ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #1 : #chapter1 คืนชีพคัมภีร์มรณะ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 55


    เรื่องบ้าๆเกิดได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งคาบว่างหลังพักทานอาหาร ณ โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง  เสียงจอแจของนักเรียนในห้องเคล้าไปกับเสียงพัดอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจของพัดลมแขวนเพดานตัวเก่าๆที่ทำท่าจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่  การที่คาบนี้ถูกปล่อยให้ว่างเห็นทีจะไม่ว่างเท่าไหร่สำหรับการนอนกลางวัน  เมื่ออยู่ๆหัวหน้าห้องที่เหมือนจะหายไปไหนมาทั้งวันวิ่งเข้ามาในห้องเรียนหน้าตาตื่น

    “นี่ครูฝากมาบอกว่ารายงานเรื่อง สงครามโลกครั้งที่สอง อะไรนั่นน่ะ  ส่งเย็นนี้นะ! รู้เปล่า”

    “ฮะ” เพื่อนคนนึงในห้องถึงกับโพล่งขึ้นมาสุดเสียงในขณะที่เกมส์การ์ดที่กำลังเล่นอยู่ถูกปัดจนเกลื่อนพื้น

    “อื้มครูเค้าว่ามางี้” หัวหน้าห้องสาวใส่แว่นหยักหน้ายืนกราน

    “เฮ้ยเพิ่งสั่งเมื่อวานเองไม่ใช่หรอ  ไหงให้ส่งเร็วเงี้ยะ!” อีกคนโพล่งตาม

    “เออรีบไปไหนวะ  รายงานไม่ใช่เล่มบางๆ” อีกเสียงเสริม

    “ก็ครูเค้าบอกว่าต้องไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัดนี่ต้องตรวจให้เสร็จก่อนเย็นนี้  คะแนนก็จะส่งแล้วด้วย!” เธอว่าเสียงแจ๋นราวกับจะปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเธอซักหน่อย 

    “โห่  ญาติตายก็ตายไปดิวะเกี่ยวอะไรกับนักเรียนเนี่ย  ฮ่วย!” คนนึงบ่นอิดออด แล้วก็ตามมาด้วยเสียงบ่นครืนครานของนักเรียนร่วมสี่สิบชีวิต  แต่ใครจะสนว่าหนึ่งในนั้นยังมีคนๆนึงที่ยังฟุบศีรษะอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง  ทิ้งแก้มนิ่มๆสัมผัสกับโต๊ะเรียนโสโครกที่เต็มไปด้วยรอยของน้ำยาลบคำผิด  รอคอยเวลาที่จะตื่นจากการเฝ้าพระอินทร์และกลับบ้านไปนั่งเล่นเกมส์

    “แจ๊บ แจ๊บ” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายกลับก่อนที่มันจะย้อยลงมาเปรอะโต๊ะ  เขาหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้  คงจะหลังจากกินข้าวเสร็จเลยก็ได้มั้ง  ด้วยการที่โต๊ะที่เขานั่งอยู่เป็นโต๊ะที่อยู่ท้ายห้องขวาสุดติดริมหน้าต่าง  แสงแดดอ่อนๆที่ถูกร่มไม้บังไว้ทำให้บริเวณนี้มันช่างร่มรื่นจนน่าอิจฉา  สารภาพตามตรงว่าตรงนี้มันนอนสบายกว่าเตียง 16 ฟุตที่บ้านตัวเองเสียอีก

