คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : ChapT15 ("Silence Again") ; นครแห่งฝน
ทิวทัศน์ของนครที่เปียกฝนนั้นช่างน่าเบื่อและแสนหดหู่ มือเย็นเยียบยังคงจับรั้วระเบียงข้างนอกห้องเอาไว้แน่น ไอเย็นโอบรอบตัวเป็นเพื่อนยามที่ลลิตกำลังคิดตริตรองตรงหน้าฉากแห่งเมืองที่มีฝนพรำ เธอทั้งไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือมีความสุขด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกครึ่งๆกลางๆเหมือนสายฝนที่ตกมาแบบไม่เต็มใจนี้ยิ่งทำให้เธอฟุ้งซ่าน ลลิตคิดไม่ตกในหลายๆเรื่อง เธอถามตัวเองในใจมาตลอดทั้งวันว่า “ถ้าฝนคือน้ำตาของท้องฟ้า การที่ท้องฟ้าร้องให้มาตลอดเดือนกว่าๆนี้ มันจะรู้จักเหนื่อยบ้างหรือเปล่า และเมื่อไหร่กันที่ฝนจะหยุดตก ให้ท้องฟ้าสีฟ้ากลับเข้ามาทำหน้าที่ของมันต่อไป”
ลลิตถูต้นแขนตัวเองแล้วถอนหายใจ เธอแอบเห็นไอบางๆโชยออกมาตามลมหายใจแล้วจางไป ถ้าอากาศหนาวนี้ทำให้เธอเศร้า คนที่เกลียดอากาศเย็นๆแบบคิมหันต์ก็คงนั่งร้องให้ไปแล้วป่านนี้ แค่คิดลลิตก็หัวเราะขึ้นมา แล้วนึกหน้าเหยเกตอนคิมหันต์พูดว่า “สบายมาก ไม่หนาวเลยสักนิด” แล้วลลิตถึงต้องย้อนกลับ “เป็นการสบายๆที่เสียงสั่นมากนะยะ” เธอหัวเราะออกมาคนเดียวเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ เหตุการณ์แรกๆที่ทำให้ลลิตรู้จักกับคำว่าเพื่อนจริงๆ
เพราะก่อนหน้านี้ เรื่องราวตอนมัธยมต้นลลิตจำเป็นต้องพยายามอย่างหนักที่จะพูดคุยเรื่องที่เธอไม่เข้าใจกับเพื่อนในกลุ่มให้รู้เรื่อง แสร้งทำเป็นสนใจละครเกาหลี หรือเป็นพวกวัตถุนิยม พยายามออกไปดูหนัง เที่ยวนู่นเที่ยวนี่ หรือแม้กระทั่งต้องโกหกเพื่อนๆว่าเธอก็ชอบผู้ชายคนนู้นคนนี้เหมือนพวกเธอนะ ทั้งหมดนี้ก็แค่อยากจะเข้าไปสัมผัสกับคำว่าเพื่อนเท่านั้นเอง
แต่สิ่งที่เธอได้กลับมากลับเป็นการเสแสร้ง ลลิตอ่านท่าทีรังเกียจออกทางสีหน้าลึกๆออก รวมทั้งคำโป้ปดในน้ำเสียง หรือคนพวกนั้นอาจจะคิดว่าลลิตโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจก็ได้ แต่แล้ววันหนึ่งลลิตนึกถึงคำพูดที่เคยดังก้องในหู ใครบางคนที่ลลิตตะไม่มีวันลืมได้กล่าวคำนี้กับเธอ “...เธอจะเสียอะไรไปก็ได้นะ แต่อย่าเสียความเป็นตัวเอง”
เมื่อขึ้น มัธยมปลาย ลลิตเริ่มต้นใหม่กับโรงเรียนใหม่ เธอกลับมาเป็นตัวของตัวเอง เปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนวิธีการพูด ลลิตกัดฟันสู้ทุกแรงกดดัน ดำเนินชีวิตในเส้นทางตัวเอง แม้เส้นทางนั้นจะมีเธออยู่คนเดียวและไม่มีใครมาร่วมเดินเลยสักคน ระหว่างปีหนึ่งที่ยากลำบาก ลลิตต้องร้องให้คนเดียวบ่อยครั้งกับความเหงานี้ เธอเริ่มท้อและความมั่นใจถดถอย ตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “คนทั้งโลกต้องการอะไร ถ้าฉันอ่านใจพวกนั้นได้ก็คงจะดี”
จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่ ม.5 สิ่งที่ลลิตไม่คิดว่าจะได้เจอก็มาหาเธอ เพื่อนคนหนึ่งในห้องของเธอเองที่เธอไม่คิดเคยสนใจ ก็ทำให้เธอได้รู้จักกับคำว่าเพื่อนจริงๆ แรกๆลลิตแทบไม่รู้ตัวและไม่นึกไม่ฝัน ว่าเมื่อตอนเย็นของวันหนึ่งที่เธอถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับคิมหันต์เจ้าขี้เซาประจำห้อง ลลิตไม่เคยได้ยินเสียงชัดๆของเขาคนนี้เลย แต่บางทีเธอก็คิดว่าถ้าโลกแตกและเหลือผู้ชายเพียงคนเดียวจริงๆ ลลิตอยากจะอยู่กับคนเงียบๆแบบนี้แหละ
ลลิตยังคงจำสีหน้าที่อ่านไม่ได้ของคิมหันต์ได้ ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นจากนิทราแล้วพูดว่า “ทำไมไม่ปลุกกันเลย ทำเวรคนเดียวตั้งนานน่าจะเรียกฉันหน่อยนะ”
ในวินาทีแรก ลลิตคิดว่าเขาคงจะพูดเล่นๆ แต่คิมหันต์ก็อยู่ทำเวรกับลลิตมาทุกอาทิตย์ เป็นเวรวันศุกร์ที่ไม่มีใครอยากอยู่ทำเพราะว่าทุกคนล้วนอยากกลับบ้านตอนสุดสัปดาห์ มันจึงเหลือแค่เขาทั้งสองที่ได้ทำความรู้จักกัน ลลิตไม่มั่นใจว่าคิมหันต์อยากจะเป็นเพื่อนกับเธอหรือเปล่า แต่เธออยากเป็นเพื่อนกับเขามากๆด้วย
และเหตุการณ์นั้นก็มาถึง เหตุการณ์ที่ชักนำลลิตให้รู้จักกับคัมภีร์มรณะคิม เธอไม่นึกด้วยซ้ำว่ากวีเด็กหนุ่มท่าทีหยิ่งจองหอง หน้าตาหล่อเหลา ที่สาวๆเค้าชอบเรียกกันว่า “เร้าใจ” อะไรทำนองนั้น จะเป็นคนดี ลลิตสารภาพเธอไม่ได้ไว้ใจกวีที่เขายอมตกตึกเจ็ดชั้นเพื่อช่วยเพื่อนตัวเองให้พ้นจากคัมภีร์อะไรนั่นหรอก แต่ลลิตเชื่อมั่นในตัวกวีเพราะกระเป๋าสตางค์ที่เขาขโมยไป มันมีความลับอะไรบางอย่างที่ลลิตไม่เคยบอกใคร เธอไม่คิดถึงเรื่องนั้นบ่อยครั้งนักแม้ในสมองตัวเองด้วยซ้ำ ตอนที่กระเป๋าเธอหายไปเธอกลัวแทบตาย แต่พอกวีเห็นสิ่งนั้นเข้า เขาก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลย เขาส่งคืนให้ลลิตและปิดปากเงียบ จนเธอชักจะไม่มั่นใจว่ากวียังจำเรื่องนั้นได้อยู่หรือเปล่า “เรื่องความลับของเธอ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลลิตชินชากับคำว่าอยู่คนเดียว ลลิตโหยหาการมีเพื่อน เพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆและเข้ากับเธอได้ เธอไม่เคยรู้จักว่าจะมีใครตายแทนเธอได้สักคน จนกระทั่งเธอได้รู้จักกับเพื่อนสองคนที่ทำให้เธอเปลี่ยนความคิด จากนิสัยเดิมๆที่ลลิตไม่นึกว่าบนโลกนี้ไอ้การตายแทนกัน หรือรักเพื่อนมากกว่าตัวเองมันจะมีอยู่จริง เพราะที่สุดแล้วมนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว แต่คิมหันต์และกวีไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
