คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ChapT12 ("Lord of Flies") ; นครแห่งฝน
เท้ายังคงก้าวไปอย่างหน้าอย่างรวดเร็วข้ามผ่านพื้นหินที่แตกละเอียดยับเยิน ท้องฟ้าเบื้องบนดูคล้ายจะกับจะแปรเปลี่ยนเป็นเวลากลางวันที่มีแสงอาทิตย์สีแดงร้อนระอุฉายลงมาตลอดเวลา ลลิตเริ่มเหงื่อออกด้วยความอบอ้าว ในมือยังคงจูงกวีที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีและวิ่งหนีจากใครบางคนที่ปรากฏตัวขึ้นไปให้ไกลที่สุดอย่างไม่คิดจะหันไปมอง
ทันใดนั้นเอง ลลิตก็ถึงกับสะดุ้งสุดตัว เสียงระฆังดังเหง่งหง่างอยู่ในหู มันตีบอกเวลาอยู่ราวสิบวินาที และเป็นช่วงเวลาที่ภาพระหว่างความจริงกับลวงตาทับซ้อนกันไปมา ลลิตจำได้ว่าเห็นภาพเบื้องหน้าสั่นไหวราวกับทีวีที่มีคลื่นแทรก บางทีก็แปรเปลี่ยนเป็นภาพของนรก บางทีก็กลับมาที่สวนที่ยังมีฝนตก แต่ภาพที่เธอเห็นนั้นช่างมีองค์ประกอบที่เหมือนกันแทบทุกอย่าง
“ภาพกำลังทับซ้อน...” กวีพูอย่างยากลำบาก “เสียงระฆังทำให้ยัยนั่นเสียสมาธิ”
ไม่ว่าด้วยอะไรก็ไม่ทราบ สิ่งที่ลลิตได้เห็นทำให้เธอเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่ามีโลกใบอื่นทับซ้อนอยู่กับโลกแห่งความจริงตลอดเวลา พื้นดินที่เธอเหยียบอยู่เป็นได้ทั้งโลกและนรก
เสียงนกกาบนท้องฟ้าดังขึ้นทำให้ลลิตขนลุกเกรียว พวกมันบินหนีมาจากทางซ้ายอย่างตื่นกลัว ลลิตเอะใจว่าพวกมันคงตกใจเสียงระฆังและนั่นทำให้เธอนึกถึงโบสถ์
จริงสิ! กวีบอกว่าจะไปโบสถ์ด้วยนี่นา แปลว่าแถวๆนี้ต้องมีโบสถ์
ลลิตเลี้ยวซ้ายตรงพุ่มไม้ทันที เธอไม่แน่ใจว่าทางที่เธอวิ่งมาจะพาเธอไปพบกับอะไร แต่แสงสว่างของดวงอาทิตย์สีแดงก็ทำให้ลลิตรู้ว่าเธอได้ออกมาจากร่มไม้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอเห็นเพียงเส้นทางสู่โบสถ์ที่ผุพังตรงหน้า
สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับโบราณสถานที่ลลิตเคยเห็นตามหนังสือประวัติศาสตร์ เสาทุกต้นหักพังและโค่นล้มเสียจนหมด บางส่วนก็ถูกวัลย์สีดำเลื้อเกาะ หลังคาหน้าจั่วของวิหารก็แตกหักและพังทลาย มันเอียงกระเท่เร่เสียจนเผยให้แสงบางส่วนสาดเข้าไปในพื้นหินอ่อนข้างใน
ลลิตหอบหายใจอีกทีและพยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นแค่ภาพลวงตา เธอจูงกวีเข้าไปในโบสต์แห่งนั้นอย่างยากลำบาก และพบเข้ากับเทวรูปที่แสนจะสยดสยอง ในซากของโบสต์สุดโถงทางเดินที่ควรจะเป็นที่ตั้งของเทวรูปพระเยซูตรึงกางเขน แต่ตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยเทวรูปของซาตานในสภาพเปลือยเปล่า เผยให้เห็นผิวหนังที่แนบติดกับซี่โครง หน้าตาของมันช่างน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน ทั้งดวงตาที่ดุดันราวกับสิงโต ปากที่อ้ากว้างเผยให้เห็นฟันซี่แหลมเหมือนฉลาม จมูกยาวงุ้มน่าเกลียด และปีกค้างคาวที่แผสยายออกจนเกือบคับวิหาร
แสงอาทิตย์ร้อนแรงจากรูโหว่บนหลังคาวิหาร ส่องมาสะท้อนกับรูปปั้นซาตานราวกับเป็นสปอร์ตไลท์เชิญชวนให้มอง ลลิตมองซ้ายมองขวาอย่างแคงใจ หวังอย่างยิ่งว่าคงไม่มีใครตามเธอมา แต่ก็ต้องผิดหวังอย่างที่สุดเมื่อเสียงเสียดสีของบานประตูวิหารดังขึ้น
แอ๊ด! เป็นช่วงเวลาที่ลลิตแทบจะหยุดหายใจ เธอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความกลัว แสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากข้างนอกของประตูวิหาร ทำให้เงาของใครบางคนที่ปรากฏตัวนั้นดูใหญ่โตเหมือนปีศาจร้าย
ในตอนแรกลลิตคิดว่าเธอมีปีกค้างคาว แต่เปล่า เธอปรากฏตัวพร้อมกับร่มสีดำสง่างาม ลลิตจ้องมองไปยังใบหน้าคมคายแบบชาวตะวันตกดวงตาสีฟ้า จมูกโด่งเป็นสัน ผิวขาวซีด ผมสีบลอนซ์หยักศกยาวถึงกลางหลัง บนศีรษะคาดไว้ด้วยที่คาดผมเป็นชายหยัก ชุดของเธอสะท้อนถึงความเป็นผู้ดีแบบร่วมสมัย มันเป็นชุดสีดำที่มีแขนเสื้อปล่องๆ สวมทับอีกทีด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดที่ตรงชายมีลายลูกไม้ติดไว้อย่างงดงาม ถ้าลลิตจำไม่ผิดมันคงจะเป็นชุดสาวรับใช้ (เมด) ที่พบได้ในการ์ตูนญี่ปุ่น ถ้าเธอไม่ได้เพิ่งกลับมาจากงานคลอสเพลย์ เธอก็ต้องสติไม่ดีเป็นแน่ที่ปรากฏตัวในชุดที่ดึงดูดความสนใจแบบนี้
“แหม...เจอกันอีกครั้งก็ทักทายด้วยการวิ่งหนีเลยแฮะ...” เธอทักทายด้วยเสียงหวานๆเป็นมิตร ตอนแรกลลิตเข้าใจว่าผู้หญิงตะวันตกแบบเธอจะพูดไทยไม่ได้ แต่เธอกลับพูดมันออกมาอย่างชัดแจ๋ว “เจ้าน้องชาย”
คำสุดท้ายดังก้องอยู่ในหัวของลลิต เธอรู้สึกว่าน้ำลายเหนียวจนหนืดคอ สีหน้าของกวีดูเคร่งเครียดและอีดโรย ลลิตไม่เคยเห็นเขาแสดงอาการแบบนี้มาก่อน เขาดูราวกับว่าอ่อนแอในดินแดนที่เรียกว่านรก
“ฉันต้องแนะนำตัวก่อนใช่มั้ย...อืมม์ สวัสดีเธอคนนั้นที่จูงน้องฉันมาน่ะ ไม่ว่าจะชื่ออะไรหรือเป็นใคร แต่เรารู้จักกันไว้น่าจะดีนะ ฉันคือพี่สาวของกวี...”