    “คิม” คิมหันต์ถูกปลุกด้วยมือของเด็กหญิงผู้ร่วมชั้นคนหนึ่ง  เธอมีหน้าตาที่น่ารักทว่าถูกปรกด้วยปอยผมสีน้ำตาลที่ตัดมาไม่เท่ากันตรงหน้าผาก  มันสูงๆต่ำๆและถูกซอยสั้นเป็นย่อมๆ  บางส่วนก็ตัดเป็นหน้าม้า  บางส่วนก็ปล่อยไว้ยาวเป็นปอย  เรียกได้ว่าเธอกำลังตัดผมทรงบ็อบเทผสมปนเปไปกับทรงหนูแทะก็คงจะไม่ผิด  แต่เหนือสิ่งอื่นใด  เธอกำลังมัดจุกใหญ่ๆไว้ที่ข้างขวาของศีรษะซึ่งดูอุบาทว์ไม่น้อย  คิมหันต์ช่างสงสัยเหลือเกินว่าอะไรกันที่ดลใจให้สาวสวยน่ารักประจำห้องถึงกับละเลงตัดผมตัวเองจนไม่เป็นทรง  มันดูน่าเกลียด  แต่มันก็เป็นสไตล์ของเธอ  จะว่าไงดี  เรียกว่า  ผู้หญิงที่ชื่อ ลลิตา ตรงหน้าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอนั้นน่ารักอย่างไม่ต้องพยายาม

    “คิมๆ  มีกลุ่มยัง” เธอเรียกด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายๆ  เธอคงเบื่อเสียงครืนครานของผู้คนกว่าสี่สิบชีวิตในห้อง  จึงเดินมาหาคนที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอย่างคิมหันต์  ไอ้ขี้เซาประจำห้อง

    “เห...”

    “เค้าให้จัดกลุ่มอ่ะ  จัดกลุ่มทำรายงาน”

    “คุณหนูลิตยังไม่มีกลุ่มหรอครับ” คิมยิ้มเยาะๆ  หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางเงยหน้ามอง หนูลิตที่ยืนค้ำศีรษะอยู่  ตลอดมาเธอเป็นเด็กหญิงน่ารักดูห้าวหาญที่มาพร้อมกับทรงผมแปลกๆไม่ซ้ำทรง  เธอไม่มีเพื่อนผู้หญิงคบด้วย  และชอบไปตบกระบาลพวกผู้ชายในห้องเล่นอยู่บ่อยๆ  เธอเป็นลูกคุณหนูที่ดูไม่คุณหนู  จะว่าไงดี....คาแร็คเตอร์เธอไม่แน่นอนเท่าไหร่

    “ไอ้คิมลลิตก็พอย่ะ  ลลิต  ใครเรียกว่าหนูลิตแม่มีตบ” ลลิตโวย

    “เอ๊า...ก็เรียกตามบัตรประชาชนเธออ้ะ  ชื่อหนูลิตมาโดยกำเนิดไม่ใช่หรอ  หรือว่าไม่ชอบ” ลิตหน้าแดงทันทีตอนคิมแซวเข้าให้  ดูเหมือนเธอจะยังคงจำได้ดีว่าตอนเปิดเทอมวันแรกเธอโดนเพื่อนผู้ชายในห้องล้อเรื่องชื่อจริงขนาดไหน  ทันทีที่เธอแนะนำตัวเสร็จ  คำว่า “หนูลิต” ก็กลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ รูม ของห้อง  แม้จริงๆแล้วเธอจะเพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็นลลิตาได้เมื่อไม่นานมานี้  แต่ดูเหมือนความประทับใจครั้งแรกจะเปลี่ยนกันยาก

    “นี่...ตกลงมีกลุ่มหรือยังไม่มี  จะอยู่หรือไม่อยู่หือ!” ลลิตขึ้นเสียง  แต่คิมกลับยิ้มกรุ้มกริ่ม  ในสายตาของคิมนั้น  ลลิตเป็นคนที่ดูน่ารักแต่ก็ไม่หยิ่ง  เธอเหมือนทอมแต่ก็ไม่ใช่  เพราะฉะนั้นเธอจึงเข้าได้กับพวกผู้ชายมากกว่าผู้หญิง  และเธอก็ไม่ห่วงสวยด้วยที่จะโดนพวกผู้ชายขยี้หัวและวิ่งไล่จับ  นั่นแหละคือเสน่ห์ของเธอ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคิมจะชอบเธอได้ลงหรอกนะ

