คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ChapT13 ("Nothing missing here.") ; นครแห่งฝน
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่นบ้านกว่าครั้งก่อนๆ ที่สองพี่น้องทำได้ก็แค่ขังตัวเองอยู่ในห้อง รอให้การวิวาทอันรุนแรงสิ้นสุดลง แอนในวัย 12 ปี กำลังซุกใบหน้าลงบนเข่า ปล่อยให้น้ำตาที่ไหลออกมาไหลไปนองตรงเข่าอย่างเศร้าใจ จิตติวัย 14 ปีทำได้แต่นั่งอยู่เฉยๆอย่าทำอะไรไม่ได้
ทั้งสองเข้ามาหลบอยู่ในห้องของแอนอย่างเศร้าหมอง จิตติอยากจะออกไปนอกห้องแล้วห้ามการทะเลาะอันรุนแรงนี่เสียที แต่เขาก็ไม่เคยทำแบบนั้นได้เลย ล่าสุดเขาเพิ่งโดนพ่อตัวเองทำร้ายจนต้นแขนบวมและช้ำ เขาขังตัวเองอยู่ในห้องกับน้องสาวมานานสองชั่วโมงกว่าๆ แต่แอนก็ดูไม่มีทีท่าที่จะหยุดร้อง จิตติรู้สึกอยากจะร้องให้ แต่เมื่อเพียงเขาคิดว่าถ้าเขาร้องให้ไปอีกคน คงไม่มีใครอยู่ปลอบแอนเป็นแน่
เสียงโครมครามดังอีกครั้ง ทำเอาจิตติเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เขามักเห็นความรุนแรงแบบนี้มาตั้งแต่เกิด และเขาไม่เคยรู้สึกชินกับมันสักครั้ง กับพ่อที่อารมณ์ร้ายและบ้างาน หรือกับแม่ที่เป็นคนเงียบๆและเก็บตัว จิตติไม่สนิทกับใครทั้งนั้น ที่เขารู้สึกว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวที่รู้สึกสนิทจริงๆก็คงจะมีแต่แอน
“อย่าร้องให้เลยนะ จะกินอะไรมั้ยเดี๋ยวลงไปซื้อให้” จิตติพูด เป็นสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้ในสถานการณ์แบบนี้
“ทำไม...พ่อแม่ต้องทะเลาะกันอยู่เรื่อยเลย” แอนถามเสียงสั่น ใบหน้าของแอนตอนเด็กๆนั้นน่ารักและไร้เดียงสา จิตติกะพริบตาปริบๆกับคำถามที่เขาไม่รู้คำตอบเช่นกัน
“ไม่รู้สิ แต่เดี๋ยวก็ดีกันเหมือนทุกทีแหละ...เดี๋ยวพี่ขอออกไปดูนะ” จิตติพูด ลูบหัวแอนและลุกขึ้น
“อย่า...อย่าไปเลย เดี๋ยวก็โดนพ่อตีหรอก”
จิตติลูบที่ต้นแขน มันบวมจนตอนนี้เป็นสีม่วง จิตติรู้สึกโหวงๆในใจ อยากจะล้มลงบนพื้นห้องแล้วร้องให้ ในสมองมีเพียงคำถามเดียวว่าทำไมคนเป็นพ่อถึงทำร้ายลูกตัวเองได้ลง แต่เพียงแค่มองหน้าแอนเขาก็หันหลังให้เธอและออกจากห้องไป
เสียงโครมครามยังคงดังอยู่ มันคลอไปกับเสียงโหวกเหวกของการวิวาท พ่อยังคงด่าทอแม่ด้วยคำหยาบที่ไม่ลื่นหู ส่วนแม่ที่เคยเป็นคนเงียบๆและทุกคำพูดของเธอก็ช่างทำร้ายจิตใจได้ดีเหลือเกิน ไม่แปลกที่ทั้งคู่จะลงเอยด้วยการทะเลาะวิวาทมาตลอด จิตติหยุดฟังอยู่หน้าห้องตัวเอง มองลงไปที่บันไดเห็นพ่อนั่งกุมขมับ ในขณะที่แม่กำลังร้องให้อย่างเอาเป็นเอาตาย ข้าวของกระจายเกลื่อนกลาด จิตติไม่อยากเดินผ่านเส้นทางนี้เลย แต่เขาก็เดินไปอย่างเงียบๆและระวัง
