ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic GOT7] Right There ❀ {Bnior & Markbam}

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 09 : How could this be wrong? 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 208
      1
      9 มี.ค. 59

    Tiny White Pointer

    Chapter 09 : How could this be wrong?

     

     

     

     

    แสงอาทิตย์สาดส่องไล่ริ้วความมืดให้จางหาย ทว่าไม่คลายความกังวลใจขององครักษ์หนุ่มเลย ข่มตาให้วางในนิทราก็ไม่ได้ ลองแปรเปลี่ยนพลิกกายาหรือก็หาได้ผล ทั้งที่ตัดสินใจแล้วว่าจะเผยตัว แต่ใจของชายผู้ได้ชื่อนักรบก็กลับขลาดเขลา

     

     

    ลุกขึ้นจากเตียงที่ใช้นอนหนุน พร้อมตรงไปยังห้องน้ำ จัดการชำระล้างความกังวลออกไป ก่อนจะท้าวแขนลงบนอ่างล้างหน้า สาดน้ำใส่ใบหน้าคมของตนเพื่อสร้างความสดชื่นให้กับวันใหม่นี้ ก่อนจะมองใต้ตาที่ขึ้นรอยคล้ำจางๆจากการอดนอนปรากฏขึ้นมาพอให้รู้ว่า เจบีเสียเวลากับการมองเพดานห้องที่มืดสนิทไปนานเพียงไหน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความง่วงเซาใดๆ

     

     

     

    *ก็อก ก็อก ก็อก

     

     

     

    ชายหนุ่มละจากอ่างล้างหน้าออกมา คว้าผ้ามาซับแล้วตรงไปยังประตู ชายหนุ่มเลือกที่จะจัดการแต่งกายให้เรียบร้อยเมื่อนึกขึ้นได้ว่าการคาดผ้าแค่เอวแล้วเดินโจ้งๆไปรับแขก มันดูไม่ดีเท่าไรนัก เสื้อคลุมสีเข้มถูกสวมทับอย่างลวกๆ ก่อนบานประตูจะเปิดออกรับผู้มาเยือน

     

     

    “นานจริง” เสียงของแบมแบมเอ่ยขึ้น ร่างเล็กมองหน้าที่ไม่สื่อถึงอารมณ์ยินดียินร้ายของเจ้าของห้องแล้วก็ขมวดคิ้ว “ทำอะไรอยู่หรอ”

     

    “มีเรื่องอะไร ถึงมาหาคนอื่นถึงห้อง ไม่กลัวจะว่าคนจะมองไม่ดีหรือไรกัน” องครักษ์หนุ่มเลือกที่จะไม่พูดคำตอบ เพราะคิดว่าดูจากการแต่งกายของเค้า เด็กตรงหน้าก็คงไม่ได้ซื่อจนไม่รู้

     

    “ข้าเป็นองค์หญิงนะ จะเดินไปไหนในวังก็ย่อมได้สิ” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมทำมือไม้ประกอบ

     

    “แล้วการเคาะประตูห้องคนอื่นโดยไม่มีอะไรนี่ก็สิทธิของการเป็นองค์หญิงด้วยหรือ?” เจบีเอ่ยเรียบๆ ก่อนจะเสยผมที่ลู่เพราะเปียกขึ้นอย่างเหนื่อยใจ “ถ้าไม่มีธุระอะไร อย่าเคาะห้องคนอื่นเล่น เอาเวลานี้ไปดูแลคนป่วยเถอะ”

     

    “ไม่ใช่นะ! อย่าเพิ่งปิด” ร่างเล็กร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำท่าจะปิดประตูใส่ “ข้ามีเรื่อง เรื่องสำคัญด้วย เรื่องท่านพี่..”

     

     

    มือหนาชะงักลง เมื่อได้ยินว่ามีเรื่องสำคัญของใครบางคน ก่อนที่ชายหนุ่มจะปิดประตูลงอีกครั้ง ร่างเล็กตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าบานประตูปิดลงใส่หน้า ทั้งที่ตนกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญ แต่ชั่วอึดใจเดียว ประตูก็เปิดออกพร้อมชายหนุ่มในชุดสุภาพง่ายๆที่ดูเหมือนรีบคว้ามาใส่

     

     

    “ไปคุยกันที่อื่นเถอะ”

     

     

    -10%-





     