“นึกว่าเธอ...เธอตายไปแล้ว” กวีพูดเสียงแผ่ว สีหน้าเขาบอกถึงความตกใจและประเมิณสถานการณ์
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังนะ” เธอขยิบตาให้กวีครั้งนึงแล้วหันมามองหน้าลลิต “ ฉันชื่อ เมเดีย เซ็นต์เควอเรียล เป็นคนทรงแห่งตระกูลอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรม และเป็นผู้ที่ทำให้เธอมองเห็นนรกได้ยังไงละ” เมเดียพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่ารัก ลลิตรู้สึกว่าแม้หน้าตาของเมเดียจะดูไม่เหมือนกวีมากนัก แต่อะไรหลายๆอย่างก็ทำให้เธอรู้สึกว่าทั้งคู่นั้นเหมือนกันมากทีเดียว ทั้งคำพูดที่ทำให้คนฟังขนลุก ไปจนถึงนิสัยที่ชอบหรี่ตาลงเวลาขู่ มันทำให้เธอนึกถึงครั้งแรกที่พบกับกวี
“ปิดอาคมของเธอซะเมเดีย...” กวีกันฟันพูด “ไม่มีใครพิสมัยยมโลกแบบเธอหรอก”
เมเดียหัวเราะในลำคอ “อ้อ...ก็ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบนรก ก็เลยเปิดให้ดูไงจ๊ะ อ้อแล้วรู้อะไรมั้ย” เมเดียดีดนิ้วเปราะเดียว ทุกอย่างก็พลันกลับสู่ความปกติ โบสต์ที่หักพังแปรเปลี่ยนเป็นโบสต์เย็นๆที่สะอาดและปลอดคน ลลิตกลับมาได้ยินเสียงฝนตกอีกครั้ง “อย่าคิดว่าจะปิดฉันได้มิดเรื่องที่นายทำคัมถีร์หายไป”
“อ๋อ...รู้เรื่องแล้วสินะ แต่เดาว่าอย่างเธอคงไม่สนใจหรอกว่าคัมภีร์จะเป็นตายร้ายดียังไง” กวีสูดหายใจลึก ยืดตัวยืนให้ตรงอย่างเดิม “เพราะฉะนั้นบอกฉันมาตรงๆดีกว่า ว่ามาทำอะไรที่นี่”
“แหม...ฉันก็แค่อยากมาเยี่ยมน้อยชายสุดที่รักของตัวเองหน่อยไม่ได้หรือไง” เมเดียกอดอกและเดินเข้ามาใกล้ๆ เธอหยุดอยู่ตรงหน้าเขา วินาทีนั้นลลิตคิดว่าเธอจะตบหน้าเขาหรือเปล่า แต่สิ่งที่เมเดียทำคือเธอตะครุบกอดร่างของกวีอย่างแรง เธอส่งเสียงอู้อื้อเหมือนคนจะร้องให้แล้วสูดน้ำมูกอย่างแรง “ฉัน...ฉันคิดถึงเธอใจจะขาดรู้มั้ย ฉันนึกว่าเสียนายไปในกองเพลิงแล้วซะอีก...แล้วอีกอย่าง ทำไมต้องวิ่งหนีฉันด้วยเล่า...ฉันต้องวิ่งตามเธอมันเหนื่อยนะรู้มั้ย!”
กวีนิ่งค้างเหมือนเป็นต้นเสา เขาอ้าปากค้างและไม่แสดงอาการอะไรนอกจากนั้น ลลิตแอบขำในใจ “ก็...แล้วเธอจะทักทายฉันด้วยวิธีนั้นทำไมเล่า” กวีพูด
“แหม...ก็มันเป็นวิธีเดียวที่นายจะจำฉันได้นี่นา” เมเดียหัวเราะแบบเด็กไร้เดียงสา “ฉันยังจำได้นะ ตอนเด็กๆที่เราไปวิ่งเล่นในนรกกัน”
“อย่า...ยั่วฉัน....เมเดีย” กวีพูดอย่างสุขุม
“ตอนที่ฉันขังนายไว้ในเขาวงกต แล้วเปลี่ยนที่นั่นให้เป็นนรก...นายเลยเกลียดฉันตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา...” เมเดียยิ้ม แต่กวีนิ่วหน้านิ่ง “ฉันก็เลยทักทายกันด้วยวิธีเดิมๆ นายจะได้คิดถึงฉันไง ไม่ดีหรอ”
ลลิตถึงบางอ้อว่าเพราะเหตุใด กวีถึงดูตื่นกลัวตอนที่ทั้งคู่อยู่ในเขาวงกต เธอรู้สึกผิดอย่างแรงที่ชวนกวีไปนั่งคุยกันที่นั่น ถ้ารู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ เธอน่าจะหาที่คุยใหม่ “เอ่อ...ขอโทษนะคะ ฉันต้องแนะนำตัวหรือเปล่าคะเนี่ย”
เมเดียเลิกคิ้วตามเสียงของลลิต เธอเพ่งมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างฉงนสงสัย ก่อนที่ริมฝีปากจะแย้มรอยยิ้มน้อยๆและหัวเราะ “อีกแล้วนะกวี เธอนี่คบเพื่อนแปลกๆตลอดเลย”
เมเดียย่างกรายมาทางลลิต เธอเอานิ้วเรียวยาวของเธอยกปอยผมที่ตัดไม่เท่ากันของลลิตขึ้นมาพิจารณา ลลิตจำเป็นต้องเอนหัวออกห่างเพราะรู้สึกอึดอัด “หน้าตาน่ารักสมวัย ไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรก็น่ารักอยู่แล้ว ฉันรู้ว่าทรงผมแบบนั้นมีความหมายนะ เอ่อ...เธอชื่อ...”
