ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic GOT7] Right There ❀ {Bnior & Markbam}

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 05 : We could be alright (เราจะต้องไปได้สวย) 100%

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 58


    Chapter 05 : We could be alright (เราจะต้องไปได้สวย)

     





    ร่างสูงเตรียมพร้อมกับการออกเดินทางเต็มที่ ชุดดูเข้าที ช่างดูเหมาะสมไปทุดส่วนสัด ไม่รู้ว่าเพราะใบหน้าคมคาย ร่างกายที่น่าอิงซบ เลยทำให้ชุดที่ดูแสนธรรมดาอย่างเชิ้ตผ้าสีใบไม้ร่วง กับกางเกงเอี๊ยมขายาวสีแดงปนเทานั่น น่ามองขึ้นเป็นกอง

    ก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉง อารมณ์ดีไม่แพ้อากาศยามเช้าที่เย็นสบาย สายลมอ่อนๆพัดไปทั่วอาณาบริเวณรอบ พะพายแผ่วต้องหย่อมหญ้าที ย้ายไปสะบัดยอดไม้ที ทุกอย่างในเพลานี้กำลังดำเนินไปด้วยความราบรื่น

     


     

    เว้นเสียแต่...

     

     


    “มาแล้วหรอ?~

     

    น้ำเสียงเจื้อยแจ้วยามเช้าเหมือนนกน้อยยามเช้าดังขึ้น ต่างตรงที่ฟังแล้วบาดหู ไม่ได้เสนาะเพราะน่าฟัง เจ้าของมันไม่ใช่ใครอื่น องค์หญิงตัวแสบคนเดิม คนตัวเล็กยืนส่งยิ้มแปลกๆมาให้ ร่างสูงได้แต่ฉงนใจ รอยยิ้มนั่น หากใครเห็นมันก็คงเกิดความคิดชอบพอ เอ็นดู แต่สำหรับมาร์คแล้วไซร้... รอยยิ้มเช่นนั้นมันไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย

     

    “อะไรกัน... คนเค้าอุตส่าห์ ออกปากทักทาย ใยไร้ไมตรีไม่แม้จะตอบรับ” ทำเป็นพูดยียวนคนโตกว่า ก่อนจะละมือออกจากการให้อาหารอาชาสีน้ำตาลเข้มทั้งสี่ตัว

    “...ข้าไม่เห็นมีความจำเป็นต้องต่อคำกับเด็กน้อยเช่นท่านเลย” พูดรักษาเชิง ก่อนจะกวาดสายตามองคู่สนทนาที่อยู่ในชุดสีอ่อนกับกางเกงสี่ส่วนสีครีมดูทะมัดทะแมง เสี้ยววิอยากพูดชมถึงความน่ารักคล่องตัวของคนตัวเล็กตอนนี้ ทว่าคำบางคำก็จุกอกแลล้นมาปริ่มที่คอหอย พูดออกไปไม่ได้เสียอย่างนั้น

     

    “หึ... เด็กน้อย ที่มียศสูงกว่าท่าน เด็กน้อยที่เป็นถึงองค์หญิง เด็กน้อยที่มีสิทธิสั่งประหารท่านตอนนี้หนะหรือ.. น่าขันดีนะ ว่าไหม?” กลั้วขำในลำคอ แขนเรียวทั้งสองข้างยกขึ้นมากอดอกไว้

     

    ทั้งคู่ฟาดฟันกันผ่านแววตา ไม่มีใครยอมกัน ความเงียบค่อยๆเข้าล้อมทั้งคู่ มีเพียงสงครามทางสายตาภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยเท่านั้น จนกระทั้งเสียงรองเท้ากระทบหินอ่อนตามจังหวะเดินดังขึ้น

    ร่างสูงหันตัวกลับไปมองต้นเสียง แล้วแปรเปลี่ยนท่าทาง วางมาดเดินตรงไปรับร่างบางที่กำลังก้าวลงบันไดมา

     

    “อรุณสวัสดิ์พะยะคะ... องค์หญิงของหม่อมฉัน” ยิ้มบางๆหลังพูดทักทายยามเช้าด้วยถ้อยคำชวนเขิน ทำเอาคนฟังที่กำลังเดินลงมาแทบจะทรงตัวเดินปกติไม่ได้

