คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 07 : Never has it been so easy, to be in love (ไม่เคยหลงรักใครง่ายๆ) 100%
Chapter
07 : Never has it been so easy, to be in love (ไม่เคยหลงรักใครง่ายๆ)
“อิ่มแล้วหรือ?”
“เพคะ”
องค์หญิงองค์โตเอ่ยเสียงเรียบ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้านี้ มันช่างดูน่าอึดอัดอย่างเอ่ยไม่ถูก
เพียงแค่เงยหน้าแล้วต้องเห็นผู้เป็นน้องกับองครักษ์ต่างเมือง ดูเหมือนว่านานวันคนตรงหน้าตนทั้งสองจะสนิทสนมกันเพิ่มไปมาก
เพราะการหยอกล้อ เล่นกันเหมือนเด็กๆนั่นมันชัดเจน ชัดเจนมากเลยทีเดียว...
ร่างบางหันไปยิ้มบางๆ ให้ชายข้างกาย
หลังจากถูกมือหนาเอื้อมมากุมไว้เหมือนอย่างทุกวัน ใช่
มันเป็นเช่นนี้มาได้สักพักแล้ว หลังจากจูเนียร์เปิดใจให้อีกคนเข้ามาในคืนนั้น
ไม่มีอะไรเกินเลย เพียงแค่เจ้าของมือหนาที่กำลังกอบกุมมือเค้าอยู่ นั้นเข้าพบท่านพ่อขององค์หญิงที่ตนออกปากขอโอกาส
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และจริงจัง
ถึงแม้ว่าพ่อขององค์หญิงจูเนียร์จะแปลกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรื่องที่ใช้เวลาเพียงไม่ถึงเดือนก็เกิดขึ้น ถึงจะหวงแหนลูกมากแค่ไหน
แต่ในเมื่อมาร์คเลือกที่จะกล้าพูดกับตนตรงๆ
ความคิดที่ใช้ปกครองเมืองมาเป็นเวลามากว่า 20
ปีมันก็ตัดสินให้ทั้งคู่คบหาดูใจกันอย่างไม่โต้แย้ง เพียงมีข้อแม้ว่า
เรื่องนี้จะต้องไม่แพร่งพรายเพื่อเกียรติของจูเนียร์
เพื่อหากในวันหนึ่งความสัมพันธ์ของเค้าทั้งคู่จะจบลง
ผู้เป็นราชาอยากให้ทุกสิ่งเริ่มอย่างเงียบเชียบ และจบอย่างไม่มีใครเสียหาย
และในฐานะเป็นพ่อนั้นก็ไม่อยากให้ลูกของตนเสียหน้าและเสียใจเพราะคำคน
“จูเนียร์ลูกรัก เหตุใดเจ้าจึงดูไม่สู้ดีนัก
นี่ก็เกือบครบสัปดาห์ได้ ที่พ่อเห็นเจ้ากินน้อยพูดน้อย”
“หม่อมฉัน.. หม่อมฉันแค่..”
“ท่านพี่แค่รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะเพคะ
เพราะอากาศเปลี่ยน ก็เท่านั้น”
เมื่อเห็นว่าคนเป็นพี่ตอบคำถามผู้เป็นพ่อไม่ถูก
คนตัวเล็กจึงพูดแทรกขึ้นมาช่วยไม่ให้ใครต้องลำบากใจ
ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าท่านพี่ดูซึมไปหลายวันแล้ว
แต่จะให้เข้าไปถามตรงๆว่าอะไรเป็นอย่างไร ก็คงทำได้ลำบาก
ตั้งแต่กลับมาจากเที่ยวในเมือง
ท่านพี่ก็ดูเหมือนตั้งใจจะหลบหน้าเค้า ถึงแม้จะไม่ใช่การหลบไม่พบเจอ
แต่ก็เหมือนเลี่ยงไม่พูดกัน แบมแบมมั่นใจว่าตนไม่ได้คิดเองไปฝ่ายเดียว
เพราะไอ้การที่ท่านพี่เอาแต่อยู่ในห้องเกือบทั้งวัน ออกไปนั่งเงียบๆที่สวนดอกไม้ของท่านแม่
ไม่ก็ใช้เวลามองเหม่ออยู่ที่ท่าเรือหลวงส่วนใน
จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่พี่ของเค้าจะเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจในที่ที่มีความทรงจำ
หรือในที่ที่เราทั้งสองต่างเรียกว่าบ้าน
แต่การที่ทุกที่ทุกเวลานั้นต้องมีนักกายกรรมหนุ่มรูปงามอย่างมาร์คติดสอยห้อยตามไปทุกครั้งไป
นั่นแหละ อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ทำให้แบมแบมหาเวลาส่วนตัวไปคุยกับคนเป็นพี่ยากขึ้น
