ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic GOT7] Right There ❀ {Bnior & Markbam}

    ลำดับตอนที่ #1 : INTRO

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 741
      5
      10 มี.ค. 59


     

    Intro

     

    ผ้าม่านสีทองดูหรูหรา  ถูกเปลี่ยนใหม่แทนที่ผืนเก่า ดวงไฟเล็กใหญ่ ริบบิ้นหลากสี ถูกประดับไปตามที่ต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นตามเสา ต้นไม้ รอบๆบริเวณนี้นั้น เตรียมพร้อมแล้วกับการจัดงานรื่นเริงวันรุ่งพรุ่งนี้ ข้าหลวงหลายคนก็ตามเก็บรายละเอียดอย่างละเมียดละไม เพื่อให้งานฉลองวันเกิดของพระราชาไม่มีจุดต่างพร้อย ให้สมกับฐานะกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งเมือง เอนไอริส  (End Iris)

     

    “จูเนียร์ ทำไมลูกยังไม่ขึ้นไปพักที่ห้องล่ะลูกพ่อ”

     

    เสียงใหญ่ทุ้มของพ่อผู้เป็นราชาเอ่ยถามขึ้นกับลูกรักของพระองค์ เมื่อเห็นว่ายามวิกาลแล้วยังเดินเล่นไปมาอยู่ในท้องพระโรงของวัง ที่มีแต่ข้ารับใช้สาวหนุ่มคอยยกนู่นปัดนี่

     

    “ลูกเพียงอยากเห็นรายละเอียดงานทั้งหมด... ตอนที่มันยังไม่มีผู้ใดเข้ามา ยังไม่มีแขกที่มากหน้าหลายตา ก่อนผู้คนที่ลูกไม่เคยรู้จักจะเข้ามา ยืนอยู่ที่นี่เต็มไปหมด...”

    “...จูเนียร์”

     

    ราชายกมือขึ้นโอบลูกอย่างเบามือ ในใจกังวล กลัวว่าลูกของตนนั้นจะไม่ชอบงานเลี้ยงฉลองที่กำลังจะจัดขึ้น

     

    “ท่านพ่อ ทรงอย่ากังวลไปเลย...”

     

    แววตาร่าเริงของผู้เป็นลูก และน้ำเสียงที่ร่าเริงบอกกับราชาผู้เป็นพ่อว่าไม่มีเรื่องน่ากังวลใจใดๆ

     

    “ลูกแค่อยากมองมัน และจดจำ ว่าควรระวังตรงไหน จุดใด เพื่อไม่ทำเรื่องแย่ๆในวันฉลองวันเกิดของท่าน ...หม่อมฉันโตแล้ว พระองค์ทรงอย่ามองด้วยพระเนตรเป็นห่วงเด็กน้อยอีกเลย หลังจากนี้ไปเพียงไม่กี่เดือน หม่อมฉันก็จะได้เข้าพิธีเอนไอแล้ว หม่อมฉันกำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ ช่วยท่านพ่อดูแลชาวเมืองเหมือนเสด็จแม่...”

    “จูเนียร์ พ่อดีใจที่เจ้าคิดเช่นนั้น พ่อดีใจที่เจ้ายังเข้มแข็งได้แม้แม่ของเจ้าจากไป ถึงจะนานเพียงใด... แต่นางก็ยังคือรักเดียวและรักสุดท้ายของพ่อ”

    “หม่อมฉันรู้ดี... หม่อมฉันก็รักท่านแม่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านเลย”

    “จูเนียร์ ฟังคำพ่อนะ เมื่อเจ้าขึ้นรับเอนไอ และก้าวสู่โลกของผู้ใหญ่ ...อีกไม่นานเจ้าก็จะได้ขึ้นดูแลบัลลังก์แทนพ่อ แต่ตอนนั้นเจ้าต้องมีคู่ครอง เจ้าต้องได้ริสหลังเอนไอด้วย ถึงจะเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ และสมเป็นกษัตริย์ของ เอนไอริส ฉะนั้น...”

     

    ผู้เป็นลูกผละออกจากอ้อมแขนของผู้เป็นบิดา ก่อนที่จะกล่าวด้วยสีหน้าไม่ชอบใจเล็กน้อย

     

    “ท่านพ่อ ท่านทรงทราบดี ว่าตัวหม่อมฉันนั้น...”

