คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : #chapter1 คืนชีพคัมภีร์มรณะ
เรื่องบ้าๆเกิดได้ตลอดเวลาแม้กระทั่งคาบว่างหลังพักทานอาหาร ณ โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง เสียงจอแจของนักเรียนในห้องเคล้าไปกับเสียงพัดอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจของพัดลมแขวนเพดานตัวเก่าๆที่ทำท่าจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ การที่คาบนี้ถูกปล่อยให้ว่างเห็นทีจะไม่ว่างเท่าไหร่สำหรับการนอนกลางวัน เมื่ออยู่ๆหัวหน้าห้องที่เหมือนจะหายไปไหนมาทั้งวันวิ่งเข้ามาในห้องเรียนหน้าตาตื่น
“นี่! ครูฝากมาบอกว่ารายงานเรื่อง สงครามโลกครั้งที่สอง อะไรนั่นน่ะ ส่งเย็นนี้นะ! รู้เปล่า”
“ฮะ” เพื่อนคนนึงในห้องถึงกับโพล่งขึ้นมาสุดเสียงในขณะที่เกมส์การ์ดที่กำลังเล่นอยู่ถูกปัดจนเกลื่อนพื้น
“อื้ม! ครูเค้าว่ามางี้” หัวหน้าห้องสาวใส่แว่นหยักหน้ายืนกราน
“เฮ้ยเพิ่งสั่งเมื่อวานเองไม่ใช่หรอ ไหงให้ส่งเร็วเงี้ยะ!” อีกคนโพล่งตาม
“เออ! รีบไปไหนวะ รายงานไม่ใช่เล่มบางๆ” อีกเสียงเสริม
“ก็ครูเค้าบอกว่าต้องไปงานศพญาติที่ต่างจังหวัดนี่! ต้องตรวจให้เสร็จก่อนเย็นนี้ คะแนนก็จะส่งแล้วด้วย!” เธอว่าเสียงแจ๋นราวกับจะปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ความผิดของเธอซักหน่อย
“โห่ ญาติตายก็ตายไปดิวะ! เกี่ยวอะไรกับนักเรียนเนี่ย ฮ่วย!” คนนึงบ่นอิดออด แล้วก็ตามมาด้วยเสียงบ่นครืนครานของนักเรียนร่วมสี่สิบชีวิต แต่ใครจะสนว่าหนึ่งในนั้นยังมีคนๆนึงที่ยังฟุบศีรษะอยู่ในอ้อมแขนตัวเอง ทิ้งแก้มนิ่มๆสัมผัสกับโต๊ะเรียนโสโครกที่เต็มไปด้วยรอยของน้ำยาลบคำผิด รอคอยเวลาที่จะตื่นจากการเฝ้าพระอินทร์และกลับบ้านไปนั่งเล่นเกมส์
“แจ๊บ แจ๊บ” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายกลับก่อนที่มันจะย้อยลงมาเปรอะโต๊ะ เขาหลับไปนานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ คงจะหลังจากกินข้าวเสร็จเลยก็ได้มั้ง ด้วยการที่โต๊ะที่เขานั่งอยู่เป็นโต๊ะที่อยู่ท้ายห้องขวาสุดติดริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อนๆที่ถูกร่มไม้บังไว้ทำให้บริเวณนี้มันช่างร่มรื่นจนน่าอิจฉา สารภาพตามตรงว่าตรงนี้มันนอนสบายกว่าเตียง 16 ฟุตที่บ้านตัวเองเสียอีก