“จริงสินะ นี่มันก็เข้าเขตฤดูหนาวแล้ว
อากาศเมืองเรามันก็หาเหมือนเมืองอื่นไม่ เปลี่ยนเร็วจนจับไม่ได้เลย
ว่าจะเปลี่ยนเมื่อไหร่แน่ ... จูเนียร์ลูกพ่อ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มาก เพราะงานของพ่อตอนนี้มันหนักหนาล้นมือ
พ่อห่วงเจ้านะ”
“เพคะ ท่านพ่อ...” เจ้าของชื่อยิ้มรับบางๆ
ให้ผู้เป็นพ่อ
จูเนียร์รู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร
มีการเรียกประชุมใหญ่ของอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรกันแทบทุกอาทิตย์
และในฐานะราชาแห่งแอนด์ไอริส ท่านพ่อก็ต้องออกว่าราชการ และต้องดูแลเมืองหนักขึ้น
ดูเหมือนว่าผู้เป็นพ่อไม่อยากนำความเหนื่อยล้า
หรือเรื่องกังวลใจมาให้ลูกๆทั้งสองฟัง จูเนียร์จึงรู้เพียงว่า เกิดการก่อกบฏ
และชนกลุ่มที่มีแกนนำเป็นคณะปฏิวัติ ในเมืองใกล้เคียงแล้ว
ถ้าพูดถามหลัก ศักดินาที่แบกรับไว้
จูเนียร์คือองค์หญิงของเมืองแห่งนี้ เรื่องราชการจึงไม่ได้รับสิทธิจะรู้ ถึงแม้ว่า
เพศสภาพแท้จริง คืออะไรก็ตาม...
“ครั้งนี้พ่ออาจไปนานสักหน่อย
เราต้องย้ายที่ประชุมเป็นเมืองอื่นหลังจากข่าวรั่วเมื่อครั้งก่อน”
ผู้เป็นพ่อเอ่ยพลางลูบเบาๆบนศรีษะของลูกทั้งสอง ที่กำลังกอดและเกาะเกี่ยวเหมือนเด็กน้อย
บุตรทั้งสองเพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ การบอกลา
หรืออวยพรนั้นไซร้หาเรื่องจำเป็นไม่ในเพลานี้ ไม่รู้เพราะกลัวคำว่าลาก่อน
หรือกลัวคนเป็นพ่อผิดสัญญาหากตนขอให้รีบกลับอย่างปลอดภัย อย่างไรเสีย
แม้ไม่ได้เอ่ยถ้อยวจีใดออกมา แต่พ่อลูกทั้งสามก็รู้อยู่แก่ใจว่า เราต่างห่วงใย
และรักกันมากเพียงใด
บ้านเมืองที่แสนสงบสุข...
ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปแล้วสินะ
ร่างบางในชุดระบายลูกไม้สีอ่อนยาวระดับเข่า
กำลังยืนทอดสายตาไปไกล ไกลสุดสายตา น่าแปลกที่ตั้งแต่ตัดสินใจรับท่านมาร์คเข้ามา กลับไม่รู้สึกเขอะเขินเหมือนเช่นก่อน
หรืออาจเพราะเรื่องบ้านเมือง เรื่องท่านพ่อ จึงทำให้ใจดวงน้อยๆนี้วิตกแทน
“จูเนียร์” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นหลังจากมองภาพคนเหม่อมานานแล้ว
“ไม่หนาวหรือ?”
เดินเข้าไปแสดงความห่วงใยอย่างที่ชายคนหนึ่งพึงมีต่อหญิงอันเป็นที่รัก
ผ้าคลุมไหล่สีฟ้าถูกวางปกปิดผิวเนียนที่พ้นจากแขนเสื้อออกมา
ใบหน้าหวานหันมองเจ้าของผ้าพร้อมยิ้มบางๆแทนคำขอบคุณ
มาร์ครู้ดีว่าจูเนียร์มีเรื่องให้คิดอยู่มาก การที่คนในอ้อมแขนหันมายิ้มให้
แม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็แสดงถึงความสำคัญและวางใจมากแล้ว
เพราะการที่คนตัวเล็กไม่ได้ขยับเบียงร่างหนีออกไป
และยังยืนนิ่งให้เขาให้โอบไว้เพื่อกันลมหนาว ก็แสดงว่าคำว่า ‘เรา’ มันก็อยู่แค่เอื้อม
“อากาศเย็นมากแล้ว กลับเข้าไปในห้องไหม”
มาร์คเอ่ยขึ้นในขณะที่ขยับวงแขนจากลาดไหล่ ให้มาโอบรอบตัวร่างบางไว้หลวมๆ
“ข้ายังอยากมองทะเลฤดูหนาวอยู่เลย”
พูดติดอารมณ์ขันเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือเรียวมาจับแขนแกร่ง หลังจากถูกลมทะเลพัดให้สั่น
“หนาวใช่ไหม? งั้นไป กลับห้อง
หาอะไรอุ่นๆดื่มกันเถอะ”
“ก็ได้...”