    “พ่อรู้... แต่หากเจ้ารอต่อไป มันอาจเป็นการอย่างไร้ความหมาย มันนานมามากแล้วนะลูกพ่อ ตั้งแต่เจ้ายังเยาว์วัย บุตรของกษัตริย์ โอลิเวอร์อาจจะลืมเจ้าไปแล้วก็ได้ พ่อเพียงอยากให้เจ้าลองมองหาคู่ครอง...”

    “ท่านพ่อ.. หากท่านมีโอกาสได้รักท่านแม่ และให้ท่านแม่เป็นรักเดียวของท่าน แล้วเหตุใดท่านจึงใจร้ายไม่มอบโอกาสนั้นให้กับรักของข้าบ้างเล่า”

     

    เมื่อสิ้นคำของผู้เป็นลูก ผู้เป็นพ่อก็ไร้ข้อโต้แย้งใด ทำได้เพียงยิ้มบางๆให้กับลูกที่มีความคิดที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วเท่านั้น ก่อนเดินจากไป ปล่อยให้ความรู้สึกของผู้เป็นลูก อบอวลในดวงใจที่คนึงหาความหลังขึ้นมา...

     

                ...เกือบลืมไปแล้วสินะ ว่าตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ที่จริงมันก็เนิ่นนานมากแล้ว... นานมากแล้ว

     


     

    รักแรกเอย ช่างหอมอบอวลในดวงจิตข้า

    ความรู้สึกของเจ้า มันช่างหอมหวน ชวนให้ดอมดม

    เป็นดอกไม้รึ ใช่รึไม่ ดอกอะไร หรือจะเป็นดอกรัก

    ส่งกลิ่นรัญจวนไม่พัก นี่เจ้าความรัก เจ้าเป็นดอกอะไร

     

    “จูจู จูจูลูกแม่อยู่ไหนเอ่ย~

    “ข้าอยู่นี่ท่านแม่ ข้าอยู่นี่”

     

    เสียงสดใสของเด็กน้อยที่กำลังวิ่งมาหาผู้เป็นแม่ที่กำลังส่งยิ้มที่อบอุ่นให้อยู่ที่กลางสวนดอกไม้ ผู้เป็นแม่ย่อตัวลงให้เท่ากับลูกน้อย ก่อนจะยิ้มให้อีกครั้ง

     

    “ลูกรักของแม่ ดูสิใครมา ใครมาเยี่ยมเจ้ากัน”

     

    สายตาของเด็กน้อยมองไปที่เด็กตรงหน้า เด็กอีกคนที่กำลังยืนหน้าตานิ่งขรึมอยู่พร้อมกับผู้หญิงที่ดูเหมือนแม่

     

    “นี่น่ะก็คือ..”

    “เนียร่าไม่ต้องแนะนำลูกของข้าก็ได้จ่ะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กๆเค้าทำความรู้จักกันเองเถอะ เจ้ากับข้ามาดูดอกไม้พันธ์ใหม่ที่ท่านพี่โอลิเวอร์ของข้าได้มาใหม่ดีกว่า”

    “ได้สิจ้ะ บีเบียร์... งั้นแม่ไปก่อนนะ พาพี่เค้าเที่ยววังของเราแทนแม่ทีนะจ้ะ ลูกรัก”

     

    ผู้เป็นแม่จูบที่หน้าผากอันขาวละเอียดของลูกน้อย ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งไว้แค่ความเงียบของเด็กสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งสองมองหน้ากันไปมา ก่อนที่ความเป็นมิตรของเด็กน้อยจูจูจะทำให้เป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา

     

    “นี่...เจ้าน่ะ เป็นพี่หรอ? เจ้าเป็นพี่ข้าหรอ ... เงียบ อย่างงั้นเจ้ามีนามว่าอะไร? ทำไมไม่ตอบล่ะ...”

     

    เด็กน้อยเอียงคอเล็กน้อย เพราะความสงสัย ก่อนจะยิ้มให้อีกคนด้วยความมิตร แต่คนตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีจะยิ้มตอบมาเลยสักนิด

     

    “เป็นใบ้หรอ? ... ทำไมเจ้าไม่พูด เจ้าพูดไม่ได้ใช่ไหม ท่านแม่เคยสอนว่าคนใบ้นั่นพูดไม่ได้ เค้าน่าสงสาร..”