    ทั้งสองเดินทางออกมา หมายจะไปยังตลาดเก่าใจกลางเมือง ตั้งแต่ในปราสาทจวบจนตลอดทางการสนทนาไม่ได้เกิดขึ้นอีก แต่คนตัวเล็กก็พอรู้ว่าทำไมเค้าถึงต้องออกมา ทั้งความเหมาะสม และอะไรอื่นๆ

     

     

    เราทั้งคู่ขึ้นม้ามาออกมาแทนที่จะนำขบวนเสด็จด้วยทหารรักษาพระองค์ แบมแบมมองวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ตอนนี้เรามาถึงที่หมายแล้ว วาดขาลงจากอาชาตัวโต ก่อนจะตรงไปยังร้านกาแฟเก่าๆ

     

    ร่างเล็กเย็นกายยามลมต้องเล็กน้อย เพราะเสื้อผ้าเนื้อดีที่ใส่ติดตัวมามันไม่ได้ถูกสวมทับ องค์หญิงคนเล็กแห่งเอนไอริสออกมาในที่สาธารณะ คงไม่ใช่เรื่องดีหากมีคนจำได้ ดังนั้นการใส่เพียงเสื้อคลุมที่ถูกให้ไปเอามาก่อนจะออกมานั้นคงเป็นสิ่งสะดุดตาน้อยที่สุด ถึงแม้มันจะดูราคาแพง แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนเค้าเป็นเพียงลูกเศรษฐีมากกว่าการสวมผ้าคลุมไหล่สีลูกพีชที่ประดับดิ้นสีทอง

     

     

    “ว่ามา...” องครักษ์หนุ่มกล่าวขึ้นหลังจากหามุมสงบเงียบนั่งได้ในร้าน

     

    “คือข้า.. เป็นห่วงท่านพี่” ร่างเล็กเม้มปากเพราะความประหม่า ไม่ใช่เขินอายกับคนตรงหน้า หากแต่การออกมาข้างนอกวังไกลๆเช่นนี้ ทำให้เด็กน้อยอย่างแบมแบมอดกลัวไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเริ่มไม่สงบเช่นกาลก่อน แต่ถึงกระนั้น เค้าเองก็ยังแอบดีใจที่ได้ออกมานอกเขตรั้วปราสาทเอนไอริส

     

    “ห่วง? เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับองค์หญิงจูเนียร์”

     

    “คือ.. ท่านจำเรื่องที่ข้าเคยพูดไปเมื่อคราก่อนได้รึไม่”

     

    ชายหนุ่มเงียบไปหลังจากได้ยินร่างเล็กตรงหน้าเอ่ย เค้าตราตรึงมันเข้าไปทุกโสตประสาท เรื่องราวที่คิดว่าลืมไปแล้ว เรื่องที่เป็นสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงให้เค้ายังเป็นเจบีจนถึงวันนี้

     

    “ได้.. จำได้”

     

    “นั่นแหละ ข้าเลยมีเรื่องอยากจะขอท่าน ...” ร่างเล็กรวมรวบความกล้า สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “ท่าน.. ช่วยมาเป็นพี่เขยข้าได้หรือไม่”

     

    “ว่าอย่างไรนะ?!” องครักษ์หนุ่มตกใจไม่น้อยกับคำตรัสขององค์หญิงน้อยตรงหน้า

     

    “คือว่า... ข้าไว้ใจเพียงท่าน ให้ดูแลท่านพี่ เพราะหากให้คนอย่างมาร์คเป็นคนทำหน้าที่นั้น ข้ายอมกัดลิ้นตัวเองตายดีกว่า” แบมแบมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หรือว่า ท่านไม่ชอบพี่ข้า...”

     

    “ไม่ แต่--”

     

    “นั่นสิ ข้าลืมคิดถึงข้อนั้น แต่อันที่จริงมันก็มีข้อที่สำคัญกว่านั้น แต่ถ้าหากท่านยอมมันก็เป็นเรื่องที่ดี อ่า ไม่สิ การบังคับใจผู้อื่นเป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ว่าเวลาก็มันก็เหลือไม่มากแล้ว ถ้าไม่ทำแบบนี้ มันก็--”

     

    “พอ!” องครักษ์ร้องห้ามความคิดที่กำลังไปกันใหญ่ของเด็กตรงหน้า “ทำไมต้องให้ข้าทำเรื่องเช่นนั้น ท่านไม่คิดหรือว่าพี่ท่านเองอาจไม่ประสงค์ที่จะ....”