“คิม” คิมหันต์ถูกปลุกด้วยมือของเด็กหญิงผู้ร่วมชั้นคนหนึ่ง เธอมีหน้าตาที่น่ารักทว่าถูกปรกด้วยปอยผมสีน้ำตาลที่ตัดมาไม่เท่ากันตรงหน้าผาก มันสูงๆต่ำๆและถูกซอยสั้นเป็นย่อมๆ บางส่วนก็ตัดเป็นหน้าม้า บางส่วนก็ปล่อยไว้ยาวเป็นปอย เรียกได้ว่าเธอกำลังตัดผมทรงบ็อบเทผสมปนเปไปกับทรงหนูแทะก็คงจะไม่ผิด แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอกำลังมัดจุกใหญ่ๆไว้ที่ข้างขวาของศีรษะซึ่งดูอุบาทว์ไม่น้อย คิมหันต์ช่างสงสัยเหลือเกินว่าอะไรกันที่ดลใจให้สาวสวยน่ารักประจำห้องถึงกับละเลงตัดผมตัวเองจนไม่เป็นทรง มันดูน่าเกลียด แต่มันก็เป็นสไตล์ของเธอ จะว่าไงดี เรียกว่า ผู้หญิงที่ชื่อ ลลิตา ตรงหน้าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอนั้นน่ารักอย่างไม่ต้องพยายาม
“คิมๆ มีกลุ่มยัง” เธอเรียกด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายๆ เธอคงเบื่อเสียงครืนครานของผู้คนกว่าสี่สิบชีวิตในห้อง จึงเดินมาหาคนที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยอย่างคิมหันต์ ไอ้ขี้เซาประจำห้อง
“เห...”
“เค้าให้จัดกลุ่มอ่ะ จัดกลุ่มทำรายงาน”
“คุณหนูลิตยังไม่มีกลุ่มหรอครับ” คิมยิ้มเยาะๆ หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางเงยหน้ามอง ‘หนูลิต’ ที่ยืนค้ำศีรษะอยู่ ตลอดมาเธอเป็นเด็กหญิงน่ารักดูห้าวหาญที่มาพร้อมกับทรงผมแปลกๆไม่ซ้ำทรง เธอไม่มีเพื่อนผู้หญิงคบด้วย และชอบไปตบกระบาลพวกผู้ชายในห้องเล่นอยู่บ่อยๆ เธอเป็นลูกคุณหนูที่ดูไม่คุณหนู จะว่าไงดี....คาแร็คเตอร์เธอไม่แน่นอนเท่าไหร่
“ไอ้คิม! ลลิตก็พอย่ะ ลลิต ใครเรียกว่าหนูลิตแม่มีตบ” ลลิตโวย
“เอ๊า...ก็เรียกตามบัตรประชาชนเธออ้ะ ชื่อหนูลิตมาโดยกำเนิดไม่ใช่หรอ หรือว่าไม่ชอบ” ลิตหน้าแดงทันทีตอนคิมแซวเข้าให้ ดูเหมือนเธอจะยังคงจำได้ดีว่าตอนเปิดเทอมวันแรกเธอโดนเพื่อนผู้ชายในห้องล้อเรื่องชื่อจริงขนาดไหน ทันทีที่เธอแนะนำตัวเสร็จ คำว่า “หนูลิต” ก็กลายเป็น ทอล์ค ออฟ เดอะ รูม ของห้อง แม้จริงๆแล้วเธอจะเพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็นลลิตาได้เมื่อไม่นานมานี้ แต่ดูเหมือนความประทับใจครั้งแรกจะเปลี่ยนกันยาก
“นี่...! ตกลงมีกลุ่มหรือยังไม่มี จะอยู่หรือไม่อยู่หือ!” ลลิตขึ้นเสียง แต่คิมกลับยิ้มกรุ้มกริ่ม ในสายตาของคิมนั้น ลลิตเป็นคนที่ดูน่ารักแต่ก็ไม่หยิ่ง เธอเหมือนทอมแต่ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเธอจึงเข้าได้กับพวกผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และเธอก็ไม่ห่วงสวยด้วยที่จะโดนพวกผู้ชายขยี้หัวและวิ่งไล่จับ นั่นแหละคือเสน่ห์ของเธอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคิมจะชอบเธอได้ลงหรอกนะ