หันตัวกลับมาตอบรับร่างสูงที่ยืนกอดซ้อนจากด้านหลัง
เวลาหลายวันที่ผ่านมาจูเนียร์ไม่ได้แสดงทีท่า ขวยเขิน หรือแสดงออกชัดเจนว่ากำลังดูใจกับชายตรงหน้าเมือนอย่างที่อีกฝ่ายทำ
แต่เชื่อเถอะว่า ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่ก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะไม่ได้มีใครที่รีบร้อนให้อีกฝ่ายรู้สึกรักหรือชอบใดๆ
แต่เราก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น ถ้าหากถามว่าทำไมถึงยอมให้อีกคนกอด
หรือกระทำการเฉกเช่นคู่รักแล้วล่ะก็ ก็คงเป็นความวางใจในตัวมาร์ค
มันคงเป็น ความเชื่อใจ
.
.
.
.
“โกโก้ร้อนคลายหนาวสักแก้วนะ”
มาร์คเอ่ยพร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงกว้าง
“ขอบคุณเพคะ”
จูเนียร์เอ่ยเรียบๆพร้อมรับมายกดื่ม
เพลานี้เครื่องดื่มอุ่นๆคงช่วยขับความหนาวออกไปได้ดี
“คิดอะไรอยู่หรือ?” มาร์คเปิดบทสนทนา พร้อมท้าวศอกมองร่างที่นอนพักบนเตียง
“....นั่นสิ”
“นั่นสิ?” ทวนคำตอบอีกคราก่อนจะเอ่ยต่อ
“จูเนียร์... อันที่จริงพี่ก็ไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้เสียเท่าไหร่”
มือทั้งสองข้างกำลังเคลื่อนมากุมไว้ต้องหน้า อยู่ในท่าทางจริงจัง
“เรื่องอะไรหรือ? ทำไมท่านดูเครียดไป”
มองใบหน้าคมที่หมองลงเล็กน้อย แววตาเศร้าๆนั่นส่งมาพร้อมกับประโยคที่ฟังแล้วรู้สึกผิดไม่เบา
“พี่จะไม่รีบร้อน ไม่รบเร้าเจ้า ... เพียงแต่”
“...?”
“พี่หักห้ามใจตัวเองมิได้เลย
หักห้ามให้หยุดห่วงเจ้า บอกใจตัวเองให้สงบเมื่อเห็นเจ้าดูมีบางสิ่งในใจ
บางสิ่งที่ยากจะเข้าถึงได้ มันคล้ายว่ามีเพียงฝ่ายตัวพี่เองที่คิดไป”
ร่างบางกล่าวถ้อยวาจาใดไม่ถูก
จูเนียร์ควรทำอย่างไรให้คนข้างกายคลายความคิดตัดพ้อน้อยใจ
ยอมรับด้วยใจบริสุทธิ์ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
จิตใจของเค้าเองมิได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย มันลอยไปหาคนที่ไกลแสนใจ
คนตัวเล็กใช้เวลาเกือบทั้งวันในการปล่อยใจ
ให้ลอยไปหาใครคนนั้น จิตใจแสนบอบบางได้แต่ถามกับฟากฟ้าว่า ทำถูกแล้วใช่ไหม
นี่นับเป็นการผิดสัญญาหรือไม่
“ตั้งแต่วันแรกที่เจ้ายอมให้พี่เป็นท่านพี่ของเจ้า
มันเป็นความปิติแก่ใจพี่เพียงใด เจ้ารู้หรือไม่” พูดพลางหลุบตาลงมองเตียงสีครีมอ่อน
“แต่ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังคล้ายห่างเหิน...”
“ท่านพี่มาร์ค...”
ร่างบนเตียงเอ่ยขึ้นมาหลังจากปล่อยให้ชายข้างกายนั่งเอ่ยถ้อยตัดพ้อ
ใช่ จูเนียร์ควรทำให้อีกคนรู้ว่าเค้าเองก็จริงจังกับความสัมพันธ์นี้
เพียงแค่ว่าเค้าเองยังหยุดว้าวุ่นใจไม่ได้ การที่จะให้รีบลืมใครอีกคนที่ครอบครองใจดวงน้อยนี้เป็นเวลามากว่าสิบปี
มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
มือเรียวละจากแก้วเซรามิกสีขาวมาข้างหนึ่ง
ก่อนจะเอื้อมไปกอบกุมมือหนาที่ประสานเอาไว้อย่างใช้ความคิด
สายตาของคนตัวเล็กไม่ได้มีแววรำคาญใจ หรืออึดอัด ในตอนนี้มีเพียงแค่แววตาที่มองใบหน้าคมด้วยความรู้สึกผิด
“จูเนียร์..”