     

    “ไม่หรอก... ลึกๆแล้วท่านพี่น่ะไม่ได้ชอบมาร์ค ข้ามั่นใจ ข้ารู้จักท่านพี่มาตลอดชีวิตของข้า ท่านพี่แค่กำลังหวั่นไหว แค่ไร้ที่พึ่งทางใจ ซึ่งนั่น ก็นับเป็นความผิดอีกประการหนึ่งที่น้องอย่างข้าทำพลาดไป ถ้าข้าไม่บอกให้ท่านพี่ลืมอดีต ท่านพี่คงไม่ยอมให้คนกะล่อนนั่นแตะต้องหรอก”

     

    “แตะต้อง?”

     

    “ข้าหมายถึงถูกพระวรกาย ไม่เกินเลยกว่านั้น ..แต่หากท่านไม่ช่วยมาเป็นพี่เขยข้า เรื่องนั้นคงใกล้มาถึงในเร็ววัน”

     

    “หมายความว่าอย่างไร ทำไมต้องในเร็ววัน”

     

    “ก็มันใกล้เข้ามาแล้วน่ะสิ พิธีเลือกรสจูบ”

     

    “เลือกรสจูบ...?”

     

    “เป็นพิธีโบราณ ดั่งเดิมที่ชาวเราทำกันมา มันเป็นการกำหนดชะตาชีวิต เลือกคู่ เตรียมขึ้นครองราชย์”

     

    “มันเป็นอย่างไร ข้ายังไม่เข้าใจเท่าที่ควร”

     

    “อีกไม่นาน ท่านพี่ก็จะอายุครบ และก็จะเข้าพิธีเลือกรสจูบ มันคล้ายกับกำหนดคนที่จะมาเป็นคู่ครองท่านพี่ เพราะตามธรรมเนียมเอนไอริสเรา หากคู่รักคู่ใดได้เข้ารับรสจูบโดยการมอบจุมพิศและรักบริสุทธิ์แก่กันในพิธีนั้น ก็จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป”

     

    “...”

     

    “เพื่อที่จะเตรียมพร้อมในการเข้าพิธีเอนไอและขึ้นครองราชย์ต่อไป แล้วท่านลองตรองดู หากโชคร้ายท่านพ่อเลือกให้คนรักในนามของท่านพี่อย่างมาร์คเป็นคู่รับรสจูบล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้าจะขอให้เค้าถูกฟ้าผ่าตายกลางแท่นพิธี”

     

    “แล้วทำไมต้องเป็นพี่เขยท่าน แค่ข้ากันทั้งคู่จากกันไม่ได้หรือไร”

     

    “ไม่ได้ เพราะการที่จะมีคนมาคบหาเจ้าหญิง...อย่างข้าและท่านพี่ได้มันยาก และ.. และท่านพ่อคงรู้ดี ว่า..ว่า ผู้ชายที่รักเราได้ ยอมรับเรา ที่เป็นเรา มันน้อย หรืออาจไม่มีเลย และท่านพ่อก็ปิติยิ่งนักที่ชายรูปงามอย่างมาร์คตกลงปลงใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อไม่ว่าด้วยเหตุผลการเมืองที่จะมีสงครามกบฏ หรือความรักที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า.. กับท่านพี่”

     

    คนตัวเล็กพูดด้วยท่าทางอึกอัก มันเป็นเรื่องยากในตอนนี้ที่จะพูดเรื่องที่ถูกสอนมาตั้งแต่ยังเล็กว่า ห้ามให้ใครรู้ ห้ามพูดถึง และต้องเป็นอย่างที่ท่านพ่อให้เป็น โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ และปฏิบัติให้สมกับการเป็นองค์หญิงที่รู้แก่ใจดีว่าเค้าไม่ใช่

    เค้าทั้งคู่คือเชื้อพระวงศ์ คือรัชทายาท แต่แค่ไม่ใช่.. ไม่ใช่องค์หญิง ข้อสำคัญที่ถูกฝังให้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของใจ ว่าเค้า เป็นผู้ชาย ที่ควรเป็นองค์ชาย ดูแลเมืองนี้ หาสตรีที่ต้องใจสักคนมาเป็นชายา และมีลูกหลานสืบต่อไปให้อาณาจักร แต่..

    มันช่างน่าปวดใจ ที่เค้าและพี่อันเป็นสุดที่รัก ไม่สามารถพูดได้ว่า เค้าชอบผู้หญิง..

