คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ChapT10 ("Lance of Longinus") ; นครแห่งฝน
บางทีการใช้คนเป็นเครื่องมือคงเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว ทุกๆเรื่องเหมือนจะตอกย้ำครั้งใหญ่ว่าเขาเห็นทุกอย่างที่ล้อมรอบกายเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่สักวันก็ใช้แล้วทิ้งไป ทั้งธาริน คิมหันต์ และลลิตา เขาสามารถทำให้ทุกคนเดินไปตามหมากของเขาได้อย่างง่ายดาย ช่างง่ายเกินไปจนเขารู้สึกรังเกียจนิสัยตัวเอง
กวีครุ่นคิดพลางมองอย่างเหม่อลอยไปยังกระจกที่มีฝ้าเกาะ อุณหภูมิภายนอกคงหนาวเย็นกว่าในร้ายกาแฟหรูหราแห่งนี้แน่ ผู้คนสัญจรกันไปมาด้วยชุดกันฝนหลากสีที่กลายมาเป็นแฟชั่นของเดือนตุลาคมอย่างไม่ได้ตั้งใจ กรุงเทพมหานครกลายเป็นนครที่ปกคลุมด้วยฝน ทุกอย่างส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงทั้งความชื้นแฉะจราจร ไม่ต้องพูดถึงความสกปรกของแหล่งโสมมทั่วเมือง แค่คิดกวีก็รู้สึกอยากจะอ้วกและหัวเสียขึ้นมาทันใด
เขาควรจะควบคุมได้ เขาควรจะทำให้ฝนน่าเกลียดพวกนี้หยุดตกเสียที แต่ทุกอย่างมันเกินควบคุมไปแล้ว ฝนพวกนี้ไม่ได้หยุดตกมานานนับเดือน ใช่มันพรำตกลงมาเหมือนน้ำตาที่ไม่มีวันหมดสิ้นของท้องฟ้า บางทีท้องฟ้าคงกำลังร้องให้อย่างหนักตอนที่รู้ว่าหายนะกำลังจะกลับมาอีกครั้ง
ถูกต้อง...ท้องฟ้าได้ร้องให้ตั้งแต่คัมภีร์มรณะหายไป
กวีถอนหายใจพลางยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ ร่างกายอุ่นลงเล็กน้อย แต่ในใจเขากลับเป็นเกินกว่าความอบอุ่น เขาเลื่อนเม้าส์อย่างร้อนใจ เปิดดูรูป ในจอโน้ตบุคที่พกติดตัวไปมา
ถ้าฉันเป็นคนที่ชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือจริงๆ ฉันขอให้ครั้งนี้มันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะ
กริ๊งๆ เสียงกระดิ่งเหนือบานกระจกดังขึ้น กวีเลิกสายตาขึ้นมองผู้มาเยือนสองราย คิมหันต์ที่ใบหน้าแดงกร่ำด้วยความหนาวเข้ามาแรก ตามด้วยลลิต ทั้งคู่ไม่ได้เนื้อตัวเปียกอย่างที่เห็น คิมโบกมือทักทายแล้วเดินมานั่งตรงข้ามกวีทันที “ไง รอนานมั้ย”
“คิมเค้าช้าน่ะ มัวแต่แต่งตัวอยู่ได้” ลลิตมานั่งข้างๆคิม ยิ้มให้แห้งๆแล้วหัวเราะ
“เปล่านะเธอมารับเร็วไปต่างหากเล่า” คิมค้อนขวับ
“หรอยะ ใครกันที่นัดฉันสิบโมง”
“คร้าบ ขอโทษคร้าบ ทีหลังผมจะแต่งตัวรอ” คิมยานเสียง ลลิตหัวเราะคิกคัก แต่กวีถอนหายใจแล้วหมุนจอโน้ตบุคพร้อมเข้าเรื่อง
“ดูภาพนี่สิ”
