ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #18 : ChapT16 ("Silence Over and Over Again") ; นครแห่งฝน

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 55


    สายฝนที่ตกแรกยิ่งขึ้นไล่ให้ทั้งสองคนต้องหาที่หลบฝนใหม่ๆที่ไม่ใช่ในโรงเรียน  เมเดียชวนให้จิตติเดินออกไปคุยกันที่ห้างสรรพสินค้า The Riot ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน  ระหว่างที่จิตติซ่อนตัวอยู่ในร่มของเมเดีย  เขาแทบไม่ได้พูดอะไรเพราะกลิ่นกุหลาบที่อบอวลมาแตะจมูกนั้นทำให้เขากระอักกระอ่วน

    “ที่นายไม่ค่อยพูดอะไร  เป็นเพราะไม่ชอบฉันหรือว่าอายกันแน่” เมเดียถามขึ้นในความเงียบ  เมื่อฝูงชนจำนวนหนึ่งข้ามถนนไปก่อนและทำให้ทั้งคู่ติดอยู่กับไฟเขียว

    “เอ๋...” จิตติร้องอย่างแปลกใจ  ตอนนั้นเองเมเดียค้อนขวับเข้าให้แล้วดึงร่มออกห่างจากตัวจิตติ  ปล่อยให้อีกฝ่ายโดนฝนสาดใส่

    “งั้นก็เชิญเปียกไปเถอะย่ะ”

    “อ่า...อย่าแกล้งกันซี่ผมถือให้ก็ได้นะร่มอะ” จิตตคว้าร่มในมือเมเดียมาถือไว้  เอียงร่มนิดหน่อยเพื่อให้เมเดียไม่โดนฝนด้วย

    “หึหึ  สุภาพบุรุษมากจ้ะ” เมเดียยิ้มให้แล้วจูงมือจิตติข้ามถนนทั้งๆที่ยังมีรถวิ่งอยู่

    “เดี๋ยวๆ  นี่มันยังไม่ถึงไฟแดงเลยนะครับ”

    ใช้ความหน้าด้านหน้าทนเล็กน้อยเพื่อฝ่ารถที่บีบแตรไล่  เมเดียหัวอย่างสะใจแต่จิตติรู้สึกงงๆและหวาดกลัว “ใครสอนให้ข้ามถนนแบบนั้นกัน” เขาดุ

    เมเดียไม่พูดอะไร  หันไปมองหน้าจิตติแล้วยักคิ้วให้

    “ยังจะมายักคิ้วอีก  ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้น...”

    “ว่าแล้วเชียว” เมเดียตัดบท

    “ว่าแล้วอะไรครับ”

    “ที่น้องสาวนายรักนายแทบตายเพราะนายน่ารักแบบนี้นี่เอง  เมื่อกี้น่ะฉันขอโทษที  ฉันแค่กวนนายเพราะอยากโดนนายดุนั่นแหละ” เธอแลบลิ้น

    จิตติอ้าปากค้าง  กระพริบตาปริบๆแล้วดุด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ  มันไม่คุ้มหรอก”

    “ก็ได้ค่ะ...ข้างนอกเริ่มหนาวมากแล้ว  ไปหาอะไรกินกันเถอะ” เมเดียลากจิตติเข้าไปใน The Riot ที่คับคั่งไปด้วยผู้คน  เธอพาเขามาหยุดอยู่ที่ร้านราเม็นร้านหนึ่งที่ไม่ค่อยมีใครเข้า  ในนั้นถูกตกแต่งแบบเรียบง่ายและสะอาดสะอ้าน  มันไม่ได้ชื่อดังหรือแม้กระทั่งมีพนักงานมายืนเรียกลูกค้าแบบร้านอื่น  จิตตินึกว่าเมเดียจะพาไปกินร้านที่หรูกว่านี้ซะอีก

    “กินราเม็นเนี่ยแหละ  อุ่นดี” เมเดียพูดแล้วก็วิ่งเข้าไปนั่งก่อนแบบไม่ปรึกษา  จิตติเดินตามอย่างงงๆ  นึกละอายในใจกับคนที่ตัวเองพามาด้วย