     

    จะไม่โทษ หรือโกรธท่านพ่อ เพราะความรักอันมากล้นที่ท่านมีให้ท่านแม่นั้นทำร้ายเรา เพราะทั้งแบมแบมและจูเนียร์ก็ต่างรู้ว่า การที่ท่านพ่อมีชีวิตอยู่อย่างเกษมสำราญ ปกป้องเมืองด้วยใจกล้าหาญ ปกครองอาณาจักรด้วยความเป็นราชาทรงธรรมของประชาชนอยู่ได้ นั้นมาจากความรักของท่านแม่ที่ถูกส่งผ่านตัวพวกเค้าทั้งคู่ ซึ่งนั่นมันงดงาม

     

    แต่การจะให้บอกใครต่อใครว่าเค้าเป็นชาย และพี่สาวที่แสนดี แสนสง่างาม และเพียบพร้อมนั้นก็เป็นชาย ใครล่ะ ใครจะรับได้ เราถูกกีดกันเสมอหากเป็นเรื่องที่ถูกมองว่าผิดจารีต... และนั่นทำให้

     

     

    “ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น มีคนดีๆที่พร้อมจะเข้ามา--”

     

    “ท่านไม่มีวันเข้าใจเรื่องนั้นได้ ขอโทษด้วย แต่ได้โปรดช่วยพี่ข้า” ร่างบางกำมือกับชายกระโปรงแน่น สายตาวางอยู่กับตักตน ถึงแม้จะมั่นใจได้ว่าเจบีเป็นคนดีแน่ไม่ต้องแครงใจสงสัย แต่มันก็ไม่ได้ ไม่มากพอกันเรื่องละเอียดอ่อนกับความลับของอาณาจักรนี้.. ที่ว่า

     

     

    องค์หญิงแห่งเอนไอริสเป็น ผู้ชาย

     

     

     

    “ได้โปรด ได้โปรดเถอะ.. ท่านเจบี”

     

     

     

     

    ลมพะพายที่พัดผ่านรวงแก้มเนียนไปอย่างแผ่วเบา อ่อนโยนราวกับปลอบใจที่เหนื่อยอ่อนของร่างบาง เจ้าของชายกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนที่ยาวระพื้นอยู่ จูเนียร์ก้มมองเท้าเปล่าของตนที่ย่ำอยู่บนยอดหญ้า หย่อนตัวลงกับผืนดินที่ปกคลุมด้วยความเขียวชอุ่ม ขยับตัวไปใต้ร่มไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านให้ได้พักพิงอิงแอบ

    ร่างบางเลือกวางหนังสือนวนิยายเล่มหนาที่ผู้เป็นน้องเอามาให้อ่านฆ่าเวลาไว้ตัว ก่อนจะวางมือไว้บนตักเหยียดขายาวปล่อยให้ปลายเท้าเปลือยเปล่าได้สัมผัสยอดหญ้าอย่างเต็มที่ และหลับตาพักผ่อนกับธรรมชาติ

     

    ที่นี่คือสถานที่แห่งความทรงจำมากมาย แต่วันนี้ ตอนนี้ องค์หญิงรัชทายาทเลือกที่จะผ่อนลมหายใจเข้าออก และรับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ในสวน แทนที่จะนึกถึงเรื่องที่ดึงความคิดและสุขภาพของตนให้ตกลงต่ำ

    .

    .

     

     

    จูจูน้อยหลับตาลงและคิดถึงสายลมอ่อนๆที่กำลังพัดไรผมสีน้ำตาลอัลมอนล์ ดอกไอริสแซมอยู่กับเปียที่ไขว้อยู่กับผมสลวย มันช่างงดงามเหลือเกิน รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นนั่นกำลังคลี่ออกอย่างอ่อนโยน แขนเรียวที่เนียนขาวกำลังอ้าออกให้ตัวเค้าวิ่งไปหา

     

     

    “ท่านแม่”

     

    “ไงจ้ะลูกรักของแม่” ภาพของหญิงงามสง่า ที่กำลังถือดอกไม้หลากหลายดอกอยู่ในกำมือ กล่าวตอบอย่างอ่อนโยน

     

    “ท..ทำไม” เด็กน้อยในร่างองค์หญิงแสนงามมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ มือเนียนพยายามคว้า กวาด วาดแขนเพื่อรวบตัวร่างตรงหน้าเอาไว้ แต่ก็ทะลุผ่านไปเหมือนจับหมอกควัน

     

    “ไม่เอาสิ ลูกของแม่เป็นคนเก่ง เจ้าจะต้องไม่ร้องไห้”

     

