ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic GOT7] Right There ❀ {Bnior & Markbam}

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 07 : Never has it been so easy, to be in love (ไม่เคยหลงรักใครง่ายๆ) 100%

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ย. 58


    Chapter 07 : Never has it been so easy, to be in love (ไม่เคยหลงรักใครง่ายๆ)

     

     

     

    “อิ่มแล้วหรือ?”

    “เพคะ”

     

                                                    

     

    องค์หญิงองค์โตเอ่ยเสียงเรียบ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้านี้ มันช่างดูน่าอึดอัดอย่างเอ่ยไม่ถูก เพียงแค่เงยหน้าแล้วต้องเห็นผู้เป็นน้องกับองครักษ์ต่างเมือง ดูเหมือนว่านานวันคนตรงหน้าตนทั้งสองจะสนิทสนมกันเพิ่มไปมาก เพราะการหยอกล้อ เล่นกันเหมือนเด็กๆนั่นมันชัดเจน ชัดเจนมากเลยทีเดียว...

     

    ร่างบางหันไปยิ้มบางๆ ให้ชายข้างกาย หลังจากถูกมือหนาเอื้อมมากุมไว้เหมือนอย่างทุกวัน ใช่ มันเป็นเช่นนี้มาได้สักพักแล้ว หลังจากจูเนียร์เปิดใจให้อีกคนเข้ามาในคืนนั้น ไม่มีอะไรเกินเลย เพียงแค่เจ้าของมือหนาที่กำลังกอบกุมมือเค้าอยู่ นั้นเข้าพบท่านพ่อขององค์หญิงที่ตนออกปากขอโอกาส เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และจริงจัง

     

    ถึงแม้ว่าพ่อขององค์หญิงจูเนียร์จะแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึงเดือนก็เกิดขึ้น ถึงจะหวงแหนลูกมากแค่ไหน แต่ในเมื่อมาร์คเลือกที่จะกล้าพูดกับตนตรงๆ ความคิดที่ใช้ปกครองเมืองมาเป็นเวลามากว่า 20 ปีมันก็ตัดสินให้ทั้งคู่คบหาดูใจกันอย่างไม่โต้แย้ง เพียงมีข้อแม้ว่า เรื่องนี้จะต้องไม่แพร่งพรายเพื่อเกียรติของจูเนียร์ เพื่อหากในวันหนึ่งความสัมพันธ์ของเค้าทั้งคู่จะจบลง ผู้เป็นราชาอยากให้ทุกสิ่งเริ่มอย่างเงียบเชียบ และจบอย่างไม่มีใครเสียหาย และในฐานะเป็นพ่อนั้นก็ไม่อยากให้ลูกของตนเสียหน้าและเสียใจเพราะคำคน

     

     

    “จูเนียร์ลูกรัก เหตุใดเจ้าจึงดูไม่สู้ดีนัก นี่ก็เกือบครบสัปดาห์ได้ ที่พ่อเห็นเจ้ากินน้อยพูดน้อย”

    “หม่อมฉัน.. หม่อมฉันแค่..”

     

     

    “ท่านพี่แค่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะเพคะ เพราะอากาศเปลี่ยน ก็เท่านั้น”

     

                                                                                      

    เมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่ตอบคำถามผู้เป็นพ่อไม่ถูก คนตัวเล็กจึงพูดแทรกขึ้นมาช่วยไม่ให้ใครต้องลำบากใจ ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าท่านพี่ดูซึมไปหลายวันแล้ว แต่จะให้เข้าไปถามตรงๆว่าอะไรเป็นอย่างไร ก็คงทำได้ลำบาก

    ตั้งแต่กลับมาจากเที่ยวในเมือง ท่านพี่ก็ดูเหมือนตั้งใจจะหลบหน้าเค้า ถึงแม้จะไม่ใช่การหลบไม่พบเจอ แต่ก็เหมือนเลี่ยงไม่พูดกัน แบมแบมมั่นใจว่าตนไม่ได้คิดเองไปฝ่ายเดียว เพราะไอ้การที่ท่านพี่เอาแต่อยู่ในห้องเกือบทั้งวัน ออกไปนั่งเงียบๆที่สวนดอกไม้ของท่านแม่ ไม่ก็ใช้เวลามองเหม่ออยู่ที่ท่าเรือหลวงส่วนใน

    จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่พี่ของเค้าจะเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจในที่ที่มีความทรงจำ หรือในที่ที่เราทั้งสองต่างเรียกว่าบ้าน แต่การที่ทุกที่ทุกเวลานั้นต้องมีนักกายกรรมหนุ่มรูปงามอย่างมาร์คติดสอยห้อยตามไปทุกครั้งไป

     

     

     

    นั่นแหละ อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้แบมแบมหาเวลาส่วนตัวไปคุยกับคนเป็นพี่ยากขึ้น

     

     

     

