คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 09 : How could this be wrong? 100%
Chapter
09 : How could this be wrong?
แสงอาทิตย์สาดส่องไล่ริ้วความมืดให้จางหาย
ทว่าไม่คลายความกังวลใจขององครักษ์หนุ่มเลย ข่มตาให้วางในนิทราก็ไม่ได้
ลองแปรเปลี่ยนพลิกกายาหรือก็หาได้ผล ทั้งที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเผยตัว แต่ใจของชายผู้ได้ชื่อนักรบก็กลับขลาดเขลา
ลุกขึ้นจากเตียงที่ใช้นอนหนุน พร้อมตรงไปยังห้องน้ำ
จัดการชำระล้างความกังวลออกไป ก่อนจะท้าวแขนลงบนอ่างล้างหน้า สาดน้ำใส่ใบหน้าคมของตนเพื่อสร้างความสดชื่นให้กับวันใหม่นี้
ก่อนจะมองใต้ตาที่ขึ้นรอยคล้ำจางๆจากการอดนอนปรากฏขึ้นมาพอให้รู้ว่า
เจบีเสียเวลากับการมองเพดานห้องที่มืดสนิทไปนานเพียงไหน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความง่วงเซาใดๆ
*ก็อก ก็อก ก็อก
ชายหนุ่มละจากอ่างล้างหน้าออกมา คว้าผ้ามาซับแล้วตรงไปยังประตู
ชายหนุ่มเลือกที่จะจัดการแต่งกายให้เรียบร้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าการคาดผ้าแค่เอวแล้วเดินโจ้งๆไปรับแขก
มันดูไม่ดีเท่าไรนัก เสื้อคลุมสีเข้มถูกสวมทับอย่างลวกๆ ก่อนบานประตูจะเปิดออกรับผู้มาเยือน
“นานจริง” เสียงของแบมแบมเอ่ยขึ้น
ร่างเล็กมองหน้าที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ยินดียินร้ายของเจ้าของห้องแล้วก็ขมวดคิ้ว “ทำอะไรอยู่หรอ”
“มีเรื่องอะไร ถึงมาหาคนอื่นถึงห้อง
ไม่กลัวจะว่าคนจะมองไม่ดีหรือไรกัน” องครักษ์หนุ่มเลือกที่จะไม่พูดคำตอบ
เพราะคิดว่าดูจากการแต่งกายของเค้า เด็กตรงหน้าก็คงไม่ได้ซื่อจนไม่รู้
“ข้าเป็นองค์หญิงนะ จะเดินไปไหนในวังก็ย่อมได้สิ”
ร่างเล็กเอ่ยพร้อมทำมือไม้ประกอบ
“แล้วการเคาะประตูห้องคนอื่นโดยไม่มีอะไรนี่ก็สิทธิของการเป็นองค์หญิงด้วยหรือ?”
เจบีเอ่ยเรียบๆ ก่อนจะเสยผมที่ลู่เพราะเปียกขึ้นอย่างเหนื่อยใจ “ถ้าไม่มีธุระอะไร
อย่าเคาะห้องคนอื่นเล่น เอาเวลานี้ไปดูแลคนป่วยเถอะ”
“ไม่ใช่นะ! อย่าเพิ่งปิด”
ร่างเล็กร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำท่าจะปิดประตูใส่ “ข้ามีเรื่อง
เรื่องสำคัญด้วย เรื่องท่านพี่..”
