คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ChapT11 ("No Reason") ; นครแห่งฝน
หลังจากที่คิมหันต์ปลีกตัวออกไปเพื่อพบกับ “เพื่อนในเน็ต” ที่เขาว่า ทั้งลลิตและกวีก็เดินออกมาจากร้านกาแฟและออกไปยังลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้า
มันชื่อว่า The Riot (เดอะไลออธ) ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นแค่นั้นเพราะมันถูกโอ้อวดมานานนับสิบปีว่า “ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ซึ่งลลิตก็คิดเช่นนั้นจริงๆเพราะเธอไม่เคยเดินทั่วสถานที่แห่งนี้เลย มันมีตั้งแต่สวนสนุก (ลลิตสาบานจริงๆว่าเห็นรถไฟเหาะสูงเสียดฟ้าตั้งอยู่ในเดอะไลออธ) ไปจนถึงสวนสัตว์ที่ลลิตไม่คิดว่ามันจะมาตั้งอยู่ในที่แห่งนี้ และทุกทีที่ลลิตเดินผ่านเธอจะนึกสงสารเหล่ายีราฟผมโซอยู่น้อยๆ เพราะอย่างที่เข้าใจ อุณหภูมิในแอฟฟริกาที่พวกมันจากมาไม่ได้หนาวขนาด 18 องศาแบบในเดอะไลออธ
ทุกสิ่งทุกอย่างในห้างอยู่ใต้การปกคลุ่มของหลังคาทรงพีรามิดที่โปร่งแสงและปล่อยให้แสงลอดเข้ามาได้ บางวันที่มีแดดจ้าเกินไป มันก็เปลี่ยนตัวเองให้เป็นท้องฟ้าจำลอง คอยหลอกประชาชนว่า “โอ้ย...ข้างนอกฟ้าโปร่งไร้แดดเชิญเดินออกไปรับวิตามิน C ได้เลย”
ลลิตมาหยุดอยู่ตรงหน้าพีรามิดยักษ์ “เดอะไลอออธ” เพื่อดูคอนเสิร์ตที่แสนจะเบื่อหน่ายกับกวี
กวีไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ เขาคอยตามลลิตอยู่นานสองนาน ในขณะที่เธอเดินตั้งแต่ร้านเสื้อผ้ายันสวนสนุก ลลิตชวนเขาเล่นรถไฟเหาะในห้าง แต่กวีพูดสั้นๆว่า “ถ้าหัวเธอโขกกับไอ้เหล็กที่ยื่นออกมาตรงหลังคานั่นจนคอหัก ฉันขอเลือดของเธอไปทาบนคัมภีร์นะ” และเมื่อได้ยินดังนั้น ลลิตเลยไล่ให้กวีไปช่วยขายบัตรต่อให้เด็กๆแถวนั้นในราคาถูกแล้วรีบเดินหนีทันที
เธอรู้สึกเล็กๆว่ากวีจะรำคาญหรือเบื่อเธอก่อนหรือเปล่า แต่เพราะเขาไม่พูดอะไร ลลิตเลยจูงเขามาที่ลานคอนเสิร์ตที่แทบไม่มีคนตรงหน้าพีรามิดยักษ์ มันเป็นการแสดงสดกลางสายฝนพรำที่แสนจะหดหู่ ลลิตอยากจะตะโกนให้เขาหยุดร้องเพลงcover “Better Together” สักทีเพราะนี่มันขัดกับอากาศอย่างแรงและก็ไม่ใช่ชายทะเลด้วย
“นายเบื่อมั้ยเนี่ยนี่มันหกโมงเย็นแล้ว จะกลับบ้านหรือเปล่า” ลลิตถามตอนที่เหลือเพียงทั้งคู่กลางสนฝนพรำที่กลางร่มอยู่