    “จริงสินะ นี่มันก็เข้าเขตฤดูหนาวแล้ว อากาศเมืองเรามันก็หาเหมือนเมืองอื่นไม่ เปลี่ยนเร็วจนจับไม่ได้เลย ว่าจะเปลี่ยนเมื่อไหร่แน่ ... จูเนียร์ลูกพ่อ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มาก เพราะงานของพ่อตอนนี้มันหนักหนาล้นมือ พ่อห่วงเจ้านะ”

    “เพคะ ท่านพ่อ...” เจ้าของชื่อยิ้มรับบางๆ ให้ผู้เป็นพ่อ

     

     

    จูเนียร์รู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร มีการเรียกประชุมใหญ่ของอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกันแทบทุกอาทิตย์ และในฐานะราชาแห่งแอนด์ไอริส ท่านพ่อก็ต้องออกว่าราชการ และต้องดูแลเมืองหนักขึ้น

    ดูเหมือนว่าผู้เป็นพ่อไม่อยากนำความเหนื่อยล้า หรือเรื่องกังวลใจมาให้ลูกๆทั้งสองฟัง จูเนียร์จึงรู้เพียงว่า เกิดการก่อกบฏ และชนกลุ่มที่มีแกนนำเป็นคณะปฏิวัติ ในเมืองใกล้เคียงแล้ว

    ถ้าพูดถามหลัก ศักดินาที่แบกรับไว้ จูเนียร์คือองค์หญิงของเมืองแห่งนี้ เรื่องราชการจึงไม่ได้รับสิทธิจะรู้ ถึงแม้ว่า

     

     

    เพศสภาพแท้จริง คืออะไรก็ตาม...

     

     

     

    “ครั้งนี้พ่ออาจไปนานสักหน่อย เราต้องย้ายที่ประชุมเป็นเมืองอื่นหลังจากข่าวรั่วเมื่อครั้งก่อน” ผู้เป็นพ่อเอ่ยพลางลูบเบาๆบนศรีษะของลูกทั้งสอง ที่กำลังกอดและเกาะเกี่ยวเหมือนเด็กน้อย

     

    บุตรทั้งสองเพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ การบอกลา หรืออวยพรนั้นไซร้หาเรื่องจำเป็นไม่ในเพลานี้ ไม่รู้เพราะกลัวคำว่าลาก่อน หรือกลัวคนเป็นพ่อผิดสัญญาหากตนขอให้รีบกลับอย่างปลอดภัย อย่างไรเสีย แม้ไม่ได้เอ่ยถ้อยวจีใดออกมา แต่พ่อลูกทั้งสามก็รู้อยู่แก่ใจว่า เราต่างห่วงใย และรักกันมากเพียงใด

     

     

              บ้านเมืองที่แสนสงบสุข... ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปแล้วสินะ

     

     



     

     

    ร่างบางในชุดระบายลูกไม้สีอ่อนยาวระดับเข่า กำลังยืนทอดสายตาไปไกล ไกลสุดสายตา น่าแปลกที่ตั้งแต่ตัดสินใจรับท่านมาร์คเข้ามา กลับไม่รู้สึกเขอะเขินเหมือนเช่นก่อน หรืออาจเพราะเรื่องบ้านเมือง เรื่องท่านพ่อ จึงทำให้ใจดวงน้อยๆนี้วิตกแทน

     

     

    “จูเนียร์” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นหลังจากมองภาพคนเหม่อมานานแล้ว “ไม่หนาวหรือ?”

     

     

     

    เดินเข้าไปแสดงความห่วงใยอย่างที่ชายคนหนึ่งพึงมีต่อหญิงอันเป็นที่รัก ผ้าคลุมไหล่สีฟ้าถูกวางปกปิดผิวเนียนที่พ้นจากแขนเสื้อออกมา ใบหน้าหวานหันมองเจ้าของผ้าพร้อมยิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ มาร์ครู้ดีว่าจูเนียร์มีเรื่องให้คิดอยู่มาก การที่คนในอ้อมแขนหันมายิ้มให้ แม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็แสดงถึงความสำคัญและวางใจมากแล้ว

    เพราะการที่คนตัวเล็กไม่ได้ขยับเบียงร่างหนีออกไป และยังยืนนิ่งให้เขาให้โอบไว้เพื่อกันลมหนาว ก็แสดงว่าคำว่า เรา มันก็อยู่แค่เอื้อม

     

     

    “อากาศเย็นมากแล้ว กลับเข้าไปในห้องไหม” มาร์คเอ่ยขึ้นในขณะที่ขยับวงแขนจากลาดไหล่ ให้มาโอบรอบตัวร่างบางไว้หลวมๆ

    “ข้ายังอยากมองทะเลฤดูหนาวอยู่เลย” พูดติดอารมณ์ขันเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือเรียวมาจับแขนแกร่ง หลังจากถูกลมทะเลพัดให้สั่น

    “หนาวใช่ไหม? งั้นไป กลับห้อง หาอะไรอุ่นๆดื่มกันเถอะ”

    “ก็ได้...”