“เอ่อ...ยัง ยังไม่มี เอาเป็นว่าอยู่กับ ลลิตก็ได้อ่ะ” คิมหันต์ตอบ ยังจ้องไปที่จุกเดียวๆของลลิตแบบตาไม่กระพริบ
“ดี...นายไม่มีทางเลือกอยู่แล้วแหละ หึหึ แล้วก็....” เธอลากเสียง กลอกตาขึ้นมองและพูดต่อ “เจอกันที่ห้องสมุดในอีกห้านาทีนะ ฉันจะไปเตรียมกระดาษนิดหน่อย”
กลิ่นในห้องสมุดชวนให้นึกถึงร้านตัดผมตอนติดแอร์ยามค่ำๆ มันชวนให้ฝันด้วยกลิ่นของกาแฟสดที่ลอยมาแตะจมูก กลิ่นของกระดาษเก่าๆ และคลื่นเหียนแปลกๆเวลาเดินผ่านชั้นหนังสือหลากสีเรียงรายกันเป็นทาง มันชวนให้มึนหัวแปลกๆจนอยากจะฟุบไปกับโต๊ะไม้เย็นๆ ที่ตั้งขนาบกับชั้นวางหนังสือเหลือเกิน
คิมหันต์ทิ้งกายลงบนเก้าอี้ไม้เย็นๆและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ที่ดูอยู่สูงกว่าเก้าอี้ธรรมดา เขาขดหลังลงและแนบหน้าผากติดกับโต๊ะเย็นๆพลางคล้อยตาปิดลง
แต่ทันใดนั้นเองเขาก็ต้องเงยหน้าออกจากอ้อมแขนตัวเอง เมื่อรู้สึกถึงเสียงรื้อค้นหนังสือที่ดังอยู่ไม่ไกล ความคิดแรกเขาคิดว่าลลิตคงตามมาแล้ว แต่ไม่ใช่ ใครคนนั้นอยู่ข้างหลังชั้นหนังสือตรงหน้าของคิม เขาไม่สามารถมองเห็นว่าเป็นใครหน้าตาเป็นยังไง แต่เมื่อมองจากช่องห่างของหนังสือที่ถูกหยิบไป ใครคนนั้นคงไม่ใช่ผู้หญิง
คิมหันต์จะไม่ติดใจอะไรเลยถ้าไม่ใช่ว่าคนๆนั้นมีท่าทีลุกลี้ลุกลนผิดปกติ เงาของหมอนั่นที่คิมหันต์พอจะมองเห็นกำลังมองซ้ายมองขวาอยู่อย่างครั่นคร้ามเหมือนกำลังกลัวใครมาเห็นพฤติกรรมที่ตนกำลังทำอยู่ และทันใดนั้นเองเขาก็ค่อยๆสอดหนังสือที่มีสันเก่าๆสีน้ำตาลหนาเตอะเข้าไปในช่องว่างของหนังสือและคิมก็ไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกต่อไป คิมนึกสงสัยเล็กน้อย แต่การที่จะลุกขึ้นไปและไปแส่ว่า “เฮ้ คุณกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย อย่าบอกนะว่ามาจิ๊กหนังสือ” ก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ คิมจึงคิดว่าควรรอสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าหมอนั่นไปไกลๆและจึงละเลงความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองอย่างเต็มที่
“มาแล้ว! ขอโทษทีมาช้าไปหน่อย”
เป็นเสียงของลลิตที่ดังขึ้นมา คิมหันควับไปทันที เขาเห็นเธอหอบเอากระดาษรายงานปึกใหญ่จนน่าตกใจมาด้วย คิมคิดทันทีว่าเธอต้องล้อเล่นแน่ๆที่จะต้องเขียนให้หมดปึกแบบนั้น
“นี่มันเลยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหลายทศวรรษแล้วนะคุณหนูลิต! ไม่จำเป็นต้องทำรายงานแบบย้อนยุคเขียนเองทีละบรรทัดแบบนี้ก็ได้มั้ง!”