ถ้าคำว่าเห็นแก่ตัวคือรักในตัวเองจนไม่สนคนอื่น ทั้งคิมและกวีก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำนิยามนั้นแม้แต่น้อย คิมหันต์กล้าแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว ส่วนกวีนั้นกล้าที่จะเสียสละเพื่อคนรอบข้าง แค่นี้มันก็ทำให้ลลิตกล้าที่จะทำเพื่อเพื่อนสองคนนี้ได้ทุกๆอย่างแล้ว
ถอนหายใจเป็นครั้งที่สามและสลัดความคิดให้พ้นไปจากหัว กลับมาอยู่กับคำถามที่ว่าเธอจะทำยังไงกับพรวิเศษของตัวเองดี เธอมีโอกาสครั้งเดียวที่จะใช้และเธอก็ไม่อยากให้มันเสียประโยชน์อีกแล้ว
เงี่ยหูฟังเสียงของการโคจรชีวิตเบื้องล่างอพาร์ตเม้นต์สูงใจกลางเมืองหลวง ฝนยังตกแข่งขันกับการใช้ชีวิตอันเร่งรีบของผู้คน ลลิตสูดหายใจลึก รู้สึกใจหายเมื่อต้องคิดว่าเธอควรจะทำอะไรกับพรวิเศษที่ได้มานี่ดี
แล้วเพียงแค่คิด เสียงของคำขอของที่ส่งออกไปก็ดังก้องอยู่ในหู ลลิตมองเห็นวงเวทย์หมุนวนใต้เท้า ส่องแสงสีแดงเรืองรองขึ้นมาจากพื้น และเพียงแค่ไม่กี่วินาที เสียงอื้ออึงมากมายก็ถาโถมเข้าใส่สมองของเธอทันที ลลิตเอนตัวล้มอย่างสิ้นแรงบนระเบียงสูงสิบแปดชั้นและหมดสติไปทันที
โรงยิมยังคงมีผู้ใช้งานอยู่สองสามคนแม้จะอยู่ในวันหยุดช่วงปิดเทอม มันเป็นที่หลบฝนเพียงไม่กี่ที่ในโรงเรียนเอกชนชายล้วนที่บัดนี้ปลอดคนแห่งนี้ ใครจะเชื่อว่าเด็กวัยรุ่นวัยสิบแปดปีสองสามคน จะใช้เวลาในช่วงปิดเทอมทุกวันทุ่มเทไปกับการซ้อมกีฬาที่ตัวเองรัก แทนที่จะเอาเวลาไปเรียนพิเศษแบบเด็กคนอื่น แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงซ้อมกันต่อไปแม้จะเหงื่อท่วมตัวก็ตาม
หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดปีหยุดอยู่ข้างๆโรงยิม แล้วมองลีลาการยื้อแย่งลูกบาสของเด็กผู้ชายกลุ่มนั้นอยู่พักใหญ่แล้ว เธอถือร่มสีดำที่ปักลายลูกไม้ไว้ตรงขอบพลางปล่อยให้สายฝนตกลงข้างๆตัวเธอ พวกเด็กผู้ชายดูเคอะเขินและชำเลืองมาที่เธอผู้นั้นระหว่างการเล่นโดยตลอด ก็มันแปลกอยู่ที่หญิงสาวผมบลอนซ์ ตาสีน้ำทะเลแบบชาวตะวันตก จะปรากฏตัวในชุดสาวเสิร์ฟกลางโรงเรียนชายล้วนแบบนี้
เมเดียหัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นจิตติมองมาที่เธอแล้วส่งลูกบาสไปเข้าที่กลางหน้าผากเพื่อนตัวเองจนหงายหลัง กลุ่มเด็กผู้ชายรีบรุดเข้าไปดูอาการเพื่อนตัวเองที่นอนขดตัวอยู่กลางสนามและร้องโอดโอย จิตติทั้งขำทั้งสงสารแต่ก็กลัวด้วยว่าจมูกหมอนี่จะหักหรือเปล่า
“เล่นอะไรไม่ระวังเลยวะจิต มัวแต่มองสาวอ่ะดิ” เพื่อนคนนึงแซวเข้าให้ จิตติขมวดคิ้วแล้วมองตอบแบบงงๆ
“เออ แน่เลย มันเป็นอะไรขึ้นมาเราไปแข่งไม่ได้นะเว่ย” เพื่อนอีกคนนึงเสริมแบบติดตลก ทั้งกลุ่มหัวเราะครืนแล้วคนที่นอนขดอยู่กับลุกขึ้นนั่ง
