ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทคโนโลยีในปัจจุบัน กับ ในโลกไซไฟ

    ลำดับตอนที่ #8 : วาร์ป ทำได้ยังไง ?

    • อัปเดตล่าสุด 8 ธ.ค. 54


    อ้างอิงข้อมูล “การเดินทางผ่านหลุมดำและผ่านห้วงมิติ” จาก หนังสือ The Universe In Nut Shell (เอกภพในเปลือกลูกนัท) แต่งโดย สตีเว่น ฮอฟกิน

     

    “ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ” จาก หนังสือ สมการแห่งความว่าง

     

     

    เนื่องจากผม(Syfy / M) ไม่สามารถหาข้อมูลเรื่องนี้จาก Website ได้ ผมจึงมาเขียนด้วยตัวเอง หากมีข้อมูลส่วนใดผิดพลาด ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

                   

     

    ความหมายของการวาร์ป

                    คือการย่นระยะทางและเวลาที่ต้องใช้ขณะเดินทางในอวกาศ

      การวาร์ปนั้นที่จริง ตามหลักการของนวนิยายไซไฟโดยทั่วไปแล้วได้มีรูปแบบแบ่งเป็น 2 ประเภทที่พบเห็น

    1.           เดินทางผ่านหลุมดำ(ทฤษฎีรูหนอน)

    ผมคงต้องขออธิบายในทางฟิสิกส์ก่อนว่า หลุมดำเป็นสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า Singularity

    (Singularity คือจุดที่ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของหลุมดำ แต่เป็นจุดที่กฎการเคลื่อนที่ของฟิสิกส์นำไปใช้ไม่ได้ และเป็นจุดที่มีมวลสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อแต่ไม่มีปริมาณเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกดูดเข้าไปอยู่ในหลุมดำก็จะจมอยู่ที่จุดนี้)

    ซึ่งสิ่งนี้มาจากมวลที่มีค่านานับไม่ได้ของมันกับปริมาตรที่มีขนาดใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด จากความสามารถนี้ทำให้หลุมดำจึงมีแรงดึงดูดมหาศาล ซึ่งแม้แต่แสงเองก็ถูกดึงดูดเข้าไปหรือทำให้โค้งเอียง ซึ่งรวมถึงเวลา

    จากทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของ ไอน์ไสตน์ ได้กล่าวเวลานั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงผลปวงจากการเคลื่อนที่ของแสงเท่านั้น

    สามารถพิสูจน์ได้ในทางทฤษฎีคือ เมื่อเรานำสมการทางดาราศาสตร์หลายสมการมารวมเข้าด้วยกัน จะเกิดสมการใหม่ที่ไม่มีตัวแปรของเวลารวมอยู่

    สามารถพิสูจน์ในความเป็นจริงได้คือ หากมีชายผู้หนึ่งวัดความเร็วแสงขณะยืนอยู่กับที่ในภาวะสุญญากาศ มีค่าประมาณคือ 300,000 km/s และชายอีกผู้หนึ่งขับเครื่องบินเจ็ทความเร็วสูงแล้ววัดความเร็วแสงในขณะเครื่องบินกำลังเคลื่อนที่ในสุญญากาศ แทนที่ความเร็วแสงจะเป็น 300,000 km/s ลบด้วยความเร็วของเครื่องบิน แต่มันกลับเป็น 300,000 km/s เช่นเดิม

    ทั้งหมดนี้คือข้อพิสูจน์ว่าเวลาเป็นผลปวงของแสง เมื่อมีวัตถุพยายามเคลื่อนที่เข้าใกล้ความเร็วแสง แสงก็จะดึงเวลารอบๆวัตถุนั้นให้ช้าลงเพื่อไม่ให้วัตถุนั้นตามแสงทัน

    ดังนั้นเมื่อหลุมดำสามารถดึงดูดแสงให้หยุดนิ่งหรือชะลอลงได้ มันจึงได้รับความสามารถในการควบคุมเวลา