ลลิตค้อนตาเขียว “อะไร! ทำงานแบบเป็นระบบน่ะไม่รู้จักหรอ สรุปจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้แล้วค่อยไปคัดกรองเอาอีกที”
พรวด! คิมหันต์ถึงกับสำลักลมหายใจด้วยความขบขัน เขากลั้นหัวเราะอยู่พักหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆว่า “นี่เธอไม่รู้จักอินเตอร์เน็ตจริงๆหรือเปล่าเนี่ยะ! สมัยนี้เค้าไม่ทำกันแล้วนะเข้าห้องสมุดมานั่งสรุปเขียนเอง ในอินเตอร์เน็ตมีครบ!”
“ไม่เอา...จะให้ไปนั่งค้นจากแหล่งข้อมูลเดิมๆกับพวกขี้เกียจสันหลังยาวแบบนักเรียนสมัยนี้อ่ะหรอ! บ้าเหอะ ทำงานแบบเป็นระบบหน่อยได้มั้ย ระบบอ่ะ ระบบรู้จักมั้ย!”
“รู้จักแต่ระบบปฏิบัติการณ์วินโดว์อ่ะ ฉันมันง่ายกว่าระบบสลักลายแทงแบบเธออีก”
“พวกขี้เกียจ!”
“หัวโบราณ!” คิมหันต์ปลิ้นตาใส่ ตอนแรกเขานึกว่าจะโดนปึกกระดาษแบบระบบปฏิบัติการลายแทงฟาดกระบาลซะอีก แต่ลลิตกลับวางมันลงแรงๆและกระแทกเท้าไปยังชั้นหนังสือตรงหน้าคิมหันต์อย่างไม่สบอารมณ์นัก
เธอก้มตัวมองหาหนังสือบนชั้นแล้วหยิบมาสองสามเล่ม คิมหันต์มองไปก็อมยิ้มไป นึกตลกในความหัวโบราณของลลิต และคิดในใจว่าเธออาจจะตายด้วยเชื้อราตามหนังสือเก่าเข้าสู่ร่างกายก็เป็นได้ ซึ่งมันน่าเป็นห่วงอยู่
หนังสือกองหนึ่งถูกวางลงแรงๆตรงหน้าคิมหันต์ แล้วลลิตก็กลับไปวุ่นอยู่กับชั้นหนังสือชั้นเดิม เธอกลับมานั่งลงตรงหน้าคิมหันต์แล้วเสือกเก้าอี้ให้มาชิดกับโต๊ะ นั่งหลังตรงและเริ่มจัดแจงพลิกเปิดหนังสือทีละเล่ม
“ให้ช่วยอะไรหรือเปล่า” คิมถาม
ความเงียบเท่านั้นที่ตอบกลับมา ลลิตก้มหน้าอ่านหนังสือเก่าๆอย่างจริงจัง พลิกไปพลิกมาแล้วก็เลื่อนมันไปข้างๆตัวเป็นการคัดเลือก
“ไม่ให้ช่วยฉันหลับละนา”
ลลิตยังก้มหน้าอยู่ เธอเลื่อนหนังสือเล่มหนึ่งมาตรงหน้าคิมหันต์ และหันไปจดจ่อกับหนังสือเล่มเดิมของตัวเอง
คิมหันต์สังเกตเห็นมือของลลิตที่เปรอะคราบอะไรบางอย่างเยิ้มๆแดงๆ มันเป็นสีแดงคล้ำเปรอะตรงบริเวณนิ้วและปลายเล็บ คิมหันต์คงมองไม่ผิดว่ามันเป็นเลือด เขาจึงร้องทักมาด้วยความแปลกใจ “เฮ่ย...ลลิต”
“อะไร! ก็ถามเองว่ามีไรให้ช่วย ยังจะมา...”