“ลลิต มาจาก ลลิตาน่ะค่ะ” ลลิตตอบ
“อ้อ...ลลิตาใช่มั้ย ขอพูดกันแบบสาวๆนะ เธอจะซ่อนเสน่ห์ของตัวเองในทรงผมแบบนั้นไปทำไมกัน เธอสวยนะ แต่เธอพยายามไม่ทำตัวให้เด่นอยู่ใช่หรือเปล่า คนอื่นอาจจะมองไม่รู้ แต่ฉัน...ในฐานะคนที่ชอบแต่งตัวนะ เธอมันผ้าขี้ริ้วห่อทองดีๆนี่เอง” เมเดียจ้องมองลลิตเหมือนเป็นสิ่งของที่น่าสนใจ ลลิตยิ้มแหยๆแบบทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าจะขนลุกหรือดีใจดีที่คนตรงหน้าออกปากชมเธอ
“รู้จักคำนี้ด้วยหรอคะ นึกว่าคุณเป็นชาวต่างชาติแต่จะไม่รู้จักสำนวนไทย”
“อ้อ...ก็ไม่ทั้งหมดหรอก คำนั้นฉันจำไว้เรียกพวกมีดีแต่ไม่โชว์น่ะ ฉันเข้าใจถูกใช่มั้ย” เมเดียเดินอ้อมไปข้างหลังของลลิตและใช้มือหยิบผมรวบไว้ข้างหลัง “ลองมัดเป็นหางม้าก็น่ารักดีนะ”
“อะเอ๋...เดี๋ยวค่ะ อ...อย่าเพิ่งสิคะ”
“อย่าดิ้นน่า...มีตุ๊กตาน่ารักๆแต่ไม่ได้จับแต่งตัว ฉันเห็นแล้วขัดใจชะมัด” เมเดียพูดแล้วมัดผมลลิตให้เป็นหางม้า เธอพิจารณาตุ๊กตาตรงหน้าเธออย่างพอใจ “อืมม์ น่ารักขึ้นจริงๆด้วยแฮะ”
“ขะ...ขอบคุณค่ะ” ลลิตกล่าวขอบคุณอย่างเคอะเขิน
“แล้วจะบอกมาได้หรือยังว่ามีธุระอะไร” กวีตัดบทด้วยถ้อยคำเรียบๆ เมเดียหันไปมองหน้าเขาเหมือนกับว่าเขากำลังทำเสียเรื่อง
“ฉัน...มาตามรอยเจ้าชายน่ะ” เธอตอบ รอยยิ้มน้อยๆปรากฏบนมุมปาก
“เจ้าชายอะไรของเธอ...”