    หลายๆคนคงทราบว่า ไม่ว่าวัตถุใดเข้าใกล้หลุมดำ ก็จะถูกมันดูดไปและถูกยืดเป็นเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อให้สามารถยัดลงไปในปริมาณใกล้เคียงศูนย์ของมันได้ แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ เพราะเราก็สามารถสร้างหลุมดำเองที่บ้านได้ง่ายๆครับโดยวิธีการดังต่อไปนี้

    1.             แตกโปรตอนของธาตุใดๆมา(โดยมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัว)

    2.             นำโปรตอนแบ่งเป็น 2 ขบวน แล้วจับให้ทั้ง 2 วิ่งทิศสวนทางกันด้วยความเร็วแสง

    3.             จับ 2 ขบวนนั้นให้พุ่งชนกัน คุณจะได้เห็นระเบิดโปรตอน

    4.             เมื่อระเบิด(แสงสว่างจ้าและเสียงดังกัมปนาศ)จบลง ยินดีด้วย! คุณได้หลุมดำขนาดเล็กแล้ว

     

    เมื่อเราได้หลุมดำเป็นทางเข้า เราก็จำเป็นต้องมีทางเดินและทางออก

                    รูหนอน เปรียบเสมือนทางเดินนั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เมื่อหลุมดำดูดวัตถุเข้าไป แล้วมันเอาออกตรงไหน? รูหนอนเปรียบเป็นทางผ่านของวัตถุที่หลุมดำดูดเข้าไป (แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากอยู่ในมิติอื่นที่ไม่ใช่มิติที่ 3)

                    หลุมขาว ภาษาง่ายๆอาจเรียกได้ว่าเรียกว่าทางออกหรือช่องทวารหนักของหลุมดำ ที่นักวิทยาศษสตร์เรียกว่าหลุมขาวนั้นก็เพราะเมื่อหลุมดำดูดแสงเข้าไป ก็ต้องมาปล่อยออกที่หลุมขาว ดังนั้นแสงพวกนั้นจึงเข้ามาสะท้อนตาของเราเห็นเป็นหลุมสีขาว(แต่ยังไม่เคยมีการพบหลุมขาว) (เชื่อว่าอาจอยู่ในมิติใด เวลาใดก็ได้ ไม่อยู่ถาวร)

    ถ้าคุณมีเทคโนโลยีที่สามารถฉีกหลุมดำให้มีปริมาณมากขึ้นจากใกล้เคียงศูนย์ คุณก็แค่สร้างหลุมขาวไว้ในตำแหน่งที่คุณต้องการเดินทางไป จากนั้นคุณก็แค่ก้าวเข้าไปในหลุมดำน้อยของคุณ แล้วคุณก็จะมาถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

     

    2.           การเดินทางผ่านห่วงมิติ

    ถึงแม้จะยังไม่สามารถหาวิธีสร้างได้ในทางปฏิบัติ แต่ในทางทฤษฎีแล้ว มนุษย์สามารถใช้ห้วงมิติ(ไม่ใช่เวลา)เป็นประโยชน์ได้

                    สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินทางนี้ก็คือ คำว่ามิติ (1D 2D 3D 4D ...ฯลฯ)

    มิติ ความหมายโดยทั่วไปหมายถึง สิ่งที่บอกคุณสมบัติของวัตถุ ได้แก่ ความกว้าง ความยาว และ ความสูง

    1 มิติ , 2 มิติ , 3 มิติ , 4 มิติ , 5 มิติ ... ไปจนถึงมิติที่อนันต์

    ผมขออนุญาตใช้การเปรียบเทียบในการอธิบายนะครับ

     

    ผมขอเริ่มจากมิติที่เรามองเห็นกันในชีวิตประจำวัน

    3 มิติ ที่เรามองเห็นขนาดความกว้าง ความยาว ความสูง ในปัจจุบัน

    *ปล. ในความเป็นจริงสิ่งที่เรามองเห็นนั้นเป็นเพียง 3 มิติเสมือน คือกล่าวว่านัยน์ตาเรานั้นถ่ายภาพในทาง 2 มิติ ต่อๆกันหลายพันเฟรมต่อวินาที ภาพเหล่านั้นถูกถ่ายทอดไปยังสมองเป็นภาพเคลื่อนไหว ดังนั้นภาพจึงดูเสมือน 3 มิติ แต่ที่จริงเรามองได้เพียงมิติที่ 2 เท่านั้น!*