    “เอ่อ...รับอะไรดีคะ” บริการสาวตามมาบริการถึงโต๊ะด้วยท่าทีสุภาพ 

    “เอ่อ...เอาอันนี้ค่ะ  แล้วก็...” แล้วเมเดียก็จัดแจงจิ้มรายการอาหารให้พนักงานจดตาม  จากหนึ่งเป็นสอง  จากสองเป็นสี่  และแทบจะเป็นสิบๆอย่างเลยก็ว่าได้  จนกระทั่งมันมาจบลงที่สิบหกอย่าง  จิตติได้แต่กระพริบตาแล้วพนักหน้าตอบตอนเมเดียถามว่า “อันนี้นายกินได้มั้ย”

    “แค่นี้แหละค่ะ” เธอปิดเมนูแล้วส่งคืนให้พนักงาน  เธอรับมันไว้อย่างสุภาพแล้วรีบวิ่งไปหลังร้าน

    “นี่สั่งเยอะขนาดนั้นกินหมดหรอ” จิตติกระซิบถามทันทีตอนที่พนักงานเดินลับสายตาไปแล้ว

    “เป็นสุภาพบุรุษก็ต้องมีความรับผิดชอบไม่ใช่หรอ  นายต้องช่วยฉันกินหน่อยนะ  แล้วอีกอย่างฉันสั่งเองฉันก็จ่ายเองด้วย”

    “ไม่ได้หรอก”

    เมเดียตากระตุก “อะไรไม่ได้ยะ”

    “ถ้าคุณบอกว่าสุภาพบุรุษต้องมีความรับผิดชอบ  งั้นเดทแรกผมก็ต้องจ่ายไงครับ”

     

    “บอกฉันมาว่าเธอขอพรไปว่าอะไร” กวีถามอย่างเคร่งเครียด  จ้องหน้าลลิตแทบไม่ละสายตา  แต่เธอปวดหัวกับเสียงของความคิดคนอื่น  เธอหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์  ยิ่งในตอนที่กวีมาคาดคั้นคำตอบแบบนี้ด้วยแล้ว  เธอแทบนึกอะไรไม่ออก

    “เอ่อ...ไม่รู้สิ  ฉันขอให้อ่านใจได้มั้ง” เธอตอบปัด

    “อย่าทำเป็นเล่น  นึกให้ออกซะ  ทุกคำ  ทุกพยางค์  ที่เธอพูดกับซาตาน  ถ้าเธอไม่อยากจะให้สมองละลายเพราะถูกความคิดคนอื่นเข้าเล่นงานละก็นะ” กวีกำชับด้วยใจความที่เหมือนจะยั่วยุนิดๆ

    “รู้แล้วน่ะ  แต่ฉันนึกอะไรไม่ออกหรอกนะตอนนายมาจ้องหน้าฉันอย่างนี้!” ลลิตบ่น

    “งั้นก็อ่านใจฉันสิ  เธอตอบได้มั้ยว่าฉันคิดอะไรอยู่” กวีพูด  แล้วลลิตก็เลิกคิ้วขึ้น  มองเข้าไปในแววตาสีฟ้าของกวี  ที่มีเพียงความเงียบงันตอบกลับมา

    “ไม่ได้...ฉันก็อ่านใจนายไม่ได้เหมือนกัน” ลลิตส่ายหัวอย่างหงุดหงิด 

    คิมหันต์ที่นั่งอยู่ตรงกลางได้แต่นิ่งเงียบและนิ่วหน้าแปลกใจ  เขาไม่เข้าใจการสนทนานี้สักเท่าไหร่

    “อย่างนี้นี่เอง” กวีพึมพำ

    “นายเข้าใจแล้วหรอกวี” คิมหันต์ถามอย่างตื่นเต้น

    “ก็ยังไม่ทั้งหมดหรอก  ต้องรอให้ลลิตนึกออกว่าขอพรว่าอะไรไป  ฉันถึงจะเข้าใจว่ามันเป็นยังไง”