มือหนาชะงักลง
เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องสำคัญของใครบางคน ก่อนที่ชายหนุ่มจะปิดประตูลงอีกครั้ง
ร่างเล็กตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าบานประตูปิดลงใส่หน้า
ทั้งที่ตนกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญ แต่ชั่วอึดใจเดียว
ประตูก็เปิดออกพร้อมชายหนุ่มในชุดสุภาพง่ายๆที่ดูเหมือนรีบคว้ามาใส่
“ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”
-10%-
ทั้งสองเดินทางออกมา หมายจะไปยังตลาดเก่าใจกลางเมือง
ตั้งแต่ในปราสาทจวบจนตลอดทางการสนทนาไม่ได้เกิดขึ้นอีก
แต่คนตัวเล็กก็พอรู้ว่าทำไมเค้าถึงต้องออกมา ทั้งความเหมาะสม และอะไรอื่นๆ
เราทั้งคู่ขึ้นม้ามาออกมาแทนที่จะนำขบวนเสด็จด้วยทหารรักษาพระองค์
แบมแบมมองวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ตอนนี้เรามาถึงที่หมายแล้ว วาดขาลงจากอาชาตัวโต
ก่อนจะตรงไปยังร้านกาแฟเก่าๆ
ร่างเล็กเย็นกายยามลมต้องเล็กน้อย
เพราะเสื้อผ้าเนื้อดีที่ใส่ติดตัวมามันไม่ได้ถูกสวมทับ
องค์หญิงคนเล็กแห่งเอนไอริสออกมาในที่สาธารณะ คงไม่ใช่เรื่องดีหากมีคนจำได้
ดังนั้นการใส่เพียงเสื้อคลุมที่ถูกให้ไปเอามาก่อนจะออกมานั้นคงเป็นสิ่งสะดุดตาน้อยที่สุด
ถึงแม้มันจะดูราคาแพง แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนเค้าเป็นเพียงลูกเศรษฐีมากกว่าการสวมผ้าคลุมไหล่สีลูกพีชที่ประดับดิ้นสีทอง
“ว่ามา...”
องครักษ์หนุ่มกล่าวขึ้นหลังจากหามุมสงบเงียบนั่งได้ในร้าน
“คือข้า.. เป็นห่วงท่านพี่”
ร่างเล็กเม้มปากเพราะความประหม่า ไม่ใช่เขินอายกับคนตรงหน้า หากแต่การออกมาข้างนอกวังไกลๆเช่นนี้
ทำให้เด็กน้อยอย่างแบมแบมอดกลัวไม่ได้
ยิ่งรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มไม่สงบเช่นกาลก่อน แต่ถึงกระนั้น
เค้าเองก็ยังแอบดีใจที่ได้ออกมานอกเขตรั้วปราสาทเอนไอริส
“ห่วง? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับองค์หญิงจูเนียร์”
“คือ.. ท่านจำเรื่องที่ข้าเคยพูดไปเมื่อคราก่อนได้รึไม่”
ชายหนุ่มเงียบไปหลังจากได้ยินร่างเล็กตรงหน้าเอ่ย
เค้าตราตรึงมันเข้าไปทุกโสตประสาท เรื่องราวที่คิดว่าลืมไปแล้ว
เรื่องที่เป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงให้เค้ายังเป็นเจบีจนถึงวันนี้
“ได้.. จำได้”
“นั่นแหละ ข้าเลยมีเรื่องอยากจะขอท่าน ...”
ร่างเล็กรวมรวบความกล้า สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “ท่าน..
ช่วยมาเป็นพี่เขยข้าได้หรือไม่”
“ว่าอย่างไรนะ?!”
องครักษ์หนุ่มตกใจไม่น้อยกับคำตรัสขององค์หญิงน้อยตรงหน้า
“คือว่า... ข้าไว้ใจเพียงท่าน ให้ดูแลท่านพี่
เพราะหากให้คนอย่างมาร์คเป็นคนทำหน้าที่นั้น ข้ายอมกัดลิ้นตัวเองตายดีกว่า”
แบมแบมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หรือว่า ท่านไม่ชอบพี่ข้า...”
“ไม่ แต่--”
“นั่นสิ ข้าลืมคิดถึงข้อนั้น
แต่อันที่จริงมันก็มีข้อที่สำคัญกว่านั้น แต่ถ้าหากท่านยอมมันก็เป็นเรื่องที่ดี
อ่า ไม่สิ การบังคับใจผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ว่าเวลาก็มันก็เหลือไม่มากแล้ว
ถ้าไม่ทำแบบนี้ มันก็--”
“พอ!”
องครักษ์ร้องห้ามความคิดที่กำลังไปกันใหญ่ของเด็กตรงหน้า
“ทำไมต้องให้ข้าทำเรื่องเช่นนั้น
ท่านไม่คิดหรือว่าพี่ท่านเองอาจไม่ประสงค์ที่จะ....”