“ก็สนุกดีกำลังลุ้นว่าเจ้าของวงเสียงเพี้ยนๆนี่จะโดนฟ้าผ่าเมื่อไหร่”
“บ้า...” ลลิตหัวเราะ “เย็นแล้วไปหาข้าวเย็นกินมั้ย”
เขาไม่ตอบ แค่เพียงหัวเราะหึหึเท่านั้น ลลิตจึงสะกิดให้เขาเดินตามแล้วไปหยุดอยู่ที่ซุ้มขายทาโกยากิแถวๆนั้น ลลิตเห็นว่ามันน่ากินดีและที่นี่ก็ฝนตกตลอด เขาอาจจะขายไม่ได้มาพอสมควรแล้ว เธอจึงซื้อมาสองกล่องและแบ่งกวีกล่องนึง “เอ้าเอาไป”
“ขอบใจ”
“ไปจากตรงนี้มั้ย หาที่นั่งกินดีดีกัน” ลลิตเสนอ เขาเห็นกวีพยักหน้าเบาๆเธอจึงเดินนำเขาออกไปจากลานข้างหน้าเดอะไลออธ และมุ่งทางที่ปูด้วยหินกรวดที่ตั้งอยู่ตรงสวนหย่อมปลอดคนยามโพล้เพล้
ทางที่ปูด้วยหินนี้นำทั้งคู่เข้าสู่สวนหย่อมร่มรื่นที่ตอนนี้ดูน่ากลัวขึ้นอย่างถนัดตาเพราะมันไม่มีใครอยู่เลย ในยามที่ฝนพรำตลอดเวลาแบบนี้มันมีโคมไฟเล็กๆตั้งสูงคอยมอบแสงสว่างๆสงบๆให้ สวนแห่งนี้คงไม่มีใครเข้ามาเป็นแน่ ลลิตจำได้ว่าเธอคอยมาหลงที่สวนแห่งนี้บ่อยๆตอนเด็กๆ เธอมั่นใจว่ามันพอจะมีที่นั่งให้หลบฝนอยู่บ้าง เธอจึงกระชับร่มตัวเองแล้วเดินนำกวีไป
สวนแห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า The Maze ที่แปลว่าทางวกวน ใช่สวนแห่งนี้มันวกวนเป็นเขาวงกตเพราะว่ารั้วที่ทำจากพุ่มไม้สูงราวสองเมตรคอยบดบังทางข้างๆเอาไว้ ตามทางก็จะมีต้นไม้แปลกๆให้ชม ดูเหมือนคนที่ออกแบบสวนชวนฝันแห่งนี้คงจะอยากให้คนที่เข้ามาหลงทางในที่ที่เต็มไปด้วยพฤกษชาติเป็นแน่ ซึ่งนั่นมันเป็นอะไรที่ดีมากสำหรับลลิต เธอจำได้ว่าตรงกลางของเขาวงกตจะเป็นสวนน้ำที่มีศาลาตรงกลาง แต่มันมักจะไม่ค่อยว่างและก็วังเวง เธอจึงคิดว่าจะอยู่ตรงเขาวงกตที่มีร่มไม้คอยบังฝนไว้ดีกว่า
ลลิตมาหยุดอยู่ตรงม้านั่งตัวยาวตรงทางวกวน แต่มันเปรอะน้ำฝนไปหมด เธอขมวดคิ้วในมือคอยควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกง แต่ก็รู้ตัวอีกทีว่าไม่ได้เอามา เธอมองหน้ากวี เขาไม่พูดอะไรแต่เขาก็ถอดรองเท้าตัวเองออกมาแล้วเอาถุงเท้าเช็ดตรงม้านั่งจนแห้ง ลลิตอ้าปากค้างหวอกับสิ่งที่ได้เห็น
กวีไม่ได้เป็นคนที่ลลิตต้องหวาดกลัวและคอยจะฆ่าเธอด้วยสารเคมีอยู่ตลอดเวลาอีกแล้ว ตอนนี้ลลิตเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา กวีนั้นสุขุม มีแผนในใจเสมอ แถมยังเสียสละอดทน เธอแทบจะร้องให้ออกมาตอนที่กวีต้องเอื้อมไปล้างมือกับน้ำฝนแล้วนั่งลงบนม้านั่งก่อนเธอ