“นายอาจจะเคยได้ยินเรื่องของ ‘เบลเซบับ’ มาบ้างแล้วใช่มั้ย ปีศาจแห่งความตะกละ เจ้าชายแห่งยมโลก มนุษย์ขนานนามเขาหลายต่อหลายชื่อกันไป แต่ว่าฉันชอบอยู่ชื่อนึง นายทายได้มั้ยว่าชื่ออะไร”
“เจ้าชายแห่งหมู่แมลงวัน” กวีตอบอย่างครั่นคร้าม “อะไรที่ทำให้เธอคิดว่าเขาจะปรากฏตัวในดินแดนตะวันออกอันห่างไกลแบบนี้”
เมเดียหัวเราะในลำคอราวกับที่กวีถามนั้นเป็นคำถามโง่ๆ เธอมองออกไปยังแสงจันทรที่ฉายอยู่นอกโบสถ์ บรรยากาศเย็นลงเรื่อยๆ “ว่ากันว่าเจ้าชายจะปรากฏตัวพร้อมกับสายฝน และโรคระบาด” เมเดียพูดอย่างเลื่อยลอย “พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างหรือยัง”
น้ำลายในลำคอของลลิตหนืดเหนียว สมองของเธอตื้อชาไปชั่วขณะ ภาพหลายๆภาพฉายในหัวเธออย่างรวดเร็ว สายฝน แหล่งชุกชุมของฝูงแมลงวัน อหิวาตกโรคที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เพียงแค่คิดขนทั่วกายของเธอก็ลูกซู่
“เบลเซบับอยู่ในเมืองนี้”
“แอนรอตรงนี้นะ เดี๋ยวผมกลับไปช่วยจิตติเอง”
“ไม่ค่ะ ให้แอนไปด้วยเถอะ ยังไงก็พี่แอนนะคะ”
“แต่มันอันตรายนะแอน”
เสียงของทั้งสองคนดังสะท้อนอยู่ในล็อบบี้ของอพาร์ตเม้นต์เก่าๆ เป็นเวลาสองทุ่มกว่าๆแล้วสำหรับการเดทครั้งนี้ของแอน ซึ่งมันดึกและเลวร้ายกว่าที่เธอจิตนาการไว้มาก
“ไม่ได้แอน ผมพาแอนมาลำบากเยอะแล้ว มันเป็นความผิดผมเอง แอนก็เห็นแมลงวันพวกนั้นมันอันตรายขนาดไหน รอผมอยู่ที่นี่นะ” น้ำเสียงของคิมหันต์ ทำให้แอนลังเลใจชั่วขณะ เธอลดสายตาแล้วพนักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
คิมหันต์ไม่รอให้เสียเวลาเถียงต่อไป เขาวิ่งไปยังบันไดหนีไฟทันที เพาะคิมรู้ว่าประตูลิฟต์คงโดนฝูงแมลงวันดักรอเป็นแน่
บันไดที่มืดสลัวมีเพียงเสียงฝีเท้าของคิมเท่านั้นที่สะท้อนไปในความมืดเบื้องบน เขารู้สึกว่าเส้นทางนั้นช่างยาวไกลและสิ้นหวัง เขายังคงวิ่งต่อไปแม้ความหวังที่จะได้เจอจิตติในสภาพสมบูรณ์จะมีน้อยเต็มที เขาไม่เคยนึกว่าจะต้องเสียใครไปอีกจริงๆหลังจากเรื่องของกวีจบลง และครั้งนี้มันยังเป็นความผิดของเขาแทบจะทั้งหมดที่ทำให้จิตติต้องตาย
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด! เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในความมืด คิมชะงักฝีเท้าอยู่ตรงบันไดที่เขียนไว้ว่า “ชั้นที่สาม” คิมเห็นว่าเป็นลลิต ซึ่งลลิตไม่ค่อยโทรมาหาเขาบ่อยมากนัก จริงๆก็คือนี่เป็นครั้งที่สองเท่านั้น เขารู้ว่านี่คงเป็นเรื่องสำคัญแน่ๆจึงรับโทรศัพท์และเริ่มวิ่งเหยาะๆขึ้นบันไดไปพร้อมกัน