    2 มิติ เมื่อคุณวาดรูป ถ่ายรูป ดูโทรทัศน์ ดูแผ่นโฆษณา ทุกสิ่งที่คุณไม่สามารถมองเห็นความนูนของมันได้ นั่นคือมิติที่ 2 หากคุณอยู่ในโลกของมิติที่ 2 คุณก็เสมือนอยู่ในเกมของลุงหนวด ช่างประปา มาริโอ้ ที่เดินไปมาได้แค่ซ้ายกับขวาเท่านั้น และไม่ต้องพูดถึงความแออัดของเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านเลย

    1 มิติ ไม่ใช่แค่ไม่มีความกว้าง แต่ไม่มีอะไรเลย โลก 1 มิติ คุณและทุกๆสิ่งจะกลายเป็นจุดๆเดียว ซึ่งไม่ใช่เกม Pong ในยุคแรกเริ่ม แต่มันคือจุด!!! คุณลองนึกจุดที่ไม่สามารถวัดความกว้าง ยาว สูงได้สิว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร หากอยู่ในโลกนี้ ทั้งชีวิตทำได้เพียงอยู่กับที่ (กล่าวได้ว่าเป็นมิติของก้อนหิน สิ่งไม่มีชีวิต)

    ขยายมุมมองของคุณให้กว้างขึ้น แล้วเข้าสู่

    4 มิติ ลืมหนัง 3D ที่มีสาดน้ำและเก้าอี้สั่นไปจากหัวของคุณ 4มิติเป็นอะไรมากกว่านั้น คุณลองนึกดูสิว่าถ้านอกจากความสูงแล้วที่อีกหน่วยหนึ่งเพิ่มเข้ามาแล้วโลกโดยรอบจะเป็นอย่างไร ไม่ตอ้งคิดมากหรอกครับ นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายว่า(แม้พวกเขายังไม่เคยไปก็ตาม) ทุกสิ่งรอบตัวคุณจะหดเล็กลงเป็นจุดๆๆๆๆและจุด ในมิตินี้ถ้ามีหอยทากกำลังเดินอยู่ตัวหนึ่ง มันคงมีความเร็วถึง 10000 ไมล์ต่อชั่วโมง

    นักวิทยาศาสตร์บางคนกล่าวว่ามิตินี้คือมิติที่เราจะสามารถพบเห็นดวงวิญญาณ สรวงสวรรค์และนรกได้ (คือกล่าวว่าแท้จริงสวรรค์ นรกไม่ได้หายไปไหน อยู่ที่เดียวเวลาเดียวกับเราแต่ห่างกันเพียงห้วงเวลา) และการปรากฏตัวของภูตผี นั้นต้องอธิบายต่อในเรื่องของการบิดเบือนของห้วงเวลา แต่เนื่องจากป้องกันความหน้าเบื่อของบทความนี้ ผมจะขอข้ามจุดนี้ไป(หากมีผู้สนใจ ต้องการหาคำอธิบาย โปรดติดต่อมาทาง MyID ของผม(กลุ่มผม))

    5 มิติ 6 มิติ...และต่อไปเป็นสัจจนิรันดร์ อันนี้คงต้องใจจินตนาการของแต่ละบุคคลว่าถ้ามีอีกหน่วยวัดเพิ่มเข้ามาทุกๆ 1 มิติ จะเป็นอย่างไร

    แต่เรื่องที่สำคัญก็คือ เมื่อเรายิ่งอยู่ในมิติที่สูงมากขึ้นเท่าใด เวลาก็จะช้าลงเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เวลาในการท่องอวกาศลดน้อยลง (คล้ายกับการขึ้นทางด่วน)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×