คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : ChapT18 ("Roses are Red") ; นครแห่งฝน
หลังจากที่เสียงค้อนยักษ์ทุ่มลงบนร่างแหลกเละของใครบางคนเสียจนไม่เหลืออะไรแล้ว ใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังของชายในชุดกันฝนสีดำ ดูเหมือนเธอจะเป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่อาจระบุรูปร่างหน้าตาได้ในความมืดเช่นนี้ เสื้อคลุมกันฝนของเธอเป็นสีแดงเลือดหมูส่วนร่มนั้นเป็นสีดำสนิทดูเศร้าสร้อย เธอแสยะยิ้มทักทายให้กับเบลเซบับที่คืนนี้ออกล่าสังหารอย่างที่เคย
“ออกล่าเหมือนทุกคืนเลยนะคะ” เธอกล่าว กระทั่งเรียกให้เบลเซบับหันหน้ามาหาเธอ
เจ้าชายแห่งนรกครั่นคร้ามสงสัยเธอผู้นี้อยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับว่าจะสังหารเธอเสียตรงนี้ดีไหม หรือว่าจะลองเข้าไปทำดีด้วยแล้วฆ่าทิ้งทีหลังกันแน่ แต่แล้วเขาก็เหลียวหลังใส่เธออย่างเย่อหยิ่งแล้วพูด “เจ้าไปให้พ้นเสียดีกว่าเจ้ามนุษย์ ข้าไม่มีธุระอะไรกับเจ้า”
“แหม...อะไรกันคะ” เธอเย้า “อย่าเพิ่งไล่กันง่ายๆแบบนี้สิ เอาเป็นว่าฉันมีธุระกับท่านนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“แล้วเจ้ามีอะไรที่ทำให้ข้าจำเป็นต้องหยุดคุยกับเจ้าอย่างนั้นหรือ” เบลเซบับถาม
“นั่นสิคะ” เธอยิ้ม “เอาเป็นว่าฉันพอรู้ว่าท่านมองหาใครและอะไรอยู่ แค่นั้นพอที่จะทำให้คุณเสียเวลาท่านกับฉันหรือเปล่า”
เบลเซบับแสยะยิ้มเลือดเย็น รอยยิ้มนั้นถูกแสงจันทร์สาดลงมาชั่ววินาทีหนึ่งแล้วเงามืดก็กลืนไป เขาผายมือออกปล่อยให้ฝูงแมลงวันบินหึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วกัดกินซากศพที่แหลกและข้างๆอย่างตะกละตะกลาม แล้วหันมาพูดกับเธอ “รีบๆว่ามาดีกว่า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ข้าดูออก จะเรียกเจ้าว่าอะไรดีนะ ผู้มีพรวิเศษใช่มั้ย?”
“ก็คงจะอย่างนั้นเพคะ” เธอถอนสายบัว “ยินดีที่ได้รู้จัก จะเรียกฉันว่าโรสก็ได้”
“จะชื่ออะไรก็ช่างเจ้าก็เป็นแค่มนุษย์ผู้ต่ำต้อย” เบลเซบับบอกปัด
“ฉัน...ไม่สิ ‘เรา’ มีข้อแลกเปลี่ยนมาเสนอกับท่าน ฉันพูดในนามขององค์กรน่ะค่ะ”
เบลเซบับปลดฮู้ดคลุมหัวออก เผยให้เห็นใบหน้าซึ่งมองจากมุมนี้แล้วก็ไม่อาจมองเห็นได้ แต่ในมุมมองของโรสคงเป็นมุมมองที่ชัดเจนทีเดียว “แหม...ท่านหล่อเหลาสมเป็นเจ้าชายดีจัง รู้สึกว่าฉันคิดไม่ผิดที่ตีสนิทกับร่างทรงของท่านเอาไว้ดีทีเดียว แต่ก่อนอื่น...ข้าจะขอแนะนำองค์กรของเราให้ท่านรู้จัก...”