“คิม! ฉันรู้สาเหตุที่ฝนตกแล้วนะ!” เสียงตามสายโพล่งเสียงดังเสียจนทำให้คิมเจ็บหู คิมไม่เข้าใจว่าลลิตหมายถึงอะไร
“อะไรนะ”
“ฝนไง ฝนที่ตกมาตลอดเดือนนี้ เรื่องมันอาจะฟังดูไม่น่าเชื่อนะ แต่มันเกี่ยวข้องกับซาตานที่ชื่อ ‘เบลเซบับ’”
“เบลเซบับเนี่ยนะ ฉันรู้จักแต่ในการ์ตูน”
“ใช่เจ้าชายแห่งฝูงแมลงวันนั่นแหละคิม! มันเป็นฝีมือเขา”
“เดี๋ยวลลิต เมื่อกี้เธอพูดว่าฝูงแมลงวันใช่มั้ย”
“ทำไมหรอ”
“เธอรู้จักอพาร์ตเม้นต์เก่าๆที่ชื่อ The roommate ตรงตะวันตกของเมืองใช่มั้ย”
“เอ...ไม่รู้หรอก...ทำไมหรอ”
“ไม่มีเวลาแล้วลลิต! หาทางมาที่นี่ให้ได้นะ พาเจ้ากวีมาด้วย! ฉันมีฝูงแมลงวันให้พวกเธอดูเพียบเลย”
ลลิตเงยหน้าจากโทรศัพท์ เธอหันมามองหน้ากวี “อพาร์ตเม้นต์ที่ชื่อ The roommate” เธอพูดอย่างร้อนใจ
“คิมว่าไงบ้าง” กวีถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“เขาบอกว่าเจอฝูงแมลงวันอยู่ที่นั่น ให้รีบไปหาด่วน ให้พานายไปด้วย”
เมเดียหัวเราะ “พวกเธอนี่ดวงดีจริงๆ ได้รู้เรื่องไม่กี่นาทีก็เจอเบาะแสเลย ฉันตามหามาเป็นเดือนๆก็ยังไม่เจอ เอาเป็นว่าฉันมีคนขับรถที่ไว้ใจได้ ทำงานกับฉันอยู่ เดี๋ยวฉันจะเรียกเขามาส่งที่นั่น”
“ใช้เวลานานแค่ไหนคะ” ลลิตถาม
“ไม่นานหรอกจ้ะ เพราะเขาจอดรอฉันอยู่ที่หน้า Tha Maze ตลอดเวลา”
ทั้งสามขึ้นมานั่งบนรถลีมูซีนหรูหราสีดำขลับ ภายในตกแต่งอย่างงดงามตั้งแต่โซฟาเล็กๆพอดีกับความกว้าง โต๊ะกาแฟ ไปจนถึงโคมไฟประดับผนังส่องแสงสลัวๆโรแมนติกอยู่ภายในรถ มีเสียงเพลงคลาสสิคบรรเลงตลอดเวลา เมเดียเข้าไปนั่งบนโซฟาที่หันหน้าชนกัน ทั้งลลิตและกวีก็เข้าไปนั่งอย่างเคอะเขิน ลืมไปเลยว่ารองเท้าของทั้งสองคนเปรอะโคลนอยู่
“นั่งตามสบายเลยจ้ะ” เมเดียยิ้ม เธอกดปุ่มข้างๆประตูรถและก็มีถาดน้ำชากับกาน้ำชาออกมาจากช่องเล็กๆตรงประตู ลลิตมองสิ่งที่เมเดียทำแบบตาไม่กระพริบ เธอใช้เวลาเล็กน้อยในการตระเตรียมน้ำชามาวางตรงหน้าทั้งสามคน “เอ่อ...อีริค ช่วยไปส่งเราที่ The roommate หน่อยนะคะ” เมเดียตะโกนสั่งคนขับรถที่อยู่ห่างออกไป ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกอย่างนุ่มนวล ไม่รู้สึกถึงแรงกระชากเลยสักนิด พูดให้ถูกลลิตแทบไม่รู้ตัวเลยว่ารถกำลังเคลื่อนที่อยู่ถ้าข้างนอกกระจกไม่ได้มองเห็นสภาพบ้านเมืองยามค่ำคืนที่เลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