“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเข้าเรื่องสิ ขอสั่งกาแฟก่อนได้หรือเปล่า” คิมพูดแล้วเรียกบริการสาวมา “เอ่อ...ลาเต้ร้อนแก้วนึงนะครับ ขอร้อนๆเลย”
“คาปูชิโน่เย็นค่ะ ขอบคุณค่ะ” ลลิตสั่งตาม บริกรสาวจดไว้ในกระดาษแล้ววิ่งหายไปหลังร้านอย่างสุภาพ
พอสั่งเสร็จ คิมก็หันมาจ้องมองที่หน้าจอโน้ตบุคอย่างสนใจ มันแสดงภาพกระดาษเปื่อยๆที่ถูกแสกนเข้ามา มันเป็นแผ่นกระดาษเปื่อยยุ่ยดูคุ้นตาเหลือเกิน ลวดลายบนน้ำหมึกสีดำที่ถูกเขียนไว้ด้วยอักระที่อ่านไม่ออก มันเรียงตัวอย่างถูกระเบียบเป็นวงกลมพอดี ใช่แล้วมันเป็นวงเวทย์ของคัมภีร์มรณะ
“เอ๋...นายเก็บภาพพวกนี้ไว้กับตัวด้วยหรอ” คิมถามอย่างแปลกใจ
“ไม่สิคิม ดูดีๆ” ลลิตค้านเสียงเครียด เธอมุ่นคิ้วแล้วชะโงกหน้าจนแทบจะติดกับหน้าจอ “ไม่ใช่ของกวี แต่มีคนอื่นลงไว้”
คิมจ้องมองอีกทีจึงรู้ว่ามันเว็ปบล็อกของใครบางคนที่ดูดาษดื่นและไม่มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย มันถูกแปะไว้ด้วยภาพของกระดาษจากคัมภีร์มรณะและข้อความบรรยายยาวเหยียดที่ก่อนที่คิมจะเริ่มอ่าน กวีก็หมุนโน๊ตบุคกลับมาไว้หน้าตนเองดังเดิม
“พวกนายคิดว่ายังไง” เขาถามเรียบๆ สีหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรเลย
“มีคนเจอมันงั้นหรอ” ลลิตถาม
“ก็เหมือนกิ้งก่าได้ทองน่ะแหละ ต่อให้เจอเขาก็ไม่รู้วิธีใช้อยู่ดี” คิมคิดเห็น แต่เขาก็รู้สึกกระดากกับคำพูดของตัวเองทันที “กิ้งก่าได้ทอง” นี่เขากำลังชื่นชมว่าคัมภีร์อัปปรีย์นั่นเป็นสิ่งของมีค่างั้นหรอ ไม่เลย ไม่ใช่เลย แค่คิดดังนั้นก็แทบจะอยากถอนคำพูด
กวีพยักหน้าเบาๆ “ที่พูดก็ถูก หมอนี่ไม่รู้วิธีใช้ แต่ไม่ได้แปลว่าคัมภีร์ที่หายไปจะไม่ได้ระบุวิธีใช้ไว้ และอย่างที่เข้าใจ...มันมีวิธีใช้ด้วย!”
“ตายล่ะ! ขอให้อย่ามีใครเจอมันเลย” ลลิตอุทาน
คิมหันต์มุ่นคิ้วพลางครุ่นคิด แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ “เดี๋ยวๆก่อนอื่นต้องถามก่อนกว่า ไอ้วิธีใช้นี่เขียนด้วยภาษาอะไร มันเป็นคัมภีร์โบราณนี่นา แปลว่าอาจจะไม่ได้เขียนด้วยภาษาที่พวกเราอ่านออก... เอ่อ...ฉันหวังว่านะ”
กวีพยักหน้าอีกครั้ง “ฉันดีใจที่นายตามทัน และถูกต้องวิธีใช้คัมภีร์ได้จารึกไว้ด้วยภาษาของซาตาน มันเป็นภาษาที่มีแค่ซาตานกับผู้ก่อตั้งตระกูลฉันเท่านั้นที่อ่านออก แม้แต่ฉันก็ไม่สามารถอ่านได้ มันสาบสูญไปแล้วกับภาษานั้น โชคดีที่ว่าตระกูลเรามีการบอกวิธีใช้จากปากต่อไป...”