    “ข้าไม่ได้เป็นใบ้นะ! และข้าไม่ต้องการให้ใครมาสงสารด้วย... แล้วก็ใช่.. ท่านแม่บอกว่า ข้าแก่กว่าเจ้า แต่... มันก็ไม่กี่เดือน”

     

    ประโยคแรกของอีกฝ่ายทำให้เด็กน้อยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้อีกครั้งพร้อมวิ่งดุ้กดิ้กไปที่พุ่มไม้ดอกที่อยู่ไม่ไกล

     

    “อ่ะนี่ ข้าให้เจ้า... เป็นทำเนียมสุภาพของชาวเอนไอริสเราที่ต้องมอบของให้ผู้คนที่เค้ารักและอยากรู้จัก”

    “ไม่ต้องอยากรู้จักข้า ... ใครก็เชื่อไม่ได้ทั้งนั้น”

     

    มือน้อยๆยื่นดอกไม้ให้คนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่สดใส ดอกสีขาวสะอาดกับมือน้อยๆ... แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ความน่ารักไม่ได้มีผลต่อเด็กชายตรงหน้าเค้าเลยสักนิด แววตาเรียบเฉย กับผมที่ปรกหน้าเล็กน้อย เค้าคือเจ้าชายองค์น้อยๆที่หยิ่งพอตัว ...หรือไม่ ก็มีบางอย่างในใจที่เค้ายังไม่กล้าเปิดมันออกมา ไม่เปิดรับใครทั้งนั้น

     

    “..งั้นดอกนี้ล่ะ ...ไม่สวยหรอ? ข้าว่าดอกนี้สวยที่สุดแล้วนะ”

     

    เด็กน้อยเด็ดดอกใหม่มาให้จากต้นเดิม ก่อนจะยื่นให้อีกครั้ง เช่นเดิม.. ไม่มีสิ่งใดตอบมานอกจากความเงียบที่องค์ชายนิรนามให้เจ้าของดอกไม้ ดูเหมือนองค์ชายจะไม่สนใจและเดินหนีไปทางสระน้ำของวัง ทว่าเจ้าของดอกไม้ที่แสนจะเป็นมิตรก็ไม่ยอมละความพยายาม เดินตามไปและทำท่าออกตัวเพื่อไปนำดอกใหม่มาให้ แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

     

    *ตูมมม

     

    ด้วยความเป็นเด็กทำให้องค์ชายน้อยจูจู พลัดตกจากขอบสระลงไป ด้วยความสูงของเด็กทำให้เค้ายืนไม่ถึง รวมไปถึงว่าไม่เคยเรียนว่ายน้ำใด ผสมกับความตกใจ ทำให้เค้ากำลังจะจมลงก้นสระ... แต่แล้วเสียงน้ำตูมใหญ่ครั้งที่สองก็ดังขึ้นอีกครั้ง

     

    “ค่ะ แค่กๆ ...แค่กๆ”

     

    ร่างของเด็กน้อยจูจูขึ้นมายังขอบสระได้อีกครั้ง ด้วยฝีมือของเด็กตัวเล็กอีกคนที่ตอนนี้เปียกไม่แพ้กัน สายตาที่มองมายังร่างที่กำลังสำลักน้ำออก ค่อยๆเปลี่ยนจากความเย็นชาเป็นเรียบเฉย ที่เกือบเป็นปกติ

     

    “ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วยังกล้าเดินมาใกล้สระน้ำอีกหรือ...”

     

    คราวนี้เป็นฝ่ายเจ้าชายนิรนามที่เอ่ยพูดก่อน แทนที่จะเป็นอีกคนที่ตอนนี้หยุดสำลักน้ำแล้ว

     

    “ก็เจ้ายังไม่รับดอกไม้จากข้า...”

    “ทำไมต้องอยากให้ข้าขนาดนั้น หาเหตุจำเป็นไม่ ทำไมเจ้าต้อง..”

    “ก็ข้าอยากให้!