“ขอโทษนะครับพ่อ” จิตติในวัยเด็กกล่าวอย่างสุภาพ พ่อชำเลืองมามองเขา มันช่างเป็นสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น จิตติหัวใจตกวูบเมื่อมองเข้าไปในแววตาดุร้ายนั้น เขาตัวสั่น หวาดกลัว หลับตาปี๋เพราะรู้ว่าตัวเองอาจจะโดนตบก็ได้
“จะไปไหน” เสียงเรียบๆนั้นพูด จิตติลืมตามองแล้วตอบ
“ไปข้างนอกครับ”
“แล้วแอนล่ะ จะทิ้งน้องไปไหนอีก ทำไมไม่พาไปด้วย” จิตติก้มหน้า พยายามกลั้นน้ำตา
“ก็...แอน ไม่กล้าออกมา”
“รีบๆไปซะ กลับไปดูแลน้องด้วย พ่อยังไม่ได้พูดกับแกเรื่องที่โดดเรียนพิเศษไปเล่นบาสบ้าบอ...” เสียงนั้นพูดไล่หลัง มันทำให้จิตติแทบไม่มีแรงเดิน เขากัดริมฝีปากของตัวเองเสียจนแดง และเดินออกจากบ้านไป แต่ก่อนที่เขาจะก้าวพ้นธรณีประตู เสียงของแม่ก็พูดขึ้น
“ฉันไม่ได้หวังอะไรกับเด็กเกเรแบบนี้หรอก คุณไม่จำเป็นต้องไปพาลใส่ลูกก็ได้”
ตอนนั้นเสียงทะเลาะวิวาทดังไล่หลังของจิตติอย่างรุนแรง จิตติทำได้เพียงวิ่งหนีไปให้ห่างจากบ้านหลังที่เขาแสนรังเกียจ กลั้นน้ำตาเอาไว้และวิ่งออกไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
มาหยุดอยู่ที่ลานกว้างที่เต็มไปด้วยฝุ่น มันมีเครื่องเล่นเก่าๆตั้งเอาไว้ ณ เวลาสี่โมงเย็นแบบนี้มันเต็มไปด้วยเด็กมากมาย จิตติเดินไปยังชิงช้าที่ปลอดคน เขาทิ้งตัวลงนั่งและก้มหน้า น้ำตาเป็นสิ่งแรกที่ไหลออกมา มันตกลงบนหน้าตักหลายต่อหลายหยด จิตติรู้สึกหนาว เจ็บปวด และรู้สึกผิด เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรทิ้งแอนมาในสถานการณ์แบบนี้ แต่เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาไม่อาจเข้มแข็งพอที่จะเดินกลับไปมองหน้าพ่อหรือแม่ที่เขาหวาดกลัว เขาร้องให้ อาจจะนานสักห้านาทีแล้วก็ได้ แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเลย
“นี่...เป็นอะไร” เสียงของเด็กผู้หญิงบางคนเรียกให้เขาเงยหน้าขึ้น เธอเป็นเด็กในหมู่บ้านที่น่าจะอายุน้อยกว่าจิตติสักหนึ่งปี เขาคุ้นหน้าเธอเพราะเห็นเธอบ่อย และเธอก็หน้าตาน่ารักด้วย
“เปล่า...” จิตติตอบแล้วปาดน้ำตา เขาไม่อยากจะร้องให้ต่อหน้าผู้หญิง ยิ่งกับคนที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปีด้วยแล้ว
“โดนเพื่อนแกล้งหรอ เล่นกับเราก็ได้นะ” เธอบอก ดื่มน้ำอัดลมในมือ
“เปล่า...” จิตติลุกขึ้น หันหลังให้เธอและไม่กล้ามองหน้า
“พ่อแม่ทะเลาะกันหรอ...พาน้องมาเล่นด้วยกันก่อนก็ได้นะ”
คำพูดนั้นทำเอาหัวใจจิตติตกลงที่พื้น เขาร้องให้โฮออกมาแล้วหันไปมองหน้าเธอแล้วสะอื้น