“จำเป็นต้องพิธีรีตองขนาดนั้นเลยรึ?” เจ้าชายแห่งนรกตัดบททันที “ฉันว่าเธอรีบๆว่ามาดีกว่าเพราะตอนนี้ฉันกำลังหิว”
“เรารู้ที่ซ่อนตัวของร่างทรงที่ท่านตามหาอยู่” โรสรีบเข้าเรื่องทันที
เบลเซบับดูสนใจและหยุดนิ่งเพื่อฟัง “แล้ว?”
“อย่างน้อยก็หนึ่งราย เราสามารถพาเขามาให้ท่านได้ถ้าท่านต้องการ เพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง”
เบลเซบับหัวเราะลั่น “ฮะฮ่าๆ! ข้อแลกเปลี่ยนงั้นรึเจ้ามนุษย์? ฟังดูดีนี่ แต่ว่าข้าไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนอะไรกับเจ้าหรอกนะ” เขากล่าว
“ลองฟังดูให้ดีๆ ฉันว่าข้อแลกเปลี่ยนนี้คงจะทำให้ท่านพอใจอยู่บ้าง” โรสค่อยๆพูดอย่างใจเย็นแม้คนตรงหน้าจะคุยด้วยยากเหลือเกิน “จากข้อมูลที่ฉันสรุป ท่านกำลังตามหาร่างทรงที่มีบุคลิกคล้ายคลึงกับปิศาจในบาปเจ็ดประการ หรือก็คือพี่น้องของท่าน ท่านมีพลังจิตที่ทำให้รู้ถึงตำแหน่งของปิศาจตนอื่นๆ แต่มีสิ่งหนึ่งที่รบกวนพลังของท่าน มันก็คือคัมภีร์มรณะ เนื่องด้วยพลังของคัมภีร์แผ่อำนาจที่คล้ายคลึงกับปิศาจแห่งบาปเจ็ดประการออกมา ทำให้ท่านไม่สามารถแยกออกว่าอะไรเป็นคัมภีร์ และใครคือร่างทรง ทำให้ท่านต้องออกตามล่าอย่างเหน็ดเหนื่อย”
“ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างเย่อหยิ่งว่าข้าแยกพลังแบบนั้นออกหรอกนะ เพราะข้าไม่ใช่ ‘ลูซิเฟอร์’ ที่เย่อหยิ่ง แต่ว่าข้าก็ออกล่าเพื่อกินด้วย มนุษย์พวกนี้ที่เปี่ยมไปด้วยบาปเป็นอาหารชั้นดีสำหรับข้า เพราะฉะนั้นการออกล่าก็ไม่ได้ทำให้ข้าเหนื่อยแต่อย่างใด” เบลเซบับกล่าว
โรสยิ้มน้อยๆแล้วกล่าวตอบอย่างสุภาพ “แต่จะไม่ดีกว่าหรือคะถ้าท่านสามารถหาร่างทรงทั้งหกที่เหลือได้รวดเร็วขึ้นด้วยพลังขององค์กรเรา การขยายอำนาจของท่านก็จะลุล่วงไปอย่างรวดเร็ว เมืองๆนี้และวิญญาณอีกหลายล้านก็จะเป็นของพวกท่านโดยเร็ว”
เบลเซบับหัวเราะในลำคออย่างเลือดเย็นแล้วจึงถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ข้าสงสัยเหลือเกินเจ้ามนุษย์เอ๋ย ถ้านครแห่งฝนนี้เป็นของซาตานในที่สุด แล้วมนุษย์เช่นพวกเจ้าคงไม่มีแผ่นดินจะยืนอยู่เป็นแน่ จะไม่มีสรวงสวรรค์ใดให้พวกเจ้าอิงอาศัย เจ้าจะถูกลืมเลือน หิวโหย แล้วตายไปอยู่ในนรกอย่างเดียวดาย” ถ้อยคำอันเหือดแห้งของเบลเซบับดังคลอกับเสียงโปรยของฝน “เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว มนุษย์เช่นเจ้าจะยังอยากทำลายพวกเดียวกันเองอยู่อีกหรือเปล่า”
