายใจ “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี  แต่ว่าคัมภีร์น่ะมีอำนาจพิเศษ  มันแผ่รังสีดึงดูดให้มนุษย์หลงใหล  เชื่อว่าถ้าเธอจ้องมองวงเวทย์ที่คัมภีร์ไปนานๆ  เธอก็จะถูกมันสะกดอยู่ในมนต์  ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เธอเชื่อหรือไม่เชื่อ  แต่ว่าคัมภีร์พวกนี้ถูกเผยแพร่ไปมากเท่าไหร่  ต่อให้คนที่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้มาเจอเข้า  ก็ต้องถูกมนต์พวกนั้นสะกดไปตามๆกัน...” กวียกสร้อยกางเขนในคอเสื้อออกมาถือไว้ “...แล้วสิ่งที่ทำให้มนุษย์รอดพ้นจากอำนาจพวกนั้นก็มีแต่สร้อยของตระกูลฉันซึ่งมอบให้คนในตระกูลเพียงคนละเส้นเท่านั้น”

    “เอ...อย่างนั้นหรอกหรือคะ” แอนพูด  รู้สึกเป็นห่วงจิตติขึ้นมานิดๆ  ถ้าแผ่นกระดาษที่เธอเจออยู่ในห้องของจิตติไม่ได้มาจากความตั้งใจของพี่ชายเธอล่ะ  ถ้าหากจิตติถูกอำนาจของคัมภีร์สะกดเอาไว้  เธอก็ไม่ควรที่จะมีสิทธิ์ไปโกรธหรือผิดหวังในพี่ชายตัวเองไม่ใช่หรือ  ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งอยากจะกลับไปขอโทษเขาเหลือเกิน

    “แล้ววิธีใช้พวกนี้เป็นของจริงหรือเปล่ากวี” คิมหันต์ถาม  ภาวนาในใจไม่ให้กวีบอกว่าจริง

    แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าเบาๆ “ไม่แน่ใจ  ฉันไม่รู้ว่าคนๆนี้ไปรู้วิธีใช้พวกนี้มาจากไหน  เพราะแม้แต่ในตระกูลวิธีใช้คัมภีร์ก็เริ่มสูญหายไปเรื่อยๆทีละข้อ  ฉันพอจะแน่ใจอยู่สองสามข้อ  แต่ว่าหมอนี่กลับรู้ถึงสิบ  ไม่สิ...ฉันว่ามันรู้มากกว่าสิบแน่  มันต้องรู้ความลับอื่นๆที่ฉันเองก็ไม่รู้  แล้วมันไปรู้มาจากไหน...ถ้าไม่ใช่...”

    “คนในตระกูล” ลลิตต่อคำจนจบประโยค  แล้ววงสนทนาก็ตกอยู่ในความกดดันยิ่งขึ้น

    “เรากำลังหมายถึง...พี่สาวของกวี” คิมหันต์บอก

    กวีขมวดคิ้วแล้วมองออกไปยังอากาศเหมือนกำลังเค้นความคิด  แต่เขากลับส่ายหัวค่อยๆ “ไม่มีทาง  เมเดียไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก  ฉันรู้จักเธอมาตั้งแต่เด็กๆ  เรื่องความเกลียดชังต่อซาตานเธอย่อมรู้ดียิ่งกว่าคนอื่น  ยิ่งกว่านาย  ยิ่งกว่าฉัน  ยิ่งกว่าใครๆ  แล้วอีกอย่างคนในตระกูลนี้มีความซื่อสัตย์พอที่จะไม่แปรพักตร์ไปอยู่ข้างซาตานอย่างแน่นอน  ฉันขอยืนยัน”

    ถ้อยคำยืนกรานปกป้องพี่สาวจากปากน้องชายทำเอาคิมหันต์เองยังแอบรู้สึกผิดนิดๆที่ไปสงสัยเมเดียเข้า  ลลิตเองก็เช่นกัน  แต่แอนไม่เห็นเช่นนั้นเธอเพียงแต่ขมวดคิ้วแล้วไม่ได้พูดอะไรมาก  ดูเหมือนเธอจะไม่ชอบเมเดียเท่าไหร่จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ

    “แล้วเราพอจะสงสัยใครได้บ้าง” ลลิตถาม “ยังมีใครที่รู้ความลับของตระกูลนายอีกมั้ย”