“ข้าขอโทษ” พูดด้วยเสียงปนเศร้าเล็กน้อย
ตอนนี้จูจูกำลังรู้สึกผิด และรู้สึกแย่จริงๆ เค้าทำร้าย
ทำลายความรู้สึกของมาร์คไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ ไม่ต้องขอโทษพี่นะคนดี”
มือหนาพลิกขึ้นมาจับรับฝ่ามือนุ่มไว้ ก่อนที่อีกข้างจะยกขึ้นมาวางทับบนมือเนียน
บอกเป็นนัยน์ว่าไม่เป็นไร
ความอ่อนหวานจากรอยยิ้มบางๆของจูเนียร์
มิอาจจะกลบรอยเศร้าหมองในแววตาสวยคู่นั้นได้
มาร์ครู้แล้วว่าตนกำลังทำให้ร่างตรงหน้ารู้สึกผิด
“ใยทำหน้าตาคล้ายเด็กจะร้องไห้
ใครมาเห็นเข้าจะนึกว่าพี่ทำร้ายเจ้าเอาได้นะ” พูดพลางยกมือทาบลงบนกลุ่มผมนุ่ม ลูบเบาๆให้คลายกังวล
“ข้าเปล่าจะร้องไห้นะ”
คนบนเตียงยู่ปากเล็กน้อยพอน่าเอ็นดู
ก่อนจะคลี่ยิ้มโล่งใจขึ้นมาหนึ่งเปราะ มือหนายีผมให้ยุ่งเป็นการหยอกเอิน
ร่างบางพลิกตัวหลบหนีฝ่ามือคนขี้แกล้ง
กลับมานั่งอยู่ในที
เอนหลังพิงหัวเตียงนุ่ม แล้วก้มลงดื่มโกโก้ที่ถูกลมหนาวพัดพาความร้อนให้จางลง เหลือเพียงไออุ่นที่ลอยเป็นควันเวลาปะทะลมหายใจ
ใช่มันไม่ร้อนจนน่าอึดอัดอีกแล้ว ตอนนี้อุณหภูมิในแก้วกำลังพอดี
พอดีกับความรู้สึกของเค้า
เม้มซับรสโกโก้ที่ล้นเปื้อนมุมปากเล็กน้อย รู้ตัวอีกที คนตัวเล็กก็ต้องเบิกตากว้างกว่าเดิมเล็กน้อยด้วยความตกใจ
มือหนาเลื่อนมาเชยคางสวยเอาไว้
ก่อนที่จะใช้นิ้วหัวแม่มือปาดคราบโกโก้จากมุมปากได้รูป ทั้งสองต่างจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างหลวมตัว
เหมือนสติเลือนรางไป รอบกายพล่ามัว
เว้นแต่ภาพใบหน้าคมที่อยู่ห่างไปเพียงช่วงลมหายใจ
“......!?”
- 40% -
แปะ! เพี้ยะ! แปะ!
เสียงฝ่ามือฟาดลงบนเนื้อหนังดังไม่ขาดสาย
ทำลายความเงียบในเพลานี้ได้เป็นอย่างดี เสียงหรีดหริ่งเรไรในพงไพร
จำต้องเงียบเพราะกลัวเกรงเจ้าของฝ่ามือแกร่งที่ฟาดฟันดังเพี้ยะๆลั่นป่า
“พอสักทีเถอะแบมแบม
เจ้าจะทำร้ายตัวเองไปเพื่ออะไร” ร่างสูงเอ่ยด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
ผ่านมาก็สักพักใหญ่แล้ว
ที่องค์หญิงองค์เล็กองค์นี้ นั่งทะเลาะตบตีกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆอย่าง ‘ยุง’ สิ่งที่คนตัวเล็กทำก็มีไม่กี่ขั้นตอน ยกมือขึ้น กะจังหวะ และ
*เพี้ยะ!
เจบีมองน่องเนียนที่เป็นรอยแดงปื้น ริ้วๆ
ที่ขึ้นรูปฝ่ามือเล็กๆ ก็ไม่รู้ว่าจะห่วง สงสาร หรืออะไรดี
เห็นแบมแบมนั่งทำร้ายตัวเองมาสักพักใหญ่แล้วก็เหนื่อยแทน บอกห้ามว่ามันจะขึ้นรอย
เจ็บเปล่าๆ เจ้าตัวก็ไม่ยอมหยุด
อยู่นิ่งได้ไม่ถึงเสี้ยววิก็ขยับตั้งท่าพร้อมตบตีกับยุงตัวจ้อยใหม่
“พอเถอะแบมแบม”
“ท่านไม่ต้องพูดเลย คนที่ไม่ถูกฝูงยุงรุมทำร้ายอย่างข้า
ไม่มีสิทธิพูด!