โรสหัวเราะเบาๆแล้วเธอก็พลันทำสิ่งที่แม้แต่ปีศาจก็ไม่อาจคาดคิด เธอทิ้งตัวลงคำนับกับพื้นพร้อมทิ้งร่มในมือ ทำเอาฝนห่าใหญ่สาดเทลงบนเสื้อกันฝนสีเลือดหมูนั้นก่อนที่เธอจะประกาศออกมา “เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว นรกคงเป็นที่ที่เดียวที่น่าอยู่ในโลกอันโสมมใบนี้ ข้าขอตามรับใช้เหล่าปิศาจอย่างภักดี”
“หึ หึ หึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เบลเซบับแผดเสียงหัวเราะกู่ก้อง “โง่เขลา โง่เขลาอะไรเช่นนี้! มนุษย์นี่มันน่าขยะแขยงถึงขั้นจะทำลายพวกเดียวกันเองได้ลง ปากก็บ่นว่าเชื่อในพระเจ้า และแท้จริงแล้วก็ตลบตะแลงบูชาซาตานที่ตนรังเกียจ! แต่เอาเถิด...ถ้าเจ้าต้องการสิ่งเดียวกับที่ข้าต้องการ ข้าจะมอบโอกาสนี้ให้ จงลุกขึ้นแล้วบอกข้ามาสิว่าเจ้ารู้อะไรบ้าง”
“ขอบพระทัยเพคะ” โรสลุกขึ้นแล้วกระชับฮู้ดคลุมศีรษะเพื่อปิดบังหน้าตาของตน “ข้าพอจะทราบแล้วว่าหนึ่งในร่างทรงที่ท่านตามหานั้นคือใคร”
“หืมม์”
โรสว่าต่อ “นางเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาคนนึง ทว่ามีพลังที่ดึงดูดบุรุษเพศได้แรงกล้านัก มีบุรุษหลายนายที่หลงรักนางและพบจุดจบอย่างอเนจอนาถ คุณสมบัติของนางตรงตามตำรา งดงาม ดึงดูด มีเสน่ห์”
เบลเซบับแค่นหัวเราะ “หึ เจ้ากำลังพูดถึง แอน”
แม้เงามืดจะบดบังใบหน้าของโรส แต่ก็แทบรู้ได้ชัดๆเลยว่าเธอตกใจเพียงใดเมื่อเบลเซบับรู้ถึงข้อต่อรองเพียงอย่างเดียวของเธอ เธอดูเหมือนไม่ได้คาดคิดว่าเบลเซบับจะเจอตัวแอนแล้ว เธอเตรียมไม้ตายเดียวมาเพื่อเกลี้ยกล่อมปิศาจตนนี้ แต่ตอนนี้มันไม่ได้ผลแล้วอย่างสิ้นเชิง
“ถ...ถูกแล้วเพคะ” เธอตอบอย่างกระอักกระอ่วน
เบลเซบับหันหลังกลับอีกครั้ง คราวนี้เขาทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน! เดี๋ยวก่อน! เรามีรายชื่อของคนที่ต่อต้านท่านทุกคน! เรารู้ถึงแผนการทุกอย่างที่อีกฝ่ายวางไว้!” โรสพยายามอย่างยิ่งที่จะรั้งเบลเซบับเอาไว้ แม้ตอนนี้เขาจะเดินห่างไปไกลหลายฟุตแล้ว
“ข้าไม่สนใจ สุดท้ายแล้วมนุษย์เพียงหยิบมือก็มิอาจขัดขวางการตื่นของเหล่าปิศาจได้” เบลเซบับกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง
“คิมหันต์ ทัตน์ทิวา! ลลิตา คุรารักษ์! แล้วก็ กวี เซ็นต์เควอเรียล! ท่านอาจจะยังไม่เคยได้ยินชื่อนี้!” โรสตะโกนสุดเสียง ทำเอาเบลเซบับเหลียวหลังกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา เขาแสยะยิ้มแล้วตอบ
“ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงเจ้าเด็กที่มีหอกแห่งชะตากรรม ยัยเด็กสาวอ่อนแอคนนั้น กับทายาทตระกูลสวะนั่นล่ะก็ไม่มีประโชยน์หรอก พวกมันเป็นแค่หมากตัวหนึ่งของข้าเท่านั้น สุดท้ายแล้วพวกมันนั่นแหละจะเป็นคนที่นำพาร่างทรงทั้งหกมาให้ข้าเอง”
คนฟังหน้าเสียทันที “ร...เราจะสังหารแอนแล้วนำมามอบให้ท่าน!” โรสวิงวอน
คราวนี้เบลเซบับเหลียวหลังกลับมา เขาเดินเข้ามาใกล้ดังเดิม แต่ไม่ใช่ด้วยความสนใจ แต่เป็นความเย้ยหยันมีชัย “ข้าจะบอกสาเหตุว่าทำไมข้าถึงยังไม่สังหารเด็กคนนั้นเสีย เพราะว่านางอ่อนแอน่ะสิ ข้าเจอนางเป็นคนแรกและรู้ทันทีว่านางเป็นร่างทรงของ ‘แอสโมดิอุส’ ปิศาจแห่งราคะ แต่ข้าไม่มีเหตุผลจะปลุกปิศาจไร้ประโยชน์ตนนั้นขึ้นมา เจ้านั่นแทบจะอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเรา มันนั้นไร้ประโยชน์และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น มันจะกลายมาเป็นตัวถ่วงข้าเสียเปล่าๆ ข้าคิดว่าจะปลุกมันขึ้นมาเป็นตนสุดท้าย”
“แต่...แต่ว่า” โรสค้าน “ถ้าท่านรอจนกว่าจะถึงเวลานั้น สามคนนั้นคงรู้ตัวพอดี พอถึงตอนนั้นเขาจะหาทางป้องกันนางจากท่าน แล้วท่านก็จะไม่มีวันเอื้อมถึงนางอีก”
“เอื้อมถึงงั้นหรือ” เบลเซบับทวนอย่างขบขัน “มันต่างหากต้องเดินมาอยู่ในกำมือข้า ข้าส่งแมลงเข้าไปในตัวคิมหันต์เพื่อบงการเขา ข้ารู้ถึงจุดอ่อนที่เล็กที่สุดของแอน นั่นก็คือคนรักของมันไงล่ะ ข้าจะล่อมันมาด้วยคนที่มันรักแล้วใช้มันฆ่านางซะ! และเมื่อถึงตอนนั้นปิศาจอีกหกห้าตนที่เหลือก็คงจะตื่นขึ้นมาเป็นที่เรียบแล้ว แล้วตอนนี้เด็กที่ชื่อว่าคิมหันต์ก็กำลังฟังการสนทนานี้อยู่...” เบลเซบับเชยคางของโรสขึ้นมา “...จะให้ข้าเปิดเผยตัวตนของเจ้าต่อหน้าเด็กคนนั้นดีไหม”
“หม...หมายความว่าไง” โรสถามอย่างกุกกัก
“หมายความว่าข้าทำให้สายตาของเขาและข้าในตอนนี้เชื่อมต่อกัน ตั้งแต่แรกเริ่มสนทนา เอาไงล่ะ...ทีนี้จะไสหัวไปให้พ้นๆหน้าข้าได้หรือยัง” เบลเซบับกล่าว อย่างไม่มีความปราณีเจือปนอยู่ในน้ำเสียง