    “ซาตานละมั้ง” กวีตอบแบบลังเล “แต่ซาตานผู้เย่อหยิ่งจะเป็นคนลงมาจัดการเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเองเลยก็คงเป็นไปไม่ได้  ฉันว่าเราติดเรื่องกันไว้ก่อนแล้วฟังคิมเล่าต่อเถอะ”

    ทั้งสามคนพยักหน้า  แล้วคิมหันต์จึงเริ่มต้นเล่าเรื่องต่อจากที่เริ่มไว้ “โรสต่อรองกับเบลเซบัสให้หยุดการฆาตกรรมทั้งสิ้นลง  เพื่อแลกกับข้อมูลของ ร่างทรงหรืออะไรสักอย่างฉันเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่  มันพูดทำนองว่าถ้าฆ่าร่างทรงแล้วจะทำให้ซาตานที่เหลือตื่นขึ้นมา  แล้วหนึ่งในนั้นก็เป็นแอนด้วย”

    แอนสะดุ้งเฮือก  แล้วสายตาทั้งสามคู่ในวงสนทนาก็ตวัดมามองที่เธอพร้อมเพรียงกัน  แอนรู้สึกอยากจะร้องให้  ทั้งหวาดกลัว  งุนงง  และเสียใจอย่างบอกไม่ถูก  และถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนขู่จะทำร้ายเธอ  แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกชินขึ้นมาสักนิดเลย  ยิ่งไปกว่านั้นมันกลับทำให้เธอรู้สึกแย่กว่าเดิม

    “ร่างทรงหรอ...” กวีพึมพำเสียงเครียด “มันรู้เรื่องละเอียดถึงขนาดนี้เชียว” เขาพูดราวกับว่าเพิ่งรู้ว่ามีคนย่องเข้าไปขโมยทีวีในบ้านเขาเมื่อคืน

    “หมายความว่าไง  ร่างทรงเกี่ยวข้องอะไรกับคัมภีร์มรณะหรือ” ลลิตถาม

    “ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยว  ถ้าเกี่ยวก็แค่ในทางอ้อมนั่นแหละ” กวีตอบ “ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องร่างทรงอะไรพวกนี้นัก  เมเดียนั่นแหละที่รู้ดี  แต่ว่ากันว่าร่างทรงเป็นมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับลักษณะพิเศษ”

    “พิเศษแบบไหนล่ะ” คิมหันต์ถาม

    แต่กวีขมวดคิ้วใส่ “แกฟังให้จบแล้วค่อยถามเป็นมั้ยเนี่ย”

    คิมเงียบทันทีแล้วรอให้กวีอธิบายต่อไป “คือมนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับบาปในตัวเท่าๆกัน  แต่ละคนย่อมมีความตะกละ  ราคะ  ริษยา  เกียจคร้าน  อัตตา โลภะ  และโทสะกันทุกๆคน  แต่ละบุคลิกก็อาจจะแสดงบาปออกมาเท่าๆกัน  บางคนขี้อิจฉา บางคนขี้เกียจ  บางคนขี้โมโห  แต่ทว่าจะมีมนุษย์ไม่กี่คนที่เกิดมาพร้อมกับบาปอย่างใดอย่างหนึ่งที่มากกว่าข้ออื่น  อย่างเช่น  คนบางคนเกิดมาพร้อมกับความตะกละตะกลามไม่มีที่สิ้นสุด  บางคนขี้เกียจจนแทบเดินไม่ไหว  หรือไปจนถึงมนุษย์บางคนที่ยอมเผาโลกทั้งใบเพียงเพราะความริษยา...”

    ไม่มีใครพูดแทรกขึ้นมาแม้แต่คนเดียว  แอนยกเข่าขึ้นมากอดไว้เช่นเดียวกับลลิต  เพียงแค่คิดว่าเธอเป็นหนึ่งในคนที่กวีกำลังเอ่ยถึงเธอก็แทบจะอยากตายไปเสียให้พ้นๆ  ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่เธอต้องพยายามอย่างหนักที่จะไม่ร้องให้ออกมา  เธอจิกต้นแขนของตัวเองระหว่างที่ฟังอยู่เสียจนมันแดง   “...เราเรียกคนเหล่านั้นว่า ร่างทรงเรารู้ว่าพวกเขาเป็นอันตรายต่อเรา  เพราะถ้าพวกเขาถูกสังหารโดยใครก็ตาม  ซาตานจะใช้ร่างของพวกเขาเป็นภาชนะรองรับในการตื่นขึ้นมาบนโลกมนุษย์  เราจึงจำเป็นต้องปกป้องเหล่าร่างทรงให้ได้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม  แต่ส่วนใหญ่แล้ว....ร่างทรงจะคัดค้านการปกป้องของตระกูลฉัน  พวกเขาบางคนบอกว่าการได้ตายเพื่อซาตานเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่  บางคนถึงกับยอมฆ่าตัวตายเพื่อปลุกซาตานขึ้นมา...”