“เปล่า! มือไปโดนอะไรมา เลือดเต็มเชียว”
“ไหน...” ลลิตมองดูที่มือของตัวเองทั้งสองข้าง และจู่ๆสายตาเธอค้างเติ่ง เธออ้าปากพะงาบๆเหมือนจะคว้าลมหายใจ “ป...เปล่านะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรนะ”
“แล้วเลือดมาจากไหนเล่า!”
เธอกลอกตาสั่นๆไปทั่ว มองดูหนังสือสิบกว่าเล็มที่เธอหยิบออกมา ความคิดแรกของเธอคือหมึกหนังสือเก่าๆคงเยิ้มด้วยความร้อนและไหลลงมาเปรอะมือเธอ แต่กลิ่นคาวคลุ้งนี่สิที่น่าหวาดหวั่น มันเป็นกลิ่นที่คุ้นและน่าคลื่นไส้จนน่าสะอิดสะเอียน โชยมาจากหนังสือสันสีน้ำตาลเก่าๆที่ลลิตเผลอหยิบติดมา สันของมันนั้นเปื่อยยุ่ยจากการเก็บอันยาวนานของกาลเวลา แถมยังมีน้ำสีแดงคล้ำไหลเยิ้มออกมาจากหน้ากระดาษหน้าหนึ่ง
คิมหันต์ค่อยๆเอื้อมมือที่สั่นเทามาเปิดในขณะที่ลลิตลุกขึ้นและไปจ้องมองอย่างหวาดกลัวแบบห่างๆ หนังสือถูกแง้มออกด้วยกลิ่นคาวที่น่าสะอิดสะเอียนกว่าเดิม ลลิตร้องอี๋ในขณะที่คิมใจรู้สึกตกใจจนตัวชา หน้ากระดาษสีเหลืองอ่อนถูกชะโลมไปด้วยเลือดชุ่มๆ เลือดบางจุดก็จับตัวแข็งเป็นก้อนเลือดยุ่ยๆเปรอะอยู่ตามหน้ากระดาษ คิมหันต์ผละตัวหนีจากหนังสือประหลาดเล่มนั้นสุดตัว
“ว๊าย!” ลลิตร้อง
“ชู่ว์! เงียบน่า! รีบออกไปกันก่อนเหอะ” คิมหันต์เข้าไปคว้าหนังสือเปื้อนเลือดนั่นเอาไว้ ปิดหน้ากระดาษอย่างระมัดระวังและถือวันไว้โดยพยายามไม่ให้เลือดเปื้อนพื้นหรือตัวของเขา
ทั้งคู่หอบเอาหนังสือเปื้อนเลือดเล่มนั้นออกมาจากห้องสมุดได้อย่างไร้การจับจ้อง คิมหันต์รู้สึกว่าตัวเองเยือกเย็นพอตัวที่ไมได้กลัวเลือดจนตัวสั่นแบบลลิต และตอนนี้เธอกำลังถูคราบเลือดที่เปรอะอยู่ตามมือกับกระแสน้ำไหลจากก๊อกราวกับว่ามันเป็นแมลงพิษที่น่าเกลียดน่ากลัว
“ใครกันนะ มาเล่นพิเรนท์แบบนี้!” ลลิตบ่นอย่างหัวเสีย หน้าของเธอเบ้เหยเกในขณะที่เธอกำลังใช้น้ำของโรงเรียนไปเป็นสิบๆลิตร
“พอแล้วน่า สะอาดจนไม่รู้จะสะอาดยังไงแล้ว” คิมห้าม
“สะอาดอะไรกันเล่า! ยังได้กลิ่นคาวอยู่เลย ดมสิ”
มีกลิ่นคาวอย่างที่ลลิตว่าจริงๆ แต่ว่ามันไม่ได้โชยมาจากมือของลลิต หรือว่าหนังสือเปื้อนเลือดนั่น แต่มันอบอวลอยู่ที่ไหนสักแห่งในทางเดินเปลี่ยวๆที่ขั้นสามของโรงเรียนรัฐบาลแห่งนี้ ทางเดินที่อยู่ใต้การฉายของดวงอาทิตย์ยามบ่ายช่างไม่ต่างอะไรกับเวลาโพล้เพล้ที่ชวนให้รู้สึกหวาดกลัว กับบรรยากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เย็นเสียจนรู้สึกว่านี่เป็นห้องดับจิต