“ก็เลยไม่แพร่งพรายมาตลอดหลายพันปีใช่มั้ย แยบคายมาก” ลลิตร้อง
“...ก็จริงอยู่ที่มันไม่แพร่งพรายถ้าหากผู้ถือความลับไม่ได้ปากโป้ง แต่ก็เหมือนการกระซิบต่อกันมาของคนหลายๆคน คนที่รับมาก็ได้ใจความผิดๆ จนมาถึงรุ่นของฉัน ใจความถูกบิดเบือนและลืมเลือนไปกับยุคสมัย จนตอนนี้เหลือวิธีใช้เพียงไม่กี่ข้อที่พิสูจน์ว่าเป็นความจริง คัมภีร์เลยเริ่มกลายเป็นสิ่งลึกลับแล้ว”
คิมร้องอืมม์ รับกาแฟจากบริกรสาวแล้ววางไว้บนโต๊ะพลางคนมันไปด้วย “งั้นนายก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรอ คัมภีร์ของนายมีแค่นายคนเดียวที่รู้วิธีใช้ และพวกฉันก็ไม่ไปบอกใครหรอกจริงมั้ยลลิต?”
“จ้ะ” เธอยิ้ม
กวีถอนหายใจ “ฉันเคยเกริ่นให้นายฟังเกี่ยวกับเรื่องอำนาจของคัมภีร์ไปแล้วใช่มั้ย เรื่องที่ว่าคัมภีร์แผ่อำนาจออกมาจากตัวของมันเอง มากระตุ้นสัญชาตญาณของมนุษย์ให้เกิดความโลภ กระหาย โทสะ และอะไรต่างๆนานา”
ลลิตนึกขึ้นได้ “เหมือนอย่างที่ธารินเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังจากสัมผัสกับคัมภีร์”
“ใช่ เมื่ออยู่ใกล้หรือมองเห็นชิ้นส่วนของคัมภีร์มนุษย์จะเริ่มรู้สึกถึงความกระหายประหลาดลึกๆ และเมื่อได้สัมผัสกับมันโดยตรง อำนาจจะเข้าสู่จิตใจและตอนนั้นก็จะถูกสัญชาตญาณตัวเองควบคุม กระทำอะไรบางอย่างที่ใจอยาก พูดง่ายๆต่อให้คนที่ครอบครองมันไม่รู้วิธีใช้ หมอนั่นก็ถูกคัมภีร์ควบคุมให้ทำอยู่ดี”
คิมหันต์ขนลุกไม่รู้ว่าเพราะอากาศเย็นๆหรือว่าเรื่องที่กวีกำลังเล่าให้ฟัง แต่มันก็แย่พอกันทั้งคู่ “แต่...พวกเราก็เคยสัมผัสกับมันมาแล้วครั้งนึงนี่นา ไม่เห็นจะรู้สึกผิดแปลกอะไรเลย จริงป้ะลลิต”
“อื้อ...นั่นสิ”
“อำนาจของมันก็เหมือนยานั่นแหละ อาศัยเวลาในการออกฤทธิ์อย่างช้าๆและแทบไม่รู้ตัว ฉันไปพบพวกนายทันเวลาก่อนที่พวกนายจะโดนควบคุม เมื่อพวกนายอยู่ใกล้เจ้านี่...” กวีล้วงกางเขนเล็กๆที่ห้อยไว้ตรงคอออกมา มันเป็นกางเขนสีเงินไร้พิษสงที่เขาเคยให้ดูก่อนหน้านี้ “มันคอยสกัดพลังจากคัมภีร์ไว้ พวกนายก็เลยไม่ได้รับผลกระทบจากคัมภีร์”
“แล้ว...เราแก้อำนาจของคัมภีร์ด้วยกางเขนนั่นโดยตรงไม่ได้หรือ” ลลิตถาม
คิมส่ายหน้า “เดาว่าไม่น่าจะได้นะ ถ้าทำได้ธารินก็คงไม่เป็นแบบนั้นหรอก...” แต่กว่าจะรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก็แทบตะครุบปากตัวเองไว้แทบไม่ทัน คิมหันรู้สึกอยากเอาอะไรกระแทกปากตัวเองแรงๆ จึงหยิบกาแฟขึ้นมาซดทั้งๆที่มันยังร้อนอยู่