“ไม่หรอก... ลึกๆแล้วท่านพี่น่ะไม่ได้ชอบมาร์ค
ข้ามั่นใจ ข้ารู้จักท่านพี่มาตลอดชีวิตของข้า ท่านพี่แค่กำลังหวั่นไหว
แค่ไร้ที่พึ่งทางใจ ซึ่งนั่น
ก็นับเป็นความผิดอีกประการหนึ่งที่น้องอย่างข้าทำพลาดไป
ถ้าข้าไม่บอกให้ท่านพี่ลืมอดีต ท่านพี่คงไม่ยอมให้คนกะล่อนนั่นแตะต้องหรอก”
“แตะต้อง?”
“ข้าหมายถึงถูกพระวรกาย ไม่เกินเลยกว่านั้น
..แต่หากท่านไม่ช่วยมาเป็นพี่เขยข้า เรื่องนั้นคงใกล้มาถึงในเร็ววัน”
“หมายความว่าอย่างไร ทำไมต้องในเร็ววัน”
“ก็มันใกล้เข้ามาแล้วน่ะสิ พิธีเลือกรสจูบ”
“เลือกรสจูบ...?”
“เป็นพิธีโบราณ ดั่งเดิมที่ชาวเราทำกันมา มันเป็นการกำหนดชะตาชีวิต
เลือกคู่ เตรียมขึ้นครองราชย์”
“มันเป็นอย่างไร ข้ายังไม่เข้าใจเท่าที่ควร”
“อีกไม่นาน ท่านพี่ก็จะอายุครบ
และก็จะเข้าพิธีเลือกรสจูบ มันคล้ายกับกำหนดคนที่จะมาเป็นคู่ครองท่านพี่
เพราะตามธรรมเนียมเอนไอริสเรา หากคู่รักคู่ใดได้เข้ารับรสจูบโดยการมอบจุมพิศและรักบริสุทธิ์แก่กันในพิธีนั้น
ก็จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป”
“...”
“เพื่อที่จะเตรียมพร้อมในการเข้าพิธีเอนไอและขึ้นครองราชย์ต่อไป
แล้วท่านลองตรองดู
หากโชคร้ายท่านพ่อเลือกให้คนรักในนามของท่านพี่อย่างมาร์คเป็นคู่รับรสจูบล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง
ข้าจะขอให้เค้าถูกฟ้าผ่าตายกลางแท่นพิธี”
“แล้วทำไมต้องเป็นพี่เขยท่าน
แค่ข้ากันทั้งคู่จากกันไม่ได้หรือไร”
“ไม่ได้
เพราะการที่จะมีคนมาคบหาเจ้าหญิง...อย่างข้าและท่านพี่ได้มันยาก และ..
และท่านพ่อคงรู้ดี ว่า..ว่า ผู้ชายที่รักเราได้ ยอมรับเรา ที่เป็นเรา มันน้อย
หรืออาจไม่มีเลย และท่านพ่อก็ปิติยิ่งนักที่ชายรูปงามอย่างมาร์คตกลงปลงใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไม่ว่าด้วยเหตุผลการเมืองที่จะมีสงครามกบฏ
หรือความรักที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า.. กับท่านพี่”
คนตัวเล็กพูดด้วยท่าทางอึกอัก มันเป็นเรื่องยากในตอนนี้ที่จะพูดเรื่องที่ถูกสอนมาตั้งแต่ยังเล็กว่า
ห้ามให้ใครรู้ ห้ามพูดถึง และต้องเป็นอย่างที่ท่านพ่อให้เป็น
โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
และปฏิบัติให้สมกับการเป็นองค์หญิงที่รู้แก่ใจดีว่าเค้าไม่ใช่
เค้าทั้งคู่คือเชื้อพระวงศ์ คือรัชทายาท
แต่แค่ไม่ใช่.. ไม่ใช่องค์หญิง ข้อสำคัญที่ถูกฝังให้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของใจ
ว่าเค้า เป็นผู้ชาย ที่ควรเป็นองค์ชาย ดูแลเมืองนี้
หาสตรีที่ต้องใจสักคนมาเป็นชายา และมีลูกหลานสืบต่อไปให้อาณาจักร แต่..
มันช่างน่าปวดใจ ที่เค้าและพี่อันเป็นสุดที่รัก
ไม่สามารถพูดได้ว่า เค้าชอบผู้หญิง..
