คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 06 : Cause you listen (เพราะเธอรับฟังฉัน)
Chapter
06 : Cause you listen (เพราะเธอรับฟังฉัน)
“แพ้ เจ้าแพ้แล้วแบมแบม!~”
เสียงพี่สุดที่รักตะโกนก้องอย่างดีใจ
ที่ตนเป็นฝ่ายชนะด้วยคะแนนที่มากกว่า โธ่
ถ้าไม่ทำตกหล่นบนถนนระหว่างทางตอนนั้นล่ะก็ ป่านนี้ก็ชนะไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นแบมแบมก็ไม่คิดจะกล่าวถ้อยขยายความอะไรต่อ
ปล่อยให้พี่ของตนมีความสุขกับชัยชนะ เหมือนตอนครั้งที่ยังเยาว์วัยแบบนี้
แค่ได้มองพี่ของตนมีความสุขแบบนี้ แค่นี้
คนเป็นน้องอย่างเค้าก็มีความสุขมากแล้ว
ร่างบางพาตัวเองกระโดดโลดเต้นลืมกิริยา
การเป็นเจ้าหญิงแสนเรียบร้อยไปเสียสนิท
จนกระทั้งนึกได้ว่าทุกคู่สายตาที่จับจ้องมาที่ตนนั้น ไม่ได้มีแต่ข้าทาสบริวาร
หรือน้องของตน แต่ยังมี…
“ดูพระองค์ทรงมีความสุขมากๆเลยนะพะยะค่ะ”
มาร์คเอ่ยเสียงนุ่ม
ยิ้มโปรยเสน่ห์นั่นถูกยิ้มตรงมาให้เช่นเคย แต่น่าแปลกที่ตอนนี้หัวใจกลับไม่ได้เต้นตึกตักอีกแล้ว
แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้จูเนียร์หยุดคิดหาคำตอบว่าทำไม
ขนมกับข้าวของตรงหน้าต่างหาก ที่เค้าสนใจ
โปรยยิ้มน้อยๆให้ตามมารยาท
ก่อนจะคว้าหนังสือที่ตนซื้อมาหยิบยื่นให้น้องสุดที่รัก ที่ยืนก้มๆเงยๆ
เก็บลูกแอปเปิ้ลที่กลิ้งตกลงพื้นอยู่ สองขาก้าวอย่างเริงร่าก่อนจะชะงักงัน
เหมือภาพตรงหน้าคือองครักษ์ที่อยู่กับตนเกือบจะทั้งวัน
กำลังกุมมือน้องของตัวเองอยู่
ไม่รู้ทำไม แต่เจ็บข้างในอกซ้ายแปลกๆ
“ขอบใจนะพี่เจบี~”
ร่างเล็กหยัดตัวลุกพร้อมกับแอปเปิ้ลในมือ ก่อนจะยิ้มอย่างเขินอายให้องครักษ์หนุ่ม
“ไม่เป็นไร อย่าทำตัวซุ่มซ่ามอีกก็เป็นพอ”
พูดจบก็เดินถอยไปทางอื่น เสี้ยววิก็ลอบหันมาสบตา
ร่างบางที่ยืนถือหนังสืออยู่ไม่ไกล
แปลกใจไม่น้อยที่พบว่าใครอีกคนกำลังมองเค้าอยู่เช่นกัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นเค้าฝ่ายเดียวที่คอยเฝ้ามอง
“แบมแบมน้องพี่” พยายามปรับเสียงให้ปกติ
แล้วเรียกหาน้องรัก
“เพคะ?” หันมามองทางต้นเสียงที่อยู่ไม่ไกล
ต่างฝ่ายต่างก็เดินไปหากันและกัน
“นี่พี่ให้เจ้านะ”
ยื่นหนังสือเล่มหนาให้คนเป็นน้องด้วยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยน
ร่างเล็กตาเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
ไม่คิดว่าจะได้หนังสือภาคต่อของนิยายเล่มโปรด รับมาด้วยความดีใจก่อนจะสวมกอดอย่างแนบแน่นกับคนเป็นพี่
“ขอบพระทัยนะเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็น้องพี่นะ”
“ท่านพี่ของข้า~”
เสียงสนทนาของพี่น้องยังดำเนินไปเรื่อยๆ
โดยที่มีคนคอยเฝ้ามองอยู่ถึงสองคน แต่หนึ่งในนั้นกลับปลีกตัวออกมาก่อน
โดยที่ไม่ได้ปริปากอะไรมากมาย
ขาวยาวๆก้าวออกมาอย่างไม่รีบร้อน
ก่อนจะเดินเลียบๆเคียงๆไปทางหอหนังสือ มาร์คไม่ได้สบตา
หรือยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับสาวใช้รายทางเหมือนทุกครา
ตอนนี้ในหัวเค้าคือการทำงานใหญ่ให้สำเร็จ วันนี้เสียเวลาไปมากพอแล้ว
มันปฏิเสธไม่ได้เลย
ว่าตั้งแต่เค้าเริ่มได้อยู่ที่นี่นานขึ้น ความคิดเรื่องหน้าที่มันก็เลือนหายไป
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เค้าไม่ได้ทำเรื่องที่เค้าสมควรทำตั้งแต่เข้ามาที่นี่
ให้ตายสิ งานไม่คืบหน้าแบบนี้
ใบหน้ามองทอดสายตายผลาญเวลาเพียงครู่หนึ่ง
ก่อนจะถอนใจหนักๆแล้วลงมือทำงาน ให้ตายสิถ้าไม่ได้ออกไปวันนี้ ก็คงไม่ได้เจอกับเจ้าพวกนั้น
นักกายกรรมหนุ่มนึกถึงเรื่องที่ตนได้พบกับคนที่ตนควรเรียกว่าลูกน้องสามคน
ซึ่งมาดักพบตนเมื่อครั้งยืนรอองค์หญิงตัวแสบเลือกซื้อของ
จนเกือบทำให้เกิดพิรุธแล้วถูกคนตัวเล็กจับได้หลังจากเดินออกมาจากร้านแล้วเห็นว่าตนไม่ได้อยู่ที่เดิม
‘ท่านมาร์คขอรับ
ท่านมาร์ค’
‘พวกเจ้า
มาทำอะไรกันที่นี่’
‘พวกข้ามาส่งข่าวให้ท่านมาร์คน่ะขอรับ
นายท่านฝากสารมาว่า ให้ท่านมาร์ครีบลงมือได้แล้ว เวลาไม่คอยท่า
ใกล้วันที่เป้าหมายจะเข้าพิธีของแคว้นแล้ว เราจะหมดโอกาส
ส่วนคุณหนูก็ฝากความคิดถึงมาให้ท่านขอรับ คุณหนูอยากให้ท่านหาเวลาไปหาบ้าง
ที่ร้านเดิม’
‘อืม ข้ารู้แล้ว..