    “ฟัง...ฟังดูน่ากลัวจัง” ลลิตพูด  รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก  เธอรู้สึกสงสารแอนเพราะแอนคงหดหู่มากกว่าเดินเป็นพันๆเท่า  เธอไม่เคยมีน้องสาวเธอจึงไม่รู้ว่าควรปลอบแอนยังไง  ที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงโอบไหล่แอนไว้อย่างเป็นห่วง

    “จะบอกว่าพวกเขาเป็นตัวปัญหาก็ถูก  แต่ว่าพวกเขาไม่ได้มีความผิด  เพราะคนเรานั้นเลือกเกิดไม่ได้อย่างที่รู้  พวกเราก็เลยปกป้องเท่าที่ทำได้”

    “นี่กวี” คิมหันต์เรียกขึ้นมาอย่างระวังๆ “ตอนที่ฉันเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์ Roommate นั่นน่ะ  ฉันเจอศพของคนๆนึง  หมอนั่นอ้วนฉุแล้วในห้องก็มีแต่กองอาหารเต็มไปหมด  เป็นไปได้ไหมว่าหมอนั่นจะเป็นหนึ่งในร่างทรง”

    กวีเชยคางตัวเองแล้วครุ่นคิดก่อนจะตอบ “น่าจะเป็นไปได้  เพราะว่าหมอนั่นคงเป็นร่างทรงแห่งความตะกละ  แล้วก็มีใครสักคนที่อยากจะปลุกซาตานขึ้นมาไปฆ่าหมอนั่นจนตาย  ทำให้เบลเซบับตื่นขึ้นมาอาละวาดอย่างทุกวันนี้”

    ภาพของศพที่ขึ้นอืดและพองจนคับเตียงแว็บเข้ามาในจิตสำนึกของแอน  เธอรู้สึกว่ากาแฟตรงหน้าเย็นชืดและหมดความอร่อยไปโดยปริยาย “กรน่ะหรอคะ  คือร่างทรง” เธอถามแม้จะสรุปคำตอบในใจได้นานแล้ว

    “ครับแอน  น่าจะเป็นอย่างนั้น...” คิมหันต์พยักหน้าหนักแน่นแล้วยกาแฟมาจิบ

    ลลิตนึกเอะใจอะไรบางอย่างจึงพูด “แต่เดี๋ยวนะ  มันค่อนข้างแย้งกันที่มีคนเห็นเบลเซบับในร่างผู้ชายร่างสูงในชุดกันฝนออกอาละวาด  แต่ร่างทรงของเขากลับเป็นชายร่างอ้วนที่พวกนายพูดถึงกัน  เราจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดีล่ะในเมื่อสองคนนี้คงไม่มีทางเป็นคนเดียวกันแน่ๆ”

    กวีรู้สึกอึดอัดและงุนงงเช่นเดียวกัน  เขาแอบรู้สึกในใจว่าตัวเองกำลังคิดผิดและถลำลึกลงไปในสิ่งที่ผิดพลาด  ถ้าที่เขาคิดมันไม่ใช่ล่ะ  ถ้าที่ออกอาละวาดอยู่นี่ไม่ใช่เบลเซบับล่ะ  ยิ่งรู้มากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ  มันเหมือนข้อมูลที่ได้มานั้นไม่เข้ากันสักอย่าง  เป็นเหมือนการเอาน้ำมันไปผสมกับน้ำ  มันไม่มีวันเข้ากันได้  เว้นเสียแต่ว่ามีตัวเชื่อม “ถ้าเราหาข้อมูลที่ตอบเราได้ว่าเพราะอะไร  เราก็คงจะเข้าใกล้เรื่องราวต่างๆมากเลยทีเดียว” กวีพูดขึ้น

    “เมเดียจะรู้มั้ย” ลลิตพูด “ฉะ...ฉันหมายถึง  เธอน่าจะพออธิบายเรื่องนี้ได้น่ะ”

    คิมหันต์ไม่มั่นใจว่าควรจะเรียกเมเดียมาในขณะที่แอนยังอยู่ตรงนี้  มันจะเป็นการซ้ำเติมให้แอนยิ่งรู้สึกแย่ลงหรือเปล่า  “จะดีหรอ...”