“ข้ารู้ร่างทรงอีกคนหนึ่ง...” โรสพูดขึ้นน้ำเสียงแหบแห้งคล้ายกับว่าเธอไม่อยากจะพูดคำนี้ออกมา “...ร่างทรงของ ลิเวียธาน ปิศาจแห่งความริษยา”
เบลเซบับครางอย่างสนใจ “หืมม์ จริงรึ”
โรสพยักหน้า “ข้ารู้ดีว่าท่านจำเป็นต้องปลุก ‘ซาตาน’ ข้าหมายถึงซาตานตัวจริงที่เป็นราชาของนรก และตัวแทนแห่ง 'โทสะ' ขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย ส่วน ‘ลูซิเฟอร์’ ตัวแทนแห่ง ‘อัตตา’ นั้นก็เย่อหยิ่งและไม่ยอมใครท่านจึงไม่อยากจะปลุกเขามาเป็นคนแรกๆเพราะจะทำให้แผนเสีย จากนั้นก็ ‘เบลเฟเกอร์’ ตัวแทนแห่ง ‘คร้าน’ เขาขี้เกียจและไม่เอาไหน คงไร้ประโยชน์พอๆกับ ‘แอสโมดิอุส’ ถ้าจะปลุกเขาขึ้นมา ก็เลยเหลือแค่ ‘แมมมอน’ แห่ง ‘โลภะ’ กับ ‘ลิเวียธาน’ แห่ง ‘ริษยา’ แล้วตอนนี้ข้าก็มีข้อมูลของหนึ่งในนั้น เพียงแค่ท่านยอมรับข้าเป็นพวก”
“อาห์....อย่างนี้ค่อยน่าสนใจหน่อยแม่สาว เอาสิ! ข้ายอมรับเจ้าเป็นพวกก็ได้” เบลเซบับพูดขึ้น
“ถ้างั้นก็ตามที่ตกลงกัน ข้าจะบอกว่าใครคือร่างทรงของ ‘ลิเวียธาน’...” โรสกลืนน้ำลายอย่างตื่นกลัว รู้สึกครั่นคร้ามอย่างแรงที่จะเอ่ยคำนี้ขึ้น
“ข้าเอง”
คิมหันต์ตื่นมาในตรอกแฉะๆยามที่แสงอรุณและเม็ดฝนปลุกเขาขึ้นมา สายตาของเขาไม่อาจสู้แสงจ้าของแสงอาทิตย์ได้จึงต้องยกมือขึ้นมาป้องดวงตาเอาไว้ รู้สึกว่าท้ายทอยปวดตุบๆเหมือนเส้นเลือดกำลังเต้นรำอยู่ภายในนั้น พยายามอย่างหนักเพื่อสู้แรงกายที่อ่อนล้าเพื่อลุกขึ้นยืน ความทรงจำครั้งล่าสุดของเขาก็คือความฝันประหลาดๆที่ขุ่นมัวและแทบจะจำอะไรไม่ได้ ในฝันนั้นมีแค่การสนทนาที่เลือนรางที่แม้แต่เสียงคิมหันต์ก็ไม่อาจแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร มันมีบทสนทนาที่กล่าวถึงเขาและเพื่อนๆอยู่ด้วย นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกร้อนใจ การปลุกปีศาจให้ตื่นขึ้น การทำลายเมืองๆนี้ และตัวตนของ ‘โรส’ สาวปริศนา องค์กรที่พูดถึงนั่นใช่อิลลูมินาติที่คิมเจอเมื่อวันก่อนหรือเปล่า คำถามทั้งหลายวนเวียนอยู่ในหัว มันหมุนไปวนมาซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งคิมเกือบลืมไปว่ามีประดาษยับๆแผ่นนึงถูกสอดไว้ที่กระเป๋าบนชุดกันฝนของเขา