กวีพยักหน้า คิมรู้สึกโล่งใจนิดๆที่เขาไม่ได้แสดงอาการโกรธตอนที่เขาปากพล่อยไปพูดเรื่องเพื่อนเก่าที่แตกหักไปแล้ว “ถูกต้องทำไม่ได้ มันเหมือนถูกหนามทิ่มแล้วทายาแก้ปวด ทายังไงหนามมันก็ไม่ออกมาหรอก ดังนั้นปัญหานี้เลยน่าเป็นห่วง ใจความในบล็อกที่ฉันเปิดให้พวกนายดูแม้ไม่ได้ส่อถึงแววอันตรายซึ่งเจ้าของโพสต์ข้อความทำนองว่าเจอใบปลิวประหลาดปลิวมาที่บ้านตัวเอง เขาหยิบมาและเพื่อนๆเขาบางคนก็เจอเหมือนกัน เลยมาถามว่าใบนี้คืออะไร แต่สังเกตข้อความนี้สิ...”
“เพื่อนๆเขาบางคนก็เจอเหมือนกัน” ลลิตทวนอย่างเอะใจ
“แปลว่า...มีคนเจอมันมากกว่าหนึ่งคนแล้ว” คิมร้อง รู้สึกถึงความเครียดน้อยที่ก่อตัวขึ้น เขาอยากจะอ้วกทุกครั้งที่จินตนาการว่ามีใครต้องตายไปเพราะคัมภีร์ประหลาดนั่นบ้าง “ขอฉันทำอะไรหน่อยได้หรือเปล่า” คิมเอื้อมไปยกโน๊ตบุคมาไว้ข้างหน้าตน ทำอะไรสักอย่างอยู่กับคีย์บอร์ดสักนาทีกว่าๆและทันใดนั้น หน้าจอสีดำก็แสดงผลออกมาอย่างรวดเร็ว
“อะไรหรอคิม” ลลิตถามอย่างใคร่รู้
“อา...ตายละ” อีกฝ่ายอุทาน “มีรูปภาพที่คล้ายกันอยู่ 25 รูปภาพ และมีการดาวน์โหลดรูปภาพทั้ง 25 รูปไปแล้วกว่า 1200 ครั้ง”
กวีไม่แสดงอาการอะไร ราวกับเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว นี่เขามักจะนิ่งได้ทุกสถานการณ์และหัวเราะใส่คนที่พ่ายแพ้ทุกครั้งแบบนี้เลยหรอ คำถามนี้ดังเบาๆในใจของลลิต ก่อนเธอจะพูด “แต่ต่อให้ดาวน์โหลดมาปริ้นท์ใส่กระดาษ มันก็ใช้การไม่ได้เหมือนของจริง” เสียงของเธอขาดห้วง จินตนาการว่าถ้าเธอคิดผิดล่ะ “ใช่มั้ย?”
“เธอคิดว่าไงล่ะ เธอว่าคัมภีร์ที่สืบทอดกันมากว่าพันปีแล้วจำเป็นต้องใช้ทุกๆปี เธอว่ากระดาษมันจะไม่หมดเล่มบ้างหรอ...” กวีกล่าว
“งั้น...” คิมพึมพำ
“ใช่...มันทำการคัดลอกได้”
คำตอบเย็นๆของกวีทำให้คิมขนลุกซู่ ภาพของคราบเลือด ศพแมว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้วแวบเข้ามาในหัว ลองจินตนาการว่าไม่ใช่ศพแมวสิ ลองจินตนาการว่าพรพิสดารแบบไหนจะถูกขออีก ลองจินตนาการว่าจะมีใครต้องตายเพราะคัมภีร์นี่บ้าง ลองจินตนาการผลเสียที่ร้ายแรงกว่าเดิมสักหนึ่งพันสองร้อยเท่าสิ นี่มันใกล้เคียงกับคำว่าหายนะแล้ว!