    พอลลิตถูกกวีกดดันเข้า  เธอก็รีบเค้นคำตอบในสมองตัวเองอย่างหนัก  เธอนึกย้อนไปในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้  ก่อนที่เธอจะสลบไปเพราะเสียงคนทั้งเมืองตะโกนใส่  เธอคิดอะไรในใจนะตอนนั้น  คำพูดที่เธอใช้  เธอใช้อะไรกันนะ

    “แปลว่าลลิตขอให้ตัวเองอ่านใจคนได้ใช่มั้ย  แต่ดันอ่านใจพวกเราไม่ได้” คิมหันต์สรุป  กวีพยักหน้าเนิบๆ  แล้วลลิตก็พลันฉุกคิดบางอย่างได้ทันที

    “ก็นั่นแหละฉันขอว่า ขอให้ฉันอ่านใจคนได้แล้วฉันก็สลบลง  เพราะมีเสียงคนทั้งเมืองพูดในหูฉันในคราวเดียว  พอตื่นขึ้นมาอีกที  ฉันก็ปวดหัวแล้วได้ยินเสียงคนอื่นพูดในหัวตลอดเวลา  นายคิดว่าไงล่ะ?” เธอเลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม  แต่คิมหันต์ส่ายหน้า

    “ตรงนี้ไงตรงคำว่า อ่านใจคนได้เธอใช้คำว่า คนมันไม่น่าจะใช้กับฉันได้” กวีพูด

    “หมายความว่าไง  นายเองก็ไม่ใช่ผีนี่นา” คิมหันต์ถาม

    กวีนิ่วหน้าแล้วอธิบาย  “ฉันเคยพูดไว้ว่า ซาตานใช้คัมภีร์เพื่อขยายอำนาจของเผ่าพันธุ์ตนเองใช่มั้ยล่ะ  ถ้าตามทฤษฏีของฉัน  ใครก็ตามที่มีพรวิเศษหรือว่าถือครองพรแต่ยังไม่ได้ขอพร  คนเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกนิยามว่ามนุษย์อีกต่อไปแล้ว  เพราะพวกเขาเปรียบเสมือนมนุษย์ที่มีอำนาจที่ได้จากซาตาน  คนเหล่านี้จะถูกเรียกว่า กึ่งซาตาน ซึ่งตอนนี้ฉันที่มีพรอมตะหรือว่านายที่ยังไม่ได้ขอพร  ก็ต้องเรียกว่าเป็น กึ่งซาตาน  เพราะฉะนั้นตามทฤษฎีเราก็ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป”

    “ฉันก็เลยอ่านใจไม่ได้สินะ” ลลิตถามอีก

    “น่าจะเป็นเช่นนั้น” กวีพยักหน้า “ถ้ายังไงไว้ฉันจะพาเธอไปเจอกับเมเดียแล้วให้เธอวินิจฉัย  แต่ยัยนั่นตามตัวยาก  และคงจะไม่ใช่ตอนนี้  ที่ฉันพอจะช่วยไม่ได้สมองเธอระเบิดก็มีอยู่อย่างเดียว” กวีปลดสร้อยคอที่ซ่อนอยู่ในเสื้อออกมา  มันเป็นสร้อยสีเงินที่ห้อยกางเกนเล็กๆเอาไว้  เขาส่งมันให้ลลิตแล้วพูดต่อ “เธอลองสวมสร้อยนี้หน่อย”

    ลลิตรับมันมาสวมค่อยๆ  แล้วทันใดนั้น  เสียงที่พูดในหัวของเธอทุกเสียงก็เงียบลง  มันหายไปราวกับว่าไม่เคยดังมาก่อน  และเพียงไม่กี่วินาทีศีรษะของเธอที่ปวดตุบๆก็ค่อยๆบรรเทาลง “ฉันไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นอีกแล้ว  ไม่ปวดหัวแล้วด้วย  ดีจัง”

    “กางเขนนายนี่เจ๋งชะมัด” คิมหันต์พูดอย่างลิงโลด “มันเปลี่ยนเป็นดาบแบบที่พี่สาวนายใช้ได้หรือเปล่า”