“ไอ้เอี้ยจิต เล่นเอี้ยไอของอึงเนี่ย” เสียงอู้อี้เล็ดรอดออกมาจากลำคอของผู้บาดเจ็บ เขากุมจมูกตัวเองเอาไว้แน่นแล้วมองจิตติแบบโกรธๆ
“ขอโทษๆ ไม่ได้ตั้งใจว่ะ” จิตติต้องพยายามอย่างมากที่จะขอโทษโดยไม่เผลอหัวเราะออกมา
แล้วระหว่างนั้นเงาของใครบางคนที่เดินเข้ามาหาก็ทาบลงกลางวงสนทนา เมเดียปรากฏตัวขึ้นด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนนักเรียนชายทั้งสามคนก็รีบตอบรับกลับมาด้วยความตกใจ ทั้งหมดพลันรีบผละตัวให้ห่างจากเมเดียทันที
“เฮ่ย...ใครวะ” คนที่จมูกมีเลือดไหลกระซิบเพื่อนตัวเอง
“ไม่รู้วะ นึกว่าพี่สาวเอ็ง” เพื่อนอีกคนตอบ
“ข้าจะมีพี่สาวเป็นฝรั่งได้ไงวะ”
“งั้นก็...แฟนไอ้จิตมันมั้ง”
เมเดียแอบได้ยินเสียงกระซิบของสองคนนั้น เธอหัวเราะพลางส่ายหัวแล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้คนที่กุมจมูกตัวเองอยู่ “เอ้านี่ ไม่นึกว่าจะทำให้นายเสียสมาธิ ขอโทษด้วยนะ”
และดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงแค่จมูกเท่านั้นที่แดงเป็นลูกเชอร์รี่ เพราะตอนนี้ทั้งหน้าของเด็กผู้ชายคนนั้นร้อนผ่าวและแดงอย่างเห็นได้ชัด เขาเอื้อมมือที่สั่นเทามารับผ้าเช็ดหน้าของเมเดียอย่างประหม่า
มีเสียงผิวปากดังหวีดหวิวในโรงยิม เมเดียยิ้มเขินๆและหัวเราะ แต่จิตติไม่ค่อยรู้สึกขำเท่าไหร่ ยิ่งด้วยความงุนงงเมื่อเห็นผู้หญิงที่เอาดาบจ่อคอน้องสาวตัวเองเมื่อคืนก่อนปรากฏตัวขึ้นแบบไม่ร้อนรนตรงหน้าด้วยแล้ว เขาจึงได้แค่ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ ก่อนจะถามอย่างไม่ไว้ใจ
“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” จิตติถามพยายามแฝงความสุภาพนิดๆในน้ำเสียงด้วย
เมเดียหันมายิ้มหวานแล้วตอบ “ก็มีนิดหน่อยนะ กับเธอนั่นแหละ พอจะว่างมั้ยล่ะ? ฉันรอจนกว่าจะเล่นเสร็จก็ได้นะ”
จิตติปาดเหงื่อ ชำเลืองมองเพื่อนๆ แต่เจ้าเพื่อนสองคนนั้นรู้ดีว่าจิตติจะขอความช่วยเหลือ แต่มีรึเขาจะปล่อยให้เพื่อนตัวเองพลาดการอยู่กันสองต่อสองกับสาวสวยแบบนี้ ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกันแล้วพูด “อ้อ...ซ้อมกันเสร็จพอดีนี่เนอะ เอ็งกลับไปก่อนก็ได้ ข้ากับมันซ้อมที่เหลือต่อเอง ชิ่วๆ”
ว่าแล้วจิตติแล้วเมเดียก็โดนผลักออกไปนอกโรงยิม รู้ตัวอีกทีจิตติก็ถูกฝนสาดใส่จนเมเดียต้องยกร่มขึ้นมาป้องไว้แทบไม่ทัน จิตติไม่กล้าอยู่ใกล้เมเดียแบบไหล่ชนไหล่มากนัก มันเป็นความรู้สึกอึดอัดแบบบอกไม่ถูก นี่หรือเปล่าความรู้สึกที่เรียกว่าเคอะเขิน
ทั้งสองนิ่งเงียบกันอยู่สักพัก ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ปล่อยให้เม็ดฝนตกกระทบกับร่มอยู่อย่างนั้น จนจิตติจึงพูดขึ้นเงียบๆ “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เมเดียขมวดคิ้ว มองจิตติแบบขำๆ “นี่เราจะคุยกันกลางฝนแบบนี้แน่หรอ เป็นสุภาพบุรุษก็หาที่นั่งให้ผู้หญิงสิ”