“งั้น! เราต้องรีบหยุดมัน!” คิมหันต์โพล่งเสียงดัง “ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป”
“ถูกของคิมนะ ตอนนี้อาจจะยังไม่สายก็ได้” ลลิตเห็นพ้อง แต่กวีไม่ได้แสดงอาการดีใจออกไป เขากลับมองทุกอย่างเป็นความสิ้นหวัง
“ไม่หรอก...มันสายไปแล้วล่ะ ดูรอบๆตัวพวกเธอสิ”
ทันใดนั้นเองทุกอย่างดูราวกับจะหยุดส่งเสียง ไม่มีเสียงเพลงเบาๆดังคลอในหูคิมหันต์อีกแล้ว ไม่มีเสียงกรุ๊งกริ๊งของถ้วยกาแฟกระทบกับจานรอง มีเพียงแต่เสียงเปาะแปะอันแสนอ่อนเพลียที่พักนี้เขาได้ยินเสียจนชินหูจากข้างนอกนั่น ใช่แล้ว...ฝนกำลังพรำตกลงมาเนิ่นนานกว่าที่ควรจะเป็น เป็นวัน สัปดาห์ จนตอนนี้เป็นเดือนและอาจจะเนิ่นนานตลอดกาล นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยสำหรับกรุงเทพมหานคร
“ตายจริง...มีใครขอพรให้ฝนตกตลอดกาล!” ลลิตอุทานค่อยๆ มองเม็ดฝนที่โปรยอยู่นอกบานกระจกราวกับมันเป็นแมลงสาบนับพันตัวที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
“จริงด้วย...ไม่ได้การแล้วนะกวี เราจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี!” คิมหันต์พูดอย่างร้อนใจ
“ฉันไม่รู้...” กวีตอบเบาๆ มองออกไปยังสายฝนอย่างเลื่อนลอย “ฉันไม่รู้ควรจะทำยังไงดี” สายตาของเขาสะท้อนภาพความทุกข์ออกมาแวบนึง ลลิตเห็นมันอยู่ในดวงตานั้นและก็เป็นวินาทีเดียวที่เธอรู้สึกเข้าใกล้กับความอ่อนโยนของคนตรงหน้า
“ถ้ามีอะไรที่เราพอจะช่วยได้ก็บอกนะ ฉันสามารถสืบเรื่องจากคอมพิวเตอร์ได้” คิมหันต์เสนอตัว
“เอ่อ...ถึงฉัน...ถึงฉันจะไม่เก่งอะไรสักอย่างก็เถอะ แต่จะช่วยเท่าที่ช่วยได้นะกวี” ลลิตยิ้มน้อยๆให้เขา แต่ดูเหมือนกวีจะไม่รับรอยยิ้มของเธอเลย เขากลับถอนหายใจออกมาแล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆที่ฟังดูน่าสิ้นหวัง
“ก่อนอื่น...ฉันคงต้องตอบคำถามที่คาใจพวกนายอยู่เป็นเดือนก่อนที่ฉันจะขออะไรกับพวกนาย...” ทั้งสองคนนิ่งเงียบเพื่อฟัง “...ว่าเพราะอะไรฉันจึงกลับมาจากความตายได้”
ทั้งบริเวณเงียบไปชั่วอึดใจ คิมหันต์เกือบลืมคำถามนี้ไปเสียแล้ว จนตอนนี้กวีกลับอาสาจะเป็นคนที่ตอบมันเสียเอง “ฉัน...เป็นผู้ขอพรจากซาตาน”