    “เอ่อ...ยัง  ยังไม่มี  เอาเป็นว่าอยู่กับ ลลิตก็ได้อ่ะ” คิมหันต์ตอบ  ยังจ้องไปที่จุกเดียวๆของลลิตแบบตาไม่กระพริบ

    “ดี...นายไม่มีทางเลือกอยู่แล้วแหละ  หึหึ  แล้วก็....” เธอลากเสียง  กลอกตาขึ้นมองและพูดต่อ “เจอกันที่ห้องสมุดในอีกห้านาทีนะ  ฉันจะไปเตรียมกระดาษนิดหน่อย”

     

    กลิ่นในห้องสมุดชวนให้นึกถึงร้านตัดผมตอนติดแอร์ยามค่ำๆ  มันชวนให้ฝันด้วยกลิ่นของกาแฟสดที่ลอยมาแตะจมูก  กลิ่นของกระดาษเก่าๆ  และคลื่นเหียนแปลกๆเวลาเดินผ่านชั้นหนังสือหลากสีเรียงรายกันเป็นทาง  มันชวนให้มึนหัวแปลกๆจนอยากจะฟุบไปกับโต๊ะไม้เย็นๆ ที่ตั้งขนาบกับชั้นวางหนังสือเหลือเกิน

    คิมหันต์ทิ้งกายลงบนเก้าอี้ไม้เย็นๆและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่ดูอยู่สูงกว่าเก้าอี้ธรรมดา  เขาขดหลังลงและแนบหน้าผากติดกับโต๊ะเย็นๆพลางคล้อยตาปิดลง

    แต่ทันใดนั้นเองเขาก็ต้องเงยหน้าออกจากอ้อมแขนตัวเอง  เมื่อรู้สึกถึงเสียงรื้อค้นหนังสือที่ดังอยู่ไม่ไกล  ความคิดแรกเขาคิดว่าลลิตคงตามมาแล้ว  แต่ไม่ใช่  ใครคนนั้นอยู่ข้างหลังชั้นหนังสือตรงหน้าของคิม  เขาไม่สามารถมองเห็นว่าเป็นใครหน้าตาเป็นยังไง แต่เมื่อมองจากช่องห่างของหนังสือที่ถูกหยิบไป  ใครคนนั้นคงไม่ใช่ผู้หญิง

    คิมหันต์จะไม่ติดใจอะไรเลยถ้าไม่ใช่ว่าคนๆนั้นมีท่าทีลุกลี้ลุกลนผิดปกติ  เงาของหมอนั่นที่คิมหันต์พอจะมองเห็นกำลังมองซ้ายมองขวาอยู่อย่างครั่นคร้ามเหมือนกำลังกลัวใครมาเห็นพฤติกรรมที่ตนกำลังทำอยู่  และทันใดนั้นเองเขาก็ค่อยๆสอดหนังสือที่มีสันเก่าๆสีน้ำตาลหนาเตอะเข้าไปในช่องว่างของหนังสือและคิมก็ไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกต่อไป  คิมนึกสงสัยเล็กน้อย  แต่การที่จะลุกขึ้นไปและไปแส่ว่า “เฮ้  คุณกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย  อย่าบอกนะว่ามาจิ๊กหนังสือ” ก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่  คิมจึงคิดว่าควรรอสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าหมอนั่นไปไกลๆและจึงละเลงความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองอย่างเต็มที่

    “มาแล้วขอโทษทีมาช้าไปหน่อย”

    เป็นเสียงของลลิตที่ดังขึ้นมา  คิมหันควับไปทันที  เขาเห็นเธอหอบเอากระดาษรายงานปึกใหญ่จนน่าตกใจมาด้วย  คิมคิดทันทีว่าเธอต้องล้อเล่นแน่ๆที่จะต้องเขียนให้หมดปึกแบบนั้น

    “นี่มันเลยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหลายทศวรรษแล้วนะคุณหนูลิตไม่จำเป็นต้องทำรายงานแบบย้อนยุคเขียนเองทีละบรรทัดแบบนี้ก็ได้มั้ง!