องครักษ์หนุ่มเพียงถอนใจออกมาหนักๆกับความเป็นเด็กของแบมแบม
ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรต่อให้มากความ
เพียงเดินเข้าไปหาเด็กตัวเล็กที่กำลังง่วนกับการจัดการสัตว์ร้ายที่หมายจะแย่งชิงเลือดไปจากร่าง
ขวดยาหน้าตาแปลกๆถูกยื่นมาให้คนตัวเล็กที่นั่งหันซ้ายหันขวาตามเสียงหวี่เสียงหึ่ง
แบมแบมมองขวดยาสีเขียวขุ่นๆอย่างไม่เข้าใจ
ก่อนที่จะเบะหน้าเพราะกลิ่นฉุนหลังจากเจ้าของขวดเปิดฝามันออก
กลิ่นฉุนที่อธิบายไม่ถูกนี่มันอะไร จะเหม็นก็ไม่ใช่หอมก็ไม่เชิง
“ตะไข” องครักษ์หนุ่มเอ่ยสั้นๆ
ก่อนจะยัดมันใส่มือของแบมแบม แล้วคว้ากระบอกน้ำมายกกระดกดื่มดับกระหาย
“....ตะไข?”
ใช้หลังมือปาดน้ำที่ล้นมุมปากอย่างลวกๆ
ก่อนจะหันมองเด็กขี้สงสัยข้างกาย ที่กำลังทำจมูกฟุดฟิดแถวปากขวด
แต่ไม่ใช้มันเหมือนเกรงๆอะไรสักอย่าง
เห็นอย่างนั้นองครักษ์หนุ่มก็ทำได้เพียงดึงขวดกลับมาจากมือองค์หญิงแบมแบม
แล้วจัดการหมุนฝามันออกให้หมด ปลายแปรงที่ติดกับฝามีน้ำยาในขวดชุ่มเล็กน้อย
ชายหนุ่มปาดมันกับปากขวดให้ได้ยาในขนาดพอดี
“จะทำอะไร?!”
ร่างเล็กร้องถามเมื่อเห็นเจบีตั้งท่าจะเอายานั้นมาป้ายตน
“ทายาให้อย่างไรเล่า”
พูดด้วยน้ำเสียงติดขัดใจอยู่เล็กๆ ในเมื่อไม่ถูกกับยุงขนาดนั้นเค้าก็จะช่วย
แต่ดูสายตาหวาดๆนั่นสิ เด็กหนอเด็ก
“ยาอะไร
ไอ้ของเหลวหน้าตาประหลาดนั่นเป็นยาแน่หรอ?”
“....”
“ทำไมไม่ตอบกัน ท่านจะเอาอะไรมาทาให้ข้าน่ะ
มันกลิ่นแรงมากเลยนะ”
“....”
“ท่านอาจจะหยิบขวดผิดก็ได้ หาให้ดีก่อน
อาจจะเป็นขวดอื่นก็ดะ.....!!”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆต่อ หลังจากปล่อยให้เด็กช่างจ้อเอ่ยนู้นนี่ไร้สาระมามากพอแล้ว
มือหนาคว้าแขนที่มีผื่น รอยยุงกัด และรอยแดงๆก็มือที่เจ้าตัวเป็นคนทำมันเองมา
จัดการใช้ปลายแปรงนั้นทาให้ทั่วไม่ว่าจะเป็นรอยผื่น
หรือเนื้อเนียนที่ไม่ได้ถูกยุงกัด
ร่างเล็กที่เหมือนอยากพูดอะไรก่อนหน้านี่ก็กลายเป็นใบ้เสียดื้อๆ
ตอนนี้แบมแบมไม่รู้จะรู้เช่นไรถึงจะถูก จะว่าเขินก็ใช่
เค้าไม่เคยถูกใครจับมือถือแขนแล้วทำอะไรแบบนี้ให้ แต่จะว่าตกใจก็ไม่ผิด
ทั้งยังกลัวอีก ตกใจที่จู่ๆท่านองครักษ์ก็คว้าขวดยาประหลาดมาทาให้ กลัวเพราะยานั่นมันกลิ่นแรงเกินที่โอสถในวังจะหาได้
แต่จะว่าไป ตอนนี้มันก็ไม่ได้แรงแล้วนี่...
“...” ร่างเล็กยกแขนข้างที่ถูกยาชโลมทั่วแล้วมาดม
กลิ่นสมุนไพรที่หอมอ่อนๆนี่มันอะไร เหมือนกับเคยได้กินเมื่อนานมาแล้ว
“หอมใช่ไหมล่ะ”
พูดขึ้นหลังจากจัดการแขนอีกข้างให้องค์หญิงจอมแก่นเสร็จ “จัดการที่เหลือเองนะ”
“อ.. อ่าว?”