    “แต่.. แต่ลูกคิดถึงท่านแม่ ท่านแม่เพคะ ลูกเหนื่อยเหลือเกิน ขอลูกกอดท่านแม่ได้หรือไม่” ขอบตาร้อนผ่าว น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

     

    “โถ่ ลูกรักของแม่ เพราะเจ้าช่างบอบบางและแสนดีเช่นนี้อย่างไรเล่า แม่ถึงห่วงเจ้าเหลือเกิน” ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของผู้เป็นแม่แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าอ่อนโยน ที่แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย “คนดีของแม่ ไหนลองบอกแม่ของเจ้ามาสิ๊ ว่าเกิดเรื่องใดกับใจเจ้า”

     

    “ทำไมลูกถึงรู้สึกเช่นนี้ได้ ลูกไม่เข้าใจ ลูกสับสนไปหมด”

     

    “เด็กน้อย เพียงเอ่ยกับแม่ลูกรัก แม่อยู่ตรงนี้ รับฟังเจ้าอยู่” มือนุ่มยกขึ้นลูบหัวปลอบคนเศร้าอย่างเบามือ ถึงไม่สามารถสัมผัสถูกตัว แต่ความอบอุ่นก็ส่งไปถึงใจดวงน้อยได้

     

    “ลูกคิดถึงพี่ชายเพคะ แต่.. แต่ตอนนี้ลูกกลับคบหากับอีกคน ลูกไม่เคยรู้สึกอบอุ่นหัวใจเท่ากับตอนที่อยู่กับพี่ชายเลย แต่ แต่ว่าลูกก็รู้สึกดีที่มีคนคอยอยู่ข้างๆ ทำให้ยิ้ม ทำให้เขินบ้าง ใจเต้นแรง.. และ และ”

     

    ร่างเล็กเงียบไป หลังจากคิดถึงใบหน้านักกายกรรมหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นชายคนรักในตอนนี้ก็ไม่ผิด แต่จู่ๆ ใบหน้าของใครอีกคนก็ผุดขึ้นมาแทนที่โดยไม่ได้ตั้งใจ แววตาเย็นชาแสนอ่านยาก คำพูดทื่อๆที่ฟังแล้วบางคราก็นึกเคือง บางคราก็..ใจเต้นนั่น

     

    “แต่ท่านแม่ ในความเป็นจริงแล้ว ลูกไม่สามารถรักใครได้ ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นท่านมาร์ค หรือพี่ชาย ..เพราะลูก ลูกไม่ใช่ ไม่ใช่... ลูกไม่ใช่”

     

    “ลูกรัก ฟังแม่นะ.. มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าที่เจ้าต้องอยู่ในสถานภาพเช่นนี้ รักแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ชาวเรายึดถือ แคว้นเราหรือแคว้นไหนๆ ไม่มีสิทธิห้ามสายสัมพันธ์แห่งรัก เพราะเมื่อได้ข้ามผ่านประตูของการมีชีวิตมาแล้ว เราจะพบว่าไม่มีสิ่งใดจีรัง นอกจาก ความดี ที่จะสืบต่อไป แม้บางเบาเหมือนอากาศ แต่ก็จะอยู่รอบตัวของทุกคน และ ความรัก ที่จะล่องลอยไปตามทางของมัน อาจจะไกลใช่เวลานาน อุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่วันหนึ่งมันจะเดินทางตามมาถึงแน่ และเมื่อมันมาถึง จงอย่ากลัวที่จะยอมรับ และเชื่อในรัก”

     

    “แล้วลูกจะต้องเลือกสิ่งใดกัน ลูกจะรู้ได้เช่นไรกัน ว่าสิ่งที่มีอยู่นั่นใช่รัก”

     

    “ใจของเจ้านั้นรู้ดี เพียงแค่เจ้าอย่าหลอกตัวเอง จงกล้าหาญเอาไว้สาวน้อยของแม่ ... เจ้าต้องเป็นพี่สาวที่ดีของแบมแบม” ร้อยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มบนใบหน้าเนียนอีกครั้ง “บางเรื่องมันก็ยากเกินกว่าแม่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงได้ แต่เชื่อแม่เถอะ เจ้าเป็นเจ้าหญิงที่สง่างามมากจริงๆ แม่เชื่อว่าเจ้าจะดูแลน้อง และเมืองนี้ได้แน่นอน”

     