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” แอนตอบอย่างกล้าหาญ “ถ้าแอนเป็นร่างทรงอย่างที่ว่าจริง  เมเดียก็ต้องปกป้องแอนไม่ใช่หรอ  กวีก็ยืนยันได้”

    “ก็คงอย่างนั้น” กวีพยักหน้า “เอาเป็นว่าฉันจะคุยกับเมเดียให้ก็ได้แค่คงไม่ใช่ตอนนี้  ส่วนนาย” กวีหันมาทางคิมหันต์ “อย่าทิ้งมีดคัตเตอร์ที่ฉันฝากไว้ห่างจากตัวเองนัก  มันเป็นอาวุธไม่กี่ชิ้นที่ใช้สู้กับปิศาจได้  เธอก็ด้วยลลิตอย่าทำสร้อยนั้นหายเด็ดขาด” กวีสั่งอย่างหนักแน่น  ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน

    พอคิมหันต์เห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรต่อ  เขาจึงเริ่ม  “เอาเป็นว่าฉันขอเล่าต่อนะ  คือโรสบอกกับเบลเซบับว่า  เธอรู้ว่าแอนเป็นร่างทรงและเธอรู้ว่าแอนอยู่ที่ไหน  เบลเซบับต้องหยุดฆ่ามนุษย์ก่อนเพื่อที่จะแลกกับร่างทรงของแอน  แต่เบลเซบับดูเหมือนไม่สนใจที่จะสังหารแอนเท่าไหร่  เขาจึงปฏิเสธ  แต่พอ...โรสพูดว่าเธอเองก็เป็นร่างทรงเหมือนกัน  เบลเซบับก็ดูสนใจมากขึ้น  แล้วฝันก็จบลงแค่นั้นแหละ  ฉันตื่นมาในตรอกแฉะๆแล้วก็ไม่มีอะไรอีก...”คิมหันต์ตัดสินใจไม่เล่าว่าเบลเซบับจะใช้เขาเองเป็นเครื่องมือ  “แล้วแอน...ผมลืมไปเสียสนิทว่าทำไมถึงยังอยู่ในชุดนอนได้ แถมยังมาเดินเตร็ดเตร่แต่เช้า  เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” คิมหันต์ถามอย่างสงสัย  แอนดูสีหน้าไม่ค่อยดีเสียจนเขารู้สึกอึดอัดที่ต้องถาม

    “คือแอน...มีปัญหากับพี่จิตนิดหน่อยน่ะค่ะ” เธอตอบเสียงสั่นๆ  ดูคล้ายกับจะร้องให้อย่างไงอย่างงั้น

    “ปัญหาหรอ  กับจิตติน่ะนะ” ลลิตหลุดปากออกมา

    “นึกว่าพี่หนูลิตจะจำพี่จิตไม่ได้แล้วซะอีก  เห็นเมื่อคืนนั้นไม่ได้ทักทายกันเลย” แอนพูดแบบอมยิ้มๆ

    “แหะๆ” ลลิตหัวเราะตอบ “คือพี่ก็ไม่ค่อยมั่นใจน่ะว่าจิตติจำพี่ได้หรือเปล่า  ขืนทักไปแล้วเขาจำไมได้ก็หน้าแตกสิจริงมั้ย”

    “อ๋อ...จริงสินะพวกเธอเป็นเพื่อนเล่นกันสมัยเด็กๆใช่มั้ย” คิมหันต์พูดแทรก

    “ค่ะใช่แล้ว” แอนพยักหน้า

    “งั้นแอนอยู่กับพี่ก่อนก็ได้นะ” ลลิตพูดขึ้น  ทำเอาแอนนิ่งไปสนิท “ถ้าไม่รู้จะไปอยู่ไหนพักบ้านพี่ไปก่อนก็ได้  พี่จะได้ปกป้องแอนด้วย  ใช่มั้ยกวี” ลลิตเหลือไปมองหน้ากวี 