    กวียักไหล่ตอบ “ไม่รู้สิ  ฉันไม่เคยลอง  แต่มันเป็นกางเขนศักดิ์สิทธิ์ที่มอบให้กับคนในตระกูล  ช่วยขับไล่อำนาจของคัมภีร์ไม่ให้ครอบงำคนในตระกูลได้  แถมยังช่วยไม่ได้อำนาจของพรวิเศษสำแดงฤทธิ์มากเกินไป  แล้วก็ว่ากันว่ามันเปลี่ยนสภาพเป็นอาวุธหลากหลาย  บ้างก็ธนู  บ้างก็ดาบ  ไปจนถึงหอกก็ยังมีคนใช้  อย่างที่นายเห็นเมเดียเป็นกระบี่นะไม่ใช่ดาบ  กระบี่จะมีสองคมและใบมีดเล็กกว่า”

    “ว้าวแล้วของนายนี่เป็นอาวุธอะไรล่ะ” คิมหันต์ถามอย่างตื่นเต้น

    คนโดนถามถอนหายใจ “ก็บอกแล้วไงว่าไม่เคยลอง  แล้วก็ไม่คิดจะลองด้วย  ฉันว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้อาวุธเลยสักนิด” กวีตอบเลี่ยงๆ

    “ก็จริง  ขืนนายได้อาวุธโบราณพวกนั้นไปคงไม่ทันใจกันพอดี  จะยกขึ้นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้  สมัยนี้พกปืนดีกว่าโป้งเดียวจอด” พูดจบคิมหันต์ก็หัวเราะชอบใจ  แม้กวีจะมองด้วยสีหน้าค้อนๆก็ตาม

    “ให้ของมีค่าแบบกับฉันมาไม่เป็นอะไรแน่นะ  แล้วนายจะทำยังไงล่ะ  ขืนโดนคัมภีร์ครอบงำขึ้นมา  ฉันไม่ค่อยอยากจะสู้กับคนแบบนายนะ” ลลิตถามอย่างเกรงใจ

    คิมหันต์ได้ยินเข้าก็หัวเราะ “ไม่เอาน่าลลิต  กวีน่ะเค้าชอบแจกของ  พรวิเศษเขายังเคยให้เธอมาแล้ว  ของแค่นี้ทำไมจะให้ไม่...”

    แต่ก่อนจะพูดจบประโยค  กวีก็ถองเข้าที่สีข้างคิมหันต์แรงๆ  เจ้าตัวทั้งจุกทั้งหัวเราะฟุบหน้าลงบนโต๊ะกาแฟแล้วสั่นด้วยเสียงหัวเราะ

    “ฉันมีอยู่อีกอัน  เป็นของพ่อน่ะ” กวีพูดเรียบๆ

    “งั้นก็ขอบใจนะ  ต้องพึ่งนายตลอดเลย  ไม่เหมือนคนแถวนี้”

    “อะไรกันเล่าฉันก็ช่วยเรียกหมอนี่นะ  กว่าจะรับสายโทรศัพท์เกือบพังเหมือนกัน” คิมหันต์บ่น

    “ฉันจำได้ว่าแกโทรมาสองสาย” คนที่สุขุมที่สุดย้อนเข้าใจ  คิมหันต์อ้าปากค้างแล้วกระพริบตาปริบๆ

    “เปล่าเว่ยก็ก่อนหน้านั้นมันโทรไม่ติดนี่หว่า

    “หรา....” ลลิตลากเสียง  แต่คิมหันต์เหล่ตาไปทางอื่นแล้วยักไหล่

     

    กลับมาที่บ้านหลังเดิมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของไข่ทอด  จิตติถอดรองเท้าแฉะๆแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวทันที  เขาพบว่าน้องสาวคนเดิมกำลังทอดไข่อยู่  แต่เนื้อตัวเธอเปียกโชกเพราะน้ำฝนและดูอารมณ์ไม่ดีแถมยังหนาวสั่นเสียด้วย  พอเห็นดังนั้นเขาก็ต้องรู้สึกผิดขึ้นมา