มันเป็นความรู้สึกชนิดที่ว่าถูกฟาดที่ไม้เบสบอลที่หัว คิมหันต์รู้สึกถึงแรงกระแทกในสมองตอนที่กวีเฉลยออกมา ความคิดแตกกระจายอย่างรวดเร็ว มันเริ่มวาดภาพกวีกำลังสังหารใครบางคน ชโลมเลือดลงบนคัมภีร์น่ากลัวนั่น แล้วขอพรให้แสงสว่างสีแดงวาบขึ้นตรงเท้าและเขาก็กลายเป็นคนละคน กลายเป็นปีศาจที่คิมหันต์เอื้อมไม่ถึง ไม่นะ ไม่นะ ขอให้คำตอบของเขาไม่ได้เป็นแบบที่คิมคิดเลย
“ตระกูลของเรา เซ็นต์เควลเรียล มีทำเนียมอย่างหนึ่งที่ต้องทำกันทุกๆปี นั่นก็คือการใช้คัมภีร์นั้นเพื่อต่อชีวิตให้แก่โลกนี้ เชื่อกันว่าหากคัมภีร์ไม่ได้ถูกหยิบมาใช้เกินหนึ่งปี ซาตานจะเริ่มเป็นคนลงมือเองและส่งผลที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่า ด้วยที่ตระกูลเราเป็นตระกูลใหญ่และมีผู้คนมากมาย ผู้ที่ใกล้ตายหรือมีโรคเจ็บป่วยอยู่จะสละชีวิตตัวเองเพื่อให้ผู้นำตระกูลยุคนั้นเป็นผู้ถือพรซึ่งการกระทำเช่นนั้นนับเป็นเกียรติสูงสุดและวิญญาณจะได้ขึ้นไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า ทุกปีจะต้องมีคนตาย แต่ผู้นำตระกูลในยุคนั้นไม่ได้ใช้พรที่ได้มาเพื่อตัวเอง เขามอบพรให้กับคนอื่นในตระกูล พรที่ได้มานั้นจะต้องถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังวิเศษแต่ละอย่าง เพื่อพิทักษ์ความสงบสุขต่อไป”
“แปลว่าพรสามารถส่งมอบให้กันได้ แล้วนายก็มีพลังจากพรนั้นด้วยงั้นหรอ” ลลิตถาม
“ใช่”
“โล่งอกไปที่นายไม่ได้ไปฆ่าใครมา แล้วคนอื่นๆในตระกูลนายล่ะ พวกเขาน่าจะช่วยเราได้นะ” คิมถามอย่างมีความหวัง
“ตายหมดแล้ว”
คำตอบที่เรียบและง่าย คิมหันต์อ้าปากค้างและในสมองก็คิดถึงสภาพของกวีที่เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว คำว่าตายหมดแล้วนี่คงจะครอบคลุมถึงพ่อและแม่ของเขาด้วย นั่นตอบได้มากว่าเขานั้นโดดเดี่ยวขนาดไหนตลอดเวลาที่ผ่านมา “เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่ลอนดอนเมื่อตอนฉันยังเด็ก ไฟไหม้คฤหาสน์ในวันประชุมใหญ่ของตระกูล ญาติจากทั่วสารทิศเดินทางมาเพื่อรอวันนี้ เป็นวันที่หาลือกันว่าใครจะอาสาเป็นผู้บูชายัญ แต่เกิดการขัดแย้งกันขึ้นและถ้าไม่มีการบูชายัญในวันนั้นของทุกปี ซาตานจะปรากฏตัว”
“แล้ว...”