“เราชื่อ หนูลิต จริงๆไม่ชอบชื่อนี้หรอก แต่พี่ชื่อจิตติใช่มั้ย เรามองเธอมานานแล้วล่ะพวกเธอเล่นกันอยู่สองคน ทำไมไม่มาเล่นกับเด็กที่หมู่บ้านบ้างเลย ลองขอพ่อแม่มาเล่นดูสิ”
“ฉัน...ฉัน...” จิตติไม่รู้จะพูดอะไร เขาอ้าปากพะงาบๆและวิ่งหนีหายไป เด็กสาวน่ารักคนนั้นมองเขาอย่างงุนงง
จิตติกลับมาที่บ้านของตัวเองพร้อมกับไอศกรีมของแท่งที่กำลังละลาย บ้านเงียบสงัดผิดปกติ เมื่อมองเข้าไปในประตูบ้าน เขาเห็นแอน พ่อ และแม่กำลังนั่งคุยกันอยู่อย่างห่างๆ แอนนั่งกอดเข่ากับพื้นและยังคงร้องให้ พ่อนั่งก้มหน้าอยู่ตรงบันได ส่วนแม่ยืนกอดอกพิงผนังบ้าน จิตติย่องเข้าไปอย่างระมัดระวัง และก้มตัวลงนั่งข้างๆแอน
“แอน...ไอติมมั้ย” เขาสะกิดและปาดน้ำตาตัวเอง
“อือ” แอนครางตอบ เงยหน้าขึ้นมารับไอศกรีมของจิตติ แกะมันออกจากห่อและกิน
“จิต พ่อกับแม่มีอะไรจะพูดกับลูกหน่อย พาแอนขึ้นไปในห้องก่อนไป” แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่เครียดและเหนื่อยล้า จิตติจูงแอนขึ้นไปบนห้อง แง้มประตูห้องของแอนให้เปิดออกและส่งเธอเข้าไป
ชั่ววินาทีนึงแอนยังรั้งจิตติไว้ไม่ให้ปิดประตู แต่จิตติรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อส่งยิ้มให้เธอครั้งนึงแล้วปิดประตูค่อยๆ ก่อนที่จะเดินลงมาที่โถงของบ้าน
มันเป็นการสนทนาที่เงียบสงัด และหดหู่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งนาที พ่อจึงเปิดปากออกมาด้วยเสียงที่เครียดเกร็ง “พ่อกับแม่จะแยกกันอยู่แล้วนะ”
ราวกับมีอะไรแทงเข้าที่หัวใจอย่างรุนแรง จิตติเอนตัวไปพึงราวบันได เขารู้สึกเข่าอ่อนเสียจนจะล้มลงกับพื้น ซวนเซและต้องทรุดนั่งลงตรงขั้นบันไดอย่างหมดท่า หัวใจเต้นแผ่วๆอย่างไร้กำลัง รับรู้เพียงว่าทุกส่วนในร่างกายตื้อชา น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เขารู้มาตลอดว่าอาจจะต้องเจอการวิวาทแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะมาถึง วันที่พ่อและแม่จะต้องแยกทาง และอาจทำให้เขากับแอนต้องจากกันไปด้วย จิตติไม่รู้จะตอบอะไรออกไป ตอนนี้เขาคงเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในโลก คนที่ไม่มีครอบครัว และกลายเป็นปมด้อยสำคัญ
“จิตต้องเลือกแล้วนะว่าจะอยู่กับใคร แม่ไม่อยากคุยกับแอน เพราะแอนต้องเอาแต่ใจแน่ เลยถามลูกก่อน” แม่พูด พยายามปั้นน้ำเสียงให้อ่อนโยน แต่จิตติรังเกียจน้ำเสียงนั้นเป็นที่สุดในเวลานี้
“แปลว่า...ผมต้องแยกกับแอนใช่มั้ยครับ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่เป็นอะไรหรอก พ่อแม่จะย้ายลูกๆไปอยู่โรงเรียวเดียวกัน แบบนี้ดีมั้ย” แม่พูด
จิตติสะอื้นและไม่ตอบอะไร เขาก้มหน้าร้องให้โฮ