    “อ้าวกลับมาแล้วหรอ  วันนี้พี่ไปทานข้าวกับเพื่อนมาน่ะ  เลยกลับช้านิดหน่อย” จิตติพูดพลางนั่งลงบนโต๊ะอาหาร

    “ค่ะ” แอนตอบห้วนๆแล้วดับเตาไฟลง  เธอยกกระทะแล้วเทไข่เจียวในจานลงถังขยะ

    “อ้าวทิ้งทำไมล่ะ” จิตติถาม

    แต่แอนเงียบไม่ตอบ  เธอยังคงหันหลังให้เขาพลางเปิดน้ำล้างมือ

    “เป็นอะไรหรือเปล่า  โกรธอะไรพี่อีกล่ะสิ” จิตติถามอย่างอ่อนโยน  แต่แอนยังคงยืนนิ่งและก้มหน้าตรงอ่างล้างมือ  ปล่อยให้กระแสน้ำไหลลงมาเรื่อยๆ

    ห้องครัวเงียบงันไม่มีใครพูดอะไร  เมื่อเห็นดังนั้นแอนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ก็นึกว่าหิว  แอนก็เลยฝ่าฝนกลับบ้านมาทำกับข้าวให้”

    “อ้าว...จริงๆพี่ก็หิวนะ”

    “ก็นึกว่าไปกินข้าวกับ เพื่อนมาอิ่มแล้วนี่นา!” แอนพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ  ซึ่งจิตติไม่ชอบแบบนี้เลย  เขาเงียบแล้วตอบอย่างระวัง

    “พี่ขอโทษที่ไม่ได้บอก...”

    “ขอโทษงั้นหรอ!” แอนหันมามองหน้าจิตติทันที  เธอมีน้ำตานองเต็มหน้า  ตัวสั่นเทิ้มทั้งด้วยความหนาวแล้วความเสียใจ “ขอโทษเรื่องอะไรกันคะ  เรื่องที่ไม่ได้ไปรับ  เรื่องที่ทำให้แอนต้องเป็นห่วงว่าพี่จิตจะเป็นอะไรไปหรือเปล่า  เรื่องที่ไม่รับโทรศัพท์  เรื่องที่แอนต้องถ่อไปถามเพื่อนๆพี่ว่าพี่ไปไหน  หรือเรื่องที่แอนตามไปเห็นพี่จิตทานข้าวกับ เพื่อนคนนั้นอยู่” น้ำเสียงของแอนดังก้องอยู่ในห้องครัวเงียบๆ  มันทำให้จิตตินึกถึงหน้าของพ่อตอนที่โกรธ  เพียงแต่ว่าใบหน้าของแอนเปื้อนไปด้วยน้ำตาเท่านั้นเอง

    จิตติครุ่นคิด  และรู้สึกผิดอย่างมาก  เขาไม่สามารถแก้ตัวได้เลยว่าเขาลืมไปรับน้องสาวตัวเอง  แถมยังไปทานข้าวกับเอ่อ...เพื่อนสาว  ทั้งๆที่เคยสัญญากับแอนแล้วว่าจะไม่คบผู้หญิงคนไหน  แล้วเพื่อนสาวคนนั้นก็ยังเป็นคนเดียวกับที่เอาดาบจ่อคอน้องสาวของเขาจนต้องขวัญเสีย  ไม่ว่าจะคิดในมุมไหน  เขาก็ผิดเต็มประตู

    “พี่ขอโทษแอน...พี่ไม่ได้ตั้งใจ”

    “พอเถอะพี่จิต...เราทะเลาะกันบ่อยมากเลยพักนี้  รู้ตัวมั้ย”

    “แอน...อย่าพูดแบบนี้สิ”

    “พี่จิตเคยพูดอะไรยาวกว่าหนึ่งประโยคมั้ยคะ!” แอนขึ้นเสียง  สะอื้นกลืนน้ำตาแล้วพูดต่อ “ทำไมต้องให้แอนถามก่อนทุกที  ทำไมต้องเงียบใส่  ทำไมไม่เคยพูดเหตุผลอะไรให้แอนฟังเลย  แอนเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องตามอารมณ์คนแบบพี่ให้ทัน...”