    คราวนี้อีกฝ่ายพยักหน้ามาให้เป็นคำตอบ “ก็ดี  อำนาจของสร้อยจะปกป้องแอนเอาไว้ด้วย”

    “จะดีหรอคะ  คือแอน...เกรงใจ” แอนถาม

    “ไม่ต้องเกรงใจหรอก  ถ้าเพื่อนคิมก็เหมือนเพื่อนพี่นั่นแหละ  มีอะไรจะได้ช่วยๆกัน  แล้วอีกอย่างให้พี่อยู่คนเดียวก็เหงาด้วย” ลลิตตบบ่า  ทำเอาแอนรู้สึกซาบซึ้งเสียจนต้องก้มหน้า

    “ขอบคุณนะคะ  แต่แอนคงไม่รบกวนนานหรอก  ถ้ามีอะไรที่แอนพอช่วยได้แอนจะช่วยนะ”

    “ตามสบายเลยจ้ะ” ลลิตยิ้มหวาน  หันไปมองหน้าคิม “เอาตามนี้ตกลงมั้ยคิม”

    “อ่า...เอ...ได้สิได้  ถ้าแอนเอาด้วย  ฉันก็ไม่ขัดอะนะ” คิมหันต์ยักไหล่

    แล้วจู่ๆโทรศัพท์ของกวีก็ดังขึ้นมาทันใด  เจ้าตัวยกมันขึ้นมากดแล้วเพ่งมองข้อความที่ถูกส่งมา  เขาอ่านมันในใจอยู่นานสองนานเพราะความยาวของข้อความแล้วเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดี

    “มีอะไรหรือเปล่ากวี” ลลิตถามอย่างสงสัยใคร่รู้  กวีไม่ได้จะแสดงท่าทีแตกตื่นแบบนี้อยู่บ่อยๆ  แล้วถ้าเขาทำเมื่อนั้นแสดงว่าต้องมีเรื่องที่เลวร้ายมากๆเกิดขึ้นแน่ๆ

    “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ...” เขาหันไปทางแอน “ลลิต  คิมด้วย  เราไปคุยกันข้างนอกเถอะ”

    แล้วกวีก็ลุกออกไป  ปล่อยให้แอนรู้สึกใจเสียอย่างบอกไม่ถูก  เพราะถ้ามองจากสีหน้าของกวีแล้ว  มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่  และร้อยทั้งร้อยมันจะต้องเกี่ยวกับเธอ  แล้วพอเห็นทั้งสามเดินออกไปจากห้องกันหมดแล้ว  แอนจึงใช้โอกาศนั้นย่องตามไปแล้วแนบหูเข้ากับบานประตู

    “...มีอะไรกวี” เสียงค่อยที่ดูเหมือนเสียงของคิมหันต์ถามขึ้น

    “เกี่ยวกับเมเดีย  จำที่เมเดียเล่าว่าแอนให้ความรู้สึกคล้ายๆซาตานได้มั้ย” กวีเปรย

    “ได้ทำไมล่ะ” ลลิตตอบ

    “จริงๆมันไม่ได้มีแค่แอนน่ะสิ  มีคนอื่นอีกด้วย  เมเดียตามสืบจนตอนนี้เธอรู้แน่ชัดแล้วว่าคนๆนั้นเป็นใคร” กวีพูด  เสียงของเขาเบามากเสียจนแอนต้องแนบหูฟังแน่นขึ้นไปอีก

    “ใคร...ใครกัน” คิมหันต์ถามเสียงติดขัด  น้ำลายในลำคอเหนียวหนืด  รู้สึกกลัวเหลือเกินที่จะได้ยินคำตอบ

    “อืม...ฉันคงยังบอกพวกนายไม่ได้ในตอนนี้” กวีพูด  เสียงของเขาเข้ามาใกล้กับบานประตูจนแอนรู้สึกแปลกใจ “...ยังไม่ใช่ในตอนที่พวกเรากำลังถูกเธอแอบฟัง...แอน”

    ประตูเปิดผาง  ทำเอาแอนล้มดังโครมออกมานอกห้อง  เธอร้องเบาๆ  แล้วลืมตาเห็นกวืยืนค้ำหัวเธอแล้วมองด้วยสีหน้าดุๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×