“ลูกอยากจะอยู่กับใครละจิตติ” แม่ถามซ้ำอีกครั้ง มีเพียงเสียงสะอื้นที่ตอบกลับมา
“ผม...ผมจะอยู่กับแอน” แล้วเขาก็เลือก จิตติเลือกสมาชิกเพียงคนเดียวในครอบครัวที่เขาผูกพัน เขาแทบพร้อมจะแลกพ่อและแม่แค่กับแอนคนเดียว เขาพร้อมที่จะเสียพ่อแม่ที่ไม่เคยแสดงถึงความรักความอ่อนโยน เพื่อแลกกับน้องสาวที่ไร้เดียงสาและน่ารัก เธอเป็นเพียงเรี่ยวแรงเดียวที่ทำให้เขาทนอยู่ในครอบครัวนี้ได้ และถ้าไม่มีเธอ ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะไร้ความหมาย
“ไม่ได้ ลูกต้องไปกับพ่อหรือไม่ก็แม่” พ่อยืนกรานเสียงขรึม
“ไม่เอา!” จิตติตวาดทั้งน้ำตา “ผมจะอยู่กับแอน ไม่ว่าพ่อกับแม่จะว่ายังไงก็ตาม!”
เสียงของจิตติดังลั่นอยู่ในห้องโถงสักพัก ก่อนที่พ่อจะเดินกระแทกเท้าเข้ามาบิดแขนเขา “งั้นก็ไปอยู่กับพ่อ ไม่ต้องเลือกแล้ว!”
จิตติดิ้นอย่างสุดตัว เขาทั้งถีบทั้งเตะ สะบัดมือพ่อออกจากแขนตัวเองราวกับว่ามันเป็นอะไรที่น่ารังเกียจ เขาไม่เคยเกลียดใครขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้พ่อแทบจะกลายเป็นคนที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตแล้ว “ปล่อย! ปล่อยผม!”
“เออ!” อีกฝ่ายทำตามแบบเลือดเย็น เขาผลักลูกชายตัวเองเองให้ล้มลงบนขั้นบันได จิตติล้มนอนลงตรงนั้นและสะอื้น เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
“ผมจะอยู่กับแอน! ผมไม่ปล่อยแอนให้ไปอยู่กับคนแบบพ่อหรอก!”
“งั้นแกก็มาอยู่กับฉัน แล้วให้แอนไปอยู่กับแม่แกนู่น!”
“ไม่! ผมจะอยู่กับแอน!”
“ลูก...” แม่ปรามอย่างอ่อนใจ “...พ่อกับแม่ต้องได้รับสิทธิในการเลี้ยงดูเท่าๆกันนะ จะมีใครได้ลูกไปทั้งสองคนไม่ได้!”
“พวกคุณมันเห็นแก่ตัว!” จิตติตวาด แล้วทันใดนั้น ก่อนที่เขาจะถูกพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆกระทืบ แอนก็โผลงประตูออกมาจากห้องและประคองร่างของจิตติเอาไว้อย่างหวงแหน
“อย่า....อย่าทำอะไรพี่จิตนะ”
“แอน ลูกมาก็ดีแล้ว...ลูกอยากอยู่กับใคร พ่อหรือแม่” แม่ถามอย่างสุภาพ มองเข้าไปในแววตารื้นน้ำตาของแอน
“ไม่...หนูไม่อยู่กับพวกคุณ หนูอยู่กับพี่จิตสองคนได้” แอนพูดอย่างกล้าหาญ ณ วินาทีนั้นจิตติแย้มรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก เขาโอบแอนไว้ในอ้อมแขนแล้วหันไปพูดกับพ่อ
“นะครับ...ให้เราอยู่กันสองคน พวกคุณก็ส่งเงินเลี้ยงดูเรามาก็ได้ อย่าแยกเราเลย เราอยู่กันได้ ผมดูแลแอนเอง ผมสัญญานะ”
“แกจะบ้าหรอ! พูดน่ะมันง่าย! แต่เด็กอย่างแกอยู่กันได้ไม่เกินสามวันหรอก อย่าเอาเชื้อโง่ของแม่แกมาให้ฉันดูได้มั้ยไอ้จิต!”