“คงไม่คิดจะให้ข้าทายาให้ทั้งตัวหรอกนะ ...แค่ชันเข่าขึ้นมาแล้วทายาที่ขาเองคงไม่เหนือบากกว่าแรงใช่ไหม”
พูดจบก็ไม่หันมาสนใจสีหน้าคนฟังอีกเลย
ร่างสูงเดินออกไปจากจุดพักที่มีข้าวของทั้งหมดวางอยู่
ไปยังทุ่งดอกไม้กลางป่าอีกครั้ง บอกไปรึยังกันว่า
เค้าและแบมแบมเข้ามาเก็บดอกไม้ในป่า
ด้วยเหตุผลที่ทั้งสองไม่ต้องการทำร้ายดอกไม้ในสวนของราชินีที่จากไป
หรือก็คือมารดาของแบมแบมรวมถึงคนที่ป่านนี้คงยังนั่งๆนอนๆอยู่กับนักกายกรรมรูปงามอยู่ในห้อง
ไม่รู้อะไรดลใจให้เด็กคนนี้อยากทำอะไรเล็กๆน้อยๆให้กับพี่ของตน
โดยการทำสิ่งที่พี่ของตนชอบมันมากๆไปให้ เพื่อเป็นการหาเรื่องเข้าไปคุยได้
หลังจากทั้งสองห่างกันมาสักพักใหญ่ นั่นก็คือ ‘มงกุฎดอกไม้’
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่มีหน้าที่เป็นองครักษ์อย่างเจบีจะต้องมาเก็บดอกไม้ให้ด้วย
แต่ถึงใจจะคิดบ่นเค้าก็ยังเดินเก็บดอกนู้นที ตัดดอกนี้ทีอย่างไม่มีอิดออด
จะพอฟังขึ้นไหม
ว่าเค้าก็อยากทำให้... ‘เด็กคนนั้น’ เหมือนกัน
“ท่านเจบี!”
“..?”
ชายหนุ่มหันมองตามเสียงที่ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับใบโคลเวอร์ในมือ
องค์หญิงคนเล็กในชุดเอี้ยมสีเหลืองอ่อนกระโดดโหยงเหยงดีใจไปมา
เหมือนกับเด็กน้อยได้ของขวัญวันเกิดเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่เท่าบ้าน
“ดูสิข้าเจออะไร”
องค์หญิงน้อยวิ่งมาหาองครักษ์หนุ่มที่ในมือถือกรรไกรตกแต่งสวนข้างนึง
และอีกข้างเป็นตกร้าดอกไม้ที่มีดอกไม้มากมายหลายพันธุ์
มันคงดูน่าตลกพิลึกหากใครได้มาเห็นสภาพขององครักษ์สุดแสนจะเท่ กับแววตาเย็นชานั่น
แต่ตอนนี้ร่างสูงในชุดทะมัดทะแมงนั่นกำลังแขวนตะกร้าดอกไม้ไว้ที่แขนอีกข้างหนึ่ง
“ใบโคลเวอร์..” เจบีเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมเบือนไปหน้าไปมองทางอื่น
“ใช่!” ร่างเล็กยิ้มร่า
“ท่านรู้ไหมว่าถ้านำใบโคลเวอร์นี้ไปอยู่ในมงกุฎดอกไม้ของท่านพี่ด้วยจะเกิดอะไรขึ้น”
“ก็จะกลายเป็นมงกุฎดอกไม้ที่มีใบโคลเวอร์ไง”
องครักษ์หนุ่มพูดกวนหน้าตายใส่คนตัวเล็ก ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับดอกไม้ป่านาๆพันธุ์
“ท่านเจบี!” ร่างเล็กยู่หน้าไม่พอใจ ก่อนจะกระโดดจากเนินดินลงมาในทุ่งดอกไม้
“อะไร เป็นอะไรของเจ้าอีก”
คนโตกว่าเอ่ยเหมือนติดรำคาญ แต่ที่จริงก็แค่ไม่อยากหันกลับไปเห็น…
“..!?”
“^^”
ร่างสูงชะงักเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปหาคู่สนทนาแล้วพบว่าคนตัวเล็กยื่นใบไม้สีเขียวคุ้นตา
จนได้สินะ ...
ทำยังไงก็คงต้องมองอย่างเต็มตาจนได้สินะ
“....”
ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไร
เพียงกระพริบตาช้าๆมองใบไม้สีเขียวในมือของแบมแบม
ก่อนจะขยับสายตามามองหน้าเจ้าของมือเนียนนั่นด้วยสายตานิ่งเรียบ
“อะไรกัน.. ท่านไม่ตื่นเต้นกับข้าหน่อยหรือ”
“ไม่มีเหตุอะไรที่จำเป็นต้องตื่นเต้น”
“แต่นี่น่ะใบโคลเวอร์เลยนะ เป็นใบโคลเวอร์เลยนะ!”
แบมแบมยังคงพยายามเรียกความสนใจของคนตัวสูงที่ง่วนกับการตัดกิ่งนู้นเอาดอกนั้น
ตัดกิ่งนั้นเอาดอกนี้ “นี่!”