จิตติสอดส่ายสายตาเลิ่กลั่ก ซ้ายทีขวาที ดูประหม่าขึ้นทันตา เขาจูงมือเมเดียเข้าไปหลบอยู่ใต้อาคารเรียนที่ไม่มีใครอยู่ ที่ซึ่งพอดีแถวๆนั้นมีชุดม้านั่งหินอ่อนตั้งอยู่ในร่มไม้พอดี จิตติผายมือออกก่อนอย่างจำใจ เขารู้ดีว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ต้องโดนสุภาพสตรีตรงหน้าตำหนิอีกแน่ๆ เมเดียหัวเราะแล้วยิ้มขอบคุณ
“ขอบคุณค่ะ”
“ครับ...เอ่อ...” จิตติครางยาวๆแล้วนั่งลงตรงข้ามเมเดีย มือทั้งสองประสานกันอย่างร้อนใจ
“ไม่เห็นต้องเกร็งอะไรขนาดนั้นเลย” พอเมเดียทักเข้าให้ อีกฝ่ายก็คลายริมฝีปากที่เม้มไว้โดยไม่รู้ตัว
“แล้ว.....ที่เรียกผมมาคุยนี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับที่เอาดาบจ่อคอน้องสาวผมเมื่อคืนก่อนหรือเปล่าครับ”
“ฮะฮะ ดีใจที่ไม่ค่อยเกี่ยวนะ ฉันชื่อเมเดียจ้ะ เป็นพี่สาวของกวี เด็กผู้ชายที่คุณเจอเมื่อคืนก่อนนั่นแหละ” เมเดียยื่นมามาตรงหน้า
จิตติจับตอบอย่างสุภาพและคลายมือออก “คนผมสีดำที่เป็นเพื่อนกับคิมหันต์ กับหนูลิตใช่มั้ยครับ”
“ถ้าลลิตาล่ะก็ใช่นะ อย่างนี้เราก็เหมือนรู้จักกันแล้วสิ” เมเดียว่าขำๆ
“ก็คงจะอย่างนั้นน่ะครับ ผมชื่อจิตติ สัมภรานนท์ ครับ”
เมเดียยิ้มอย่างแปลกใจ ขมวดคิ้วแล้วจ้องไปที่จิตติจนเขาหน้าแดง “นายนี่จริงจังอยู่ตลอดหรือเปล่า บอกฉันแค่ชื่อก็พอแล้วนี่นา”
“ก็นึกว่าคุณจะหาว่าผมไม่เป็นทางการนี่” จิตติตอบ “จะเรียกผมยังไงก็ได้ครับ ผมเรียกคุณว่าคุณได้หรือเปล่า”
“ให้ตายสิ เรื่องแค่นี้ยังจะถามอีก ไม่เคยคุยกับผู้หญิงบ้างหรอ”
“เอ่อ...” จิตติค้าง “...เคยแต่กับน้องสาวน่ะ”
“นี่ฉันจะสอนให้นะ ตอนคุยไม่ต้องนั่งตัวเกร็งแบบนั้นก็ได้ นั่งตามสบาย โน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆหน่อยก็ดี”
“เดี๋ยว....ไอ้โน้มหน้ามาใกล้ๆหน่อยก็ดี ผมต้องทำด้วยหรอ”
เมเดียถอนหายใจพรืด “จะทำก็ตามใจ ฉันแค่พูดเล่นเฉยๆ ไม่รับมุกกันซะเลย”
จิตติกลอกตาไปมา พยายามมองหาความช่วยเหลือที่จะนำเขาไปให้พ้นจากอารมณ์แบบนี้
แล้วพอเมเดียเห็นจิตติอยากจะเข้าเรื่องเต็มแก่ เธอก็เลยพูด “เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยละกันเนอะ ฉันพูดตรงๆนายคงจะไม่โกรธหรือตกใจแล้วลุกหนีอะไรแบบนั้นใช่มั้ย” เมเดียถามน้ำเสียงจริงจัง
“อะเอ่อ...จะพยายามไม่ทำนะครับ”
“ฮะฮะ....” เมเดียยิ้มมุมปาก จ้องหน้าผู้ชายตรงหน้าอยู่สักพัก มองเข้าไปในดวงตาที่อยู่ภายใต้คิ้วหนา แล้วคำตอบก็ถูกประกาศออกมาพร้อมกับเสียงกบร้อง
“ฉันมาหานายเพราะฉันอยากรู้จักนายนน่ะ”