“นี่คุณ!”
“ใครกันแน่ละที่โง่! คุณกำลังเสียพวกเราทั้งสองคนไป คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรอ!”
จิตติถูกตบด้วยหลังมือ เขาก้มหน้าลงกับพื้นและสลบไปโดยมีแอนกรีดร้องเสียงดัง
“เมื่อไหร่คุณจะหยุดทำแบบนั้นกับลูกสักที!” แม่เข้ามาทุบที่หน้าอกพ่ออย่างบ้าคลั่ง แอนกรีดร้อง
“เออ! งั้นก็อยู่กันไปสองคนเนี่ยแหละ ไม่เอาด้วยแล้ว! ทั้งนังนี่ ทั้งเด็กพวกนี้!” แล้วปีศาจร้ายเพียงตัวเดียวที่จิตติเกลียดแค้นก็เดินออกไปจากบ้าน ทิ้งคำสุดท้ายนั้นไว้ในบ้านหลังนี้ที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนเจ็บปวด
“แอน...พาพี่ขึ้นไปนอนก่อนไป เดี๋ยวแม่เคลียร์เอง” เด็กสาวสะอื้นอีกครั้งและทั้งสองก็พาจิตติขึ้นไปอยู่บนห้องนอน และปิดประตูปล่อยให้เขาหลับไปเนิ่นนาน
ตื่นขึ้นมาตอนเช้ากับบ้านที่แสนว่างเปล่าและเจ็บปวด จิตติปวดร้าวไปทั้งตัว แต่เขาก็ลากสังขารลงมาโถงบ้าน มันถูกเก็บกวาดจนกลับเป็นอย่างเดิมแล้ว เขามองซ้ายมองขวาและไม่เห็นพ่อหรือแม่ ไม่สิ...ตอนนี้เขาไม่เรียกสองคนนั้นด้วยคำพูดนั้นแล้ว ที่เห็นก็มีเพียงแอนที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว จิตติเดินเข้าไปหาและพูดขึ้น “ทำอะไรอยู่หรอ”
“อาหารเช้าไงคะ” แอนยิ้มและไปง่วนอยู่กับกระทะที่มีแต่ไข่ดาว
“แล้วพ่อ...แม่ล่ะ” จิตติพูดอย่างกล้ำกลืน
“ไปแล้วละ...เขาบอกว่าคุณน้าจะมาดูแล เดี๋ยวก็คงมาแล้ว พ่อทิ้งเงินไว้ตรงนู้นน่ะพี่จิต”
จิตติชำเลืองไปตรงโต๊ะอาหาร เขาเห็นซองที่ใส่เงินวางอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกรังเกียจราวกับว่ามันเป็นขยะเปียกน้ำ จิตติแทบไม่อยากแตะต้องเงินจากคนๆนั้น
และวันเวลาที่มีกันแค่สองคนก็ผ่านไปอย่างช้าๆและทรมาน แรกๆมันสบายที่มีคุณน้ามาดูแล แต่เธอมักละเลยและไม่สนใจ จนกระทั่งอาทิตย์นึงผ่านไป เธอก็ไม่อยู่แล้ว ทิ้งให้ทั้งสองอยู่กันในบ้างหลังเดิมพร้อมกับเงินที่จิตติไม่รู้จะใช้ไปทำอะไร
การเป็นอยู่ของทั้งสองดีขึ้นหน่อยเมื่อแอนเรียนรู้ที่จะทำอาหารและงานบ้าน ส่วนจิตติก็เริ่มแบ่งเวลาและตั้งใจเรียนอย่างหนัก เขายกเลิกทุกคอสเรียนพิเศษเพื่อจะได้กลับบ้านมาพร้อมกับแอน ทั้งสองมีความสุขกันได้สักพัก และทุกอย่างก็เริ่มชินจนกลายเป็นกิจวัตร แรกๆมันยากลำบากแต่หลังๆมันก็แค่ต้องพยายามมากกว่าเด็กคนอื่นนิดหน่อย บางเดือนพ่อแม่ก็จะมาเยี่ยม แต่จิตติจะใช้จังหวะนั้นหนีออกไปจากบ้าน รอจนมั่นใจว่าสองคนนั้นกลับไปแล้วแล้วจึงค่อยกลับไป แต่แอนก็มักจะถูกเอาตัวไปอยู่ด้วยสองสามสัปดาห์ มันเป็นช่วงเวลาที่จิตติทรมานและโดดเดี่ยว ทั้งสองมีกันและกัน จิตติเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่เคยมีพ่อแม่ เขารู้สึกว่าชีวิตที่มีแค่แอนแบบนี้ดีอยู่แล้ว