จะไม่โทษ หรือโกรธท่านพ่อ
เพราะความรักอันมากล้นที่ท่านมีให้ท่านแม่นั้นทำร้ายเรา
เพราะทั้งแบมแบมและจูเนียร์ก็ต่างรู้ว่า การที่ท่านพ่อมีชีวิตอยู่อย่างเกษมสำราญ
ปกป้องเมืองด้วยใจกล้าหาญ ปกครองอาณาจักรด้วยความเป็นราชาทรงธรรมของประชาชนอยู่ได้
นั้นมาจากความรักของท่านแม่ที่ถูกส่งผ่านตัวพวกเค้าทั้งคู่ ซึ่งนั่นมันงดงาม
แต่การจะให้บอกใครต่อใครว่าเค้าเป็นชาย
และพี่สาวที่แสนดี แสนสง่างาม และเพียบพร้อมนั้นก็เป็นชาย ใครล่ะ ใครจะรับได้
เราถูกกีดกันเสมอหากเป็นเรื่องที่ถูกมองว่าผิดจารีต... และนั่นทำให้
“ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น
มีคนดีๆที่พร้อมจะเข้ามา--”
“ท่านไม่มีวันเข้าใจเรื่องนั้นได้ ขอโทษด้วย
แต่ได้โปรดช่วยพี่ข้า” ร่างบางกำมือกับชายกระโปรงแน่น สายตาวางอยู่กับตักตน
ถึงแม้จะมั่นใจได้ว่าเจบีเป็นคนดีแน่ไม่ต้องแครงใจสงสัย แต่มันก็ไม่ได้
ไม่มากพอกันเรื่องละเอียดอ่อนกับความลับของอาณาจักรนี้.. ที่ว่า
องค์หญิงแห่งเอนไอริสเป็น ผู้ชาย
“ได้โปรด ได้โปรดเถอะ.. ท่านเจบี”
ลมพะพายที่พัดผ่านรวงแก้มเนียนไปอย่างแผ่วเบา
อ่อนโยนราวกับปลอบใจที่เหนื่อยอ่อนของร่างบาง เจ้าของชายกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวระพื้นอยู่
จูเนียร์ก้มมองเท้าเปล่าของตนที่ย่ำอยู่บนยอดหญ้า หย่อนตัวลงกับผืนดินที่ปกคลุมด้วยความเขียวชอุ่ม
ขยับตัวไปใต้ร่มไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ได้พักพิงอิงแอบ
ร่างบางเลือกวางหนังสือนวนิยายเล่มหนาที่ผู้เป็นน้องเอามาให้อ่านฆ่าเวลาไว้ตัว
ก่อนจะวางมือไว้บนตักเหยียดขายาวปล่อยให้ปลายเท้าเปลือยเปล่าได้สัมผัสยอดหญ้าอย่างเต็มที่
และหลับตาพักผ่อนกับธรรมชาติ
ที่นี่คือสถานที่แห่งความทรงจำมากมาย แต่วันนี้
ตอนนี้ องค์หญิงรัชทายาทเลือกที่จะผ่อนลมหายใจเข้าออก
และรับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ในสวน
แทนที่จะนึกถึงเรื่องที่ดึงความคิดและสุขภาพของตนให้ตกลงต่ำ
.
.