ไปได้แล้ว’
‘ขอรับ!’
โชคยังดีที่ตนไหวพริบดีเลิศ
จึงแสร้งทำทีเลือกซื้อของสวยๆงามๆแถวนั้นจนคนตัวเล็กไม่ได้สงสัยติดใจอะไร
หลังจากเดินออกมาตามให้กลับไปยังจุดนัดพบ
ถึงแม้ตอนนั้นจะอยากพูดขอโทษเรื่องเมื่อตอนเช้า แต่หลังจากฟังคำเจ้าพวกนั้น
ชายหนุ่มก็ตระหนักว่า
งานใหญ่ของเค้านั้น
จะออกนอกลู่นอกทางกว่านี้ไม่ได้อีกต่อไป
“ให้ข้าช่วยหาไหม”
“...!!!”
มือชะงักลง ถามว่าตกใจหรือไม่
ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่น้อยเลย ตั้งแต่ก้าวมาในวงจร วัฏจักร
หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เค้าต้องมาทำหน้าที่นี้
มาร์คนั้นไม่เคยพลาดแม้เพียงครั้งเดียว
แต่การที่ลงมือแล้วถูกพบซึ่งๆหน้านี่มันอะไร หรือเพราะครั้งนี้เค้าประมาทเกินไป
“...เจบี?”
เจ้าของนามยกยิ้มมุมปากดั่งผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า...
ไม่หรอก ถึงแม้เจ้าองครักษ์นี่จะพบเค้าเข้าคาหนังคาเขา แต่ไหนล่ะหลักฐานที่จะมาเอาผิด
อย่างมากก็แค่ทำให้การลงมือครั้งหน้ามันอาจจะยากขึ้นก็เท่านั้น
“ไม่เป็นไร ข้ากำลังจะไปพอดี” ทางที่ดีที่สุดคือ
ไม่ต้องพาทีกับคนตรงหน้าให้มากความ
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็คงเสี่ยงเกินไปที่จะแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว
เอ่ยต่อคำ
“แล้วหาพบรึยังล่ะ?”
องครักษ์เว้นจังหวะคำก่อนจะเอ่ยต่อ “ของที่ต้องการน่ะ”
“......”
ชั่วอึดใจทีเดียว ที่มาร์คค้างไว้ในท่านั้น
สองขาที่กำลังจะเดินสวนองครักษ์น่ารำคาญนี่ไปก็ชะงักงัน
ทั้งสองยืนหยุดอยู่ข้างๆเจ้าของคำพูดนั้น
ใบหน้าหล่อเหลาหลับตาเก็บอากาศเข้าปอดก่อนจะหันหน้าเข้าหาคนข้างตัว
เช่นกันเจบีก็หันมาคุยกับเค้าโดยท่าทีที่ไม่ได้ต่างไปจากเดิม
“ว่าเช่นไร?”