และในวันที่ฝนพรำ จิตติกำลังมองออกไปจากร้านพิซซ่าเพื่อรอคอยแอน มันเป็นวันเกิดของเขา เพื่อนๆมาให้ของขวัญกันนิดหน่อยและกลับไปหมดแล้ว ตรงหน้าจึงเหลือเพียงพิซซ่าถาดเดียวที่เขายังไม่ได้แตะต้องอะไร จนกระทั่งแอนก็มาในสภาพเปียกโชก “โทษทีพี่จิต ฝนตกหนักมากเลย ขอโทษที่มาช้านะคะ”
แอนวางกระเป๋านักเรียนลงและนั่งลงตรงข้ามพี่ชาย เธอหัวเราะแล้วพูด “สุขสันต์วันเกิดนะคะ นี่ของขวัญ!” แอนยกลูกบาสหนักๆขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าจิตติ พี่ชายตาค้างและรับมันมาด้วยความตื้นตัน
“เฮ่ย...ไปเอามาจากไหน ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย แล้วรู้ได้ไงว่าต้องซื้อรุ่นนี้” คำถามถูกถามอย่างรัวเร็ว แอนยิ้มหวานแล้วหัวเราะในลำคอ เธอไม่ตอบไปว่าเธอพยายามขนาดไหนที่ต้องไปตีสนิทเพื่อนของพี่ชายตัวเอง ที่จะถามว่าจิตติกำลังต้องการอะไรในวันเกิด
“อาศัยความพยายามนิดหน่อยน่ะค่ะ อิอิ”
“ขอบใจมากนะแอน...” จิตติมองดูลูกบาสนั้นราวกับว่ามันเป็นของล้ำค่า วางมันลงข้างๆตัวและเริ่มตักพิซซ่าให้น้องสาว
“สุดสัปดาห์นี้ตั้งใจแข่งนะคะ” แอนพูดตอนตักพิซซ่าเข้าปาก
“ใครบอกเรื่องการแข่งละ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แอนรู้มาพอดี”
เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงสี่ปี แอนและจิตติเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมปลายคนละโรงเรียน จิตติต้องไปอยู่ที่โรงเรียนมัธยมชายล้วน แต่แอนต้องไปอยู่โรงเรียนเอกชนนานาชาติ การดำเนินชีวิตเริ่มแปลกไป จิตติกังวลใจเล็กน้อยเกี่ยวกับสภาพวัยรุ่นของแอน กลัวว่าเธอจะมีแฟนและทำให้ความเป็นพี่น้องไม่แนบแน่นเหมือก่อน แต่ในระหว่างที่จิตติกำลังอ่านหนังสือการ์ตูนในคืนวันหนึ่ง แอนก็เปิดประตูห้องของเขามาด้วยสภาพน้ำตานองหน้า ตัวสั่นงันงกและเข้ามากอดจิตติอย่างแรง ในคืนนั้นจิตติได้รับฟังเรื่องที่น่ากลัวของแอน แอนเล่าว่ามีรุ่นพี่ในโรงเรียนมาชอบแอน แต่เมื่อแอนปฏิเสธเขาก็ไปประโดดตึกจนตกมาอาการสาหัส จิตติไม่ได้สนใจว่าใครจะตายหรือเป็นอะไร แต่เขาสนใจเพียงแค่แอนจะรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มั้ย แอนจะถูกทำร้ายมั้ย เขามองเห็นแค่นี้ และจิตติก็ยังได้รับฟังเรื่องราวคล้ายๆกันจากแอนถึงสามครั้ง จิตติจึงแนะนำให้แอนอยู่กับเพื่อนผู้หญิงและคบแต่เพื่อนในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