จูจูน้อยหลับตาลงและคิดถึงสายลมอ่อนๆที่กำลังพัดไรผมสีน้ำตาลอัลมอนล์
ดอกไอริสแซมอยู่กับเปียที่ไขว้อยู่กับผมสลวย มันช่างงดงามเหลือเกิน
รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นนั่นกำลังคลี่ออกอย่างอ่อนโยน
แขนเรียวที่เนียนขาวกำลังอ้าออกให้ตัวเค้าวิ่งไปหา
“ท่านแม่”
“ไงจ้ะลูกรักของแม่” ภาพของหญิงงามสง่า
ที่กำลังถือดอกไม้หลากหลายดอกอยู่ในกำมือ กล่าวตอบอย่างอ่อนโยน
“ท..ทำไม”
เด็กน้อยในร่างองค์หญิงแสนงามมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มือเนียนพยายามคว้า กวาด
วาดแขนเพื่อรวบตัวร่างตรงหน้าเอาไว้ แต่ก็ทะลุผ่านไปเหมือนจับหมอกควัน
“ไม่เอาสิ ลูกของแม่เป็นคนเก่ง
เจ้าจะต้องไม่ร้องไห้”
“แต่.. แต่ลูกคิดถึงท่านแม่ ท่านแม่เพคะ
ลูกเหนื่อยเหลือเกิน ขอลูกกอดท่านแม่ได้หรือไม่” ขอบตาร้อนผ่าว
น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“โถ่ ลูกรักของแม่ เพราะเจ้าช่างบอบบางและแสนดีเช่นนี้อย่างไรเล่า
แม่ถึงห่วงเจ้าเหลือเกิน” ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของผู้เป็นแม่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าอ่อนโยน
ที่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “คนดีของแม่ ไหนลองบอกแม่ของเจ้ามาสิ๊
ว่าเกิดเรื่องใดกับใจเจ้า”
“ทำไมลูกถึงรู้สึกเช่นนี้ได้ ลูกไม่เข้าใจ
ลูกสับสนไปหมด”
“เด็กน้อย เพียงเอ่ยกับแม่ลูกรัก แม่อยู่ตรงนี้
รับฟังเจ้าอยู่” มือนุ่มยกขึ้นลูบหัวปลอบคนเศร้าอย่างเบามือ
ถึงไม่สามารถสัมผัสถูกตัว แต่ความอบอุ่นก็ส่งไปถึงใจดวงน้อยได้
“ลูกคิดถึงพี่ชายเพคะ แต่.. แต่ตอนนี้ลูกกลับคบหากับอีกคน
ลูกไม่เคยรู้สึกอบอุ่นหัวใจเท่ากับตอนที่อยู่กับพี่ชายเลย แต่
แต่ว่าลูกก็รู้สึกดีที่มีคนคอยอยู่ข้างๆ ทำให้ยิ้ม ทำให้เขินบ้าง ใจเต้นแรง.. และ
และ”
ร่างเล็กเงียบไป
หลังจากคิดถึงใบหน้านักกายกรรมหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นชายคนรักในตอนนี้ก็ไม่ผิด
แต่จู่ๆ ใบหน้าของใครอีกคนก็ผุดขึ้นมาแทนที่โดยไม่ได้ตั้งใจ แววตาเย็นชาแสนอ่านยาก
คำพูดทื่อๆที่ฟังแล้วบางคราก็นึกเคือง บางคราก็..ใจเต้นนั่น
“แต่ท่านแม่ ในความเป็นจริงแล้ว
ลูกไม่สามารถรักใครได้ ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นท่านมาร์ค หรือพี่ชาย ..เพราะลูก
ลูกไม่ใช่ ไม่ใช่... ลูกไม่ใช่”
“ลูกรัก ฟังแม่นะ..
มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าที่เจ้าต้องอยู่ในสถานภาพเช่นนี้
รักแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ชาวเรายึดถือ แคว้นเราหรือแคว้นไหนๆ
ไม่มีสิทธิห้ามสายสัมพันธ์แห่งรัก เพราะเมื่อได้ข้ามผ่านประตูของการมีชีวิตมาแล้ว
เราจะพบว่าไม่มีสิ่งใดจีรัง นอกจาก ความดี ที่จะสืบต่อไป แม้บางเบาเหมือนอากาศ