“คลุ้งมาก แทบอ้วกแน่ะ” คิมพึมพำ
“ไม่เอาแล้วนะ! ทิ้งๆมันไปเหอะคิม แล้วรีบไปทำรายงานต่อ”
“ยังจะมีอารมณ์ทำอีกหรอ ไม่เอาหรอก ถ้ามันเป็นเลือดคนขึ้นมาล่ะ! ถ้ามีใครกำลังเดือดร้อนล่ะ กลิ่นอยู่แถวๆนี้แหละช่วยๆกันหาเถอะ ฉันชักอยากรู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่”
“คิม...” ลลิตส่งเสียงจะร้องห้าม แต่เธอก็ไม่อาจขัดปณิธานอันแรงกล้าของเขาได้ คิมค่อยๆก้าวเข้าไปหาประตูห้องเก็บไม้กวาดที่แง้มเปิดไว้ซึ่งมันน่าสงสัยมาก มองรอดเข้าไปในช่องว่างเล็กน้อยเห็นเพียงความมืดที่น่ากลัว บรรยากาศที่เย็นเยียบลงทำให้ลลิตต้องถูแขนตัวเองอย่างหนาวสั่น
กลิ่นหืนของความชื้นและไม้กวาดข้ามทศวรรษโชยออกมา ทันทีที่ประตูแง้มเปิดกว้างขึ้น กลิ่นคาวคลุ้งอบอวลเสียจนลลิตรู้สึกอยากจะอาเจียนให้รู้แล้วรู้รอด มีอะไรอยู่ในนั้น หัวใจของเธอร่ำร้องอยากเห็นก่อนคนแรกแม้เธอจะกลัวที่สุด
“ให้ตายสิ อย่าดูนะลลิต” คิมห้ามเอาไว้
“อ...อะไร อะไรคิม! เป็นใครหรอ!” ลลิตถามเสียงสั่น ภาวนาในใจว่าไม่ให้เป็น ‘ใคร’ ที่เธอรู้จักเลย
“ไม่ใช่ ‘ใคร’ น่ะสิ แต่เป็น ‘ตัวอะไร’ ต่างหาก”
“หมายความว่าไง”
“เธอรักสัตว์หรือเปล่าล่ะ”
ลลิตไม่อยากที่จะถามคิมทีละคำถาม การที่เธอจะได้รู้ให้แน่ชัดก็คือวิ่งเข้าไปดูให้เห็นกับตา เธอตัดสินใจสาวเท้าเร็วๆเพื่อยืนข้างๆกับคิม และกลั้นใจมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างกล้าหาญ
ภาพที่เห็นแทบทำให้ลลิตร้องออกมาด้วยความตกใจ เธอไม่อาจหาคำนิยามอื่นใดนอกจากคำว่า “ก้อนเนื้อ” มาอธิบายสิ่งที่เธอเห็นได้ ใช่แล้วมันเป็นเพียงก้อนเนื้อเปื่อยยุ่ยที่มีเศษซากของอวัยวะถูกสับอยู่ด้วย เลือดสดๆชุ่มไปทั่วพื้นเหม็นหืนของห้องเก็บไม้กวาด ขนสีดำเปรอะและกระจายไปทั่วบริเวณอย่างน่ากลัว มันเป็นภาพที่ลลิตไม่สามารถจ้องมองได้เกินห้าวินาที แล้วเธอก็ต้องวิ่งหนีออกไปและโค้งตัวอาเจียนที่อ่างล่างมือแถวๆนั้น
“โอ้ก! แหวะ...แค่ก!” ลลิตโก่งคออาเจียน ทว่ากลับไม่มีอะไรออกมาจากลำคอ เธอน้ำตารื้นเต็มเบ้า รู้สึกอยากร้องให้แต่ก็ร้องไม่ออก ทั้งตัวสั่นเทิ้มไปหมด
“ใครกันนะทำแบบนี้ได้ลง” คิมพึมพำอย่างเจ็บปวด ไม่อาจนิยามความโหดเหี้ยมของใครก็ตามที่กล้ากระทำสิ่งนี้