“ขะ...ขอบใจ”
“หึหึ หายกันเรื่องขนมนี่นะ” เขาพูดเรียบๆ
“ใจดีขนาดนี้ซื้อให้สามกล่องเลยก็ได้นะ” เธอว่าแล้วหัวเราะคิกๆ แต่กวีดันตัดบทด้วยความเงียบ หรือว่าเวลาเขินเขาจะชอบลากเรื่องเข้าสู่ความเงียบกันแน่ ลลิตหัวเราะในใจแล้วนึกอยากโทรถามคิม เพราะคิมแทบจะเป็นคนที่อ่านใจคนได้อยู่แล้ว เขามักมองคนออกอยู่บ่อยๆ รวมทั้งคนอย่างกวี
“นายชอบเรียนวิชาอะไรหรอกวี” เธอถามขึ้นมาในความเงียบ
“เคมี...” เขาตอบพลางจดจ่ออยู่กับทาโกยากิในมือ “...เธอล่ะ”
“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว ศิลปะจ้ะ”
“หน่วยกิตไม่เยอะเท่าไหร่ ฉันไม่ค่อยสนใจ” เขาว่า
“แหม...ฉันไม่ได้ชอบเพราะหน่วยกิตหรอกน่า มันได้ปลดปล่อยดีน่ะ ฉันวาดรูปสวยด้วยนะไม่อยากจะอวดหรอก” ลลิตหัวเราะ
“เปล่า...ฉันก็ไม่ได้ชอบเคมีเพราะหน่วยกิตเหมือนกัน”
“อ้าว! แล้วทำไมถึงชอบไอ้วิชาน่าปวดหัวนั่นอ้ะ”
เขาหันมามองหน้าเธอด้วยสีหน้าเดิมๆ กินทาโกยากิไปครึ่งลูกอย่างสุภาพแล้วค่อยตอบ “ไม่รู้”
“เออ...ก็จริง ชอบไม่ชอบ รักไม่รัก ดีไม่ดี คำพวกนี้มันไม่ต้องหาเหตุผลมาเพิ่มเติมนี่นา” เธอพึมพำแล้วหัวเราะไปด้วย
“ฉันถึงไม่ถามเธอไงว่าชอบเพราะอะไร แค่รู้ว่าชอบก็เข้าใจแล้ว”
ลลิตอุทานในใจดังๆว่า “จริงด้วย” แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกไป มองสายฝนที่ยังคงตกพรำลงมาราวกับเป็นเสียงดนตรี “ฝนตกแบบนี้นึกถึงเพลงอะไร” เธอถาม
“ฉันไม่ชอบฟังเพลง” เขาตอบ
“เฮ่ย...ต้องมีละน่า ไม่เคยได้ยินหรอ ‘อันชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก’”
“วิลเลี่ยม เช็คสเปียร์ เป็นคนพูดใช่มั้ย” เขาตอบทันควัน
ลลิตหัวเราะออกมาทันที เธอโก่งหัวแล้วเอาใบหน้าซุกกับเข่าเพราะความขบขัน “ฮะฮะฮะ....ทีอย่างงี้ดันจำได้”
กวีหัวเราะหึหึแล้วพูด “จริงๆฟังอยู่เพลงเดียว Bohemian Rhapsody ของวง Queen” เขาว่า
“อ๋อ...เพลงนั้นไอ้เพลงที่ฟังแล้วไม่เข้าใจเนื้อหาใช่ปะ ว่ากันว่าเมื่อให้คนที่อังกฤษเขียนชื่อเพลงที่ตัวเองชอบที่สุดตลอดกาลมาแล้วส่งไป ปรากฏว่าเพลงนี้ถูกเขียนมาเป็นดับที่หนึ่ง แต่ฉันชอบเพลงที่มาเป็นอันดับสองมากกว่า...”