    “...เช่นกันเพคะ” แก้มเนียนพองขึ้นเล็กน้อย เพราะอาการเขินที่ห้ามไม่ได้ “ข้ามาสายหรือเปล่า.. ท่านรอนานไหม” พูดเสียงหวานถามไป ก่อนจะวางมือบนท่อนแขนที่ตั้งขึ้นให้เกาะเดินไปด้วยกัน

    “ไม่สายหรอกพะยะค่ะ...” ยื่นใบหน้าคมใกล้ ก่อนจะกระซิบเบาๆในขณะที่ยังเดินอยู่ “แต่หากถามว่านานไหม ก็มากอยู่... เพราะหม่อมฉันคิดถึงพระองค์มาก”

     

    พูดจบก็แต่งยิ้มบาดใจให้คนฟังเขินแก้มแทบระเบิด เจ้าของการกระทำดูพึงพอใจในแก้มสีระเรื่อกับกิริยาหลบสายตานั้น หากแต่คนที่พอใจคงมีแต่เค้า เพราะร่างที่ยืนอยู่หน้ารถม้านั้นมองด้วยสายตาไร้ซึ่งความพึงใจใดๆ เหมือนอยากจะกระชากให้เค้าแหลกเหลวลงไปที่พงหญ้าแล้วพาพี่สาวตนไปที่อื่น

     

     

     

    “ท่านพี่~ มาแล้วหรอ”

    “..ห..ห้ะ.. อะ..อื้ม”

     

    เสียงออดอ้อน ของผู้เป็นน้องทำให้หลุดจากอารมณ์ขวยเขินได้พอดิบพอดี ถึงกระนั้นรอยยิ้มแก้เก้อกับอาการพูดติดขัดก็ใช่ว่าจะหายไปง่ายๆ

     

    จูเนียร์เจ้าตั้งสติสิ เขินอะไรไม่เข้าท่า..

    รักษากิริยาไว้

    ท่องไว้ ว่าเราไม่ใช่คนใจง่ายนะ

     

    พึมพำในใจตัวเอง เพื่อรวบรวมสติที่แตกกระเจิงไปพร้อมกับคำพูดหวานๆของมาร์ค ก่อนจะเดินเข้าไปคุยกับน้องสุดที่รักของตนอย่างเป็นปกติ

     

    “รอพี่นานไหม?”

    “จะว่านานก็นาน เพราะหม่อมฉันตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง”

    “อะไรกัน? ...ตื่นมาตอนนั้นเชียวหรือ”

    “เพคะ... พอดีต้องไปปลุกคน”

    “ปลุกคน?....”

     

    ทิ้งให้ฉงนใจได้ไม่นาน คำตอบของข้อสงสัยก็เดินมาร่วมวงสนทนา ร่างหนาในเสื้อสีเทาเข้มกับผมปรกหน้าเล็กน้อย ดูสง่าพอๆกับน่าเกรงขาม ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมใจถึงเต้นแรงเพียงเพราะสายลมยามเช้าพัดผมที่หมาดอยู่ให้สะบัดตามลม ใจต้องเต้นแรงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้

     

    “มาสายนะ!” แบมแบมพูดพร้อมยิ้มทะเล้นให้คนตัวสูง เสียงนั้นทำให้ผู้เป็นพี่ที่ยังอยู่ในภวังค์กลับมาได้สติ

     

     

    ให้ตายสิจูเนียร์.. จะเคลิบเคลิ้มอะไร

    กับแค่องครักษ์ผมไม่แห้ง

     

     

     “สายอะไร เจ้าปลุกข้าตอนเช้ามือให้มาเตรียมตัวออกเดินทางเที่ยวในเมือง นิทราแสนหวานของข้าต้องล่มไม่เป็นท่าเพราะใคร ยังจะพูดเช่นนี้อีกหรือไง”

     

    คำพูดปนความไม่พอใจถูกพ่นออกมาจากคนที่ดูเงียบที่สุดของวัง จูเนียร์ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะไม่เข้าใจอะไรมากนักในถ้อยคำสนทนา แต่ก็พอจะจับต้นชนปลายได้ว่า น้องรักของตนทำอะไรไว้

     

    “ก็จะให้ข้ากับพี่ไปกันแค่สองคนหรืออย่างไร” เอียงคอทำตัวเป็นเด็กน้อย หวังให้คนตรงหน้าเห็นใจ แต่ทว่าคนที่พูดขึ้นก่อนนั้น ไม่ใช่คนที่เค้าอยากได้ยินเสียงเอาเสียเลย... ตามจริงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังอยู่ในวงสนทนา