     

    เสียงโต้กลับของจูจู ทำให้องค์ชายน้อยเงียบไป ดูเหมือนว่าแววตาของจูจูน้อยจะฉายความจริงจังออกมาชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาเป็นแววตาสดใสเช่นเดิม มือที่ยังกำดอกไม้ไว้แน่นก่อนจะตกน้ำไป จูจูน้อยค่อยๆแบออกก่อนจะเห็นว่ามันช้ำและรวมกลีบดอกที่ขาวปนกับสีเหลืองตรงกลางไปหมด เด็กน้อยเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย

     

    “ก็ข้าจะเอาดอกไม้ให้เจ้า... ถ้าเจ้าไม่รับดอกไม้จากข้า เราก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันน่ะสิ”

    “...เจ้าอยากเป็นเพื่อนกับข้า... ขนาดนั้นเลยรึ ...ทำไม”

    “อื้อ ... ก็ข้าชอบเจ้า.. ข้าอยากให้เจ้าเป็นเพื่อนกับข้า ..เพราะข้าก็ไม่มีเพื่อน เจ้าก็ไม่มีใช่ไหมล่ะ... ท่านแม่บอกว่า ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม และการให้ก็คือความรัก”

    “รัก?.. แต่ข้า...”

     

    ไม่ทันสิ้นคำ ร่างที่พึ่งรอดขึ้นมาจากสระน้ำก็ ยันขาเล็กๆให้ยืนก่อนจะทำท่าเดินไปหยิบดอกไม้ดอกใหม่มาให้

     

    “..ด..เดี๋ยว..”

     

    เสียงเรียกของเจ้าชายน้อยนิรนามเอ่ยเรียกก่อนที่ จูจูจะเดินไปหยิบดอกไม้ดอกใหม่มาให้

     

    “..ดอกไม้น่ะ มันจะสวยที่สุด ก็ต่อเมื่อมันอยู่บนต้นของมันนะ...”

    “.....”

    “...เพราะฉะนั้น.. ดังนั้น... เจ้าไม่ต้องเอาอะไรมาให้ข้าก็ได้”

    “แต่ว่า... ถ้าไม่เอาอะไรให้เจ้า เราก็จะไม่ได้..”

    “ข้ายอมเป็นเพื่อนกับเจ้า”

     

    นับตั้งแต่นั้นทั้งสองก็ค่อยๆสนิทกันขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่อยู่เล่นด้วยกันทุกๆวัน เกราะหนาภายในใจของเจ้าชายนิรนามก็ค่อยๆพังทลายลงไป จนเหลือแต่ความรู้สึกดีๆให้กับจูจู เจ้าชายน้อยบอกกับจูจูว่า เค้าเคยไว้ใจเพื่อนคนนึง เพื่อนคนนั้นเป็นลูกขุนนางที่จะเข้าวังมาเล่นด้วยทุกวัน แต่แล้วขุนนางคนนั้นกลับคิดลอบฆ่าท่านพ่อของเค้า โชคดีที่พ่อของเค้ารอดมาได้ แต่ก็บาดเจ็บหนักนัก เค้าจึงไม่อยากสนิทกับใครอีก ...แต่ทั้งสองก็เปิดใจให้แก่กันและดูแลกันตลอดมา ยามใดจูจูโดนแกล้ง หรือมีอันตรายพี่ชายองค์น้อยก็จะคอยปกป้อง และหากพี่ชายบาดเจ็บ หรือป่วยกายา จูจูก็จะรักษาด้วยใจ ทั้งสองใช้ช่วงเวลาที่มีผ่านไปเรื่อยๆโดยที่เด็กน้อยทั้งสองก็ไม่รู้ว่า เวลานั้นเป็นสิ่งที่จากเราไปไวเหลือเกิน เมื่อถึงกำหนดกลับเมือง เรื่องราวแสนเศร้าก็ทำร้ายจิตใจของเด็กทั้งคู่

     


     

    แสงดาวที่พร่างพราวเต็มฟ้า คืนที่มืดมนนี้ จะไม่หมองหม่นอีกต่อไป เมื่อมีคนเคียงใกล้อยู่เช่นนี้

    ทว่าความรู้สึกกลับเหมือน ดวงดารานั้นมาอยู่เป็นเพื่อนใจ เพื่อแทนที่ใครบางคน

     

    “จะไปแล้ว.. จริงๆหรือ”

    “ใช่ข้าต้องไปแล้ว ตอนนี้ได้เวลาที่ข้าต้องกลับเมื่องแล้ว ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าอยู่เมืองนี้ต่อไม่ได้ เราจากเมืองมาแรมเดือนแล้ว ท่านพ่อของข้าต้องกลับไปดูแล”

     

    เสียงเล็กๆ ของเด็กสองคนกำลังสนทนากันอยู่ริมสระน้ำ สถานที่ที่ทำให้ทั้งสองได้เป็นเปิดใจให้แก่กัน