    ลลิตค้อนตาเขียว “อะไรทำงานแบบเป็นระบบน่ะไม่รู้จักหรอ  สรุปจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้แล้วค่อยไปคัดกรองเอาอีกที”

    พรวดคิมหันต์ถึงกับสำลักลมหายใจด้วยความขบขัน  เขากลั้นหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆว่า “นี่เธอไม่รู้จักอินเตอร์เน็ตจริงๆหรือเปล่าเนี่ยะสมัยนี้เค้าไม่ทำกันแล้วนะเข้าห้องสมุดมานั่งสรุปเขียนเอง  ในอินเตอร์เน็ตมีครบ!

    “ไม่เอา...จะให้ไปนั่งค้นจากแหล่งข้อมูลเดิมๆกับพวกขี้เกียจสันหลังยาวแบบนักเรียนสมัยนี้อ่ะหรอบ้าเหอะ  ทำงานแบบเป็นระบบหน่อยได้มั้ย  ระบบอ่ะ  ระบบรู้จักมั้ย!

    “รู้จักแต่ระบบปฏิบัติการณ์วินโดว์อ่ะ  ฉันมันง่ายกว่าระบบสลักลายแทงแบบเธออีก”

    “พวกขี้เกียจ!

    “หัวโบราณ!” คิมหันต์ปลิ้นตาใส่  ตอนแรกเขานึกว่าจะโดนปึกกระดาษแบบระบบปฏิบัติการลายแทงฟาดกระบาลซะอีก  แต่ลลิตกลับวางมันลงแรงๆและกระแทกเท้าไปยังชั้นหนังสือตรงหน้าคิมหันต์อย่างไม่สบอารมณ์นัก

    เธอก้มตัวมองหาหนังสือบนชั้นแล้วหยิบมาสองสามเล่ม  คิมหันต์มองไปก็อมยิ้มไป  นึกตลกในความหัวโบราณของลลิต  และคิดในใจว่าเธออาจจะตายด้วยเชื้อราตามหนังสือเก่าเข้าสู่ร่างกายก็เป็นได้  ซึ่งมันน่าเป็นห่วงอยู่

    หนังสือกองหนึ่งถูกวางลงแรงๆตรงหน้าคิมหันต์  แล้วลลิตก็กลับไปวุ่นอยู่กับชั้นหนังสือชั้นเดิม  เธอกลับมานั่งลงตรงหน้าคิมหันต์แล้วเสือกเก้าอี้ให้มาชิดกับโต๊ะ  นั่งหลังตรงและเริ่มจัดแจงพลิกเปิดหนังสือทีละเล่ม

    “ให้ช่วยอะไรหรือเปล่า” คิมถาม

    ความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา  ลลิตก้มหน้าอ่านหนังสือเก่าๆอย่างจริงจัง  พลิกไปพลิกมาแล้วก็เลื่อนมันไปข้างๆตัวเป็นการคัดเลือก

    “ไม่ให้ช่วยฉันหลับละนา”

    ลลิตยังก้มหน้าอยู่  เธอเลื่อนหนังสือเล่มหนึ่งมาตรงหน้าคิมหันต์  และหันไปจดจ่อกับหนังสือเล่มเดิมของตัวเอง

    คิมหันต์สังเกตเห็นมือของลลิตที่เปรอะคราบอะไรบางอย่างเยิ้มๆแดงๆ  มันเป็นสีแดงคล้ำเปรอะตรงบริเวณนิ้วและปลายเล็บ  คิมหันต์คงมองไม่ผิดว่ามันเป็นเลือด  เขาจึงร้องทักมาด้วยความแปลกใจ “เฮ่ย...ลลิต”

    “อะไร!  ก็ถามเองว่ามีไรให้ช่วย  ยังจะมา...”