    “ท่านแม่ ...” น้ำตาที่กักไว้ร่วงเผาะ องค์หญิงจูเนียร์แบกรับความรู้สึกมากกว่าใคร ทั้งเรื่องตัวเรื่องใคร ร่างเล็กก็เก็บมาเสมอ ยิ่งใกล้ถึงพิธีเลือกรสจูบ ความเครียดและหลายสิ่งก็ถาโถมเข้ามาจนเค้าเองก็รับไม่ไหว ทั้งร่างกายและจิตใจ

     

    “คนเก่งของแม่ จงเชื่อใจน้องของเจ้า และเชื่อใจตัวเจ้าเอง การตัดสินใจของเจ้า หากใจเจ้าบอกว่ามันถูกต้องแล้ว ก็จงทำตามมัน อย่าได้กลัวเกรงผู้ใด เพราะเจ้าคือจูเนียร์ ผู้น่ารักของแม่คนนี้”

     

    “.....” ร่างบางปาดน้ำตา พร้อมสะอื้นกับสิ่งที่ได้ฟัง มองใบหน้าของผู้เป็นแม่ เก็บจดจำทุกรายละเอียด

     

    “ไม่ว่าเจ้าพบเรื่องใด จงอย่าลืมที่จะเป็นตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเองไว้ลูกรัก” ดอกฟรีเซียในมือของราชินีผู้งามสง่า ถูกส่งให้องค์หญิงน้อย “แม่รักลูกนะ”

     

    “ ท่านแม่อย่าเพิ่งไป” ร้องเรียกเมื่อร่างของคนตรงหน้าเริ่มจางหายไปกับสายลม

     

    “แม่อยู่กับเจ้าเสมอในนี้” มือเนียนประกบอยู่ที่อกซ้ายของตัวเอง ก่อนจะมลายหายไป เหลือเพียงกลีบดอกไอริสสีน้ำเงินวางอยู่บนพื้นหญ้า

     

    “ท่านแม่...”

     

    จูเนียร์ก้มลงไปหมายจะสัมผัสกลีบดอกที่เหลือแต่ทว่ามันก็สลายไป เหมือนธรรมชาติที่ดอกไอริสมันจะโรยราไปด้วยเวลาเพียงไม่นาน เด็กน้อยมองดอกฟรีเซียในมือ ก่อนจะนำขึ้นมาแนบแก้มอย่างคนึงถึง

     

     

    .

    .

     

     

    “องค์หญิงเพคะ”

     

    “....”

     

    “องค์หญิงจูเนียร์เพคะ”

     

    “..?” ร่างบางขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากลืมตาตื่น

     

    “คือองค์หญิงแบมแบมให้หม่อมฉันมาเชิญพระองค์ไปเสวยมื้อเที่ยงน่ะเพคะ องค์หญิงแบมแบมตั้งใจกำหนดเมนูเองเพื่อบำรุงสุขภาพพระองค์”

     

    “..นี่เราหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือ ได้สิ นำทางไปเลย”

     

    “งั้นหม่อมฉันจะยกหนังสือไปให้นะเพคะ” พูดจบสาวใช้ก็ยกหนังสือที่วางอยู่ข้างกายผู้เป็นนายไป แล้วลุกนำทาง”

     

    องค์หญิงละสายตาจากสาวใช้ที่ท่าทางเรียบร้อย มาหยัดตัวลุก ก่อนจะชะงักเมื่อมองเห็นว่ามือของตนเองนั้นกำดอกฟรีเซียอยู่

     

     

    ท่านแม่...

     

     

     

     

     

     

    “อิ่มแล้วหรอเพคะ” เสียงร่าเริงของน้องรักเอ่ยถาม คนเป็นพี่ได้แต่พยักหน้า พร้อมยกแก้วน้ำปิดมื้ออาหาร

     

    “ทำไมถึงมากมายนักล่ะ ทั้งที่วันนี้มีเพียงพี่กับเจ้า”

     

    “บำรุงพระวรกายให้หายจากอาการป่วยไงเพคะ ท่านพี่ดูไม่ดีเลย ทั้งที่รับยาจากหมอหลวงไปแล้ว แต่ก็ยังดูเหนื่อยล้า และอ่อนแรง”

     

    “พี่แค่เครียดๆเรื่องพิธีน่ะ แต่ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องหวง”

     

    “พิธี? ...จริงสินะ อีกไม่กี่อาทิตย์แล้ว พอท่านพ่อกลับจากการประชุม ท่านพี่ของหม่อมฉันก็จะได้เป็นองค์รัชทายาทอย่างสมบูรณ์”

     