เจ้าของส่วนสูงที่สูงกว่าเล็กน้อยกำลังเลิกคิ้วมองเค้าอย่างสงสัย
แต่มันช่างเรียกอารมณ์โทสะอย่างดี เพราะแววตานั่นมันทำให้รู้ได้ว่า ‘เค้ากำลังถูกปั่นประสาท’
“น่าขันนัก
ที่องครักษ์อย่างเจ้ามาทำหน้าที่อยากรู้อยากเห็นธุระของคนอื่น... โดยใช่เหตุ”
“หน้าที่ของข้าคือปกป้อง และป้องกัน
เผื่อท่านจะยังไม่รู้ว่านี่ก็ถือเป็นหนึ่งในส่วนของสิ่งที่ข้าควรทำ
การคอยระวังภัยให้อาณาจักรนี้ คือสิ่งที่ข้าได้รับมอบหมาย”
“อ้อ~ ข้าแจ้งแก่ใจแล้วท่านองครักษ์
ว่าหน้าที่ของท่านนั้น คือ การ สอด... ส่องดูแลให้แก่อาณาจักร น่านับถือๆ”
เสียงทุ่มต่ำนั้นแฝงกระแนะกระแหนไว้อย่างเป็นเปี่ยม
“ข้าเพียงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องกับคนที่นี้
เหมือนอาณาจักรอื่นๆ เหมือนท่านจะได้ไปทำการแสดงมาหลายอาณาจักรแล้ว ...คงได้ยินเรื่องของ
‘The Dust’
ใช่หรือไม่”
“...” มาร์คเงียบไปครู่เดียว
รู้สึกเหมือนคนตรงหน้ารู้อะไรมากกว่าที่เค้าคิด “ไม่รู้สิ
ข้าไม่ได้ใคร่ศึกษาเรื่องการเมือง”
“แต่ก็รู้ได้ว่ามันเกี่ยวกับการเมือง ...ท่านช่างมีสติปัญญาเฉียบแหลม”
ชะงักเล็กน้อย ที่ตนเองเผลอพูดมากเกินไปแล้ว
ทั้งที่ตั้งใจจะไม่ต่อความกับเจ้านี่แล้วแท้ๆ พลาดจนได้
“ขอบคุณสำหรับคำชม ข้าก็รู้ผ่านๆ
จากเหล่าเลขาสาวๆของพวกเศรษฐีที่เข้ามาขอชักภาพกับข้าสักสองสามภาพเวลาไปเปิดการแสดงก็เท่านั้น”
“The Dust น่ะ
เป็นพวกกบฏไร้เป้าหมาย มันไม่ได้ต้องการเพียงยึดครองเพียงประเทศบ้านเกิด
แต่ต้องการกลืนกินไปทั่วทุกอาณาจักร และบ่อนทำลายไปช้าๆ ด้วยวิธีที่ไม่ซ้ำกันเลย
จนเมืองเหล่านั้นต้องกลายเป็นเมืองรกร้าง ผู้คนแล้งแค้นหากไม่ยอมเข้าร่วมโดยดี
แต่ถึงยอมให้มันยึดเข้าปกครอง
อย่างไรเสียก็ต้องมอบทรัพยากรของประเทศให้จนหมดไม่เหลืออยู่ดี
มันเหมือนกาฝากไม่ก็ปรสิตที่แฝงเข้ามาแล้วกัดกินจนอิ่มแล้วไปหาแหล่งอาหารใหม่
...แล้วรู้ไหมว่าทำไมว่าคนพวกนั้นถึงถูกเรียกว่าDust
เพราะว่า ทุกเมืองที่พวกมันได้ไปจะเหลือเพียงฝุ่น
หรือเรียกว่าเมืองฝุ่นอย่างไรล่ะ”
“โอ้ว... ช่างน่ายินดีที่ข้าได้ฟังเรื่องประดับความรู้จากคนพูดน้อยอย่างองครักษ์แสนเงียบขรึมอย่างท่านเจบี
แต่ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนักที่ข้ายังไม่เห็นข้อเกี่ยวข้องที่ข้าจะต้องรู้มันเลย”
“มันก็คงไม่เกี่ยว หากทุกเมืองที่กลายเป็นฝุ่น
ล้วนแต่เป็นเมืองที่คณะการแสดงของท่านผ่านไปทั้งสิ้น ช่างเป็นโชคชะตาสรรสร้าง” เอียงคอทำหน้าเศร้าที่แสร้งให้รู้อย่างชัดเจน
“ใช่... โชคชะตา
ขอบคุณที่เป็นห่วงเป็นใยเรื่องข่าวลือนั้นแทนข้าแล้วกันนะ”
“ข้าดีใจที่ท่านเข้าใจ ...”
“หึ”
แค่นหัวเราะในความไม่สะทกสะท้านใดๆของศิลาก้อนโตตรงหน้า
ก่อนที่จะพาร่างตนไปยังประตูอีกครั้ง
“และ ข้าหวังว่า
ท่านคงไม่มาทำตัวลับๆล่อๆแบบนี้อีก มันจะทำให้ท่านถูกสงสัยได้ โดยใช่เหตุ”
กำมือแน่นจนเส้นเลือดปูนโปน
เค้าต้องกลับไปควบคุมอารมณ์ตนเองให้ได้ แต่ถึงจะคิดเช่นนั้น
มาร์คก็ทำได้แค่เดินออกไปจากหอหนังสืออย่างหัวเสีย
ทิ้งไว้เพียงคนตัวสูงซึ่งยืนมองตามหลังไปด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ยกยิ้มเหมือนก่อนหน้า
มือหนาจับกองเอกสารต่างๆให้เข้าที่เช่นเดิม แล้วจึงยืนมองเหม่ออย่างใช้ความคิด ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ
“ประมาทไม่ได้แล้วสินะ”
เช้าวันใหม่ ดูสดใสกว่าทุกวัน จูเนียร์กำลังรู้สึกอย่างนั้น
สายลมอ่อนๆในยามเช้าพัดผ่านเข้ามาทางระเบียงห้องของตน
สายตาของคนตัวเล็กทอดยาวไปยังสวนดอกไม้ของท่านแม่ เหมือนกับทุกเช้าด้วยความเคยชิน
รอยยิ้มบางๆนั้นกำลังยิ้มให้กับแสงแดดอันแสนอ่อนโยน ก่อนจะสะดุดกับสิ่งที่มองเห็น
ร่างคุ้นตากำลังนั่งด้วยท่าทีสบายๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับสระน้ำ
จากตรงนี้มองเห็นเพียงแค่คนตัวสูงที่กำลังมองดอกไม้ในมือ ด้วยสายตายากเข้าใจ
เดี๋ยวสิ
กล้าดีอย่างไรมาเด็ดดอกไม้ของข้า!
ร่างบางรีบคว้าเสื้อคลุมสีครีมอ่อนแล้ววิ่งลงไปยังสวนดอกไม้ทันที
ไม่ได้ จะยอมไม่ได้ ต่อให้เจบีจะดูแลตนดีตอนออกไปนอกวัง หรือออกรับแทนก็ตาม
แต่การเด็ดดอกไม้ในสวนโดยพลการเช่นนั้น จูเนียร์จะยอมไม่ได้
ยิ่งดอกไม้ดอกนั้นมันเป็น... ความทรงจำ ของตัวเองแล้วด้วยล่ะก็
“ท่านเจบี!”