    “เปล่ามือไปโดนอะไรมา  เลือดเต็มเชียว”

    “ไหน...” ลลิตมองดูที่มือของตัวเองทั้งสองข้าง  และจู่ๆสายตาเธอค้างเติ่ง  เธออ้าปากพะงาบๆเหมือนจะคว้าลมหายใจ “ป...เปล่านะ  ฉันไม่ได้เป็นอะไรนะ”

    “แล้วเลือดมาจากไหนเล่า!

    เธอกลอกตาสั่นๆไปทั่ว  มองดูหนังสือสิบกว่าเล็มที่เธอหยิบออกมา  ความคิดแรกของเธอคือหมึกหนังสือเก่าๆคงเยิ้มด้วยความร้อนและไหลลงมาเปรอะมือเธอ  แต่กลิ่นคาวคลุ้งนี่สิที่น่าหวาดหวั่น  มันเป็นกลิ่นที่คุ้นและน่าคลื่นไส้จนน่าสะอิดสะเอียน  โชยมาจากหนังสือสันสีน้ำตาลเก่าๆที่ลลิตเผลอหยิบติดมา  สันของมันนั้นเปื่อยยุ่ยจากการเก็บอันยาวนานของกาลเวลา  แถมยังมีน้ำสีแดงคล้ำไหลเยิ้มออกมาจากหน้ากระดาษหน้าหนึ่ง

    คิมหันต์ค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทามาเปิดในขณะที่ลลิตลุกขึ้นและไปจ้องมองอย่างหวาดกลัวแบบห่างๆ  หนังสือถูกแง้มออกด้วยกลิ่นคาวที่น่าสะอิดสะเอียนกว่าเดิม  ลลิตร้องอี๋ในขณะที่คิมใจรู้สึกตกใจจนตัวชา  หน้ากระดาษสีเหลืองอ่อนถูกชะโลมไปด้วยเลือดชุ่มๆ  เลือดบางจุดก็จับตัวแข็งเป็นก้อนเลือดยุ่ยๆเปรอะอยู่ตามหน้ากระดาษ  คิมหันต์ผละตัวหนีจากหนังสือประหลาดเล่มนั้นสุดตัว

    “ว๊าย!” ลลิตร้อง

    “ชู่ว์เงียบน่ารีบออกไปกันก่อนเหอะ”  คิมหันต์เข้าไปคว้าหนังสือเปื้อนเลือดนั่นเอาไว้  ปิดหน้ากระดาษอย่างระมัดระวังและถือวันไว้โดยพยายามไม่ให้เลือดเปื้อนพื้นหรือตัวของเขา

     

    ทั้งคู่หอบเอาหนังสือเปื้อนเลือดเล่มนั้นออกมาจากห้องสมุดได้อย่างไร้การจับจ้อง  คิมหันต์รู้สึกว่าตัวเองเยือกเย็นพอตัวที่ไมได้กลัวเลือดจนตัวสั่นแบบลลิต  และตอนนี้เธอกำลังถูคราบเลือดที่เปรอะอยู่ตามมือกับกระแสน้ำไหลจากก๊อกราวกับว่ามันเป็นแมลงพิษที่น่าเกลียดน่ากลัว

    “ใครกันนะ  มาเล่นพิเรนท์แบบนี้!” ลลิตบ่นอย่างหัวเสีย  หน้าของเธอเบ้เหยเกในขณะที่เธอกำลังใช้น้ำของโรงเรียนไปเป็นสิบๆลิตร

    “พอแล้วน่า  สะอาดจนไม่รู้จะสะอาดยังไงแล้ว” คิมห้าม

    “สะอาดอะไรกันเล่ายังได้กลิ่นคาวอยู่เลย  ดมสิ”

    มีกลิ่นคาวอย่างที่ลลิตว่าจริงๆ  แต่ว่ามันไม่ได้โชยมาจากมือของลลิต  หรือว่าหนังสือเปื้อนเลือดนั่น  แต่มันอบอวลอยู่ที่ไหนสักแห่งในทางเดินเปลี่ยวๆที่ขั้นสามของโรงเรียนรัฐบาลแห่งนี้  ทางเดินที่อยู่ใต้การฉายของดวงอาทิตย์ยามบ่ายช่างไม่ต่างอะไรกับเวลาโพล้เพล้ที่ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว  กับบรรยากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ  เย็นเสียจนรู้สึกว่านี่เป็นห้องดับจิต