ฉันเป็นพวกเดียวกับนาย อย่าตามหาฉันอีก
มันเป็นข้อความที่ถูกเขียนไว้ด้วยลายมืดหวัดๆ ถ้าคนที่ทำร้ายเขาเมื่อคืนนั้นเป็นคนๆเดียวกับเบลเซบับ แล้วเขามีเหตุผลอะไรที่จะต้องทิ้งข้อความแบบนี้ไว้ให้คิมหันต์ คำถามนี้จำเป็นต้องได้รับคำตอบ คิมหันต์คลำดูโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง นึกดีใจที่มันไม่ได้หายไปไหน เขารีบกดเบอร์โทรกวีทันทีแล้วกดโทรออกอย่างเร็วที่สุด
เสียงรอสายดังขึ้นอยู่พักใหญ่แต่ไม่มีใครมารับสาย คิมหันต์ไม่ได้คาดหวังว่าคนอย่างกวีจะมารับโทรศัพท์ในไม่กี่วินาทีอยู่แล้ว เท่าที่ทำได้ก็แค่กดโทรออกแล้วรออย่างร้อนใจเท่านั้นเอง
แต่ก็ไม่มีใครรับอีกเป็นสายที่สอง คิมหันต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วสาวเท้าให้เร็วขึ้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของเมือง ผู้คนเริ่มพลุกพล่านในรุ่งเช้าที่มีฝนโปรย คิมหันต์รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด ทั้งมอมแมมและสกปรกคล้ายๆคนเร่ร่อนไร้บ้านอะไรอย่างนั้น เขานึกขอบคุณที่ตัวเองตื่นขึ้นมาก่อนที่จะถูกคนในเมืองหลวงมาเจอเข้าในสภาพแอ้งแม้งกลางซอย คิมหันต์แทรกตัวผ่านฝูงชนอย่างสุภาพและเดินผ่านช่วงตึกมาหลายต่อหลายตึกแล้ว แต่กวีก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เขาสักที นั่นทำให้คิมรู้สึกหัวเสีย เขาเปลี่ยนไปโทรหาลลิตแต่ก่อนที่เขาจะกดโทรออก สายหนึ่งก็โทรเข้ามาหาเขา
แอน นั่นเองที่เป็นคนโทรมา คิมไม่รู้ว่าทำไมแอนถึงโทรมาแต่เช้าแบบนี้ แต่แอนก็อาจจะพอพึ่งพาได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ “ไงแอน”
“คิม! เมื่อไหร่จะหยุดเดินสักทีคะ แอนตามไม่ทัน!” เธอดุเสียงดังทำเอาคิมหันต์ชะงักฝีเท้า
“ว่าไงนะ”
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละค่ะ แอนกำลังไปหา”
แล้วรอเพียงไม่กี่วินาที แอนในสภาพมอมแมมและเปียกปอนไม่แพ้กันก็ตามมาสมทบกับคิมจากข้างหลัง
“นี่แอนเดินตามผมมาตลอดทางเลยหรอ” คิมหันต์เปลี่ยนมาพูดต่อหน้าแอนแล้วกดวางโทรศัพท์ลง
“ค่ะ บังเอิญจัง ว่าแต่ทำไมคิมตัวเลอะแบบนี้ล่ะคะเนี่ย”