     

     

    หันตัวกลับมาตอบรับร่างสูงที่ยืนกอดซ้อนจากด้านหลัง เวลาหลายวันที่ผ่านมาจูเนียร์ไม่ได้แสดงทีท่า ขวยเขิน หรือแสดงออกชัดเจนว่ากำลังดูใจกับชายตรงหน้าเมือนอย่างที่อีกฝ่ายทำ แต่เชื่อเถอะว่า ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะไม่ได้มีใครที่รีบร้อนให้อีกฝ่ายรู้สึกรักหรือชอบใดๆ แต่เราก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น ถ้าหากถามว่าทำไมถึงยอมให้อีกคนกอด หรือกระทำการเฉกเช่นคู่รักแล้วล่ะก็ ก็คงเป็นความวางใจในตัวมาร์ค

     

     

     

    มันคงเป็น ความเชื่อใจ



    .

    .

    .

    .







    “โกโก้ร้อนคลายหนาวสักแก้วนะ” มาร์คเอ่ยพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงกว้าง

    “ขอบคุณเพคะ”

     

     

    จูเนียร์เอ่ยเรียบๆพร้อมรับมายกดื่ม เพลานี้เครื่องดื่มอุ่นๆคงช่วยขับความหนาวออกไปได้ดี

     

     

    “คิดอะไรอยู่หรือ?” มาร์คเปิดบทสนทนา พร้อมท้าวศอกมองร่างที่นอนพักบนเตียง

    “....นั่นสิ”

    “นั่นสิ?” ทวนคำตอบอีกคราก่อนจะเอ่ยต่อ “จูเนียร์... อันที่จริงพี่ก็ไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้เสียเท่าไหร่” มือทั้งสองข้างกำลังเคลื่อนมากุมไว้ต้องหน้า อยู่ในท่าทางจริงจัง

    “เรื่องอะไรหรือ? ทำไมท่านดูเครียดไป”

     

     

    มองใบหน้าคมที่หมองลงเล็กน้อย แววตาเศร้าๆนั่นส่งมาพร้อมกับประโยคที่ฟังแล้วรู้สึกผิดไม่เบา

     

     

     

     

    “พี่จะไม่รีบร้อน ไม่รบเร้าเจ้า ... เพียงแต่”

     

    “...?”

     

     

     

    “พี่หักห้ามใจตัวเองมิได้เลย หักห้ามให้หยุดห่วงเจ้า บอกใจตัวเองให้สงบเมื่อเห็นเจ้าดูมีบางสิ่งในใจ บางสิ่งที่ยากจะเข้าถึงได้ มันคล้ายว่ามีเพียงฝ่ายตัวพี่เองที่คิดไป”

     

     

     

    ร่างบางกล่าวถ้อยวาจาใดไม่ถูก จูเนียร์ควรทำอย่างไรให้คนข้างกายคลายความคิดตัดพ้อน้อยใจ ยอมรับด้วยใจบริสุทธิ์ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จิตใจของเค้าเองมิได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย มันลอยไปหาคนที่ไกลแสนใจ

     

    คนตัวเล็กใช้เวลาเกือบทั้งวันในการปล่อยใจ ให้ลอยไปหาใครคนนั้น จิตใจแสนบอบบางได้แต่ถามกับฟากฟ้าว่า ทำถูกแล้วใช่ไหม นี่นับเป็นการผิดสัญญาหรือไม่

     

     

    “ตั้งแต่วันแรกที่เจ้ายอมให้พี่เป็นท่านพี่ของเจ้า มันเป็นความปิติแก่ใจพี่เพียงใด เจ้ารู้หรือไม่” พูดพลางหลุบตาลงมองเตียงสีครีมอ่อน  “แต่ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังคล้ายห่างเหิน...”

     

     

    “ท่านพี่มาร์ค...”

     

     

    ร่างบนเตียงเอ่ยขึ้นมาหลังจากปล่อยให้ชายข้างกายนั่งเอ่ยถ้อยตัดพ้อ ใช่ จูเนียร์ควรทำให้อีกคนรู้ว่าเค้าเองก็จริงจังกับความสัมพันธ์นี้ เพียงแค่ว่าเค้าเองยังหยุดว้าวุ่นใจไม่ได้ การที่จะให้รีบลืมใครอีกคนที่ครอบครองใจดวงน้อยนี้เป็นเวลามากว่าสิบปี มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

     

    มือเรียวละจากแก้วเซรามิกสีขาวมาข้างหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมไปกอบกุมมือหนาที่ประสานเอาไว้อย่างใช้ความคิด สายตาของคนตัวเล็กไม่ได้มีแววรำคาญใจ หรืออึดอัด ในตอนนี้มีเพียงแค่แววตาที่มองใบหน้าคมด้วยความรู้สึกผิด

     

     

    “จูเนียร์..”