คนตัวสูงเงยหน้ามองเจ้าของเสียงด้วยท่าทีสบายเหมือนเช่นเคย
ต่างกับคนตัวเล็กที่มองด้วยสีหน้าไม่พอใจ อะไรกัน นี่ก็ออกปากเรียกแล้ว
จะลุกขึ้นพูดอะไรสักคำไม่มีเลยหรือไง
“......”
พูดสิ ตอบข้ามาสักคำ ใยยังเงียบงันอยู่เช่นนี้
ท่านเป็นคนผิดนะ จะให้ข้าต้องพูดบอกเองหรือไรกัน
“อรุณสวัสดิ์”
ไม่สิ ไม่ใช่คำนี้ ข้าต้องการคำขอโทษ องครักษ์บ้า! …แต่เดี๋ยวนะ แล้วทำไมเราถึงมาทะเลาะกับความคิดของตัวเองอยู่คนเดียวล่ะ
จูเนียร์ เจ้าเองนั่นแหละที่บ้า T.T
“อือ” ตอบด้วยน้ำเสียงเด็กน้อยที่กำลังงอแง
ยอมรับว่าตอนนี้คนตัวเล็กรู้แก่ใจดีว่าตัวเองกำลัง
คิดงี่เง่าโดยที่คนตรงหน้าไม่รู้ ก็จะให้ทำอย่างไรได้ แค่เพียงแลเห็นกลีบดอกสีขาวละมุนๆที่กลางดอกเป็นสีเหลืองอ่อนดอกนั้นวางอยู่ในมือของคนตัวสูงแล้ว
ความคิดก็ตีรวนกันไปเสียหมด
“เป็นอะไรไปหรือ?” ถามด้วยน้ำเสียงปกติ เมื่อเห็นคนที่ได้ชื่อว่าองค์หญิงกำลังยู่หน้าไม่พอใจ
“มาทำอะไรที่นี่”
ตอบคำถามด้วยคำถาม
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดออกนอกความคิดตัวเอง
ทั้งที่ตั้งใจจะลงมาว่ากล่าวคนตรงหน้าว่า ทำไม่ถูกที่มาทำร้ายสวนดอกไม้ของท่านแม่
แถมยังเด็ดดอกไม้แสนรักของตนมาดูเล่นเช่นนี้อีก
“มาสูดอากาศยามเช้า” พูดสั้นๆ ไม่ได้มีทีท่าจะต่อความให้ยาวขึ้น
ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“แล้วทำไมต้องเป็นที่นี่” สวนกลับด้วยความไร้เหตุผล
วันนี้จูเนียร์จะงี่เง่า
“ก็ที่นี่อากาศดี ธรรมชาติก็ร่มรื่น”
“แต่เราไม่อนุญาต”
“...?”
ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ
องค์หญิงตัวเล็กตรงหน้าเป็นอะไรแต่เช้าตรู่ ทั้งที่เมื่อครู่ยังชื่นชมกับธรรมชาติ
ยิ้มแย้มทักทายแสงแดดอยู่ที่ระเบียงห้อง ใช่ เค้ามองอยู่
มองไปยังรอยยิ้มที่ละมุนละไมอันน่าหวงแหน ไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปมากกว่านี้
อยากจะเข้าไปชดเชยเวลาที่หายไปของกันและกัน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะตัวของเจบีเองก็มีหน้าที่
ที่จะต้องจัดการสะสางงาน ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายกับเอนไอริส
“ทำไมถึงไม่อนุญาตล่ะ”
“ก็เราไม่อนุญาตไง” ดื้อ วันนี้เราจะต้องเด็ดขาด
จะยอมให้ใครมาทำร้ายดอกไม้ของพี่ชายไม่ได้...
“งั้นหม่อมฉันขอเหตุผล”
“ก็... ก็ท่าน.. ก็ท่านมาเหยียบย่ำสวนของเรา”
เม้มริมฝีปากเน้น ก่อนจะเดินเข้าไปที่พุ่มดอกไม้แสนสำคัญ “แถมยัง...
เด็ดดอกไม้ของเราไปอีก”
แววตาเศร้าๆที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
ทอดมองไปที่พุ่มดอกไม้ที่กำลังบานรับแสงตะวันและสายลม กลีบดอกสีขาวสะอาดตากับช่วงเกสรสีเหลืองนวล
ยิ่งมองคิดถึง ดวงตาคู่นั้น ความทรงจำดีๆที่พอนึกถึงเมื่อใด ใจก็เต้นไม่ปกติ
ไม่รู้ทำไม ไม่เข้าใจว่าสาเหตุอะไร
คนคนนั้นถึงไม่ยอมกลับมาสักที ทั้งที่บอกแล้วแท้ๆว่าจะไม่มองใครอีก
หรือต้องการแกล้งกัน หรือว่าพี่ชายจะลืมจูจูไปแล้วจริงๆ
ความคิดในหัวย้อนทุกการกระทำของเด็กชายผมปรกหน้าคนนั้นเข้ามา
มันเป็นช่วงเวลาแสนจะสุขใจ แต่ก็ห้ามความรู้สึกตัดพ้อไม่ไหว
“ดูท่านจะรักมันมาก ดอกไม้นี่น่ะ”
ร่างเล็กหันไปมององครักษ์หนุ่มที่ยืนห่างไม่ถึงสองช่วงแขน
พยักหน้าลงช้าๆ ลืมไปแล้วว่าจะลงมาต่อว่าคนตัวโต
ตอนนี้ในใจมีแต่เรื่องในวัยเยาว์เท่านั้น เรื่องอื่นจูจูคนนี้ลืมมันไปหมดแล้ว
“ข้าให้”
เงยหน้าขึ้นอีกครั้งหลังจากเห็นว่าคู่สนทนาเดินมาหยุดยืนตรงหน้า
พร้อมกับยื่นดอกไม้ในมือให้ ตาคู่สวยมองมันสลับกับใบหน้าคม
ดวงดำสนิทขององครักษ์หนุ่มมันชวนมองมากก็จริง
แต่ครั้งนี้มันกลับไม่ได้ดูลึกลับหน้าค้นหาเหมือนในงานเลี้ยงคืนนั้น
ตอนนี้มันช่างดูอ่อนโยน และอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“ให้เรา..?”