“Imagine ของ john lennon” กวีพูดเรียบๆ
“ว้าย! ไหนบอกไม่ฟังเพลงไง รู้ดีชะมัด ใช่ๆเพลงนั้นแหละความหมายดีนะนายว่าไหม”
“ฉันฟังเพราะว่าคนร้องโดนยิงตายแค่นั้นแหละ”
ลลิตหัวเราะอีกครั้ง “ฮะฮะฮะ นายนี่ใจร้ายชะมัด แต่ทำไมนายถึงชอบโบเฮเมี่ยน แร็ปโซดี้ล่ะ”
กวีตอบโดยไม่มองหน้าลลิต “ชอบไม่ชอบ รักไม่รัก ดีไม่ดี คำพวกนี้ไม่ต้องหาเหตุผลมาเพิ่มเติมนี่นา”
แต่ทันใดนั้นกวีเริ่มรู้สึกว่าอาหารในปากนั่นเริ่มจืดชืด อาการเย็นๆรอบตัวดูราวกับจะร้อนระอุเสียจนเหงื่อย้อย บรรยากาศในทางวกวนแห่งนี้กำลังแปลกไปอย่างรู้สึกได้ กวีลุกขึ้นพรวดอย่างร้อนใจ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหน้ามืดทันที โดยไม่แน่ใจว่าในทาโกยากิมายาอะไรที่ทำให้เขาเวียนหัวได้หรือเปล่า แต่คงไม่ใช่เช่นนั้นแน่เพราะเขาเคยรู้สึกแบบนี้มาเมื่อนานแล้ว ความรู้สึกที่เขากลัวและขมปาก
“เป็นอะไร” ลลิตถาม
หัวใจของกวีเต้นรัว เขาศีรษะกุมขมับตัวเองเอาไว้ไม่ให้โลกโคลงไปมาเหมือนเรือที่ถูกคลื่นทะเลซัดเข้าใส่ และทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าโคมไฟที่ประดับทางวกวนแห่งนี้เอาไว้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงของเพลิง ใบไม้เหี่ยวเฉาเป็นสีดำราวขี้เถ้า ท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆทะมึนตอนนี้โปล่งและดูแร้งแค้นเหมือนท้องฟ้าของทะเลทรายที่เป็นสีแดง
ร้อน อากาศร้อนเหลือเกิน ต้นไม้พลันตายอย่างรวดเร็ว แถมพื้นหินที่เขายืนอยู่ก็แตกเปรี้ยะๆและเหมือนจะมีของเหลวที่เปี่ยมอุณหภูมิไหลออกมา ที่อาจจะเป็นลาวาหรืออะไรสักอย่าง
“ก...เกิดอะไรขึ้น” ลลิตสะดุ้งลุกขึ้นจากม้านั่ง นั่นแปลว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับกวีเพียงคนเดียว
“ออกไป...ออกไปจากที่นี่” กวีพูดอย่างยากลำบาก แล้วเริ่มออกตัวเดินอย่างโคลงเคลงไปตามทาง
“ไหวมั้ย...นายดูไม่สบายเลย” ลลิตพูด สอดส่องสายตามองทางวกวนที่บัดนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ที่น่ากลัว
“ยังไหว ไม่ต้องห่วง...”
“เกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย” ลลิตร้องอย่างร้อนใจเข้าไปพยุงร่างของกวีที่ดูไร้เรี่ยวแรง “ไหวแน่นะ”
“ลลิตเธอ...เธอรู้ทางออกหรือเปล่า” เขาถาม
“เอ่อ...ไม่...ฉันไม่เคยจำขอโทษนะ ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น เกี่ยวอะไรกับคัมภีร์หรือเปล่า” ลลิตถาม เธอภาวนาในใจว่าให้มันไม่เกี่ยวกับคัมถีร์ด้วย
“เกี่ยว...เกี่ยวเต็มๆ ยัยนั่นกำลังมา!” กวีพูดอย่างยากลำบาก
“ใคร? ใครกำลังมา”
“คนที่ทำให้พวกเรามองเห็นนรกยังไงล่ะ” กวีตอบอย่างตื่นกลัว
และทันใดนั้นขนทั่วกายของลลิตพลันลุกชูชัน เธอมองไปยังทางวกวนที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่แห้งแล้งและมีไฟลุก เธอไม่รับรู้ถึงความชื้นของฝนอีกแล้ว เพราะรอบๆกายเธอตอนนี้มันเป็นแค่สวนสีดำแห่งนรกที่มีร่างของใครบางคนกำลังเดินเข้ามาหา!
รภไฟฟ้านำทั้งสามคนมาที่บริเวณอีกฟากของเมืองหลวง ระหว่างทางแอนคอยถามเรื่องต่างๆนานากับคิม โดยมีจิตติคอยมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ คิมรู้สึกเกรงใจพี่ชายของแอนอย่างมาก เพราะดูจากสายตาและท่าทางแล้ว เขาต้องเป็นคนที่รักน้องอย่างมากแน่ๆ แถมคิมหันต์ก็รู้สึกหนักใจที่แอนดูคล้ายกับจะสนใจเขามากเหลือเกิน
“ถึงแล้วล่ะ เดินลงสถานีไปนิดหน่อยก็เจอแล้ว” คิมลุกขึ้นแล้วพยักหน้าให้สองพี่น้องตามมา
“ไม่เป็นไรแน่นะแอน” จิตติกระซิบใส่หูแอน แต่แอนพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“อื้อ...มีพี่จิตทั้งคนไม่เป็นไรหรอก” เธอตอบ
“ครับ...ไม่เป็นอะไรหรอก เราแค่มาเยี่ยมเพื่อนในเน็ตเท่านั้นเอง” คิมหันต์ที่เห็นท่าทีร้อนใจของจิตติจจึงหันมาตอบ
จิตติมุ่นคิ้วอย่างช่างใจแล้วจึงพูด “ก็เพราะผมรู้ว่าคนๆนั้นเป็นยังไงน่ะสิ เลยไม่ค่อยสบายใจ”
คิมตกใจเล็กๆที่จิตติก็รู้เรื่องนี้ด้วย ตอนแรกเขาเข้าใจว่าจิตติจะตามมาเพื่อเฝ้าน้องสาวเฉยๆ นี่แปลว่าแอนต้องเล่าเรื่องเกือบทุกเรื่องให้จิตติฟังมาแล้วสินะ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เราเป็นฝ่ายมาหาเขาโดยไม่ได้นัดเอง เขาไม่มีทางเตรียมตัวทำเรื่องอะไรได้หรอก แล้วอีกอย่างเราก็มีพวกเยอะกว่า”
“ครับ” จิตติตอบค่อยๆ เขาดูกล้าหาญและมุ่งมั่นดีมาก และอีกอย่างเขาก็เดินข้างๆแอนมาตลอดเลยด้วย คิมจึงไม่จำเป็นต้องห่วงแอนเท่าไหร่แล้ว