    “..ใช่ เช่นนั้นแหละ”

     

    “แล้วท่านพี่จะทำเช่นไรกับท่านมาร์คเพคะ ตอนนี้เราต่างรู้ดีว่าพิธีเป็นเช่นไร ...ท่านพี่แน่พระทัยแน่หรือยังที่จะ” เว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ย “ให้ท่านมาร์คเป็นคู่ครอง ปกครองเมืองนี้ไปด้วยกัน”

     

    “พี่...” พอนึกถึงเรื่องนั้น ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี เพราะคนตัวเล็กแจงแก่ใจแล้วว่าตนไม่ได้มีจิตคิดลึกซึ้งกับนักกายกรรมหนุ่ม แต่หากจะตัดสัมพันธ์คนดีๆอย่างมาร์ค จูเนียร์ก็ลำบากใจ

     

    “รีบตัดสินใจเป็นการดีนะเพคะ เวลาก็เดินไปทุกขณะ หม่อมฉันไม่อยากให้ท่านพี่เสียใจกับเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ...ไหนจะเรื่อง นั้น อีก”

     

    สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย ว่าเรื่องนั้น คือสิ่งใด ใช่ มันสำคัญกว่าการขึ้นครองราชย์ มันยากกว่าการหาคู่ครอง มันคือการหาใครสักคนที่พร้อมจะยอมรับว่าเค้านั้นไม่ใช่...

     

    “แต่ท่านพี่เพคะ หม่อมฉันมีเรื่องมาเสนอ เพื่อให้ท่านพี่เตรียมพร้อมกับการรับรสจูบ”

     

    “หมายความอย่างไร พี่ไม่เข้าใจ”

     

    “หม่อมฉันหาคนที่จะมาเป็นพี่เลี้ยงให้ท่านพี่ใช้ชีวิตก่อนเข้าพิธีอันแสนสั้นให้คุ้มค่าไงเพคะ”

     

    “รอยยิ้มเจ้ามันเชื่อได้แน่รึ?”  คนเป็นพี่มองหน้าน้องที่รักด้วยความชั่งใจ “ไหนลองบอกพี่มาเจ้าเด็กซน”

     

    “หม่อมฉันอยากเสนอให้ท่านพี่ได้ทำตามใจตนเป็นเวลาสักสองอาทิตย์ ไปเที่ยวไกลๆนอกวัง ในขณะที่ท่านพ่อไม่อยู่ ฮิฮิ ใครก็มาว่าไม่ได้ ก่อนที่ท่านจะเข้าพิธีรับรสจูบ เพราะหลังจากนั้น จนกว่าที่ท่านจะเข้ารับเอนไอและครองราชย์ ท่านจะไม่ได้ไปไหนอีกเลยนอกจากวังนี้...”

     

    “แบมแบมน้องพี่” จูเนียร์กอดเด็กซนที่โน้มโอบตนจากด้านหลัง น้องเพียงคนเดียว น้องรักที่เข้าใจเค้าเสมอ “เจ้าเด็กดื้อของพี่มีความคิดเช่นนี้เสียตั้งแต่เมื่อใดกัน”

     

    “นะเพคะ หม่อมฉันจะอยู่วังคอยดูแลทุกอย่างเอง หม่อมฉันจะทำให้ได้ และจะทำมันให้ดีที่สุด”

     

    “เจ้าจะทำมันไหวหรอ แค่ตอนนี้มันยังสงบอยู่ก็จริง แต่หากพี่ไปพักผ่อน แล้วเกิดเรื่องร้ายกับเมืองล่ะ ยิ่งข่าวกบฏลอบเข้ามาในเมืองเราก็มีคนถวายฎีกาเข้ามาให้อ่านหลายฉบับแล้ว”

     

    “ท่านพี่เพียงไปเที่ยวนอกเมืองนะเพคะ ไม่ใช่ไปต่างเมือง หากเกิดเหตุร้าย หม่อมฉันเองนี่แหละจะออกไปรับท่านพี่ จะรีบขี่แมกมาไปรับด้วยตัวเองทันทีเลยเพคะ”

     

    “แมกมายอมให้เจ้าขี่แล้วหรอ”

     

    “ใช่เพคะ หม่อมฉันลองขี่มันเมื่อเช้า ปราบพยศม้าแสบตัวลงได้แล้ว แต่ก็หนักเอาเรื่องอยู่”

     

    “จริงหรอ เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”

     

    “ได้เพคะ เมื่อเช้าหม่อมฉันเข้าไปเล่นกับมันและ....”