คิมหันต์อ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรไปดี ตอบว่าเขาตามรอยกรที่น่าจะตายไปแล้ว แล้วไปเจอบ้านของใครก็ไม่รู้ จากนั้นก็ถูกฟาดจากข้างหลังจนสลบ ระหว่างนั้นก็ฝันประหลาดๆแล้วค่อยตื่นมาอีกทีในตรอกแฉะๆที่มีหนูวิ่งพล่าน ขืนตอบไปแบบนั้นแทนที่จะรู้เรื่องก็กลับได้คำถามมาเพื่อมากขึ้นเสียมากกว่า “เอ่อ...เรื่องมันยาวน่ะ ตอนนี้ผมมีเรื่องให้ปวดหัวนิดหน่อย กวีเพื่อนผมไม่ยอมรับโทรศัพท์ผมสักที”
“เอ...คนผมดำท่าทางหยิ่งๆน่ะหรอ” แอนถาม
“ครับ คนนั้นน่ะแหละ” คิมตอบแบบเกือบหลุดปากไปว่า ‘เป็นน้องชายของผู้หญิงที่เอาดาบมาจ่อคอแอนเมื่อคืนนั้น’
“งั้นลองโทรหาหนูลิตดีมั้ยคะ เพื่อนคิมอีกคนน่ะ” แอนเสนอ
“เอ๋...หมายถึงลลิตหรอ”
“หมายถึง หนูลิต น่ะค่ะ” แอนยังคงยืนกราน
“อ๋อจริงสิ หนูลิตเป็นชื่อเก่าของลลิตสินะ” คิมนึกได้แล้วพูดออกมา คิมยังคงจำได้ว่าเมื่อสองสามอาทิตย์แรกตอนเปิดเทอม ม.สี่ ลลิตยังชื่อหนูลิตอยู่ แล้วค่อยเปลี่ยนชื่อเป็นลลิต
“อ้าวจริงหรอ เธอเปลี่ยนชื่อสินะ”
และเพียงแค่นึกเขาก็แอบนึกขำขึ้นมาในใจ “ว่าแต่รู้จักลลิตด้วยหรอ เห็นว่าคืนนั้นยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักกัน”
“ค่ะรู้จัก เราเป็นเพื่อนเล่นกันตอนเด็กๆน่ะ ลลิตอยู่หมู่บ้านเดียวกับแอน แต่เธอก็ย้ายออกไปแล้ว ไม่นึกว่าจะได้เจอกันอีก ตอนเจอกันครั้งแรกแอนก็ว่าจะทักนะ แต่กลัวทักผิด” แอนบอก
“ครับ...งั้นเราไปหาลลิตกันเถอะ” คิมหันต์กดโทรออกไปยังปลายทางทันที แล้วลลิตก็ดูเหมือนจะนิสัยดีกว่ากวีมากตรงที่เธอใส่ใจที่จะรับโทรศัพท์หลังจากกดโทรออกไปแค่ห้าวินาที
ประตูลิฟต์ปิดไล่ให้ทั้งแอนและคิมหันต์เข้ามาในทางเดินสุดหรูของอพาร์ตเม้นต์หรูใจกลางมหานคร คิมหันต์จำได้ว่าอพาร์ตเม้นต์นี้ราคาสูงและลงโฆษณาในทีวีอยู่บ่อยๆ เขาไม่คิดว่าลลิตจะอาศัยอยู่ในนี้ แล้วยิ่งการที่เธอเป็นเพียงแค่เด็กสาวมัธยมด้วยแล้ว เธอจะเอาเงินมาจากไหนมาเช่าอพาร์ตเม้นต์หรูแบบนี้ได้
มาหยุดอยู่ที่ห้อง 18-G ที่ลลิตได้นัดเอาไว้ เพียงแค่คิมหันต์เคาะประตูไม่กี่ครั้ง มันก็ถูกแง้มออกโดยเจ้าของห้อง ลลิตอยู่ในชุดลำลองสบายๆที่หมายความว่าเธอตื่นนานแล้ว กลิ่นน้ำหอมจางๆในห้องอบอวนมาแตะจมูกของคิมและแอน คิมหันต์ยิ้มแห้งๆทักทาย ส่วนแอนพูดขึ้นว่า “สวัสดีค่ะ”
“อ้าวแอน...หวัดดีค่ะ” ลลิตรับอย่างแปลกใจ