แต่ก็จะอยู่รอบตัวของทุกคน และ ความรัก ที่จะล่องลอยไปตามทางของมัน
อาจจะไกลใช่เวลานาน อุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่วันหนึ่งมันจะเดินทางตามมาถึงแน่ และเมื่อมันมาถึง
จงอย่ากลัวที่จะยอมรับ และเชื่อในรัก”
“แล้วลูกจะต้องเลือกสิ่งใดกัน ลูกจะรู้ได้เช่นไรกัน
ว่าสิ่งที่มีอยู่นั่นใช่รัก”
“ใจของเจ้านั้นรู้ดี เพียงแค่เจ้าอย่าหลอกตัวเอง
จงกล้าหาญเอาไว้สาวน้อยของแม่ ... เจ้าต้องเป็นพี่สาวที่ดีของแบมแบม”
ร้อยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มบนใบหน้าเนียนอีกครั้ง “บางเรื่องมันก็ยากเกินกว่าแม่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงได้
แต่เชื่อแม่เถอะ เจ้าเป็นเจ้าหญิงที่สง่างามมากจริงๆ แม่เชื่อว่าเจ้าจะดูแลน้อง
และเมืองนี้ได้แน่นอน”
“ท่านแม่ ...” น้ำตาที่กักไว้ร่วงเผาะ
องค์หญิงจูเนียร์แบกรับความรู้สึกมากกว่าใคร ทั้งเรื่องตัวเรื่องใคร
ร่างเล็กก็เก็บมาเสมอ ยิ่งใกล้ถึงพิธีเลือกรสจูบ
ความเครียดและหลายสิ่งก็ถาโถมเข้ามาจนเค้าเองก็รับไม่ไหว ทั้งร่างกายและจิตใจ
“คนเก่งของแม่ จงเชื่อใจน้องของเจ้า
และเชื่อใจตัวเจ้าเอง การตัดสินใจของเจ้า หากใจเจ้าบอกว่ามันถูกต้องแล้ว
ก็จงทำตามมัน อย่าได้กลัวเกรงผู้ใด เพราะเจ้าคือจูเนียร์ ผู้น่ารักของแม่คนนี้”
“.....” ร่างบางปาดน้ำตา พร้อมสะอื้นกับสิ่งที่ได้ฟัง
มองใบหน้าของผู้เป็นแม่ เก็บจดจำทุกรายละเอียด
“ไม่ว่าเจ้าพบเรื่องใด จงอย่าลืมที่จะเป็นตัวเอง
เชื่อมั่นในตัวเองไว้ลูกรัก” ดอกฟรีเซียในมือของราชินีผู้งามสง่า
ถูกส่งให้องค์หญิงน้อย “แม่รักลูกนะ”
“ ท่านแม่อย่าเพิ่งไป”
ร้องเรียกเมื่อร่างของคนตรงหน้าเริ่มจางหายไปกับสายลม
“แม่อยู่กับเจ้าเสมอในนี้”
มือเนียนประกบอยู่ที่อกซ้ายของตัวเอง ก่อนจะมลายหายไป
เหลือเพียงกลีบดอกไอริสสีน้ำเงินวางอยู่บนพื้นหญ้า
“ท่านแม่...”
จูเนียร์ก้มลงไปหมายจะสัมผัสกลีบดอกที่เหลือแต่ทว่ามันก็สลายไป
เหมือนธรรมชาติที่ดอกไอริสมันจะโรยราไปด้วยเวลาเพียงไม่นาน
เด็กน้อยมองดอกฟรีเซียในมือ ก่อนจะนำขึ้นมาแนบแก้มอย่างคนึงถึง
.
.
“องค์หญิงเพคะ”
“....”
“องค์หญิงจูเนียร์เพคะ”
“..?” ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากลืมตาตื่น
“คือองค์หญิงแบมแบมให้หม่อมฉันมาเชิญพระองค์ไปเสวยมื้อเที่ยงน่ะเพคะ
องค์หญิงแบมแบมตั้งใจกำหนดเมนูเองเพื่อบำรุงสุขภาพพระองค์”
“..นี่เราหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือ ได้สิ
นำทางไปเลย”
“งั้นหม่อมฉันจะยกหนังสือไปให้นะเพคะ”
พูดจบสาวใช้ก็ยกหนังสือที่วางอยู่ข้างกายผู้เป็นนายไป แล้วลุกนำทาง”
องค์หญิงละสายตาจากสาวใช้ที่ท่าทางเรียบร้อย
มาหยัดตัวลุก ก่อนจะชะงักเมื่อมองเห็นว่ามือของตนเองนั้นกำดอกฟรีเซียอยู่
ท่านแม่...