     

    “แต่ข้าไม่เห็นเหตุที่เจ้าจะต้องไปด้วย ... ไม่มี ไม่มีเลย”

    “ไฉน จึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ”

    “ก็ข้า... ข้าไม่อยากให้เจ้าไป”

     

    ใบหน้าเศร้าสร้อยของจูจู ดวงตาที่เริ่มเอ่อเพราะน้ำตา แต่ก่อนที่น้ำใสๆนี้จะไหลออกมา ร่างที่สูงกว่าของเด็กน้อยอีกคนก็เดินเค้ามาสวมกอดเค้า พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

     

    “ข้าไม่ได้ไปไหนไกลซะหน่อย ไม่นานเราจะได้พบกันใหม่เป็นแน่ อย่าร้องนะจูจู”

    “แต่.. ข้า...”

    “นี่น่ะข้าให้เจ้า”

     

    เจ้าชายน้อยหยิบจี้เงินชิ้นเล็กๆ ออกมา รูปร่างของมันคือดอกไม้ ดอกเดียวกับจูจูเคยพยายามเด็กมาให้เค้า จี้นี้มาพร้อมสายห้อยของสร้อยที่ยาวมาก เหมือนกับว่าเป็นสายห้อยนาฬิกาของผู้ใหญ่ เจ้าชายน้อยคล้องมันลงบนคอของจูจูถึงสามรอบด้วยกัน เพื่อให้พอดีกับกลางอก

     

    “นี่น่ะ.. ฉันให้นะ จะได้ไม่ต้องไปเด็ดดอกไม้มาอีก”

    “...ขอบคุณนะ ...พี่ชาย”

     

    เป็นครั้งแรกที่จูจูตัวน้อยเรียกคนที่โตกว่าว่าพี่ ตลอดมาเค้าเล่นและพูดคุยกันด้วยถ้อยคำที่เหมือนคนรุ่นเดียวกันเสมอ จูจูน้อยหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ มันเป็นใบโคลเวอร์สี่แฉกที่เค้าใช้เวลาหาตลอดทั้งวันจนพบ เค้าห่อมันด้วยผ้าเช็ดหน้าอย่างดี เมื่อเปิดออก จูจูน้อยก็ทำหน้าโล่งใจเล็กน้อยที่ใบมันไม่ได้เหี่ยวเสียก่อน เขายื่นมันให้อีกคนนึง พร้อมกับน้ำเสียงที่สั่น

     

    “นี่น่ะ.. ต้องเก็บไว้นะ มันจะต้องทำให้เราได้พบกันอีกแน่ๆ..”

    “เปลี่ยนจากเด็ดดอกไม้ เป็นใบไม้แล้วหรอจูจู...”

     

    พี่ชายองค์น้อยยิ้มบางๆให้คนเด็กกว่าตรงหน้า ที่หากำลังยื่นใบไม้หน้าตาแปลกๆมาให้ เค้ารับมันมาอย่างเบามือ

     

    “ท่านแม่บอกว่าใครที่หาใบโคลเวอร์สี่แฉกพบ จะได้พบกับปาฏิหาริย์”

     

    จูจูที่พูดอยู่นั้นก็หยุดลง เมื่อมองเห็น องค์ชายน้อยกำลังนำใบโคลเวอร์สำคัญนี้ใส่ลงในจี้สร้อยทรงกลมของเค้า มันเป็นทรงกลมๆ แต่ตรงกลางเป็นกระจกใส เค้าใส่มันลงไปอย่างเบามือ ก่อนจะเก็บมันลงในเสื้อดังเดิม จูจูน้อยที่มองอยู่จึงพูดต่อจนจบ

     

     “ และ... ถ้าหากเป็นจริง ถ้ามีปาฏิหาริย์จริงๆ ข้าก็ขอให้เราได้พบกัน”

     

    จบประโยคเด็กน้อยจูจูก็มองลงปลายเท้าตัวเอง แก้มสองข้างที่มีสีชมพูระเรื่อนั้น.. จูจูไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กำลังจะจากเค้าไป ถึงแม้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้มอง ..เวลาที่ต้องจากก็มาถึงแล้ว ถึงแม้องค์ชายน้อยอยากจะมองหน้าของเค้าผู้เป็นคนสำคัญที่สุดครั้งสุดท้ายก็คงทำไม่ได้

     

    “พี่ต้องไปแล้ว..”