คิมหันต์เดินเข้ามาในห้องที่กว้างและใหญ่โต มันมีทั้งชุดรับแขก ทีวีสี่สิบนิ้วจอยักษ์ ชุดโฮมเธียเตอร์ เตียงนอนขนาดควีนไซส์ และหน้าต่างบานยักษ์ที่เปิดให้เห็นทิวทัศน์ยามเช้าของเมืองหลวง “ว้าว...เธออยู่ที่นี่จริงๆหรือเนี่ยลลิต มันอยู่ได้ห้าหกคนเลยนะห้องกว้างแบบนี้ “
“ใช่ อยู่คนเดียวย่ะ พูดแบบนี้จะอพยบมานอนกับฉันหรือยังไง หารค่าห้องด้วยนะ” ลลิตดุ
“พ่อแม่เธอจ่ายค่าห้องแพงๆแบบนี้ได้ไงกันนะ” ลลิตไม่ตอบเพียงแต่หัวเราะเบาๆ
“มาถึงก็เอะอะโวยวายในบ้านคนอื่นเลยนะ สมกับเป็นแกจริงๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังของคิมหันต์ กวีตีสีหน้านิ่งๆเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมถาดที่มีถ้วยกาแฟวางอยู่สองแก้ว คิมหันต์แทบจะกระโจนเข้าไปต่อยหมอนั่นทันที
“ไอ้เจ้ากวี! ทำไมแกไม่รับโทรศัพท์ฉันฟะ!” คิมหันต์ถามขึ้นอย่างเดือดๆ
“ฉันบอกแกไปกี่รอบแล้วว่าไม่ชอบรับโทรศัพท์ใคร” เจ้าตัวตอบเรียบๆแล้ววางถาดกาแฟลงบนโต๊ะรับแขก “แล้วพอแกโทรมา ตู๊ด แรก ฉันก็เอาโทรศัพท์ไปวางในห้องน้ำจนกว่าแกจะเหนื่อยนั้นแหละ” แค่พูดไม่พอหมอนั่นยังจิบกาแฟอย่างไม่เป็นเดือดไม่เป็นร้อน กริยาอาการกวนบาทานี้ทำเอาคิมหันต์ถึงกับตากระจุกด้วยความโมโห
“หนอย! ไอ้เจ้า...”
“เอาน่าๆ...จริงๆแล้วกวีเค้าคุยกับฉันจนไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์น่ะ เค้าแค่พูดให้นายเดือดเล่นเฉยๆหรอก” ลลิตเฉลย
“ว่าไงนะ”
กวีแค่นหัวเราะ “เปล่า...ฉันจงใจไม่รับสายแกจริงๆนั่นแหละ เจ้าโง่”
“เฮ่ย! แกนี่มัน...” คิมอ้าปากจะด่า
ลลิตเดินมาแตะไหล่แล้วหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ “กวีเค้ามาตรวจอาการฉันตั้งแต่เช้าน่ะ เขาบอกว่าจะต้องไม่มีสัญญาณอะไรรบกวนพลังจิตก็เลยเอาโทรศัพท์ไปไว้ไกลๆก่อน พอดีนายโทรมาตอนเราทดลองอะไรกันเสร็จพอดีฉันก็เลยเดินไปรับโทรศัพท์ ว่าแต่นายมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“ก็มีสิถามได้ เรื่องความเป็นความตายด้วย” คิมพูดเครียดๆ
“เอ๋...” ลลิตถามอย่างสงสัย แม้แต่แอนที่เดินมากับคิมตลอดทางก็ยังแสดงท่าทีอยากรู้
“เรื่องเกี่ยวกับแอน...” คิมหันต์พูดขึ้นเบาๆ “มีคนคิดจะใช้ฉันเป็นเครื่องมือเพื่อฆ่าแอน เราสองคนคงอาจจะต้องไม่เจอกันสักพักจนกว่าเรื่องนี้จะจบลง”
แล้วคำพูดจากปากของคิมหันต์ก็แทบทำให้แอนใจสลาย
ความคิดเห็น