“แหะๆ รถหรูจังนะคะ” ลลิตกล่าว
เมเดียยิ้มน้อยๆอย่างพอใจ “เธออาจจะมีคำถามหลายๆอย่างเกี่ยวกับฉัน หรือเธออาจจะตามเรื่องไม่ค่อยนะลลิตา ฉันเลยขอใช้เวลาระหว่างนี้เพื่ออธิบายให้ฟัง ถ้าเธอไม่รังเกียจอะไร จะจิบชาก็ได้นะ”
“อ๊ะ ขอบคุณค่ะ” ลลิตประคองแก้วชามาจิบอย่างสุภาพ แม้เธอจะโดนมันลวกปากในทีแรก แต่เธอก็ไม่กล้าบ้วนมันออกมาตรงนั้น
“ฉันคือคนทรง ไม่รู้ว่ากวีเล่าให้เธอฟังเรื่องนี้หรือยัง แต่ตระกูลเราเป็นตระกูลที่มีผู้วิเศษอาศัยอยู่ด้วยนะ เราใช้อำนาจจากพรวิเศษเพื่อมอบพลังให้แก่ตัวเอง แต่ละคนมีพลังแตกต่างกันไป อย่างกวีเขามีพลังอมตะ ไม่ใช่อมตะหรอก...เรียกว่าพลังการรักษาตัวเองอย่างรวดเร็วจะเข้าใจง่ายกว่า กวีก็มีทางตายเหมือนกันนะถ้าหั่นร่างของเขาเป็นชิ้นเล็กๆและแยกออกจากกัน” เมเดียหัวเราะเหมือนมันเป็นเรื่องตลก แต่กวีถอนหายใจแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ไม่นึกว่าเธอจะรู้พลังฉัน” กวีพูด
“แหม...ไม่มีอะไรที่ฉันไม่รู้หรอก ฉันเป็นคนทรงนะ อ้าใช่...ฉันก็มีพลังเหมือนกัน แต่พลังของฉันเป็นพลังที่ถูกเรียกว่า ‘คนทรง’ มันเป็นหน้าที่สำคัญของตระกูล หญิงสาวผู้ถูกเลือกในตระกูลเท่านั้นที่จะได้เป็นผู้ครอบครองพลังนี้ ในแต่ละรุ่นของตระกูลจะมีคนทรงอยู่หนึ่งคน คนทรงคนก่อนคือแม่ของฉัน...”
“แม่ของกวีด้วยใช่มั้ยคะ” ลลิตถาม
“อ๋อ...เปล่า เราเป็นพี่น้องกันก็จริง แต่ว่าเราคนละแม่กันน่ะ แล้วพ่อฉันก็พบกับแม่ของกวีหลังจากนั้นไม่นาน” เมเดียชำเลืองมองไปยังกวีราวกับเรื่องนี้เป็นปมปัญหาในใจทั้งสองคน แต่เธอก็มายิ้มกับลลิตแล้วอธิบายต่ออย่างเป็นมิตร “แม่ของฉันสละชีวิตในวันบูชายัญตอนฉันเจ็ดขวบ หน้าที่คนทรงก็เลยถูกส่งต่อมาให้ฉัน พอเดาออกมั้ยว่าฉันทำอะไรได้ ฉันสามารถติดต่อกับซาตาน หรือจิตวิญญาณในยมโลก ฉันสามารถทำให้คนมองเห็นนรกได้ ถ้าหากซาตานต้องการจะสื่อสารกับตระกูลเรา เขาจะใช้ฉันเป็นร่างประทับ แต่ก็นะ...นานๆที บางทีชั่วชีวิตของคนทรงอาจจะไม่เคยถูกประทับร่างเลยก็ได้”
ลลิตไม่รู้จะตอบอะไรดีเธอทำเป็นพยักหน้า ทั้งๆที่ในหัวมีข้อมูลอะไรต่อมิอะไรตีกันไปหมด ลลิตยังคงสงสัยว่าการที่แม่ของเมเดียของบูชายัญตนเองนั้น จะทำให้เธอเกลียดแค้นตระกูลตนเองหรือเปล่า แต่เธอก็ยังจำที่กวีบอกได้ว่าผู้ที่ถูกบูชายัญจะได้รับการยกย่อง