    “.......”

    “จูจู ...?”

     

    ไม่มีเสียงใดๆออกมาจากจูจูน้อยที่ยืนกำจี้รูปดอกไม้ในมือเล็กๆทั้งสองข้าง เจ้าชายจึงตัดใจกล่าวลาครั้งสุดท้ายและเดินจากไป

     

    “พี่ไปก่อนนะ ...จูจู”

     

    เจ้าชายเศร้าใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ยินคำบอกลาของจูจู ฝีเท้าเล็กๆก้าวไปที่เรือสำราญอย่างช้าๆ ก่อนจะจากกัน ขอแค่คำบอกลาจากคนตัวเล็กที่เค้าเฝ้ามองตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาก็ไม่ได้สินะ เจ้าชายคิดตัดพ้ออยู่ในใจลึกๆ ก่อนจะเก้าขึ้นไปบนเรือ ...เรือค่อยๆออกจากท่าอย่างอิดออด เหมือนกับว่ารู้ถึงจิตใจที่ห่วงหาและไม่อยากจากของเด็กน้อยทั้งสอง แต่ก็ในที่สุดก็เริ่มแล่นออกจากฝั่งจนได้

     

    “...ต้องกลับมาน้า! จูจูจะรอพี่เสมอ รีบกลับมา...นะ ฮึก ฮือ...”

     

    เสียงตะโกนที่ปนกับเสียงสะอื้นน้ำตาดังขึ้น องค์ชายน้อยลุกขึ้นจากที่นั่งริมเรือ วิ่งมาที่ท้ายเรือทันที ...เพื่อมองหน้าของคนที่ยืนส่งอยู่ที่ท่าเรือ

     

    “..จูจูน่ะ... จูจู ชอบพี่ชายที่สุดเลย ...กลับมาอีกนะ ถ้าพี่ชายยังไม่กลับมา จูจูจะไม่ชอบใครอีกเลย!

     

    ประโยคสุดท้ายก่อนเรือจะแล่นออกมาไกลฝั่งจนไม่ได้ยิน ได้ทิ้งทวนความคิดถึง ให้เต็มเปี่ยมขึ้นไปอีก และยังเพิ่มความรู้สึกที่บริสุทธิ์ของคำว่ารัก ให้แก่ใจดวงน้อยๆสองดวงนี้ ...

     


     

    แววตาที่มองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างของห้องนอน ทอดยาวลงไปที่สวนดอกไม้ที่แสนคุ้นตาที่เดิม เหมือนทุกอย่างยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ลมที่พัดเกลียวน้ำในสระให้เป็นคลื่น ก็ยังเป็นเช่นเก่า ...เพียงแต่ตอนนี้ในใจของผู้ที่มองอยู่นี้ กำลังนึกสงสัย ว่าคนที่เคยอยู่ตรงนั้นยัง ...

     

    “หากที่นี่ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แล้วพี่จะเปลี่ยนไปหรือไม่ บอกข้าทีสิ ...ข้าควรลืมเค้าจริงๆหรอ”

     

    มือทั้งสองข้างที่กุมจี้ดอกไม้ไม่เคยห่าง บัดนี้เจ้าของกำลังถามมันจากใจที่มี ความรู้สึกคนึงหาผู้ที่มอบมันให้แก่เค้ายิ่งทวีคูณขึ้นในคืนนี้ ราวกับบอกว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ... แต่ไม่ว่าอะไรจะขึ้นก็ตาม ในคืนนี้ สร้อยที่อยู่แนบอกก็คงเป็นพยานว่าคนที่กำลังสวมมันอยู่นั้นไม่เคยเปลี่ยนไป มือทั้งสองคลายออกเล็กน้อยก่อนที่เจ้าของมันจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

     

    “...เจ้าก็ตอบข้าไม่ได้สินะ ...เป็นเช่นนี้แล้ว ...ข้าจะลืมได้อย่างไร”

     


     

    เรื่องนี้ไม่ดราม่าหนักนะคะ แต่เป็นเรื่องกึ่ง Love Romantic

    ร่วมอ่านและหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้กัน

    #ficrightthere

    เม้นเป็นกำลังใจสำคัญนะ โหวตfav.ก็เช่นกัน

    B E R L I N ❀
    Tiny White Pointer
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×