“รีบๆลงจากรถไฟฟ้าเถอะค่ะ แอนไม่อยากเลยไปสถานีต่อไป” เธอหยอกเล่นแล้วจูงมือพี่ชายให้ลงจากโบกี้ของรถไฟ คิมตามไปติดๆและทั้งคู่ก็เดินลงมาจากสถานีเข้าสู่ทางเดินเปลี่ยวๆที่ทอดเข้าไปในซอยซึ่งมองเห็นอพาร์ตเม้นต์อยู่ไกลๆ
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆแล้ว อพาร์ตเม้นต์แห่งนี้ช่างดูเก่าและทรุดโทรม
ฝนยังคงโปรยตกมาตลอดเวลาบนศีรษะ คิมวิ่งเหยาะๆเข้าไปในล็อบบี้อพาร์ตเม้นต์โดยมีสองพี่น้องวิ่งตามมาในสภาพตัวเปียกโชก เสื้อผ้าของแอนสีเข้มขึ้นเพราะโดนน้ำฝน โชคดีที่ชุดของเธอมีหลายชั้น แต่จิตติเสื้อบางกว่าแอนสักห้าเท่าได้ เขาจึงไม่สามารถซ่อนอากาศตัวสั่นน้อยๆได้
“หนาวหรือเปล่าครับ เราพักให้ตัวแห้งก่อนก็ได้นะ” คิมพูดขึ้น
“นั่นสิคะ นั่งพักทานข้าวเย็นก่อนก็ได้” แอนเห็นพ้อง เงยหน้ามองหน้าจิตติ
“ไม่หรอกครับ ผมไม่อยากมาเป็นภาระ รีบๆคุยให้เสร็จดีกว่าเราจะได้กลับบ้านสักที” เขาตอบ พอคิมเห็นดังนั้นเขาจึงมองดูกระดาษในมือที่เขาจดที่อยู่ไว้ แล้วพบว่าห้องของกรตั้งอยู่ที่ชั้น 9 ของอพาร์ตเม้นต์ คิมจึงพาทั้งคู่ไปขึ้นลิฟต์
ลิฟต์เก่าๆใช้เวลาพาตัวมันเองขึ้นมานานพอสมควร มันทั้งคับแคบและอึดอัด ปุ่มบางปุ่มเลือนจนไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเป็นปุ่มอะไร ไฟในลิฟต์ก็มืดกว่าที่ควรจะเป็น แถมพื้นก็ล่อนออกมาเป็นแผ่นสีติดพื้นรองเท้าอีกต่างหาก
ติ๊ง! เสียงร้องของลิฟต์พาทั้งสามมาสู่ชั้นเก้าที่มืดมิด ใช่...มันมืดเสียจนคิมรู้สึกใจสั่น ทางเดินแคบๆตรงกลางถูกขนาบด้วยห้องพักที่เงียบสงัด ทั้งชั้นปลอดคนและไม่มีใคร แม้แต่ไฟตามทางเดินก็ยังไม่เปิด คิมต้องช่างใจอยู่สักพักก่อนที่จะโดนทั้งแอนและจิตติผลักให้เดินออกมาจากลิฟต์
“ห้องไหนคะ” แอนกระซิบ
“907 ช่วยกันหานะครับ” คิมพูด เดินนำไปคนแรก
ทั้งสามคอยมองตามประตูห้องซ้ายขวาตามทางเดิน จนคิมพบกับห้องๆหนึ่งที่ติดป้าย 907 เอาไว้เข้าโดยบังเอิญ “เหมือนจะเจอแล้วล่ะ” เขาตะโกนเรียก
พรึ่บ! ไฟตามทางเดิน เปิดผางอย่างน่าตกใจ คิมตวัดสายตากลับไปมองทั้งสองเพื่อดูว่ามีใครไปโดนสวิตซ์ไฟหรือเปล่า แต่ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างงงๆเช่นกัน เมื่อจิตติเห็นว่าน้องสาวตัวเองเริ่มหน้าเสีย เขาจึงพูดออกมา “สงสัยชั้นล่างคงเปิดไฟล่ะ ตอนนี้ก็ทุ่มกว่าแล้ว”
คิมเคาะประตูห้องเบาๆแล้วส่งเสียง “ขอโทษนะครับมีใครอยู่มั้ยครับ” เสียงของเขาสะท้อนไปตามทางเดินที่ดูสลัวๆ จิตติและแอนก้าวมายืนข้างหลังคิม