“ส่วนเรื่องเบลเซบับนั้น มันเกี่ยวพันกับเรื่อง ‘บาป 7 ประการ’ มันเป็นบาปที่มนุษย์มักจะทำผิดกันอยู่บ่อยๆ ประกอบด้วย ราคะ ตะกละ โลภะ คร้าน โทสะ ริษยา และอัตตา บาปแต่ละประการจะมีปีศาจประจำบาปอยู่ หนึ่งในนั้นคือ ‘เบลเซบับ’ เขาเป็นปีศาจประจำบาป ‘ตะกละ’ “
“อะไรที่ปลุกเบลเซบับให้ขึ้นมาบนโลกคะ”
“คัมถีร์มรณะไงล่ะ ตั้งแต่มันหายไป มันก็แผ่อำนาจมากกว่าเดิม มันดึงเมืองนี้ให้ตกอยู่ในความเสื่อมโทรม แล้วตลอดหลายพันปีที่มนุษย์ถือกำเนิด ซาตานพยายามแผ่ขยายอำนาจตัวเอง หนึ่งในวิธีที่พวกเขาใช้ก็คือ คัมภีร์มรณะ เมื่อมันถูกส่งมาอยู่ในมือมนุษย์และความเสื่อมโทรมเป็นไปถึงขีดสุด ปีศาจทั้งเจ็ดตนจะตื่นขึ้นมาจากนรก และเธอพอจะนึกภาพออกหรือเปล่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ลลิตส่ายหัว
“กรุงเทพมหานครจะถูกลบออกจากประวัติศสาสตร์ ทุกความทรงจำ หลักฐานจารึกจะสูญหาย บางทีอาจจะทั้งประเทศเลยก็เป็นได้ มนุษย์ทุกคนจะรู้สึกเหมือนไม่เคยมีเมืองนี้อยู่ในแผนที่โลกมาก่อน มันเคยเกิดขึ้นกับหลายๆเมืองใหญ่มาแล้ว คอนสแตนติโนเปิล หรือแอตแลนติกที่จมอยู่ในมหาสมุทร”
ลลิตขนลุกเกรียวเธอมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดกลัว “เราพอจะมีวิธีหยุดมันใช่มั้ยคะ”
“การตามหาตัวของเบลเซบับนั้นก็เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต่อให้ฉันหาเขาพบและหยุดเขาลงได้ แต่ปีศาจนั้นไม่มีวันตายเฉกเช่นเดียวกับที่มนุษย์ไม่สิ้นในบาป ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง การแก้ปัญหาที่แท้จริงคือการรวบรวมคัมภีร์มรณะแล้วสะกดมันไว้แบบที่เคยทำ”
“สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันสินะคะ”
“ใช่...ซึ่งหน้าที่รวบรวมมันมาคืนนั้นเป็นหน้าที่ใครก็คงรู้กันดีอยู่นะ” ลลิตเปรยไปยังบุคคลต้นเกตุ กวีที่นั่งนิ่งอยู่นานหันมามองเธอแล้วเบือนหน้าหลบไปยังแสงจันทร์ “เอาล่ะ...ดูเหมือนจะถึงแล้ว”
ประตูรถเปิดออก ลลิตรีบก้าวลงจากรถ แต่ลมร้อนแปลกๆที่พัดวูบมาสัมผัสกับใบหน้าก็ทำให้เธอชะงักทันที เธอกำลังยืนอยู่เบื้อหน้าอพาร์ตเม้นต์ที่ลุกเป็นไฟ มีเสียงกรีดร้องและโหยหวนดังมาชั้นเก้าของตึก เกิดอะไรขึ้นกันแน่ คิมหันต์จะอยู่ข้างในนั้นหรือเปล่า! ในใจของลลิตมีเพียงแต่คำถาม น้ำตาเริ่มรื้นอยู่ที่เบ้าแบบไม่ทราบสาเหตุ
ทั้งเธอและกวีออกตัววิ่งเข้าไปในอพาร์ตเม้นต์ แต่ได้เพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น ก่อนที่จะมีเสียงระเบิดดังกึกก้องเหนือหัวเธอ
ชั้น 9 ของตึกกำลังระเบิดอย่างรุนแรง!
ความคิดเห็น