     

    “อ่าว.. ไฉนกล่าวเช่นนั้น หม่อมฉันก็ไปด้วยอีกคนนะ” ปั้นหน้ายกยิ้มให้ ก่อนจะก้าวฉับๆไปหาจูเนียร์ที่ยืนเล่นกับม้าอยู่

     

    ทั้งสี่ยืนอยู่ไม่ไกลกันมากนัก แต่ก็ไม่ได้ยืนจับกลุ่มคุยอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แบมแบมได้ยินคำของมาร์คแล้วก็ลอบทำหน้าหน่ายใจ ก่อนจะพูดต่อคำไป

     

    “นั่นแหละ... ยิ่งไม่ปลอดภัย”

    “...!!

     

    ใบหน้าคมกระตุกตึง รอยยิ้มจางหายไปชั่วขณะ หลังจากได้ยินคำพูดขององค์หญิงตัวแสบ ต่างจากเจ้าของคำพูดที่ลอยหน้าลอยตาลอบส่งสายตาเหยียดมาเป็นระยะ

     

    “แบมแบม” เสียงเอ็ดจากพี่ผู้แสนดีดังขึ้น หลังจากรู้สึกว่าคำพูดของน้องรักจงใจกระทบชายหนุ่มข้างกาย

    “อะไรล่ะท่านพี่” ผู้เป็นน้องพูดกลับก่อนจะฟังคำดุ “ข้าเพียงแค่อยากให้มีคนไปคอยดูแลปกป้องข้าบ้างก็เท่านั้น” ตีหน้าจริงจังปนตัดพ้อ ก่อนจะลอบยกยิ้มให้มาร์คเห็นแล้วขุ่นเคืองเล่น

    “ท่าน!

     

    หลุดเสียงเรียกคนที่กำลังยียวนตนออกไปอย่างลืมตัว ทำเอาจูเนียร์มองมาร์คด้วยสายตาฉงนปนตกใจ ชายหนุ่มจึงต้องรีบปั้นหน้าแล้วเบี่ยงประเด็น ก่อนที่คนข้างกายจะเห็นพฤติกรรมที่มี

     

    “เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ...” คุมเสียงให้อยู่ในระดับปกติ แล้วเอ่ยต่อ “พูดเช่นนั้น ราวกับไม่เชื่อใจกระหม่อมเลย”

    “ก็ไม่เชื่อน่ะสิ”

    “...!!

     

    กล้ามเนื้อใบหน้าคมกระตุกอีกครา อยากให้คนเห็นแววตายกยิ้มเฉกเช่นผู้ชนะของเด็กตัวแสบ ที่ซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าหวานแสนน่ามอง ริมฝีปากสีชมพูอ่อนที่กำลังลอบยิ้มน้อยๆนั่น มันน่านัก!

     

    “เหตุใด.. จึง ไม่ เชื่อ ใจ กัน ล่ะ” กดอารมณ์ขุ่นลงไปให้อยู่ลึกสุดใจ เวลานี้ คงได้แต่ภาวนาว่าจะไม่ต้องฟังคำหลอกด่า หรือเห็นแววตายั่วยุอารมณ์โทสะของคนตัวเล็กมากไปกว่านี้ มิเช่นนั้น เค้าอาจจะทนไม่ไหว เพราะหากแค่คำพูดก็คงทนได้ แค่สายตานั่นมัน ใจเย็นไม่ได้จริงๆ

    “ใช่ เจ้าจะไปรบกวนท่านองครักษ์ทำไม” จูเนียร์พูดเสริม เพราะไม่เห็นเหตุผลใดเลย ที่น้องของตนจะไม่เชื่อใจคนที่แสนดี อ่อนโยน และมีเสน่ห์อย่างมาร์ค

     

    “ท่านพี่~ ก็ท่านมาร์คพูดเองเมื่อวาน ว่าจะดูแลเพียงพี่ แล้วถ้าข้าเกิดพบเจอ... คนอันตราย” เน้นคำสุดท้าย พร้อมปรายตามองร่างสูงที่ยืนเคียงพี่สุดที่รัก ก่อนจะหันลับมามองทางพี่ตน “ใครจะปกป้องข้ากันล่ะ”

    “...มันก็”

     

    ผู้เป็นพี่หยุดครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ถึงแม้ตนจะเชื่อใจคนข้างกายว่าจะดูแลตนได้เพียงใด แต่หากถึงเวลาขับขัน หรือเหตุร้าย การที่ให้มาร์คปกป้องเค้าและน้องก็คงเป็นเรื่องลำบากจริงๆ และเค้าคงไม่ยอมเป็นแน่ หากแบมแบมเป็นอะไรไป

     

    “มันก็ถูก...”