    “ข้าขอโทษ” พูดด้วยเสียงปนเศร้าเล็กน้อย ตอนนี้จูจูกำลังรู้สึกผิด และรู้สึกแย่จริงๆ เค้าทำร้าย ทำลายความรู้สึกของมาร์คไปโดยไม่รู้ตัว

    “ไม่ ไม่ต้องขอโทษพี่นะคนดี” มือหนาพลิกขึ้นมาจับรับฝ่ามือนุ่มไว้ ก่อนที่อีกข้างจะยกขึ้นมาวางทับบนมือเนียน บอกเป็นนัยน์ว่าไม่เป็นไร

     

     

    ความอ่อนหวานจากรอยยิ้มบางๆของจูเนียร์ มิอาจจะกลบรอยเศร้าหมองในแววตาสวยคู่นั้นได้ มาร์ครู้แล้วว่าตนกำลังทำให้ร่างตรงหน้ารู้สึกผิด

     

     

     

    “ใยทำหน้าตาคล้ายเด็กจะร้องไห้ ใครมาเห็นเข้าจะนึกว่าพี่ทำร้ายเจ้าเอาได้นะ” พูดพลางยกมือทาบลงบนกลุ่มผมนุ่ม ลูบเบาๆให้คลายกังวล

    “ข้าเปล่าจะร้องไห้นะ”

     

    คนบนเตียงยู่ปากเล็กน้อยพอน่าเอ็นดู ก่อนจะคลี่ยิ้มโล่งใจขึ้นมาหนึ่งเปราะ มือหนายีผมให้ยุ่งเป็นการหยอกเอิน ร่างบางพลิกตัวหลบหนีฝ่ามือคนขี้แกล้ง

    กลับมานั่งอยู่ในที เอนหลังพิงหัวเตียงนุ่ม แล้วก้มลงดื่มโกโก้ที่ถูกลมหนาวพัดพาความร้อนให้จางลง เหลือเพียงไออุ่นที่ลอยเป็นควันเวลาปะทะลมหายใจ ใช่มันไม่ร้อนจนน่าอึดอัดอีกแล้ว ตอนนี้อุณหภูมิในแก้วกำลังพอดี พอดีกับความรู้สึกของเค้า

     

     

     เม้มซับรสโกโก้ที่ล้นเปื้อนมุมปากเล็กน้อย รู้ตัวอีกที คนตัวเล็กก็ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยความตกใจ 

     

    มือหนาเลื่อนมาเชยคางสวยเอาไว้ ก่อนที่จะใช้นิ้วหัวแม่มือปาดคราบโกโก้จากมุมปากได้รูป ทั้งสองต่างจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างหลวมตัว เหมือนสติเลือนรางไป รอบกายพล่ามัว เว้นแต่ภาพใบหน้าคมที่อยู่ห่างไปเพียงช่วงลมหายใจ

     

     

    “......!?”



    - 40% -






    แปะ! เพี้ยะ! แปะ!

     

     

    เสียงฝ่ามือฟาดลงบนเนื้อหนังดังไม่ขาดสาย ทำลายความเงียบในเพลานี้ได้เป็นอย่างดี เสียงหรีดหริ่งเรไรในพงไพร จำต้องเงียบเพราะกลัวเกรงเจ้าของฝ่ามือแกร่งที่ฟาดฟันดังเพี้ยะๆลั่นป่า

     

     

    “พอสักทีเถอะแบมแบม เจ้าจะทำร้ายตัวเองไปเพื่ออะไร” ร่างสูงเอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ

     

     

     

    ผ่านมาก็สักพักใหญ่แล้ว ที่องค์หญิงองค์เล็กองค์นี้ นั่งทะเลาะตบตีกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆอย่าง ยุง สิ่งที่คนตัวเล็กทำก็มีไม่กี่ขั้นตอน ยกมือขึ้น กะจังหวะ และ

     

     

    *เพี้ยะ!                          

     

     

    เจบีมองน่องเนียนที่เป็นรอยแดงปื้น ริ้วๆ ที่ขึ้นรูปฝ่ามือเล็กๆ ก็ไม่รู้ว่าจะห่วง สงสาร หรืออะไรดี เห็นแบมแบมนั่งทำร้ายตัวเองมาสักพักใหญ่แล้วก็เหนื่อยแทน บอกห้ามว่ามันจะขึ้นรอย เจ็บเปล่าๆ เจ้าตัวก็ไม่ยอมหยุด อยู่นิ่งได้ไม่ถึงเสี้ยววิก็ขยับตั้งท่าพร้อมตบตีกับยุงตัวจ้อยใหม่

     

     

    “พอเถอะแบมแบม”

    “ท่านไม่ต้องพูดเลย คนที่ไม่ถูกฝูงยุงรุมทำร้ายอย่างข้า ไม่มีสิทธิพูด!