คิมก้มลงเมื่อรู้สึกว่าเท้าไปเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง ปลอกคอสีเหลืองที่เปื้อนคราบเลือดมีกระดิ่งห้อยอยู่วางอยู่แทบเท้าของคิม เขาเก็บมันขึ้นมา ทันทีที่ลลิตได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่ง เธอก็พลันรู้สึกสงสารมันเสียจนอยากร้องให้ออกมา
“มันเป็นแมวของภารโรง...” เธอว่า
“อ๋อ...ไอ้ตัวนั้นน่ะหรอ” คิมถาม
“แมวดำที่ชอบเดินผ่านขอบหน้าต่างบ่อยๆ ไม่นึกว่าจะมีใครเกลียดมันขนาดนี้” ลลิตสูดหายใจเฮือกใหญ่และค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมา เธอหันหลังกลับไปมองหน้าคิมและพยายามตีสีหน้าให้สงบเหมือนเดิม
“ไม่น่าใช่การเล่นพิเรนท์แล้วล่ะ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจทำออกขนาดนี้” คิมคิดเห็น
“เจตนาฆ่า... ฆ่าเพื่อทำอะไรบางอย่าง การสาปแช่ง พิธีกรรม สังเวย อะไรก็ตามที่น่าเกลียดสุดแสนจะพรรณนา!” ลลิตเห็นพ้อง เห็นได้ชัดว่าเธอเดือดดาลขนาดไหน
คิมหลับตาลง พยายามนึกให้ออกว่าสองสิ่งนี้เชื่อมโยงกันยังไง หนังสือเปื้อนเลือดที่เขาหยิบมาด้วยขณะนี้กำลังวางอยู่ตรงเก้าอี้ตัวหนึ่งใกล้ๆอ่างล้างมือ กับซากศพของแมวดำที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ไปจนถึงหลักฐานล่าสุดที่ตามมาติดๆ
“เธอว่าอากาศมันเย็นๆชอบกลมั้ยลลิต”
ลลิตหอบหายใจหน่วงขึ้น เธอรู้สึกว่าที่แห่งนี้เริ่มหายใจติดขัด อากาศมันเย็นเสียจนเข้าใกล้กับคำว่าตู้เย็น เธอพ่นลมหายใจที่เป็นไอน้ำออกมาจากปากพลางจ้องมองหน้าคิมราวกับทั้งคู่เริ่มตระหนักกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทันทีที่มองออกไปนอกหน้าต่าง เมฆทะมึนเริ่มก่อตัวต่ำๆและดูเงียบงัน นาทีแรกคิมคิดว่าฝนกำลังจะตกลงมา แต่ไม่ใช่ ท้องฟ้ามันดูแย่กว่านั้น มันเงียบเสียจนน่ากลัว อุณหภูมิลดลงเสียจนรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง มันหนาว หนาวเหลือเกิน แล้วทันใดนั้นเองประกายของอะไรบางอย่างก็ร่วงลงมาจากก้อนเมฆช้าๆ
มันเป็นดั่งปุยนุ่นนับหมื่นที่ถูกโปรยลงมาจากสวรรค์ ล่องลอยช้าๆและค่อยๆตกสัมผัสกับพื้น หอบนำความเงียบและอากาศเยือกเย็นแบบนี้มาพร้อมกับความงดงาม
ใช่แล้ว เกล็ดหิมะกำลังโปรยตกลงมา ตกลงมายังใจกลางแห่งราชอาณาจักรไทยที่ไม่เคยมีหิมะตกมานับล้านๆปี!!
ความคิดเห็น