“ใช่ ท่านนั่นแหละ...”
“มันจะไม่ดูแปลกหรือ
ที่ท่านเด็ดดอกไม้ของเราแล้วกลับมาให้เราอีกทีหนึ่ง”
“อ่า... จริงสินะ”
ที่พูดไปน่ะ ไม่ได้รู้สึกประหลาดอันใดเลย
เพียงแต่อกซ้ายมันกำลังทำงานไม่เป็นธรรมชาติ มันรู้สึกอุ่นๆ
เหมือนกับภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ตนพยายามอยากจะทำความรู้จักกับ...
“แต่มีคนเคยบอกข้าว่า ถ้าอยากมอบไมตรีกับใครให้มอบดอกไม้ให้”
“....ท่านเคยมาที่เอนไอริสหรอ”
“เรื่องนั้น...”
“ช่างเถอะ ถึงจะทำใจดีหยิบยื่นไมตรีให้เรา
แต่เราก็จะไม่ขอรับไว้แล้วกัน ... เพราะเราไม่ชอบคนที่มาทำร้ายต้นไม้ของเรา”
“ทำไมพระองค์ถึงเรียกตัวเองว่าเราตั้งแต่เมื่อครู่แล้วล่ะ
ก่อนหน้านี่ก็ยังเรียกว่าข้าอยู่เลย”
“เราจะไม่ใช่คำที่ทำให้ดูสนิทสนมกับท่านอีก”
“สนิท?... งั้นแสดงว่าหม่อมฉัน
ก่อนหน้านี้สนิทกับองค์หญิงงั้นสิ”
“ไม่ต้องมาพูดเลยนะ ทุกคำที่ท่านพูด
เราจะทำเป็นลืม”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็เพราะว่า.. ก็เพราะ”
“เพราะ?”
“เราจะไม่ยกโทษให้คนที่มาเด็ดดอกไม้ในสวนของเราโดยไม่รับอนุญาตอย่างไรเล่า!”
พูดจบก็เดินเบี่ยงตัวร่างสูงไป
หมายจะกลับขึ้นไปแต่งตัวให้เรียบร้อย
เพราะชุดที่แต่งอยู่ตอนนี้มีเพียงชุดนอนกับเสื้อคลุมสีครีมยาวลากพื้นหญ้าก็เท่านั้น
ตนเองไม่ใช่สตรีเพศที่จะมากลัวคนเห็นทรวดทรง
แต่ทว่าการที่จะมีใครเห็นรูปร่างที่มีเนื้อมีนวล แขนขาขาวๆของตัวเองก็คงไม่ดี
อีกอย่างถึงจะมีเอวบางแต่ก็ใช่ว่าจะมีอกเหมือนผู้หญิงไม่
ดังนั้นหากยังเลือกที่จะยืนเถียงกับคนตัวสูงต่อไป มันก็เสี่ยง เพราะจูเนียร์น่ะอยู่ในฐานะ
‘องค์หญิง’
“อ้ะ!!”
“จูจูระวัง!”
*ตูมมมม
เสียงน้ำร่างกระทบผิวน้ำในสระดังตูมใหญ่
คนซุ่มซ่ามเหยียบชายเสื้อคลุมสีครีมอ่อนของตัวเอง ในระหว่างทาง สวนดอกไม้ถูกสร้างขึ้นไม่ไกลจากสระน้ำ
พุ่มดอกไม้ตัวปัญหานั่นจึงอยู่ใกล้กับตัวสระ เหมือนเวลานั้นไม่มีผิด
ที่คนตัวเล็กพยายามอยากเป็นมิตรกับเด็กนิสัยไม่ดีคนนั้น จนพลาดพลั้งพลัดตกจากขอบสร้างในระหว่างทาง
ความทรงจำเข้ามาเหมือนกับฉายภาพซ้ำๆ
ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังจะหมดอากาศหายใจ เพราะตัวเองไม่รู้จะทำอย่างไรกับน้ำในสระ
มันเบลอไปหมดทั้งที่ตัวเองก็ควรจะยืนได้ เพราะน้ำในสระก็คงเท่ากับระดับปลายคางเท่านั้น
แต่ตอนนี้แขนขากับพันกันมั่วไปหมดเพราะความตกใจ
*ตูมมมมมมมม
เสียงหนักๆเกิดขึ้นครั้งที่สองในเวลาไม่ห่างกัน
มันแทบจะเสี้ยววิเลยก็ว่าได้ สติที่กำลังเลือนลางและใกล้จะจากไปของจูเนียร์รับรู้เพียง
ร่างของตนถูกคว้าเอาไว้ก่อนที่จะดำดิ่งหาก้นสระ
“เฮือกกก! ฮึก แค่กๆ”
หอบใจพร้อมไอปนสำลัก
หลังจากถูกช่วยให้ขึ้นมากอบโกยเอาอากาศเข้าสู่ปอดแทนน้ำในสระกว้าง
คนตัวเล็กไม่รู้อีกต่อไปว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร แค่พยายามหายใจปกตินั้นก็ยากลำบากเหลือเกิน
เมื่อครู่นี้ดื่มน้ำไปเสียก็หลายอึก จุก มึน เบลอ
ตอนนี้เวียนหัวเข้ามาร่วมด้วยจนไม่มีแรง ใบหน้าเนียนซบกับอกกว้างของคนตัวสูง
จูเนียร์ได้ยินเพียงแค่คำว่า ‘ไม่เป็นอะไรแล้วนะ เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว’ พึมพำออกมาเบาๆ
จนตัวเองคิดว่าคงหูแว่ว กับอ้อมแขนที่โอบรอบตัวเค้าเอาไว้อย่างหวงแหน