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกปวดหัวตุบๆเหมือนศีรษะจะละลาย ลลิตไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เธอสลบไปทั้งๆที่ยังมีสติแบบนั้น หรือแม้กระทั่งเธอสลบไปนานแค่ไหนเพราะตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มเป็นสีส้มแล้วเธอก็ไม่ทราบ แต่ความรู้สึกของเธอในตอนนี้คือเธอปวดตั้งแต่กลางหัวลามไปจนถึงในรูหูทั้งสองข้าง ในหัวก็พยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะสิ้นสติแม้มันจะขุ่นมัวและเลือนลาง
เธอจำได้ว่าตัวเองขอพรว่า “ขอให้สามารถอ่านใจมนุษย์ทุกคนได้” แล้วทันใดนั้นเอง เธอก็ถูกเสียงของคนทั้งเมืองตะโกนใส่ในคราวเดียว มันเป็นความรู้สึกที่แย่ที่สุดในโลก เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสลบไปเพราะความตกใจจนช็อค หรือว่าเป็นผลข้างเคียงจากการขอพรกันแน่ แต่ครั้งล่าสุดที่ธารินขอพรให้เธอเห็น เขาก็ไม่ได้สลบไปแบบนี้ หรือนั่นเป็นเพราะเหยื่อที่ธารินเลือกไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นแมวกันแน่ ยิ่งคิดลลิตก็ยิ่งอยากรู้คำตอบให้เร็วที่สุด เธออยากเล่าทุกๆอย่างที่เธอรู้สึกในตอนนี้ให้คิมหันต์และกวีฟังโดยทันที
ลลิตเดินซวนเซไปเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ เธอกลับเข้ามาในห้องแอร์เย็นๆที่เธออยู่เพียงคนเดียว หยิบโทรศัพท์ที่คว่ำไว้บนเตียง แต่ทันใดนั้น ก็มีเสียงของใครบางคนพูดในหูของเธอ ‘...จะส่งเสียงเอะอะอะไรนักหนา ไอ้ห้องนี้ก็ชอบใส่รองเท้าเปื้อนโคลนย่ำขึ้นมา ลำบากฉันจริงๆ...’
มันเป็นเสียงของแม่บ้านของอพาร์ตเม้นต์หรูแห่งนี้เป็นแน่ ลลิตจำเสียงหล่อนได้จากการที่เธอยืนด่ากราดกับเจ้าของห้องพักบ่อยๆครั้ง หล่อนเป็นคนอารมณ์ร้ายและขี้บ่น ไม่แปลกเลยที่หล่อนจะบ่นตลอดเวลาไม่เว้นแม่กระทั่งในความคิดตัวเอง
แต่ลลิตไม่อยากจะได้ยินเสียงความคิดหล่อนสักหน่อยนี่นา พรบ้านี่ทำงานดีเกินไปหรือเปล่า
โทรศัพท์ถูกยกขึ้นมาแนบข้างๆหู ลลิตรู้สึกเหนื่อยเสียจนต้องหอบหายใจหนักๆ เธอรู้สึกเหมือนพลังงานถูกดูดไปเรื่อยๆ แต่เธอก็อ้าปากพูดออกมาอย่างยากลำบากหลังจากที่เสียงตามสายตอบรับแล้ว “โย่ว หนูลิต มีอะไรกับพี่หรือคร้าบ”
“คิม...คิม...มาเจอฉันหน่อย ที่ร้านกาแฟร้านเดิม นายว่างมั้ย” ลลิตพูดพลางหอบหายใจ
“เฮ่ย...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เสียงดูไม่ดีเลย”
“ไม่เป็นอะไรมาหรอก แค่ปวดหัวนิดหน่อย ฉันเพิ่งขอพรไปน่ะ เรียกกวีให้ฉันทีได้มั้ย ฉันต้องถามหมอนั่นเรื่องนี้”
“ได้สิๆ แล้วเธอขอพรไปว่าอะไรหรือ ฉันว่านอนพักก่อนดีมั้ย เสียงเธอดูแย่เอามากๆเลยนะ แต่ถ้ายังไงฉันจะรีบไปแล้วโทรตามเจ้ากวีมาด้วยละกันนะ เอ่อ...ถึงมันจะไม่ค่อยรับโทรศัพท์ก็เถอะ”
“ขอบใจมากคิม ฉันจะรีบไปให้ถึงนะ...”