     

     

    ห้องรับประทานอาหารกว้างก้องไปด้วยเสียงหัวเราะของสองพี่น้อง และเสียงขำขันเล็กๆจากสาวใช้คนสนิทที่ยืนคอยรับใช้ สีสันกลับคืนสู่วังอีกครา เมื่อพี่น้องทั้งสองได้คุยเล่นตามประสาเด็กไม่รู้จักโต

     

     

     

     

    ชายหนุ่มนั่งมองควันจากปล่องไฟข้องบ้านสองชั้นตรงหน้ามาพักใหญ่ องครักษ์หนุ่มนั่งคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าตรงกองไม้ที่เตรียมใช้ทำฟืน คำพูดของแบมแบมยังวนเวียนอยู่ในหัวชายหนุ่ม ตีกับความคิดหลายเรื่องที่เค้าเพิ่งตัดสินใจไปเมื่อวานว่าจะพูด

     

    “ข้าจะสนับสนุนท่านเต็มที่ จะทำทุกทางให้มาร์คออกห่างจากท่านพี่ ดังนั้น ท่านต้องมาเป็นคนที่ดูแลท่านพี่ข้า ข้าไว้ใจท่านที่สุด ..ช่วยข้าเถอะนะพี่เขย”

     

     

    “ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม..”

     

    “กลุ้มเรื่องอะไร? บอกหน่อยได้ไหม” เสียงของเด็กสาวเอ่ยถามหลังจากได้ยินคำสบถของชายหนุ่มตรงหน้า

     

    “ไม่ใช่เรื่องของเด็กอย่างเจ้าจีมิน” ชายหนุ่มหยัดตัวลุกขึ้น ก่อนจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน

     

    “คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ข้าสอบผ่านวิชาต่อสู้ขั้นสี่ได้แล้วนะ อีกไม่นานก็จะถึงขั้นเจ็ด อีกไม่นานก็จะเท่ากับพี่”

     

    “ไว้ให้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยมาพูดกัน” เจบีพูดอย่างตัดรำคาญ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้ไม้หัวโต๊ะ “ไปตามทุกคนมา เราต้องรีบประชุม เวลาเราเหลือไม่มากแล้ว”

     

    “ค่ะ”

     

     

    เสียงก้าวเท้าจากชั้นบนเดินลงมากันอย่างเป็นระเบียบ มีทั้งชายและหญิงคละกันไป ทุกคนเดินลงมาพร้อมทำความเคารพชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ก่อนที่จะนั่งลงตามตำแหน่ง

     

    “เกิดเรื่องอะไรหรอครับหัวหน้า”

     

    “ตอนนี้เราต้องรีบลงมือแล้ว ข่าวกบฏ และการเคลื่อนไหวของฝ่ายใต้ดิน รู้เข้าไปถึงวังแล้ว เราจะรอช้าไม่ได้”

     

    “ให้ตายเถอะ หูตาไวกันจริงเชียว”

     

    “และยิ่งไปกว่านั้นเราต้องรีบลงมือก่อนจะถึงงานพิธีใหญ่ของเอนไอริส เพราะถ้าถึงตอนนั้น เราคงไม่มีโอกาสแน่”

     

    “พิธีโบราณนั่น มีอยู่จริงหรอครับหัวหน้า”

     

    “ใช่... และตอนนี้ฉันได้รับความไว้วางใจให้ดูแลองค์หญิงรัชทายาท ดังนั้น เราต้องรีบลงมือ จัดการก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว”

     

    “พวกเราพร้อมรับคำสั่งการครับ”

     

    “ดี เพราะหลังจากนี้ มันคือของจริงแล้ว”






















    .. Waiting for next Chapter ..









    กลับมาแล้ววววว ลืมกันรึยังนิ ไม่ทิ้งนะคะ ทิ้งไม่ได้เรื่องนี้ คือเพิ่งปิดเทอม เพิ่งว่าง

    ดังนั้นเราจะมาทยอยอัพให้โดยสลับกันไป โปรดรอ หวังว่าจะเอ็นจอย

    ไม่สปอยล์ใดๆทั้งสิ้นค่ะ 555555 คิดถึงทุกคนนะ ฮือออ

    'อย่าเดาเลย เพราะไม่ถูกหรอก งิงิ'

    เม้นเป็นกำลังใจ กดโหวต ทักไปคุยที่ทวิตได้ มีแท็กฟิคนะเออ

    #ficrightthere








    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×