“อิ่มแล้วหรอเพคะ” เสียงร่าเริงของน้องรักเอ่ยถาม
คนเป็นพี่ได้แต่พยักหน้า พร้อมยกแก้วน้ำปิดมื้ออาหาร
“ทำไมถึงมากมายนักล่ะ
ทั้งที่วันนี้มีเพียงพี่กับเจ้า”
“บำรุงพระวรกายให้หายจากอาการป่วยไงเพคะ
ท่านพี่ดูไม่ดีเลย ทั้งที่รับยาจากหมอหลวงไปแล้ว แต่ก็ยังดูเหนื่อยล้า และอ่อนแรง”
“พี่แค่เครียดๆเรื่องพิธีน่ะ แต่ดีขึ้นแล้ว
ไม่ต้องหวง”
“พิธี? ...จริงสินะ อีกไม่กี่อาทิตย์แล้ว
พอท่านพ่อกลับจากการประชุม ท่านพี่ของหม่อมฉันก็จะได้เป็นองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์”
“..ใช่ เช่นนั้นแหละ”
“แล้วท่านพี่จะทำเช่นไรกับท่านมาร์คเพคะ ตอนนี้เราต่างรู้ดีว่าพิธีเป็นเช่นไร
...ท่านพี่แน่พระทัยแน่หรือยังที่จะ” เว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ย “ให้ท่านมาร์คเป็นคู่ครอง
ปกครองเมืองนี้ไปด้วยกัน”
“พี่...” พอนึกถึงเรื่องนั้น
ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี เพราะคนตัวเล็กแจงแก่ใจแล้วว่าตนไม่ได้มีจิตคิดลึกซึ้งกับนักกายกรรมหนุ่ม
แต่หากจะตัดสัมพันธ์คนดีๆอย่างมาร์ค จูเนียร์ก็ลำบากใจ
“รีบตัดสินใจเป็นการดีนะเพคะ เวลาก็เดินไปทุกขณะ
หม่อมฉันไม่อยากให้ท่านพี่เสียใจกับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ...ไหนจะเรื่อง นั้น
อีก”
สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย
ว่าเรื่องนั้น คือสิ่งใด ใช่ มันสำคัญกว่าการขึ้นครองราชย์ มันยากกว่าการหาคู่ครอง
มันคือการหาใครสักคนที่พร้อมจะยอมรับว่าเค้านั้นไม่ใช่...
“แต่ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันมีเรื่องมาเสนอ
เพื่อให้ท่านพี่เตรียมพร้อมกับการรับรสจูบ”
“หมายความอย่างไร พี่ไม่เข้าใจ”
“หม่อมฉันหาคนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงให้ท่านพี่ใช้ชีวิตก่อนเข้าพิธีอันแสนสั้นให้คุ้มค่าไงเพคะ”
“รอยยิ้มเจ้ามันเชื่อได้แน่รึ?” คนเป็นพี่มองหน้าน้องที่รักด้วยความชั่งใจ “ไหนลองบอกพี่มาเจ้าเด็กซน”
“หม่อมฉันอยากเสนอให้ท่านพี่ได้ทำตามใจตนเป็นเวลาสักสองอาทิตย์
ไปเที่ยวไกลๆนอกวัง ในขณะที่ท่านพ่อไม่อยู่ ฮิฮิ ใครก็มาว่าไม่ได้
ก่อนที่ท่านจะเข้าพิธีรับรสจูบ เพราะหลังจากนั้น จนกว่าที่ท่านจะเข้ารับเอนไอและครองราชย์
ท่านจะไม่ได้ไปไหนอีกเลยนอกจากวังนี้...”
“แบมแบมน้องพี่”
จูเนียร์กอดเด็กซนที่โน้มโอบตนจากด้านหลัง น้องเพียงคนเดียว
น้องรักที่เข้าใจเค้าเสมอ “เจ้าเด็กดื้อของพี่มีความคิดเช่นนี้เสียตั้งแต่เมื่อใดกัน”
“นะเพคะ หม่อมฉันจะอยู่วังคอยดูแลทุกอย่างเอง
หม่อมฉันจะทำให้ได้ และจะทำมันให้ดีที่สุด”
“เจ้าจะทำมันไหวหรอ แค่ตอนนี้มันยังสงบอยู่ก็จริง
แต่หากพี่ไปพักผ่อน แล้วเกิดเรื่องร้ายกับเมืองล่ะ ยิ่งข่าวกบฏลอบเข้ามาในเมืองเราก็มีคนถวายฎีกาเข้ามาให้อ่านหลายฉบับแล้ว”
“ท่านพี่เพียงไปเที่ยวนอกเมืองนะเพคะ
ไม่ใช่ไปต่างเมือง หากเกิดเหตุร้าย หม่อมฉันเองนี่แหละจะออกไปรับท่านพี่ จะรีบขี่แมกมาไปรับด้วยตัวเองทันทีเลยเพคะ”
“แมกมายอมให้เจ้าขี่แล้วหรอ”
“ใช่เพคะ หม่อมฉันลองขี่มันเมื่อเช้า ปราบพยศม้าแสบตัวลงได้แล้ว
แต่ก็หนักเอาเรื่องอยู่”
“จริงหรอ เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”
“ได้เพคะ เมื่อเช้าหม่อมฉันเข้าไปเล่นกับมันและ....”