แต่ทุกอย่างก็ดูคล้ายจะผิดพลาดไปหมด เมื่อวันหนึ่งเขาได้รับฟังจากปากแอนว่า มีเพื่อนในอินเตอร์เน็ตขู่กรรโชกเธอด้วยถ้อยคำน่ากลัว จิตติมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดกับแอนว่า “ไม่ต้องกลัว....พี่ไม่ยอมให้มันทำอะไรแอนหรอก”
แล้วภาพทุกอย่างก็มลายกลายเป็นเพียงสีดำ
ถูกปลุกด้วยเปลวไฟ และเสียงของใครบางคนที่กระซิบข้างหู จิตติเงยหน้าอย่างุนงงและมองดูสภาพของชั้นเก้าที่กำลังท่วมด้วยเปลวไฟ มันส่งเสียงเปรี๊ยะๆอยู่ข้างหู
“พี่จิต ไม่เป็นอะไรนะครับ” เสียงของคิมหันต์ดังขึ้น ปลุกให้จิตติตื่นจากห้วงความคิด เขาไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด เหตุการณ์เก่าๆถึงย้อนเข้ามาเป็นความฝัน เขารู้สึกขมปากแปลกๆกับสิ่งที่ได้เห็น เรื่องราวของอดีตพ่อแม่ของเขา
จิตติพยุงตัวลุกขึ้น โชคดีที่เขาไม่เป็นอะไร และมีคนมาปลุกได้ทัน ไม่เช่นนั้นเขาก็คงตายอยู่ในกองเพลิงนี่ไปแล้ว “ไม่เป็นไรขอบใจมาก”
“รีบๆออกไปเถอะครับ ทางหนีไฟยังไม่ถูกไฟปิดทางไว้” คิมหันต์เร่งอย่างร้อนรน จิตติลุกขึ้นยืนๆพร้อมๆกับเขาและทั้งคู่ก็เดินอ้อมกองไฟที่ปะทุข้างๆไปยังทางเดินที่กำลังลุกเป็นไฟ
“พวกแมลงละ” จิตติถาม
“ไม่รู้ ผมขึ้นมาก็มองไม่เห็นแล้ว”
จิตติมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง หรือว่าพวกมันจะหลบหนีจากเปลวไฟไปแล้วตอนที่เขาสลบ แต่ทันใดนั้นเองฝูงแมลงวันก็บินออกมาจากตู้ที่ติดไฟและพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่อย่างรุนแรง
ทั้งคิมและจิตติหมอบลงกับพื้น คิมร้องลั่นแต่จิตติทำได้เพียงเอามือปิดทุกส่วนของร่างกาย คิมกำลังพยายามเอามือบ่ายไปมาเพื่อต่อสู้กับฝูงแมลงวัน “เอามือปิดหูไว้!” จิตติตะโกนสั่ง
แต่เหมือนมันจะสายไปแล้วเมื่อแมลงวันตัวหนึ่ง พุ่งเข้ามาในรูหูของคิมหันต์ เขารู้สึกเจ็บแปล๊บชั่ววินาทีหนึ่งที่ฟันแหลมๆของมันกัดที่ผนังรูหู ก่อนที่จะรู้ตัวว่ามันได้มุดหายเข้าไปในนั้นแล้ว คิมไม่ได้โหวกเหวกหรือกรีดร้องออกมา ที่เขาทำก็แค่นิ่งอึ้งและคลานต่ำต่อไป ทั้งสองรอดผ่านฝูงแมลงวันที่บินอย่างบ้าคลั่ง ไปถึงบันไดหนีไฟที่ปลอดคน
“เป็นอะไรหรือเปล่า” จิตติมองคิมอย่างเป็นห่วง แต่คิมไม่ได้ตอบอะไร เขากะพริบตาแบบงงๆและพยักหน้า คิมไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรดิ้นอยู่ในหูเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแมลงวันตัวนั้นบินออกจากหูเขาไปหรือยัง แต่ที่รู้ๆคิมไม่สบายใจอย่างมาก “ไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“ครับ...ไม่เป็นอะไรครับ” คิมตอบอย่างมั่นใจและทั้งคู่ก็วิ่งลงบันไดหนีไฟไปอย่างรวดเร็ว