“ไหวแน่นะลลิต ให้ไปรับมั้ย”
“ไม่ต้องคิม รีบไปเถอะ...อพาร์ตเม้นต์ฉันอยู่กลางเมืองพอดี”
“ได้ๆ เกิดอะไรก็โทรเรียกฉันได้นะ” แล้วคิมหันต์ก็วางสายไป ลลิตคว้าร่มมาถือไว้ในมือแล้วเดินออกไปนอกห้องโดยไม่ลืมล็อกกุญแจและเอากุญแจห้องติดตัวไปด้วย ระหว่างที่เธอเดินอยู่ในโถงทางเดินกว้างๆและโล่งสะอาด ลลิตสัมผัสได้ถึงความคิดมากมายที่อบอวลอยู่ในตึกแห่งนี้
‘....ถ้าเราตายเขาจะเสียใจหรือเปล่านะ...’
’เออ! ตบมันเลย ตบมันเลย... ’
‘อีเพื่อนเลว ทำอะไรของมันวะ บ้าเอ๊ย’
‘หิวชะมัด ตังค์ก็ไม่มีจะกิน’
‘โอว...ดูหน้าอกนั่นสิ’
ลลิตสะบัดหัว พยายามอุดหูแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะเสียงเหล่านั้นมันพูดในสมองเธอแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และมันก็เป็นเสียงที่ดังและหนักเอามากๆด้วย
ลลิตเปิดประตูลิฟต์และเข้าไปในนั้น เธอพิงหลังแนบกับกำแพงลิฟต์อย่างอ่อนแรงโดยไม่แคร์ว่าคนข้างๆจะมองเธอยังไง
‘ยัยเด็กพ่อแม่ไม่สนใจนี่หว่า...’ เสียงจากความคิดของชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูท เขาอาศัยอยู่ในชั้นเดียวกับเธอมาตั้งแต่ลลิตย้ายมาที่นี่ และดูเหมือนเขากำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับลลิตแม้จะไม่หันมามองก็ตาม ‘...ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวแบบนี้คงจะเหลือทนจริงๆนั่นแหละ เด็กอะไร๊ แรดแต่เด็ก’
ลลิตมองคนตรงหน้าแบบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เธอไม่นึกว่าความคิดน่าเกลียดแบบนี้จะสะท้อนมาจากใบหน้าที่กำลังยิ้มน้อยๆให้เธออยู่ มันช่างเสแสร้งและน่าสะอิดสะเอียน
ประตูลิฟต์เปิดออก พร้อมคลื่นความคิดที่โถมใส่เธออย่างรุนแรง มันเหมือนมีวิทยุนับร้อยถูกเปิดขึ้นพร้อมๆกัน และแต่ละเครื่องก็ดกำลังเปิดคนละคลื่นกันอยู่ ลลิตต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการฝ่าล็อบบี้ออกมา เธอรู้สึกเหมือนคนที่ไม่สามารถยืนตัวตรงได้ เพราะตัวของเธอโค้งงอเหมือนคนที่ปวดท้อง ลลิตใช้อีกมือนึงยันต้นไม้ตามทางเดินไว้ พยายามไม่เข้าใกล้ผู้คนเพราะเธอคงโดนความคิดจำนวนมากพวกนี้เล่นงานจนสลบไปอีกเป็นแน่
มาหยุดอยู่ที่หน้าห้าง The Riot ในสภาพที่อ่อนแรงเต็มที ลลิตลากขาอันหนักอึ้งและไร้แรงเข้าไปนั่งลงในร้านกาแฟที่กวีเคยนัดมาเมื่อครั้งก่อนแล้วฟุบหัวลงนอนบนโต๊ะทันทีแบบไม่สนใจอะไร
‘นั่นไง...พวกวัยรุ่นคิดจะสั่งแก้วเดียวแล้วมาอยู่ทั้งวันอีกแล้ว น่ารำคาญจริงๆพวกนี้’
‘เฮ่ย! นี่ร้านกาแฟไม่ใช่สวนสาธารณะนะเว่ย มาถึงก็นอนเลย’
ลลิตขยี้หัวตัวเองอย่างอารมณ์เสีย กรีดร้องในลำคออย่างคัดแค้นใจ เมื่อไหร่ที่เสียงอุบาทว์พวกนี้จะเบาลงเสียที เธอไม่อยากได้ยิน เธอไม่อยากได้ยิน เธอไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น!