    แต่ก่อนที่แอนจะอ้าปากพูดประโยคต่อไป  จิตติก็ตัดบท “พี่ผิดเองแอน  พี่ขอโทษนะ  ทีหลังจะไม่ทำแล้ว  แล้วคนๆนั้นก็เป็นแค่เพื่อนกับพี่นะ”

    “อ๋อ...เพื่อนหรอคะ” แอนแค่นหัวเราะ “เจอกันคืนเดียว  แถมคนนั้นยังเอาดาบมาจ่อคอแอนแล้วพูดว่าแอนเป็นปีศาจ  แอนไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องนั้นหรอกคะ  แม้เค้าจะบอกว่าเข้าใจผิดก็ตาม  แอนไม่รู้หรอกว่าใครเข้าหาใครก่อน  เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะเล่นด้วยกันทั้งคู่นี่”

    จิตติรู้สึกเจ็บแปล๊บเหมือนมีอะไรมาแทงที่อก  เขากำหมัดแน่นและรู้สึกเกลียดตัวเอง  เขากลัวที่จะได้ยินคำพูดต่อไปของแอนเหลือเกิน  คำพูดที่เป็นคำบอกลา “แอน...พี่ไม่รู้จะพูดยังไงให้แอนหายโกรธนะ  แต่พี่ผิดไปแล้วจริงๆ”

    “แอนก็ผิดเหมือนกันเรื่องนี้  แอนคงนิสัยไม่ดีเองที่ละเมิดข้อตกลงของเราก่อน  เรื่องที่แอนไปคุยกับคิม  พี่จิตถึงแกล้งกันกลับด้วยการที่ไปคบกันคนนั้น” เธอกล่าวอย่างน้อยใจ

    “พี่ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องคิมกับแอนเลย  คิมเขาเป็นคนดีพี่ยอมรับ  พี่ยังดีใจด้วยซ้ำที่แอนไปชอบคนดีๆแบบคิม  แต่ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับการแกล้งแอนกลับนะ  เมเดียก็เป็นแค่คนๆหนึ่ง  แอนอย่าอคติสิ”

    “หรือพี่จิตจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ผิดที่ไปสนใจผู้หญิง  จนลืมน้องสาวไป  ขนาดแอนชอบคิมแค่ไหนแอนยังไม่เคยลืมพี่จิตเลยนะ  แอนกลับบ้านหลังจากไปทำงานพาร์ทไทม์มาทำกับข้าวให้พี่จิตกินทุกวัน  แต่วันนี้ฝนตกหนักและพี่จิตก็เป็นคนพูดเองว่าจะมารับถ้าฝนตกหนัก  แอนก็เลยรอ  รอนานมากจนเป็นห่วง  โทรไปก็ไม่รับโทรศัพท์  แอนลำบากขนาดไหนที่ต้องถ่อไปโรงเรียนพี่จิตแล้วถามเพื่อนพี่ว่าพี่ไปไหน  พอเขาบอกว่าเดินไปกับผู้หญิงใส่ชุดเมดที่ the riot แอนก็เลยตามไป  แล้วเจอพี่กับเค้านั่งกินข้าวกัน  แอนไม่มีอะไรจะพูดแล้วค่ะ  แอนผิดหวังขนาดไหนพี่จิตไม่เข้าใจหรอก”

    “แอน...” จิตติรู้สึกโง่เหลือเกินที่ไม่สามารถคิดคำพูดดีๆออกมาในตอนนี้  เขาทำได้แค่มองหน้าของแอนที่อาบไปด้วยน้ำตา

    “วันนี้...” แอนพูดพลางสะอื้น “...แอนเข้าไปจัดห้องให้พี่จิต  แล้วเจอนี่...” แอบหยิบเอาแผ่นกระดาษยับอยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อน  โยนมันให้จิตติแล้วพูดต่อ “รู้ดีใช่มั้ยคะ  ว่ามันหมายถึงอะไร”

    จิตติคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกอย่างงุนงง  มันเป็นกระดาษเอสี่สีขาว  ที่ถูกเขียนลายอักขระประหลาดเอาไว้เป็นวงกลม  จิตติจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน  แต่เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลามาก

    “พี่จิตตอบแอนทีว่าพี่ไมได้คิดจะไปฆ่าใคร  พี่ไม่เชื่อเรื่องงมงายแบบนี้  พี่จิตบอกทีว่ามันเป็นของคนอื่น  พี่จิตตอบแอนได้มั้ยคะ”

    จิตติรู้สึกงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น  เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ากระดาษที่แอนไปเจอมาในห้องเขานั้นหมายความว่าไง

    “ถ้าพี่จิตไม่รู้เรื่องมาก่อน  แอนจะย้ำให้ขัดๆเลยว่า มันเป็นคัมภีร์มรณะ  ที่เขาว่าถ้าฆ่าใครแล้วเราจะได้พรวิเศษสามข้อเป็นการตอบแทนแค่นี้ขัดพอมั้ยคะ  รู้มั้ยแอนกลัวเรื่องพวกนี้ขนาดไหน  กลัวพี่จิตจะเป็นอะไรไป  พี่จิตก็ได้ยินข่าวว่าคนที่ครอบครองกระดาษพวกนี้ถูกตามฆ่าอย่างโหดร้ายทำไมพี่จิตไม่เคยเชื่อแอนเลยทำไมต้องทำให้แอนเป็นห่วงแบบนี้อยู่เรื่อยทำไมต้องหันไปพึ่งพาเรื่องพวกนี้ด้วยแอนเป็นห่วงพี่จิตไม่พอหรือยังไง!

    “แอน...พี่ไม่เข้าใจ...”

    ได้ยินดังนั้น  แอนก็วิ่งกระแทกเท้าออกไปจากห้องครัว  ขึ้นไปบนบันไดแล้วปิดประตูห้องตัวเองเสียงดัง

    “เดี๋ยวแอน!” จิตติตะโกนเรียก  วิ่งตามขึ้นไปข้างบนแล้วเคาะประตูเสียงดัง “ออกมาคุยกันก่อน”

    แต่ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา  จิตติได้ยินเสียงกุกกักอยู่หลังประตูนั้น  แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  เขาทำได้แค่รอให้แอนออกมาเปิดประตูเอง  เขาทรุดตัวลงและนั่งพิงบานประตูนั้นอยู่นานสองนาน  เมื่อเวลาล่วงผ่านไปถึงครึ่งชั่วโมง  จิตติก็ค่อยๆเอ่ยขึ้น “พี่ยังรออยู่หน้าห้องนะแอน  ทำไมไม่ออกมาคุยกันก่อน”

    แต่ก็มีเพียงความเงียบที่ตอบกลับมา  จิตติหัวเสียเป็นอย่างมาก  เขาเดินไปหยิบกุญแจห้องที่ชั้นล่างและไขประตูของห้องแอนให้เปิดออก  เขาไม่ชอบวิธีบังคับแบบนี้  แต่มันก็นานเกินไปจนเขารู้สึกไม่ดี

    และแล้วจิตติก็ต้องหัวใจสลายเมื่อพบเพียงห้องที่ว่างเปล่า  หน้าต่างถูกเปิดทิ้งเอาไว้  มีสายลมหวีดหวิวพัดเข้ามา  เขาเดินไปและรู้สึกเหมือนโลกเงียบงันไปชั่วขณะ  มองเห็นแผ่นกระดาษแผ่นนึงที่ทิ้งไว้บนเตียง  เขาหยิบมันขึ้นมาอ่านทันที

    แอนขอโทษที่อารมณ์เสียใส่พี่จิต  แอนน่าจะคิดมากไปหน่อย  แอนขอโทษนะคะ  เดี๋ยวไว้แอนดีขึ้นแล้วจะกลับมาหา  แอนสั่งพิซซ่าของโปรดให้พี่จิตตั้งแต่ตอนเย็นแล้วแช่ไว้ในตู้เย็น  ขอโทษนะคะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×