“อะไร?” ลอบถอนหายใจเบาๆ
ก่อนจะตัดสินใจหันกลับไปคุยกับองค์หญิงตัวเล็กที่ยังพยายามจะอวดของในมือ
โดยไม่มีทีท่าจะหยุดลงถ้าเค้ายังไม่สนใจ
“อะไร คืออะไรล่ะ”
“ก็เจ้าน่ะเป็นอะไร”
“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ท่านน่ะสิที่เป็น”
“ข้าไม่เป็นอะไรทั้งนั้น”
“เป็น”
“ไม่เป็น”
“...”
“ฮี่ๆ”
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจรอบที่ล้านแปดกับความ...
ความอะไรก็ได้ที่เค้าไม่สามารถสรรหาคำมานิยามเด็กตรงหน้าได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเอาชนะ
คนโตกว่าเลือกที่จะยอม
“งั้นข้าเป็นอะไร”
“ข้าไม่รู้... รู้แค่ท่านดูแปลกไปเพียงเพราะข้านำมันมา”
คนตัวเล็กก้มลงมองใบไม้เล็กๆที่ตนกำลังใช้เพียงนิ้วโป้งและนิ้วชี้จับมันไว้
“ข้าไม่..-”
“หรือว่าจะเป็นเพราะอำนาจจากใบโคลเวอร์สามแฉก!”
“ห้ะ..?”
“ก็ใบโคลเวอร์สามแฉกอย่างไรเล่า
เค้าว่ากันว่าใครที่เจอจะพบโชคดี~”
“หืม?”
“ท่านไม่รู้เหรอ? เอ... นั่นสินะ
ท่านคงไม่มีเวลามานั่งใส่ใจเรื่องยิบย่อยเช่นนี้สินะ วันๆท่านคงมีแต่การฝึก
เตรียมรบ ต่อสู้..”
ตากลมโตลุกวาวตื่นเต้น เหมือนกับเด็กที่เจอสิ่งมหัศจรรย์
เจบีส่ายหน้ากับความเป็นเด็กน้อยของคนตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยถ้อยวจีที่เหมือนลมพัดแสงเทียนแห่งความฝันของคนตัวเล็ก
“ใบโคลเวอร์สี่แฉก”
“...??”
“ใครที่หาใบโคลเวอร์สี่แฉกเจอ จะพบกับความโชคดี”
“แต่..”
“ท่านฟังเรื่องมาผิดแล้ว” ...เด็กน้อย~
ใบหน้าขาวยู่หน้าอีกครั้ง
ดูจากท่าคงหงุดหงิดใจไม่เบาเลยสินะ เอาเถอะ ถือเป็นบทเรียนนะ
คิดจะมาดูถูกเจบีคนนี้
“ข..ข้าก็แค่เข้าใจผิดนิดหน่อยเอง ประเด็นสำคัญที่ข้านำมันมาก็เพราะท่านพี่ต่างหาก”
ใบหน้าคมที่ยกยิ้มเล็กๆเพราะขันอาการคนตัวเล็กหุบยิ้มลง
ก่อนจะแปรสีหน้ากลับสู่ความเงียบขรึมเช่นก่อนหน้า
“ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว
ท่านพี่น่ะชอบใบโคลเวอร์ที่สุดเลยนะ แต่ก่อนเห็นเป็นไม่ได้ ต้องวิ่งเข้าไปเก็บ อ่า
ไม่ใช่สิ เรียกว่าวิ่งเข้าไปคุยด้วยคงจะถูกเสียมากกว่า”
“คุย..?”
“ใช่แล้ว
ท่านพี่น่ะชอบลงไปนั่งให้ชุดเปื้อนจนสาวใช้ต้องร้องโอดครวญเสียทุกวันที่ได้ออกมาวิ่งเล่นในป่า
หรือสวน แล้วต้องทิ้งตัวล้มพับกับดินคุยกับยอดหญ้า”
“....”
“แต่ก่อนนะ ข้าก็ไม่เข้าใจ
จนกระทั้งข้าลองถามท่านพี่ ท่านน่ะบอกข้าว่ามันไม่ใช่ยอดหญ้าธรรมดานะ
มันเป็นใบโคลเวอร์~ พอพูดจบก็นั่งคุย นั่งคุ้ย นั่งค้นกับมันเป็นชั่วโมงๆ”
“....”
“ข้าเคยนั่งฟังท่านพี่พูดกับมันนะ..” ยกใบไม้ใบบทสนทนาขึ้นมามองก่อนจะเอ่ยต่อ
“ท่านพี่มักจะชอบถามมัน คุยกับมันว่า เมื่อไหร่พี่ชายจะกลับมา เค้าจะคิดถึงเราใช่ไหม
อะไรทำนองนั้น”
“...พี่ชายอย่างนั้นหรอ?”