     

     

    องครักษ์หนุ่มเพียงถอนใจออกมาหนักๆกับความเป็นเด็กของแบมแบม ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรต่อให้มากความ เพียงเดินเข้าไปหาเด็กตัวเล็กที่กำลังง่วนกับการจัดการสัตว์ร้ายที่หมายจะแย่งชิงเลือดไปจากร่าง ขวดยาหน้าตาแปลกๆถูกยื่นมาให้คนตัวเล็กที่นั่งหันซ้ายหันขวาตามเสียงหวี่เสียงหึ่ง

    แบมแบมมองขวดยาสีเขียวขุ่นๆอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่จะเบะหน้าเพราะกลิ่นฉุนหลังจากเจ้าของขวดเปิดฝามันออก กลิ่นฉุนที่อธิบายไม่ถูกนี่มันอะไร จะเหม็นก็ไม่ใช่หอมก็ไม่เชิง

     

     

    “ตะไข” องครักษ์หนุ่มเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะยัดมันใส่มือของแบมแบม แล้วคว้ากระบอกน้ำมายกกระดกดื่มดับกระหาย

    “....ตะไข?”

     

     

    ใช้หลังมือปาดน้ำที่ล้นมุมปากอย่างลวกๆ ก่อนจะหันมองเด็กขี้สงสัยข้างกาย ที่กำลังทำจมูกฟุดฟิดแถวปากขวด แต่ไม่ใช้มันเหมือนเกรงๆอะไรสักอย่าง เห็นอย่างนั้นองครักษ์หนุ่มก็ทำได้เพียงดึงขวดกลับมาจากมือองค์หญิงแบมแบม แล้วจัดการหมุนฝามันออกให้หมด ปลายแปรงที่ติดกับฝามีน้ำยาในขวดชุ่มเล็กน้อย ชายหนุ่มปาดมันกับปากขวดให้ได้ยาในขนาดพอดี

     

     

    “จะทำอะไร?!” ร่างเล็กร้องถามเมื่อเห็นเจบีตั้งท่าจะเอายานั้นมาป้ายตน

    “ทายาให้อย่างไรเล่า” พูดด้วยน้ำเสียงติดขัดใจอยู่เล็กๆ ในเมื่อไม่ถูกกับยุงขนาดนั้นเค้าก็จะช่วย แต่ดูสายตาหวาดๆนั่นสิ เด็กหนอเด็ก

    “ยาอะไร ไอ้ของเหลวหน้าตาประหลาดนั่นเป็นยาแน่หรอ?”

    “....”

    “ทำไมไม่ตอบกัน ท่านจะเอาอะไรมาทาให้ข้าน่ะ มันกลิ่นแรงมากเลยนะ”

    “....”

    “ท่านอาจจะหยิบขวดผิดก็ได้ หาให้ดีก่อน อาจจะเป็นขวดอื่นก็ดะ.....!!

     

     

    ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆต่อ หลังจากปล่อยให้เด็กช่างจ้อเอ่ยนู้นนี่ไร้สาระมามากพอแล้ว มือหนาคว้าแขนที่มีผื่น รอยยุงกัด และรอยแดงๆก็มือที่เจ้าตัวเป็นคนทำมันเองมา จัดการใช้ปลายแปรงนั้นทาให้ทั่วไม่ว่าจะเป็นรอยผื่น หรือเนื้อเนียนที่ไม่ได้ถูกยุงกัด

     

    ร่างเล็กที่เหมือนอยากพูดอะไรก่อนหน้านี่ก็กลายเป็นใบ้เสียดื้อๆ ตอนนี้แบมแบมไม่รู้จะรู้เช่นไรถึงจะถูก จะว่าเขินก็ใช่ เค้าไม่เคยถูกใครจับมือถือแขนแล้วทำอะไรแบบนี้ให้ แต่จะว่าตกใจก็ไม่ผิด ทั้งยังกลัวอีก ตกใจที่จู่ๆท่านองครักษ์ก็คว้าขวดยาประหลาดมาทาให้ กลัวเพราะยานั่นมันกลิ่นแรงเกินที่โอสถในวังจะหาได้ แต่จะว่าไป ตอนนี้มันก็ไม่ได้แรงแล้วนี่...

     

    “...” ร่างเล็กยกแขนข้างที่ถูกยาชโลมทั่วแล้วมาดม กลิ่นสมุนไพรที่หอมอ่อนๆนี่มันอะไร เหมือนกับเคยได้กินเมื่อนานมาแล้ว

    “หอมใช่ไหมล่ะ” พูดขึ้นหลังจากจัดการแขนอีกข้างให้องค์หญิงจอมแก่นเสร็จ “จัดการที่เหลือเองนะ”

    “อ.. อ่าว?”