“ใช่ไม่มีใครอาสาเลย เกิดอาเพศร้ายแรงขึ้นและทำลายคฤหาสน์เสียจนสิ้น ราวกับว่าซาตานรอคอยเวลานี้มานานแล้ว เวลาที่จะทำลายตระกูลที่เป็นก้างชิ้นโต ทุกคนตายในกองเพลิง ไม่เว้นแม้แต่พ่อของฉันซึ่งตอนนั้นเขาเป็นผู้นำตระกูล ก่อนตายเขาได้ส่งมอบพรสามข้อให้กับฉัน”
การสนทนาเงียบและอึมครึมมันดูเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับสายฝนเลยทีเดียว “ฉันได้พรมาสองข้อเท่านั้น แต่พรอีกข้อนึงพ่อของฉันได้ขอไปก่อนหน้านี้แล้ว”
“มันคือการ...ขอให้นายเป็นอมตะ” ลลิตเดา
กวีพยักหน้าค่อยๆ “ใช่...ฉันหนีออกมาจากกองเพลิงด้วยอำนาจของพรนั้น...”
หนีออกมาจากกองเพลิง คำนี้เป็นคำที่ดูน่ากลัวมากสำหรับคิม มันบอกในใจความสั้นๆว่าเขาคงเดินออกมาจากเพลิงทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ เผชิญกับความเจ็บปวดแสนสาหัสชนิดที่ว่าความตายอาจจะดูสบายเสียยิ่งกว่า
และใช่...ความเจ็บปวดตอนร่างกายค่อยๆแหลกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อตกจากตึกเจ็ดชั้นอย่างแรง กระดูกทุกส่วนหัก อวัยวะภายในทะลักออกมา เขาไม่ได้ตายไปเลยแต่ยังคงแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้ตลอดมา แล้วระหว่างนั้นคิมหันต์กับลลิตกำลังทำอะไรอยู่น่ะหรอ เผชิญกับความทุกข์ที่เทียบกับกวีไม่ได้เลย คิมหันต์รู้สึกเกลียดตัวเองเมื่อรู้เช่นนี้แล้ว
พรของกวีไม่ได้เรียกว่าพรวิเศษเลยสักนิด มันดูเหมือนเป็นคำสาปเสียมากกว่า
“เอ่อ...ฉันขอโทษนะ ไม่นึกว่านายจะทนมาได้ขนาดนี้” ลลิตพูดออกไปอย่างอ่อนโยน คิมอยากจะพูดได้แบบเธอบ้างแต่เขากลับรู้สึกจุกราวกับเป็นใบ้
กวีไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาแค่เปรยขึ้นมาเบาๆว่า “นายเอาของที่ฉันฝากไว้มาหรือเปล่าคิม”
คิมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ มือควานหาในกระเป๋ากางเกงอย่างร้อนรน แล้วไปเจอเข้ากับมีดคัตเตอร์สีน้ำเงินเข้มที่กวีเลยให้เขาเมื่อเดือนที่แล้ว ตอนที่กำลังขึ้นไปเพื่อเจอกับธารินนั่นเอง “มีดนี่น่ะหรือ”
“ใช่...โชคดีที่นายเอามา มันเป็นสิ่งเดียวที่จะฆ่าฉันได้ เราเรียกมันว่า ‘หอกแห่งชะตากรรม’”
“อะไรนะหอกในตำนานนั่นน่ะหรอ!” ลลิตอุทานเสียงดัง
“มันคืออะไรหรอทำไมต้องทำเสียงตกใจด้วย” คิมถามอย่างใคร่รู้
“ปลายหอกที่ต้องกายของบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้า เอ่อ...มันศักดิ์สิทธิ์มากๆน่ะเหมือนดั่งมีโลหิตของพระเจ้าหลั่งทาไว้ ใครก็ตามที่ครอบครองหอกนี้ไว้จะสามารถมีชัยชนะเหนือทุกสิ่ง...แต่มันหายไปหลายพันปีแล้วว่ากันว่าคนดังๆในประวัติศาสตร์โลกครอบครองสิ่งนี้เอาไว้” ลลิตอธิบาย เสียงแหบพร่าด้วยความกดดันของเนื้อหา