“คิม ขอบใจที่มาช่วยนะ” จิตติพูดขึ้นระหว่างที่ทั้งสองยังคงวิ่งลงบันไดไป และมีเปลวไฟปะทุอยู่เหนือหัว
“ไม่เป็นไรครับ ความผิดผมเองแหละไม่น่าพาแอนมาที่นี่เลย” คิมตอบรับอย่างสุภาพ
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วงแอน พี่ไม่ค่อยชอบให้ผู้ชายที่ไหนมาสนิทกับแอนหรอก แต่ถ้าเป็นคิมก็อีกเรื่อง”
คิมหันต์เกือบจะสะดุดขั้นบันไดกับคำพูดนี้ เขาหัวเราะแห้งๆออกมา “อะไรนะครับ! พี่คิดว่าผมชอบแอนหรอ”
“เปล่า...แต่แอนน่ะชอบคิม”
“ฮะ!” คราวนี้คิมหันต์หยุดวิ่งแบบสิ้นเชิง เขาจ้องหน้าจิตติแบบไม่อยากเชื่อสายตา “พี่คิดว่างั้นหรอ”
“ใช่...พี่รู้จักกับแอนมาตั้งแต่เกิด ต้องดูออกอยู่แล้ว แต่พี่ไว้ใจนายนะ”
“เดี๋ยวพี่จิต! ทำไมถึงพูดแบบนี้กับผมล่ะ” คิมหันต์คว้าข้อมือของจิตติเอาไว้ สัมผัสกับผ้ารัดข้อมือที่เปียกเหงื่อ
“คิมเป็นคนดีพี่ดูออก” จิตติยิ้มให้เขาครั้งนึงและหันมาพูดอีกครั้ง “อย่าทำให้แอนเสียใจนะ”
แล้วจิตติก็วิ่งลงไปล่วงหน้าคิม ปล่อยให้เขายืนนิ่งอย่างงุนงงและตื้อชา
มาหยุดอยู่ที่ล็อบบี้ที่วุ่นวาย พนักงานดับเพลิงและพลเรือนมากมายวิ่งขวักไขว่กันจนอึดอัด จิตติทำได้แค่ชะเง้อชะแง้มองหาแอน และหัวใจเขาก็ดีใจอย่างลิงโลดเมื่อมองเห็นแอนโบกมือเรียกอยู่ไกลๆ ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าถึงตัวแอน ทั้งคู่สวมกอดกันอย่างแนบแน่น แอนหัวเราะออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “พี่จิต นึกว่าจะเป็นอะไรไปแล้ว”
“อื้อ...เรื่องนี้ต้องขอบคุณคิมเขาละ”
แอนหันไปมองคิมที่ตามมาติดๆ เธอยิ้มหวานให้ ส่วนคิมก้มหัวแล้วน้อมรับเบาๆ
“คิม!” เสียงหนึ่งเรียกให้คิมหันควับทันที ลลิต กวี และผู้หญิงอีกคนที่คิมไม่รู้จักกำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนรน ลลิตเข้ามาถึงตัวคิมคนแรกแล้วถามทันที “เกิดอะไรขึ้นคิม เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่...ไม่ได้เป็นอะไร...”
“สบายดีแน่นะ หน้านายดูซีดๆ”
คิมพยักหน้ายืนกราน เขามองเห็นเมเดียที่ย่างก้าวอย่างสุขุมเข้ามาและผ่านตัวเขาไป เธอหยิบเอากางเขนที่ห้อยคออยู่แบบเดียวกับที่กวีเคยใช้ออกมาถือไว้ หลับตาลงและหยุดอยู่ตรงหน้าของแอน
ทันใดนั้นดาบสีเงินแวววาวราวแสงจันทร์ก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเมเดีย หญิงสาวตวัดและจ่อมันเข้าที่ลำคอของแอน
ถ้อยคำอันเปี่ยมพลังถูกป่าวประกาศจากสตรีผู้ทรงดาบ
“เผยตัวออกมาซะ นังปีศาจ”
ความคิดเห็น