    “คงไม่คิดจะให้ข้าทายาให้ทั้งตัวหรอกนะ ...แค่ชันเข่าขึ้นมาแล้วทายาที่ขาเองคงไม่เหนือบากกว่าแรงใช่ไหม” พูดจบก็ไม่หันมาสนใจสีหน้าคนฟังอีกเลย

     

    ร่างสูงเดินออกไปจากจุดพักที่มีข้าวของทั้งหมดวางอยู่ ไปยังทุ่งดอกไม้กลางป่าอีกครั้ง บอกไปรึยังกันว่า เค้าและแบมแบมเข้ามาเก็บดอกไม้ในป่า ด้วยเหตุผลที่ทั้งสองไม่ต้องการทำร้ายดอกไม้ในสวนของราชินีที่จากไป หรือก็คือมารดาของแบมแบมรวมถึงคนที่ป่านนี้คงยังนั่งๆนอนๆอยู่กับนักกายกรรมรูปงามอยู่ในห้อง

     

    ไม่รู้อะไรดลใจให้เด็กคนนี้อยากทำอะไรเล็กๆน้อยๆให้กับพี่ของตน โดยการทำสิ่งที่พี่ของตนชอบมันมากๆไปให้ เพื่อเป็นการหาเรื่องเข้าไปคุยได้ หลังจากทั้งสองห่างกันมาสักพักใหญ่ นั่นก็คือ มงกุฎดอกไม้ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่มีหน้าที่เป็นองครักษ์อย่างเจบีจะต้องมาเก็บดอกไม้ให้ด้วย แต่ถึงใจจะคิดบ่นเค้าก็ยังเดินเก็บดอกนู้นที ตัดดอกนี้ทีอย่างไม่มีอิดออด

     

     

    จะพอฟังขึ้นไหม ว่าเค้าก็อยากทำให้... เด็กคนนั้น เหมือนกัน

     

     

    “ท่านเจบี!

    “..?”

     

    ชายหนุ่มหันมองตามเสียงที่ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับใบโคลเวอร์ในมือ องค์หญิงคนเล็กในชุดเอี้ยมสีเหลืองอ่อนกระโดดโหยงเหยงดีใจไปมา เหมือนกับเด็กน้อยได้ของขวัญวันเกิดเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่าบ้าน

     

     

    “ดูสิข้าเจออะไร” องค์หญิงน้อยวิ่งมาหาองครักษ์หนุ่มที่ในมือถือกรรไกรตกแต่งสวนข้างนึง และอีกข้างเป็นตกร้าดอกไม้ที่มีดอกไม้มากมายหลายพันธุ์ มันคงดูน่าตลกพิลึกหากใครได้มาเห็นสภาพขององครักษ์สุดแสนจะเท่ กับแววตาเย็นชานั่น แต่ตอนนี้ร่างสูงในชุดทะมัดทะแมงนั่นกำลังแขวนตะกร้าดอกไม้ไว้ที่แขนอีกข้างหนึ่ง

     

     

    “ใบโคลเวอร์..” เจบีเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมเบือนไปหน้าไปมองทางอื่น

    “ใช่!” ร่างเล็กยิ้มร่า “ท่านรู้ไหมว่าถ้านำใบโคลเวอร์นี้ไปอยู่ในมงกุฎดอกไม้ของท่านพี่ด้วยจะเกิดอะไรขึ้น”

    “ก็จะกลายเป็นมงกุฎดอกไม้ที่มีใบโคลเวอร์ไง”

     

    องครักษ์หนุ่มพูดกวนหน้าตายใส่คนตัวเล็ก ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับดอกไม้ป่านาๆพันธุ์

     

     

    “ท่านเจบี!” ร่างเล็กยู่หน้าไม่พอใจ ก่อนจะกระโดดจากเนินดินลงมาในทุ่งดอกไม้

    “อะไร เป็นอะไรของเจ้าอีก”

     

     

    คนโตกว่าเอ่ยเหมือนติดรำคาญ แต่ที่จริงก็แค่ไม่อยากหันกลับไปเห็น

     

     

    “..!?”

    ^^

     

     

    ร่างสูงชะงักเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปหาคู่สนทนาแล้วพบว่าคนตัวเล็กยื่นใบไม้สีเขียวคุ้นตา

     

     

    จนได้สินะ ... ทำยังไงก็คงต้องมองอย่างเต็มตาจนได้สินะ

     

     

     

    “....”

     

    ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไร เพียงกระพริบตาช้าๆมองใบไม้สีเขียวในมือของแบมแบม ก่อนจะขยับสายตามามองหน้าเจ้าของมือเนียนนั่นด้วยสายตานิ่งเรียบ

     

     

    “อะไรกัน.. ท่านไม่ตื่นเต้นกับข้าหน่อยหรือ”

    “ไม่มีเหตุอะไรที่จำเป็นต้องตื่นเต้น”

    “แต่นี่น่ะใบโคลเวอร์เลยนะ เป็นใบโคลเวอร์เลยนะ!” แบมแบมยังคงพยายามเรียกความสนใจของคนตัวสูงที่ง่วนกับการตัดกิ่งนู้นเอาดอกนั้น ตัดกิ่งนั้นเอาดอกนี้ “นี่!