“ลลิต เป็นอะไรหรือเปล่าฉันมาแล้ว” คิมหันต์รุดเข้ามานั่งที่โต๊ะเดียวกับลลิต ลลิตเงยหน้าขึ้นทันทีแล้วรีบพูด
“คิม...สั่งอะไรมากินสักสองสามอย่างที นายเลือกเลย...ฉันทนเสียงพนักงานเสิร์ฟไม่ไหวแล้วคิม...”
คิมหันต์พยักหน้ารับอย่างงงๆ แล้วเดินไปที่เค้าเตอร์พนักงาน ใช้เวลาอยู่นิดหน่อยแล้วจึงเดินมาดูอาการของลลิตที่เริ่มดูไม่ดี
“ทนไว้นะลลิต กวีกำลังมา เธอใจเย็นๆนะ” คิมหันต์ปลอบอย่างร้อนใจ แม้เขากำลังพยายามที่จะปลอบให้ลลิตใจเย็น แต่น้ำเสียงของเขาไม่ได้สื่อถึงความใจเย็นที่ว่าเลย
‘โฮ่ย....น่ารำคาญชะมัด นึกว่าจะได้นั่งพักสบายๆตอนเย็นๆแล้วแท้ๆ ยังจะเข้ามากันอีกโว้ยเด็กพวกนี้’ เสียงของพนักงานเสิร์ฟดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ลลิตกำมือแน่นจนข้อนิ้วคลายเป็นสีขาว เธอกัดฟันกรอด รู้สึกโกรธอย่างควบคุมไม่ได้ เธอสูดหายใจลึกและกรีดร้องเสียงดัง
“โอ้ย! ไอ้พวกมนุษย์หน้าโง่ ฉันเสียเงินเข้ามากินร้านแกก็ดีเท่าไหร่แล้ว! รู้ไว้ซะด้วยฉันจะสั่งอะไรมันก็เรื่องของฉัน!”
แล้วทั่วร้านก็ตกอยู่ในความตะลึงงัน คิมหันต์อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น เขาไม่เคยเห็นลลิตวีนแตกแบบนี้มาก่อน เขาจึงทำอะไรไม่ถูก เขาจึงไม่กล้าแม้กระทั่งเข้าไปปลอบด้วยซ้ำ
ความคิดยิบย่อยไม่ได้หายไปไหน มันจู่โจมลลิตอย่างหนัก จนเธอต้องฟุบหน้าลงบนโต๊ะแล้วกรีดร้องในลำคอ เธอรู้สึกหงุดหงิดไปกับทุกอย่าง
“ลลิต...เธอไหวแน่นะ ให้ฉันอยู่ห่างๆเธอก่อนดีมั้ย อยากกินอะไรเย็นๆหรือเปล่าฉันไม่ซื้อมาให้ได้นะ”
“คิม...เดี๋ยว...” ลลิตเงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ ผมเพร่ากระเซอะกระเซิงหนักกว่าเดิม “ทำไม...ฉันไม่ได้ยินเสียงความคิดนายเลย”
“เอ๋...หมายความว่ายังไง...” คิมถามอย่างแปลกใจ
“ฉันอ่านใจนายไม่ได้น่ะสิ”
“เธอขอพรให้ตัวเองอ่านใจได้หรอ” หน้าของคิมแสดงอาการตกใจแบบสุดๆ
แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็พูดขึ้น “นั่นก็คงเป็นเพราะการที่เธอทำอะไรแล้วไม่ปรึกษาฉันก่อนก็ได้มั้ง ก็ให้เธออยู่ในสภาพนี้ ลลิตา” มันเป็นเสียงถากถางแบบที่ลลิตรอคอยอยู่นาน เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่ปรากฏตัวที่มาพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันสะใจแบบที่ลลิตแทบกระโดดเตะทันทีที่เห็น
กวีกำลังเลียไอศกรีมอยู่ในมือ แล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้เธอแบบกวนโอ๊ย
ความคิดเห็น