“จริงหรอ...ไอ้คัตเตอร์นี้เนี่ยนะ” คิมหันมองอย่างไม่เชื่อสายตา ขยะแขยงน้อยๆกับสิ่งที่ถือไว้ในมือ นี่เขาเพิ่งใช้หอกแห่งชะตากรรมนี่ตัดฟิวเจอร์บอร์ดไปเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนอยู่เลย ยิ่งคิดถึงก็ยิ่งรู้สึกอยากจะขอขมาดังๆสักสองสามที
กวีพยักหน้า “ตระกูลเราต้องสูญเสียพรหลายข้อเพื่อได้ครอบครองหอกเล่มนี้เอาไว้ เราเปลี่ยนรูปของมันไว้เรื่อยๆตามยุคสมัยเพื่อซ่อนมันจากทุกคนโดยเฉพาะซาตาน”
“โห...งั้นนายเอากลับไปเลยไอ้ของแบบนี้” คิมหันต์วางมันไว้บนโต๊ะทันที รู้สึกเหมือนกับมันเป็นสิ่งล้ำค่าที่แค่มองก็อาจทำให้หมองได้
“ฉันต้องให้นายเก็บไว้นั่นแหละ เพราะฉันต้องให้พวกนายช่วยอะไรอีกเยอะเลย ส่งมือมานี่สิ”
ทั้งลลิตและคิมยื่นมือมาข้างหน้าไว้กลางอากาศ กวีค่อยๆโอบฝ่ามือของทั้งสองเอาไว้คนละข้างและทันใดนั้น อากาศรอบๆก็พลันดูอึดอัดขึ้นถนัดกาย แสงสว่างสีแดงแล่นจากมือของกวีเข้าสู่มือของอีกสองคน ทั้งสองนิ่งอึ้งและกวีก็ค่อยๆคลายมือออกแล้วพูด “ฉันส่งมอบพรให้พวกนายคนละข้อแล้ว และจากนี้จงใช้พรนี้เพื่อหยุดหายนะที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันขอสัญญาว่าจะไม่ให้พรเหล่านั้นสูญเปล่า” กวีพูดอย่างหนักแน่น ช่างทรงพลังเสียจนลลิตรู้สึกขนลุก เธอจึงยิ้มหวานให้เขาเป็นคำสัญญา
ส่วนคิมนิ่วหน้าเครียด เม้มปากและพยักหน้าอย่างช่างใจ เขาไม่ค่อยรู้สึกสบายใจที่จะต้องแบกรับพรที่แลกมาด้วยชีวิตคนอื่นแบบนี้ ยิ่งเป็นชีวิตของพ่อของกวีด้วยแล้วล่ะก็ เขาก็ยิ่งเห็นว่ามันมีคุณค่าและกวีควรจะเก็บไว้กับตัวเองมากกว่า แต่ความมุ่งมั่นของกวีก็เห็นได้ชัด เขาอยากให้คิมหันต์และลลิตช่วยจริงๆ คิมไม่อยากปฏิเสธในข้อนี้จึงยิ้มเพื่อเป็นการสัญญาว่าเขาจะไม่ให้พรของพ่อกวีสูญเปล่าเลย
เมื่อเวลาดำเนินมาถึงคิมมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองแล้วลุกขึ้น เก็บมีดคัตเตอร์ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นหอกแห่งชะตากรรมใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง หันไปมองหน้าเพื่อนทั้งสองแล้วพูด “ฉันจะช่วยนายเต็มที่เลยนะกวี ฉันสัญญา...แต่ตอนนี้ฉันมีนัดกับคนอื่นนิดหน่อย ไว้เจอกันอีกนะ”
“มีนัดหรอ นัดกับใครไว้น่ะ” ลลิตถามอย่างสนใจ
“อ๋อ...แค่เพื่อนในเน็ตน่ะ” คิมหันต์ยิ้มหวานเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเขาก็วิ่งออกไปจากร้านกาแฟ มุ่งตรงไปที่ไหนสักแห่งที่กวีและลลิตมองตามไปไม่ถึงอีกแล้ว
ความคิดเห็น