“ขอโทษนะครับกรอยู่มั้ยครับ!” คิมส่งเสียงดังขึ้นและเคาะประตูมากกว่าเดิม จิตติมาบิดลูกบิดประตูที่ล็อกอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา คิมมองรอดเข้าไปในตาแมวแต่ก็พบเพียงความมืดมิด เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ใช้เวลาเกือบครึ่งวันมาเพื่อพบกับหมอนี่แต่เขาก็ดันไม่อยู่ นี่มันหมายความว่าเขาต้องรอจนกว่าหมอนี่จะกลับมาใช่มั้ย
“ไม่มีใครอยู่หรอ” แอนถาม
“อือ” คิมพยักหน้าตอบ
“ไหนดูสิ” แอนชะโงกหน้ามองเข้าไปในตาแมว แล้วก็หันมาตอบกับคิม “มีนี่นาไฟก็เปิดอยู่”
แกร๊ก! เสียงลั่นของกลอนประตูที่ทำให้คิมแปลกใจ บางทีหมอนี่อาจจะเพิ่งตื่นขึ้นมาก็ได้ “ขอเข้าไปนะครับ” คิมส่งเสียงและบิดลูกบิดประตูอย่างสุภาพ
และทันทีที่ประตูเปิดออก แสงสว่างจ้าเผยให้เห็นสภาพห้องเก่าๆโทรมๆที่รกและโสโครกอย่าเกินบรรยาย กลิ่นเหม็นเน่าลอยเข้ามาแตะจมูกเป็นอย่างแรก จนคิมถึงกับยกมือขึ้นมาปิดเอาไว้ มีจานอาหารที่กินเหลือหล่นตามพื้นและกระจายไปทั่ว แถมกลิ่นของสิ่งปฏิกูลก็มาจากห้องน้ำที่เปิดอ้าซ่าไว้ด้วย คิมหันไปมองตรงนั้นแวบนึงระหว่างเดินเข้าไปที่ห้องแล้วก็ต้องหันหน้ากลับอย่างจำใจ
“สกปรกสุดๆ” แอนพึมพำ แต่จิตติถองไหล่น้องสาวตัวเอง
มีเสียงหวึ่งๆของแมลงวันมากมาย คิมพยายามไม่มองหรือไม่ดมกลิ่นของสิ่งของสกปรกในห้องนี้ และทันใดนั้นอะไรบางอย่างที่นอนอยู่บนเตียงก็แทบทำให้คิมหยุดหายใจ
ร่างของใครบางคนที่คิมดูไม่ออกกำลังถูกตอมด้วยแมลงวันหัวเขียวนับหมื่นๆตัว แต่ละตัวน่าจะอ้วนประมาณข้อนิ้วก้อยได้ มันตอมเสียจนทำให้ร่างอ้วนๆนั้นกลายเป็นสีดำขมับน่าเกลียดน่ากลัว คิมรู้สึกว่ากาแฟที่กินไปเมื่อตอนกลางวันเหมือนจะตีกลับมาจุกที่คอ ประกอบกับกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพนั่นก็แทบทำให้เขาอ้วก
“แอนอย่ามองนะ” จิตติปิดตาน้องสาวตัวเองเอาไว้
“อะไรคะ อะไร” แอนถามอย่างร้อนรนที่จะรู้
คิมหันต์ร้องออกมาไม่เป็นภาษา ค่อยๆก้าวถอยหลังไปอย่างช้าๆและบรรจง