ราวกับว่าจะไม่มีวันปล่อยอีกเป็นแน่
คนตัวเล็กตั้งสติก่อนจะค่อยๆเงยหน้ามามองเจ้าของวงแขนแกร่ง
“พี่..ชาย” สบกับนัยน์ตาคมสีดำนั้นอยู่ครู่เดียว
วิสัยทัศน์ก็ดับวูบไปราวกับปิดไฟ
ลืมตาขึ้นมากับห้องห้องเดิม
ค่อยๆหยัดตัวให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงกว้างของตัวเอง ก่อนจะมองซ้ายแลขวา
แล้วพบว่าตอนนี้ได้กลับมาอยู่ในห้องที่ใช้นอนอยู่ทุกคืน ตอนนี้เริ่มจะเย็นย่ำแล้ว
คงไม่ต้องถามใครให้มากความว่าเค้าได้หลับไปนานแค่ไหน หายใจเข้าลึกๆ
หันมองออกไปทางนอกระเบียงเช่นทุกวัน
วันนี้ใช้ไปอย่างเสียเปล่าจูเนียร์คิดอย่างนั้น
ตื่นมาก็แค่ยืนทะเลาะกับองครักษ์เจบี
แล้วก็ทำซุ่มซ่ามจนตัวเองต้องสลบไสลมาถึงป่านนี้ ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์เลย
แต่ทว่า จู่ๆก็นึกย้อนไปในตอนที่สติกำลังใกล้หมดแววตาคู่นั้น กับเสียงแว่วๆของความห่วงใย
จู่ๆใจก็เต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่บอกไม่กล่าว
ร่างเล็กได้แต่กุมอกซ้ายไว้แน่นๆ
สงสัยว่าจะกลืนน้ำในสระมากไปร่างกายเลยทำงานไม่ปกติ สายตาไปหยุดอยู่ที่หัวเตียง
ดอกไม้สีนวล ขาวแต้มเหลืองไว้ตรงกลางนั้นมัน...
มือเรียวเอื้อมขึ้นมาดูในมือไม่มีทางที่จะไม่ใช่ดอกไม้ที่เค้ากำลังคิดอยู่แน่ๆ
หากแต่ทำไมมันมาวางอยู่ตรงนี้ หยิบกระดาษสีน้ำตาลอ่อนเล็กๆที่วางอยู่ข้างกันขึ้นมาอ่าน
ก่อนจะต้องกุมอกซ้ายให้แน่นขึ้น
(ดอกไม้มันจะสวยที่สุดเมื่ออยู่บนต้น
แต่ในเมื่อมันเลือกที่จะร่วงหล่นลงมาจากต้นแล้ว
ก็ขอให้มันได้อยู่ข้างๆเจ้าของที่มัน
‘รัก’ เถอะ...)
JB
ไม่เห็นเข้าใจเลย ไม่เข้าใจเลยสักนิด
ข้อความบ้าๆนี่คืออะไร จูเนียร์ตีความไม่รู้เรื่อง
ทำไมองครักษ์บ้านั่นถึงต้องเขียนอะไรที่มันเข้าใจยากด้วย... แล้วนี่หัวใจจะเต้นแรงเพื่ออะไรกัน
ตกน้ำแค่นี้ต้องเต้นไม่เป็นจังหวะเลยหรือไร
พูดจบก็วางดอกไม้กับกระดาษไว้ที่เดิม หมายว่าจะเดินออกไปขอบคุณที่ช่วยเอาไว้เสียหน่อย
ไม่อยากให้คนฟังคำขอบคุณดีใจมากไป จึงเลือกวางดอกไม้ไว้ในห้องเช่นเดิมนี่แหละ
ค่อยๆก้าวออกมาจากห้องของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน
ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีความสุขอะไร รู้แค่รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าล้างยังไงก็ไม่ออก
เดินตามหาคนตัวสูงทางนู้นทีทางนี้ทีก็ยังไปเจอ
จนมาหยุดที่หอหนังสือสถานที่โปรดของน้องรัก อยู่นั่นไง เจ้าองครักษ์บ้า
เดินไปข้างหน้าเพียงสองก้าวก็หยุดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไปจากใบหน้าหวาน
“ให้ข้าจริงๆหรอ”
“ถามมากความนักก็ไม่ต้องเอา”
“ไม่นะ! ให้แล้วก็ให้เลยสิ”
“ดูแลมันดีๆล่ะ”
“เย้! ต่อไปนี้ข้าก็จะมีที่คั่นหนังสือเป็นของตัวเองแล้ว
ขอบคุณเพคะพี่ชาย~”
เสียงตะโกนดีใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันร่าเริงแค่ไหน
ร่างบางมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
ในมือของน้องสุดที่รักกำลังถือที่คั่นหนังสือทำจากดอกไม้แห้งทับแล้วห่อใส่ผ้าบางๆผูกโบว์สวย
มันน่าชื่นชมดีที่องครักษ์ต่างเมืองอุตส่าห์ใส่ใจซื้อข้าวของมาฝากคนเป็นน้อง
จูเนียร์ในฐานะพี่ควรดีใจใช่ไหม...