     

     

    “อะไร?” ลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปคุยกับองค์หญิงตัวเล็กที่ยังพยายามจะอวดของในมือ โดยไม่มีทีท่าจะหยุดลงถ้าเค้ายังไม่สนใจ

     

    “อะไร คืออะไรล่ะ”

    “ก็เจ้าน่ะเป็นอะไร”

    “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ท่านน่ะสิที่เป็น”

    “ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น”

    “เป็น”

    “ไม่เป็น”

    “...”

    “ฮี่ๆ”

     

    ชายหนุ่มลอบถอนหายใจรอบที่ล้านแปดกับความ... ความอะไรก็ได้ที่เค้าไม่สามารถสรรหาคำมานิยามเด็กตรงหน้าได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเอาชนะ คนโตกว่าเลือกที่จะยอม

     

     

    “งั้นข้าเป็นอะไร”

    “ข้าไม่รู้... รู้แค่ท่านดูแปลกไปเพียงเพราะข้านำมันมา”

     

    คนตัวเล็กก้มลงมองใบไม้เล็กๆที่ตนกำลังใช้เพียงนิ้วโป้งและนิ้วชี้จับมันไว้

     

    “ข้าไม่..-”

    “หรือว่าจะเป็นเพราะอำนาจจากใบโคลเวอร์สามแฉก!

    “ห้ะ..?”

    “ก็ใบโคลเวอร์สามแฉกอย่างไรเล่า เค้าว่ากันว่าใครที่เจอจะพบโชคดี~

    “หืม?”

    “ท่านไม่รู้เหรอ? เอ... นั่นสินะ ท่านคงไม่มีเวลามานั่งใส่ใจเรื่องยิบย่อยเช่นนี้สินะ วันๆท่านคงมีแต่การฝึก เตรียมรบ ต่อสู้..”

     

     

    ตากลมโตลุกวาวตื่นเต้น เหมือนกับเด็กที่เจอสิ่งมหัศจรรย์ เจบีส่ายหน้ากับความเป็นเด็กน้อยของคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถ้อยวจีที่เหมือนลมพัดแสงเทียนแห่งความฝันของคนตัวเล็ก

     

     

    “ใบโคลเวอร์สี่แฉก”

    “...??”

    “ใครที่หาใบโคลเวอร์สี่แฉกเจอ จะพบกับความโชคดี”

    “แต่..”

    “ท่านฟังเรื่องมาผิดแล้ว” ...เด็กน้อย~

     

     

    ใบหน้าขาวยู่หน้าอีกครั้ง ดูจากท่าคงหงุดหงิดใจไม่เบาเลยสินะ เอาเถอะ ถือเป็นบทเรียนนะ คิดจะมาดูถูกเจบีคนนี้

     

     

    “ข..ข้าก็แค่เข้าใจผิดนิดหน่อยเอง ประเด็นสำคัญที่ข้านำมันมาก็เพราะท่านพี่ต่างหาก”

     

    ใบหน้าคมที่ยกยิ้มเล็กๆเพราะขันอาการคนตัวเล็กหุบยิ้มลง ก่อนจะแปรสีหน้ากลับสู่ความเงียบขรึมเช่นก่อนหน้า

     

    “ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว ท่านพี่น่ะชอบใบโคลเวอร์ที่สุดเลยนะ แต่ก่อนเห็นเป็นไม่ได้ ต้องวิ่งเข้าไปเก็บ อ่า ไม่ใช่สิ เรียกว่าวิ่งเข้าไปคุยด้วยคงจะถูกเสียมากกว่า”

     

    “คุย..?”

     

    “ใช่แล้ว ท่านพี่น่ะชอบลงไปนั่งให้ชุดเปื้อนจนสาวใช้ต้องร้องโอดครวญเสียทุกวันที่ได้ออกมาวิ่งเล่นในป่า หรือสวน แล้วต้องทิ้งตัวล้มพับกับดินคุยกับยอดหญ้า”

    “....”

     

    “แต่ก่อนนะ ข้าก็ไม่เข้าใจ จนกระทั้งข้าลองถามท่านพี่ ท่านน่ะบอกข้าว่ามันไม่ใช่ยอดหญ้าธรรมดานะ มันเป็นใบโคลเวอร์~ พอพูดจบก็นั่งคุย นั่งคุ้ย นั่งค้นกับมันเป็นชั่วโมงๆ”

     

    “....”

     

    “ข้าเคยนั่งฟังท่านพี่พูดกับมันนะ..” ยกใบไม้ใบบทสนทนาขึ้นมามองก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านพี่มักจะชอบถามมัน คุยกับมันว่า เมื่อไหร่พี่ชายจะกลับมา เค้าจะคิดถึงเราใช่ไหม อะไรทำนองนั้น”

     

    “...พี่ชายอย่างนั้นหรอ?”