พรึ่บ! และทันใดนั้นเอง ราวกับว่าฝูงแมลงวันที่น่าขยะแขยงพวกนั้นรู้ตัว มันแตกพรือเป็นกลุ่มฝุ่นสีดำที่คอยจิกกินเนื้อหนังของศพอ้วนๆของชายคนหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่า เขาน่าจะมีน้ำหนักสักร้อยกว่ากิโลกรัมได้ แต่ตอนนี้เขาคงเหลือน้ำหนักไม่เท่าไหร่เพราะตายมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้วแน่ๆ และแมลงวันที่บินกันราวกับฝุ่นพายุพวกนี้มันมาจากไหนกัน! มันกินเนื้อของชายคนนี้เข้าไปหรือเปล่าถึงได้ตัวอ้วนกว่าที่ควรจะเป็น
และเมื่อคิมหันต์พิจารณาสภาพศพในระหว่างที่เขากำลังก้าวถอยหลังนั้น เขาก็ต้องเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่เห็นสิ่งใดเลยที่เรียกว่า “ผิวหนัง”
ใช่ ผิวหนังทั่วร่างของเขาถูกกัดกินไปจนหมด เผยให้เห็นเพียงหนังแท้ช้ำเลือดช้ำหนองที่มีหนอนสีขาวไต่ยั้วเยี้ยะ ภาพนั้นติดตาคิมและเขาต้องกลั้นอาเจียนตัวเองเอาไว้แล้วถอยหลังโดยไม่ให้เหล่าแมลงวันสุดสยองพวกนั้นรู้ตัว
เคร้ง! จานสแตนเลสตกมาหล่นบนพื้นอย่างจงใจ เหล่าฝูงแมลงวันกรีดร้องส่งเสียงหวึดๆดังคับหู และแทบไม่ต้องรอให้สมองประมวลผล ทั้งสามคนกรีดร้องอย่างหวาดกลัวและกรูกันออกมาจากห้องที่แสนจะเน่าเหม็นทันที จิตติถีบบานประตูให้ปิดดังปึงและยันเอาไว้อยู่อย่างนั้น “หนีไปเร็วๆ!” เขาตะโกนไล่
ทั้งแอนและคิมวิ่งหนีไปยังลิฟต์ ทั้งคู่กดปุ่มอย่างรวดเร็ว ระหว่างรอคิมหันต์พึมพำออกมาจากปากว่า “มาเร็วๆสิ มาเร็วๆสิ”
และแทบไม่ต้องพูดถึงแอน ตอนนี้น้ำตาเธอไหลพรากออกมาอย่างไม่รู้ตัว ตาของเธอเบิกค้างและเหงื่อแตกโชกตัวอย่างเห็นได้ชัด
ติ๊ง! เสียงลิฟต์ดังขึ้นทั้งสองคนสะดุ้งและรีบเข้าไปในรีบทันที “พี่จิตติมาเลยครับ!” คิมหันต์ตะโกนเรียก จิตติช่างใจครู่หนึ่งและเขาก็ปล่อยตัวจากบานประตูที่ยันเอาไว้
ทว่าแม้เขาจะมีท่าทีที่คล่องแคล่วแบบนักกีฬา เขาก็ไม่สามารถวิ่งมาถึงได้ทันก่อนที่เหล่าแมลงวันจะรุมทึ้งกันออกมาจากประตูห้อง และบินว่อนไปทั่วทั้งชั้น เขาสะดุดล้มลงเพราะความอลหม่าน
“กรี๊ด!” แอนร้องลั่นเมื่อเขาเห็นจิตติถูกกลืนหายไปกับฝูงแมลงวัน
ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย คิมตัดสินใจปิดประตูลิฟต์ทันที
ลิฟต์เลื่อนลงมาถึงชั้นล่างใช้เวลาสักพัก แอนหอบหายใจและกอดคิมหันต์เอาไว้แน่น คิมยืนตัวแข็งและในหัวก็ตื้อไปหมด มันไม่ใช่สิ่งที่เขาเตรียมใจเอาไว้เลย มันไม่เหมือนตอนที่เขาถูกกวีแกล้ง มันเลวร้ายกว่านั้นสักร้อยเท่าได้ เป็นไปได้ยังไง แมลงวันพวกนั้นมาได้ยังไง แล้วกร...กรตายแล้วหรอ ศพนั่นใช่กรหรือเปล่า ในหัวเขามีแต่คำถามและความหวาดกลัว
“แอน...ผมขอโทษ”
ความคิดเห็น