...คำขอบคุณที่เจ้าได้ไปเมื่อครู่ก็คงเพียงพอแล้ว
ข้าคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ...
ร่างบางเดินออกไปราวกับตนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก
ไม่รู้ด้วยแล้ว ไม่ขอรับรู้กับคนงี่เง่าแบบนั้นแล้ว
สนุกกับการใจดีคอยให้ของคนนั้นทีนี้ทีมากนักก็ทำต่อไปเลย
ขอให้ใจดีจนหมดเงินไปเลยแล้วกัน พอกันที ความคิดที่คิดว่าเค้าเหมือนพี่ชาย...
เค้าก็แค่คนงี่เง่าคนหนึ่ง ข้าไม่ควรคิดถึงพี่ชายจนคิดเป็นตุเป็นตะเอง ว่าเค้าคนนั้นดูคล้ายกัน
ลืมไปแล้วหรอจูจู
เจ้าควรเปิดใจสิเปิดใจ เลิกคิดเสียที...
“ดีใจจังที่พี่คิดถึงข้าด้วย”
คนตัวเล็กพูดด้วยสีหน้ามีความสุข ใบหน้านั้นเขินอายเล็กน้อยทุกครั้งที่เอ่ยเรียกอีกคนว่าพี่
ถึงเช่นนั้นก็ยังอยากจะเรียก
“ข้าเพียงแต่ไม่ยากให้หนังสือทั้งหอนี่เป็นรอยยับที่มุมก็เท่านั้น”
“ยังไงข้าก็ดีใจอยู่ดี”
“ตามพระทัยเถอะองค์หญิง”
พูดคุยด้วยท่าทีสบายต่างกับอีกคนที่กำลังยิ้มมีความสุขพร้อมพาไปดูหนังสือเล่มใหม่ที่พี่ของตนซื้อมาให้เช่นกัน
ตั้งใจเพียงเดินออกมาหยุดอยู่ที่ลานหน้าปราสาท แต่ด้วยแรงอะไรก็ตามที่พาจูเนียร์มายืนอยู่ตรงนี้
ขอจงรู้ไว้เลยว่า มันได้พาคนตัวเล็กให้เดินมาไกลมาก มากพอที่จะทำให้ตอนนี้เค้าไม่รู้เลยว่าตัวเองมาถึงทางที่กำลังจะเข้าไปในป่าได้อย่างไร
หมุนตัวกลับหลังเพราะรู้ตัวว่าเดินออกมาไกลเกินไปแล้ว
ยิ่งตอนนี้ก็ใกล้เวลามื้อค่ำแล้วด้วย ท่านพ่อกำลังจะกลับมาจากการไปประชุมอาณาจักรที่เป็นพันธมิตรทั้ง7
เรื่องเหตุการณ์กบฏปฏิวัตรที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
*แกร่บ...
“ท่านมาร์ค?”
เสียงกิ่งไม้หักเรียกความสนใจให้คนตัวเล็กหันกลับไปมองยังป่าอีกครั้ง
แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะภาพที่เห็นคือนักกายกรรมหนุ่มเดินออกมาจากป่านั้นมันไม่ใช่เรื่องปกติ
ยิ่งเพลานี้มันก็ยามวิกาลแล้ว
“องค์หญิง?”
“..ทำไมท่านถึง....”
“ทำไมพระองค์จึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ข้า... ข้าเพียงออกมาเดินเล่น ท่านล่ะ?”
“หม่อมฉันออกไปทำธุระเล็กน้อยของคณะ”
“..อ่อ.. อื้ม”
ถึงยังสงสัยอยู่แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ให้มากความ ตอนนี้ความรู้สึกสงสัยไม่ได้มีแรงมากพอที่จะทำให้ร่างบางใส่ใจถามคนข้างกายตอนนี้ว่า
ไปทำธุระอะไร ทำไมถึงกลับมาด้วยทางชายป่าและยามวิกาลเช่นนี้
“มีเรื่องอะไรไม่สบายพระทัยหรือเปล่า”
เสียงเข้มถามขึ้นหลังจากเห็นร่างบางสีหน้าไม่ร่าเริง “พอจะบอกหม่อมฉันได้หรือไม่”
“...ไม่มีหรอก”
“กระหม่อมเองรู้ตัวว่าอาจจะสำคัญไม่พอ
แต่การที่มองเห็นใบหน้าที่แสนงดงามของพระเอกหมองเศร้าไม่สบายใจเช่นนี้แล้ว
กระหม่อมก็อดที่จะห่วงไม่ได้...”
“ขอบคุณที่ท่านเป็นห่วงข้าเสมอ
อ่อนโยนเช่นนี้เสมอ”
จูเนียร์หยุดยืนก่อนจะหันไปยิ้มบางๆให้ร่างสูง
แสดงให้รู้ว่าตนไม่เป็นอะไรจริงๆ เพราะตอนนี้ก็แค่รู้สึกเหนื่อยที่เดินไกลเท่านั้น
เรื่องคนบ้าคนนั้นเค้าจะไม่เก็บเข้ามาในหัวให้ต้องเสียพลังกายและใจหรอก
...ถึงแม้จะทำไปแล้วก็ตามที
“กระหม่อมดีใจที่เห็นรอยยิ้มจากองค์หญิง
...หากแต่นั้นมาจากใจจริงหรือ?” มาร์คถามขึ้นทีเล่นทีจริง เหมือนต้องการกระเซ้าเรียกเสียงหัวเราะไม่ก็รอยยิ้มหวานๆที่มากกว่าการยกยิ้มบางๆในตอนนี้ของคนตรงหน้า
“ก็ยิ้มจริงๆน่ะสิ นี่ไง”
คนตัวเล็กยิ้มกว้างๆพร้อมกับดวงตาที่ยิ้มด้วยให้มาร์คดู
“ขอหม่อมฉันมองใกล้ๆหน่อย”
ยื่นใบหน้าหล่อเหลาพร้อมตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะมองริมฝีปากชมพูอ่อนนั้นสลับกับดวงตาคู่สวยที่ตอนนี้กำลังมองเค้าอยู่เช่นกัน
ตากลมโตมองตอบอย่างตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆก็ถูกอีกฝ่ายยื่นหน้ามาใกล้
“เอ่อ..คือ”
“หม่อมฉันเพียงอยากมองรอยยิ้มของพระองค์ชัดๆ”
“......”