     

    เสียงเอ่ยถามนั้นแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็คงชัดไม่พอจะทำให้เด็กช่างจ้อหยุดพูดแล้วสนใจได้

     

    “ใช่ ตอนแรกข้าก็งงไปเลย อยู่มาจนจะหกขวบแล้ว เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีพี่ชาย” พูดกลั้วขำอย่างสนุกสนาน “ยิ่งนึกไปถึงตอนนั้น ตอนที่ท่านพี่ร้องไห้เพราะวันนั้นเผลอเด็ดมันมา”

     

    “ร้องไห้...งั้นหรือ”

     

    “ใช่สิ ก็ท่านพี่น่ะชอบดอกไม้ ใบไม้ ธรรมชาติมากๆ แต่ทว่าตอนที่ข้าไปต่างเมืองกับท่านพ่อกลับมาท่านพี่ก้เปลี่ยนไป ไม่เด็ดดอกไม้ในสวนท่านแม่อีกเลย แถมทุกครั้งที่เผลอก็จะร้องไห้ออกมา แล้วก็พูดว่า พี่ชายจะโกรธแน่ๆเลย”

     

    คนเด็กกว่ายิ้มอย่างร่าเริงเพราะคิดว่าความทรงจำวัยเด็กมันช่างมีมากมาย มีหลายเรื่องที่คิดย้อนไปแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไปได้อย่างไร ตอนนี้คิดอะไรอยู่ ผิดกับองครักษ์หนุ่มที่สีหน้าตอนนี้หมองลงไป คล้ายกับสีของเมฆเวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝน

     

    “เป็นอะไรไปหรือ...” เมื่อหลุดจากความคิดได้แล้วก็พึ่งได้สังเกตอาการของคนตรงหน้า

    “ทำไม... ถึงชอบล่ะ”

    “...?”

    “ทำไมองค์หญิงถึงชอบมันล่ะ...”

    “ข้าน่ะหรอ?”

    “ข้าหมายถึง...”

    “อ้อท่านพี่ ก็เพราะรักแร... เอ่อ จริงสิ ท่านพี่พยายามลืมมันแล้วนี่นะ”

     

    การพยายามคุมสีหน้าให้ปกติตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก แต่การทำใจให้ลืมที่มาของความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่แล่นขึ้นมาไม่ได้เลย ยิ่งฟังประโยคหลังจากนี้แล้วยิ่งเจ็บ

     

     

    “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

    “...เรื่องนั้นมัน เอ่อคือ”

    “ถ้าไม่อยากเล่า ข้าก็เข้าใจ”

     

    เค้ารู้ดีว่าแบมแบมกำลังลำบากใจที่จะต้องพูดเรื่องของพี่ตนเองให้ใครก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องในตอนนั้นสักนิด ... เค้าเข้าใจดี

     

    “ไม่.. ข้าแค่ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง” คนตัวเล็กเม้มปากอย่างใช้ความคิดหนัก

     

     

    ถึงแม้มันอาจจะดูแปลกสักนิดที่จะนำเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาอีกทั้งยังเป็นของพี่ของตนมาเล่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง อีกทั้งก็ต่างบ้านต่างเมืองฟัง แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้แบมแบมรู้สึกว่าเชื่อใจคนๆนี้ได้ บอกเล่าเรื่องราวของตนและท่านพี่ได้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ

     

     

    อย่างน้อยท่านเจบีอาจจะช่วยทำให้ท่านพี่ดีขึ้น

     

     

    “ถ้าไม่สะดวกใจ....”

    “ไม่... ไม่ใช่อย่าคิดเช่นนั้น” ร่างเล็กมององครักษ์หนุ่มอย่างประหม่า “คือเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วล่ะ ตั้งแต่เรายังเด็ก ข้าก็รู้มาไม่มากนะ แต่ก็พอรู้ เรื่องตอนนั้นมันก็มีอยู่ว่า....”




    .. Waiting for next Chapter ..





    อัพแล้วโว้ยยยยย 55555555+ ดีใจมาก เอามาอัพให้ได้แล้วเย้

    อยากจะบอกว่าเจอปัญหา งานนู้นนี่เยอะสิ่งมากค่ะ ทั้งติดสอบนอกรอบ สอบfinal

    ตามงานส่ง เลิกเย็น ทุกสิ่งถาโถมมากค่ะ ไรท์ต้องทำนิตยาสารส่งอาจารย์อีก (ขอบ่น555+)

    แต่ตอนนี้เสร็จแล้ววว *โยนกระดาษขึ้นฟ้า*

     

    บอกเลยว่าchap.นี้ไม่จบง่ายๆ แต่ขอจบพาร์ทนี้ไว้ แล้วต่อchap.ต่อไปเลยแล้วกัน แฮ่ๆ

    ขอบคุณที่ยังรออ่านกันนะคะ รักคนอ่านมากมายยย เม้นให้กำลังใจหรือพูดถึงตัวละครไว้เลยน้า~

    หรือจะสกรีม(คนอ่านบอกจะให้สกรีมไรคะ555) ก็ตามแท็กเบยยย รักรักรัก

     

    ...

     

    เพราะทุกคนคือกำลังใจของเรา



    #ficrightthere



    B E R L I N ❀
    Tiny White Pointer
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×