ห้องรับประทานอาหารกว้างก้องไปด้วยเสียงหัวเราะของสองพี่น้อง
และเสียงขำขันเล็กๆจากสาวใช้คนสนิทที่ยืนคอยรับใช้ สีสันกลับคืนสู่วังอีกครา
เมื่อพี่น้องทั้งสองได้คุยเล่นตามประสาเด็กไม่รู้จักโต
ชายหนุ่มนั่งมองควันจากปล่องไฟข้องบ้านสองชั้นตรงหน้ามาพักใหญ่
องครักษ์หนุ่มนั่งคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าตรงกองไม้ที่เตรียมใช้ทำฟืน
คำพูดของแบมแบมยังวนเวียนอยู่ในหัวชายหนุ่ม
ตีกับความคิดหลายเรื่องที่เค้าเพิ่งตัดสินใจไปเมื่อวานว่าจะพูด
“ข้าจะสนับสนุนท่านเต็มที่
จะทำทุกทางให้มาร์คออกห่างจากท่านพี่ ดังนั้น ท่านต้องมาเป็นคนที่ดูแลท่านพี่ข้า
ข้าไว้ใจท่านที่สุด ..ช่วยข้าเถอะนะพี่เขย”
“ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม..”
“กลุ้มเรื่องอะไร? บอกหน่อยได้ไหม”
เสียงของเด็กสาวเอ่ยถามหลังจากได้ยินคำสบถของชายหนุ่มตรงหน้า
“ไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่างเจ้าจีมิน”
ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ข้าสอบผ่านวิชาต่อสู้ขั้นสี่ได้แล้วนะ
อีกไม่นานก็จะถึงขั้นเจ็ด อีกไม่นานก็จะเท่ากับพี่”
“ไว้ให้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยมาพูดกัน”
เจบีพูดอย่างตัดรำคาญ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ไม้หัวโต๊ะ “ไปตามทุกคนมา
เราต้องรีบประชุม เวลาเราเหลือไม่มากแล้ว”
“ค่ะ”
เสียงก้าวเท้าจากชั้นบนเดินลงมากันอย่างเป็นระเบียบ
มีทั้งชายและหญิงคละกันไป ทุกคนเดินลงมาพร้อมทำความเคารพชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
ก่อนที่จะนั่งลงตามตำแหน่ง
“เกิดเรื่องอะไรหรอครับหัวหน้า”
“ตอนนี้เราต้องรีบลงมือแล้ว ข่าวกบฏ
และการเคลื่อนไหวของฝ่ายใต้ดิน รู้เข้าไปถึงวังแล้ว เราจะรอช้าไม่ได้”
“ให้ตายเถอะ หูตาไวกันจริงเชียว”
“และยิ่งไปกว่านั้นเราต้องรีบลงมือก่อนจะถึงงานพิธีใหญ่ของเอนไอริส
เพราะถ้าถึงตอนนั้น เราคงไม่มีโอกาสแน่”
“พิธีโบราณนั่น มีอยู่จริงหรอครับหัวหน้า”
“ใช่...
และตอนนี้ฉันได้รับความไว้วางใจให้ดูแลองค์หญิงรัชทายาท ดังนั้น เราต้องรีบลงมือ
จัดการก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว”
“พวกเราพร้อมรับคำสั่งการครับ”
“ดี เพราะหลังจากนี้ มันคือของจริงแล้ว”
กลับมาแล้ววววว ลืมกันรึยังนิ
ไม่ทิ้งนะคะ ทิ้งไม่ได้เรื่องนี้ คือเพิ่งปิดเทอม เพิ่งว่าง
ดังนั้นเราจะมาทยอยอัพให้โดยสลับกันไป
โปรดรอ หวังว่าจะเอ็นจอย
ไม่สปอยล์ใดๆทั้งสิ้นค่ะ 555555
คิดถึงทุกคนนะ ฮือออ
'อย่าเดาเลย เพราะไม่ถูกหรอก งิงิ'
เม้นเป็นกำลังใจ กดโหวต
ทักไปคุยที่ทวิตได้ มีแท็กฟิคนะเออ
#ficrightthere
ความคิดเห็น