เสียงเอ่ยถามนั้นแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็คงชัดไม่พอจะทำให้เด็กช่างจ้อหยุดพูดแล้วสนใจได้
“ใช่ ตอนแรกข้าก็งงไปเลย อยู่มาจนจะหกขวบแล้ว
เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีพี่ชาย” พูดกลั้วขำอย่างสนุกสนาน “ยิ่งนึกไปถึงตอนนั้น ตอนที่ท่านพี่ร้องไห้เพราะวันนั้นเผลอเด็ดมันมา”
“ร้องไห้...งั้นหรือ”
“ใช่สิ ก็ท่านพี่น่ะชอบดอกไม้ ใบไม้ ธรรมชาติมากๆ
แต่ทว่าตอนที่ข้าไปต่างเมืองกับท่านพ่อกลับมาท่านพี่ก้เปลี่ยนไป
ไม่เด็ดดอกไม้ในสวนท่านแม่อีกเลย แถมทุกครั้งที่เผลอก็จะร้องไห้ออกมา แล้วก็พูดว่า
พี่ชายจะโกรธแน่ๆเลย”
คนเด็กกว่ายิ้มอย่างร่าเริงเพราะคิดว่าความทรงจำวัยเด็กมันช่างมีมากมาย
มีหลายเรื่องที่คิดย้อนไปแล้วก็ได้แต่ถามตัวเองว่าทำไปได้อย่างไร
ตอนนี้คิดอะไรอยู่ ผิดกับองครักษ์หนุ่มที่สีหน้าตอนนี้หมองลงไป
คล้ายกับสีของเมฆเวลาครึ้มฟ้าครึ้มฝน
“เป็นอะไรไปหรือ...”
เมื่อหลุดจากความคิดได้แล้วก็พึ่งได้สังเกตอาการของคนตรงหน้า
“ทำไม... ถึงชอบล่ะ”
“...?”
“ทำไมองค์หญิงถึงชอบมันล่ะ...”
“ข้าน่ะหรอ?”
“ข้าหมายถึง...”
“อ้อท่านพี่ ก็เพราะรักแร... เอ่อ จริงสิ
ท่านพี่พยายามลืมมันแล้วนี่นะ”
การพยายามคุมสีหน้าให้ปกติตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก
แต่การทำใจให้ลืมที่มาของความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่แล่นขึ้นมาไม่ได้เลย
ยิ่งฟังประโยคหลังจากนี้แล้วยิ่งเจ็บ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“...เรื่องนั้นมัน เอ่อคือ”
“ถ้าไม่อยากเล่า ข้าก็เข้าใจ”
เค้ารู้ดีว่าแบมแบมกำลังลำบากใจที่จะต้องพูดเรื่องของพี่ตนเองให้ใครก็ไม่รู้
ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องในตอนนั้นสักนิด ... เค้าเข้าใจดี
“ไม่.. ข้าแค่ไม่รู้จะเรียบเรียงยังไง”
คนตัวเล็กเม้มปากอย่างใช้ความคิดหนัก
ถึงแม้มันอาจจะดูแปลกสักนิดที่จะนำเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาอีกทั้งยังเป็นของพี่ของตนมาเล่าให้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งก็ต่างบ้านต่างเมืองฟัง
แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้แบมแบมรู้สึกว่าเชื่อใจคนๆนี้ได้
บอกเล่าเรื่องราวของตนและท่านพี่ได้ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ
อย่างน้อยท่านเจบีอาจจะช่วยทำให้ท่านพี่ดีขึ้น
“ถ้าไม่สะดวกใจ....”
“ไม่... ไม่ใช่อย่าคิดเช่นนั้น”
ร่างเล็กมององครักษ์หนุ่มอย่างประหม่า “คือเรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วล่ะ
ตั้งแต่เรายังเด็ก ข้าก็รู้มาไม่มากนะ แต่ก็พอรู้ เรื่องตอนนั้นมันก็มีอยู่ว่า....”
.. Waiting
for next Chapter ..
อัพแล้วโว้ยยยยย 55555555+ ดีใจมาก
เอามาอัพให้ได้แล้วเย้
อยากจะบอกว่าเจอปัญหา งานนู้นนี่เยอะสิ่งมากค่ะ
ทั้งติดสอบนอกรอบ สอบfinal
ตามงานส่ง เลิกเย็น ทุกสิ่งถาโถมมากค่ะ
ไรท์ต้องทำนิตยาสารส่งอาจารย์อีก (ขอบ่น555+)
แต่ตอนนี้เสร็จแล้ววว *โยนกระดาษขึ้นฟ้า*
บอกเลยว่าchap.นี้ไม่จบง่ายๆ แต่ขอจบพาร์ทนี้ไว้ แล้วต่อchap.ต่อไปเลยแล้วกัน
แฮ่ๆ
ขอบคุณที่ยังรออ่านกันนะคะ รักคนอ่านมากมายยย
เม้นให้กำลังใจหรือพูดถึงตัวละครไว้เลยน้า~
หรือจะสกรีม(คนอ่านบอกจะให้สกรีมไรคะ555)
ก็ตามแท็กเบยยย รักรักรัก
...
เพราะทุกคนคือกำลังใจของเรา ♥
#ficrightthere
ความคิดเห็น