    “คลุ้งมาก  แทบอ้วกแน่ะ” คิมพึมพำ

    “ไม่เอาแล้วนะทิ้งๆมันไปเหอะคิม  แล้วรีบไปทำรายงานต่อ”

    “ยังจะมีอารมณ์ทำอีกหรอ  ไม่เอาหรอก  ถ้ามันเป็นเลือดคนขึ้นมาล่ะถ้ามีใครกำลังเดือดร้อนล่ะ  กลิ่นอยู่แถวๆนี้แหละช่วยๆกันหาเถอะ  ฉันชักอยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่”

    “คิม...”  ลลิตส่งเสียงจะร้องห้าม  แต่เธอก็ไม่อาจขัดปณิธานอันแรงกล้าของเขาได้  คิมค่อยๆก้าวเข้าไปหาประตูห้องเก็บไม้กวาดที่แง้มเปิดไว้ซึ่งมันน่าสงสัยมาก  มองรอดเข้าไปในช่องว่างเล็กน้อยเห็นเพียงความมืดที่น่ากลัว  บรรยากาศที่เย็นเยียบลงทำให้ลลิตต้องถูแขนตัวเองอย่างหนาวสั่น

    กลิ่นหืนของความชื้นและไม้กวาดข้ามทศวรรษโชยออกมา  ทันทีที่ประตูแง้มเปิดกว้างขึ้น  กลิ่นคาวคลุ้งอบอวลเสียจนลลิตรู้สึกอยากจะอาเจียนให้รู้แล้วรู้รอด  มีอะไรอยู่ในนั้น  หัวใจของเธอร่ำร้องอยากเห็นก่อนคนแรกแม้เธอจะกลัวที่สุด

    “ให้ตายสิ  อย่าดูนะลลิต” คิมห้ามเอาไว้

    “อ...อะไร  อะไรคิม!  เป็นใครหรอ!” ลลิตถามเสียงสั่น  ภาวนาในใจว่าไม่ให้เป็น ใครที่เธอรู้จักเลย

    “ไม่ใช่ ใครน่ะสิ  แต่เป็น ตัวอะไรต่างหาก”

    “หมายความว่าไง”

    “เธอรักสัตว์หรือเปล่าล่ะ”

    ลลิตไม่อยากที่จะถามคิมทีละคำถาม  การที่เธอจะได้รู้ให้แน่ชัดก็คือวิ่งเข้าไปดูให้เห็นกับตา  เธอตัดสินใจสาวเท้าเร็วๆเพื่อยืนข้างๆกับคิม  และกลั้นใจมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกล้าหาญ

    ภาพที่เห็นแทบทำให้ลลิตร้องออกมาด้วยความตกใจ  เธอไม่อาจหาคำนิยามอื่นใดนอกจากคำว่า “ก้อนเนื้อ”  มาอธิบายสิ่งที่เธอเห็นได้  ใช่แล้วมันเป็นเพียงก้อนเนื้อเปื่อยยุ่ยที่มีเศษซากของอวัยวะถูกสับอยู่ด้วย  เลือดสดๆชุ่มไปทั่วพื้นเหม็นหืนของห้องเก็บไม้กวาด  ขนสีดำเปรอะและกระจายไปทั่วบริเวณอย่างน่ากลัว  มันเป็นภาพที่ลลิตไม่สามารถจ้องมองได้เกินห้าวินาที  แล้วเธอก็ต้องวิ่งหนีออกไปและโค้งตัวอาเจียนที่อ่างล่างมือแถวๆนั้น

    “โอ้ก! แหวะ...แค่ก!” ลลิตโก่งคออาเจียน  ทว่ากลับไม่มีอะไรออกมาจากลำคอ  เธอน้ำตารื้นเต็มเบ้า  รู้สึกอยากร้องให้แต่ก็ร้องไม่ออก  ทั้งตัวสั่นเทิ้มไปหมด