ความเงียบโปรยตัวลงอย่างแยบยล มาร์คมักชอบทำแบบนี้เสมอ
ชอบเข้ามาจู่โจมตอนที่จูเนียร์ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
แล้วคนตัวเล็กก็ซื่อใสเกินกว่าจะโต้ถามอีกฝ่ายต่อ
ใบหน้าคมขยับเคลื่อนมาใกล้ขึ้น
มือบางกำเข้าหากันแน่น เค้าควรทำอย่างไรดีนะ ควรจะปฏิเสธความรู้สึกตอนนี้อย่างไร
มันไม่ได้ชวนเคลิ้มเหมือนครั้งงานเลี้ยงคืนนั้น
ตอนนี้จูเนียร์เพียงแค่รู้ว่าคนตรงหน้าสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลานั้นมันช่างน่ามอง
แต่เค้ากลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแล้ว
‘จูจูเจ้าไม่คิดจะสูงขึ้นบ้างหรือไง’
‘ก็ข้าอยากให้เจ้าเรียกว่าพี่ชาย’
‘จูจูน้อยของพี่~’
‘ไม่เป็นอะไรแล้วนะ’
“...??!” พลักอกแกร่งออกไปเร็วเท่าความคิด
จนคนตัวสูงขมวดคิ้วมอง
“เอ่อ..ข้า”
องค์หญิงลนลาน
ไม่รู้ว่าตัวเองทำเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็ตกใจตนเองไม่น้อยเลย
“ข้า..”
“กระหม่อมขอโทษ กระหม่อมผิดเองที่รีบร้อน
และรุ่มร่าม” คนตัวสูงรู้ตัวว่าผิดเต็มประตู เขาเครียดเกินไปแล้ว เร่งรีบเกินไป
จนเกือบทำลายช่องว่างความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมา ซึ่งมันสามารถทำให้อีกฝ่ายหนีตนไปเลยก็ได้
“ไม่หรอก ท่านไม่ผิด ไม่เป็นไร”
หลบสายตาระหว่างเอ่ยพูด
ตอนนี้เค้าควรวางตัวเช่นไรให้มาร์คไม่เสียความรู้สึกกัน รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับตน
แต่ก็ใช่ว่าตัวเค้าเองจะรู้สึกเช่นกันนี่
ถึงแม่ว่าจะเคยรู้สึกเขินอายกับการกระทำชวนใจเต้นแรงที่อีกฝ่ายชอบทำ แต่ความรู้สึกนั้นมันหายไปแล้ว...
หายไปตอนไหนก็ไม่รู้
“เราเดินกลับไปยังปราสาทเถอะ
ป่านนี้เสด็จพ่อคงถึงแล้ว” พูดพลางก้าวไปข้างหน้าตรงไปยังวัง
แต่ก็หยุดชะงักเพราะแรงคว้าจากมือหนาตรงข้อมือ “..?”
“พระองค์มีใครอยู่ในใจแล้วหรือพะยะค่ะ”
ชั่วอึดใจเลยทีเดียวที่จูเนียร์เงียบไป
เค้าควรทำอย่างไร ควรตอบคำถามนี้แบบไหน ความจริงคือใช่ เค้ามี
แต่มันก็เหมือนไม่มี...
“คือ...”
“พระองค์พอจะบอกหม่อมฉันได้ไหมว่าบุรุษผู้โชคดีคนนั้นคือใครกัน”
“...เค้าจากข้าไปนานแล้วล่ะ จากไป...ไม่กลับมา”
สักที
ความเงียบยังเป็นเหมือนผู้รับชมบทสนทนานี้อยู่
และเหมือนคนทั้งคู่รู้ จึงไม่อยากปล่อยให้มันนั่งมองเค้าทั้งคู่ที่นิ่งไม่เอ่ยอะไร
“ข้าว่าเรากลับ...”
“หม่อมฉันขอโอกาส”
“..อะไรนะ?”
“ถ้าหากเค้าจากไปแล้วทิ้งพระองค์ไว้ให้เศร้าแบบนี้
หม่อมฉันขอโอกาส โอกาสให้ได้เข้าไปดูแลหัวใจที่บอบช้ำของพระองค์เอง...
ทรงอนุญาตไหมพะยะค่ะ”
“คือข้า...”
เค้าไม่อยากทำผิดสัญญาเลย ไม่อยากทำ
ถึงมันจะยาวนานจนท้อ แต่ก็อยากอยู่กับความหวังที่ถึงริบหรี่แต่ก็สวยงาม
แต่ใจหนึ่งก็บอกว่ามันดีแล้วหรอที่ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกเฝ้ารอที่เก้อแล้วทุกปี
การวิ่งออกไปรอที่ท่าเรือทุกครั้งที่ถึงวันซึ่งเค้าจากไปนั้น มันเหนื่อยกับใจและกายแค่ไหน
‘จูจู’
“คือ..”
‘จูจูน้อยของพี่ชาย~’
“ข้าไม่..”
‘ดูแลมันดีๆล่ะ’
.
.
.
.
.
.
“ข้าไม่ปฏิเสธ”
ความคิดเห็น