    “ใครกันนะทำแบบนี้ได้ลง” คิมพึมพำอย่างเจ็บปวด  ไม่อาจนิยามความโหดเหี้ยมของใครก็ตามที่กล้ากระทำสิ่งนี้

    คิมก้มลงเมื่อรู้สึกว่าเท้าไปเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง  ปลอกคอสีเหลืองที่เปื้อนคราบเลือดมีกระดิ่งห้อยอยู่วางอยู่แทบเท้าของคิม  เขาเก็บมันขึ้นมา  ทันทีที่ลลิตได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่ง  เธอก็พลันรู้สึกสงสารมันเสียจนอยากร้องให้ออกมา

    “มันเป็นแมวของภารโรง...” เธอว่า 

    “อ๋อ...ไอ้ตัวนั้นน่ะหรอ” คิมถาม

    “แมวดำที่ชอบเดินผ่านขอบหน้าต่างบ่อยๆ  ไม่นึกว่าจะมีใครเกลียดมันขนาดนี้” ลลิตสูดหายใจเฮือกใหญ่และค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา  เธอหันหลังกลับไปมองหน้าคิมและพยายามตีสีหน้าให้สงบเหมือนเดิม

    “ไม่น่าใช่การเล่นพิเรนท์แล้วล่ะ  เห็นได้ชัดว่าตั้งใจทำออกขนาดนี้” คิมคิดเห็น

    “เจตนาฆ่า...  ฆ่าเพื่อทำอะไรบางอย่าง  การสาปแช่ง  พิธีกรรม  สังเวย  อะไรก็ตามที่น่าเกลียดสุดแสนจะพรรณนา! ลลิตเห็นพ้อง  เห็นได้ชัดว่าเธอเดือดดาลขนาดไหน

    คิมหลับตาลง  พยายามนึกให้ออกว่าสองสิ่งนี้เชื่อมโยงกันยังไง  หนังสือเปื้อนเลือดที่เขาหยิบมาด้วยขณะนี้กำลังวางอยู่ตรงเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้ๆอ่างล้างมือ  กับซากศพของแมวดำที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม  ไปจนถึงหลักฐานล่าสุดที่ตามมาติดๆ

    “เธอว่าอากาศมันเย็นๆชอบกลมั้ยลลิต”

    ลลิตหอบหายใจหน่วงขึ้น  เธอรู้สึกว่าที่แห่งนี้เริ่มหายใจติดขัด  อากาศมันเย็นเสียจนเข้าใกล้กับคำว่าตู้เย็น  เธอพ่นลมหายใจที่เป็นไอน้ำออกมาจากปากพลางจ้องมองหน้าคิมราวกับทั้งคู่เริ่มตระหนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    ทันทีที่มองออกไปนอกหน้าต่าง  เมฆทะมึนเริ่มก่อตัวต่ำๆและดูเงียบงัน  นาทีแรกคิมคิดว่าฝนกำลังจะตกลงมา  แต่ไม่ใช่  ท้องฟ้ามันดูแย่กว่านั้น  มันเงียบเสียจนน่ากลัว  อุณหภูมิลดลงเสียจนรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง  มันหนาว  หนาวเหลือเกิน  แล้วทันใดนั้นเองประกายของอะไรบางอย่างก็ร่วงลงมาจากก้อนเมฆช้าๆ

    มันเป็นดั่งปุยนุ่นนับหมื่นที่ถูกโปรยลงมาจากสวรรค์  ล่องลอยช้าๆและค่อยๆตกสัมผัสกับพื้น  หอบนำความเงียบและอากาศเยือกเย็นแบบนี้มาพร้อมกับความงดงาม 

    ใช่แล้ว  เกล็ดหิมะกำลังโปรยตกลงมา  ตกลงมายังใจกลางแห่งราชอาณาจักรไทยที่ไม่เคยมีหิมะตกมานับล้านๆปี!!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×