    “เห็นไหมท่านพี่~ ...” แขนเรียวคล้องวงแขนแกร่งไว้ก่อนจะกระชับแน่นแล้วพูดต่อ “ข้าจึงต้องมีท่านเจบีอย่างไรล่ะ” ยิ้มกว้างหลังเอ่ยจบ

     

    อาจดูเป็นเรื่องปกติที่แบมแบมเป็นคนสดใส หรือเพราะคนตัวเล็กไม่คิดอะไร แต่ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ผู้ร่วมสนทนาอีกสามคนดูไม่มีทีท่าจะรู้สึกเริงร่าเหมือนเจ้าของการกระทำสักนิด ทั้งคนที่ถูกเกาะเกี่ยวก็ดูไม่ชอบใจเท่าไหร่แต่ก็นิ่งเฉย พอกันกับเจ้าของใบหน้าคมที่ยืนนิ่งงันไม่ยินดียินร้ายเสียดื้อๆ ทั้งที่ก่อนหน้ายังพร่ำคำสบถในใจเรื่องความน่าตีของคนตัวเล็ก และสุดท้าย คนที่รู้สึกแปลกกับก้อนเนื้อที่ไหววูบอยู่ในอก

    ความกดดันและความเงียบก่อตัวขึ้นเมื่อใด ใครจะรู้ได้ ลมลู่ใบไม้ให้ไหวร่วงลงดิน แทนที่ความนิ่งงันที่ก่อตัว และดูเหมือนองครักษ์หนุ่มทนไม่ได้ และกล่าวออกไป

     

    “จะรอให้ถึงรุ่งสางวันพรุ่งนี้เลยรึไม่?” จับมือเล็กให้ละออกจากวงแขนตน ร่างสูงเดินไปที่รถม้าสีครีมที่มีลายดอกไม้ตามริมขอบเล็กๆเพื่อความสวยงาม มือหนาเปิดมันออกเป็นเชิงบอกให้ขึ้นไปกันได้แล้ว

     

    หลังจากรถเคลื่อนตัวออกไปได้ไม่นาน ก็ถึงเขตชุมชน ย่านซื้อขายมีผู้คนจับจ่ายสินค้ากันบ้างตามประสา มีรั่วบ้านไม่ไกลกัน เป็นแถวๆไป ยามเช้าผู้คนไม่ได้จอแจมากนัก แต่ก็มีวิถีชีวิตที่น่ามองเรียงรายให้เห็นตามทางไป บางบ้านก็พาสัตว์เลียงมาเดินเล่น บางบ้านก็ยกอาหารเช้ามาแลกเปลี่ยนแบ่งปัน กลิ่นขนมปังอบเสร็จใหม่ๆ โชยกลิ่นหอมกรุ่นมา ตีคู่กับแพนเค้กราดคาราเมล ทำเอาน้ำลายสอ

    ทั้งสี่ไม่ได้กินอะไรรองท้องกันมาก่อนจะออกเดินทาง ดังนั้นท้องว่างๆนั้นก็โหยหาอาหารหอมฉุยรายทางที่ผ่านมากินให้อิ่มหนำ

     

    โครกกก...

     

    “..!” สะดุ้งตัวเล็กน้อย เพราะกระเพาะไม่รักดี เหตุใดมันถึงส่งเสียงออกมาให้อายคนเช่นนี้ได้

     

    จูเนียร์หน้าขึ้นสีเพราะความอาย ทั้งต่อหน้ามาร์คที่นั่งอยู่ด้านข้าง และองครักษ์ที่มองออกไปนอกหน้าต่างอยู่นั่นก็ด้วย หลุบตามองที่หน้าตักของตัวเอง เวลานี้แม้แต่แบมแบมก็ยังแอบขำ ถึงแม้เสียงหัวเราะจะเบาเพราะกลัวตนเก้อเขิน แต่มันกลับทำให้รู้สึกน่าอายกว่าเก่า ข่มตาให้ไม่คิดถึงสายตาที่กำลังมองมา และส่งสมาธิไปบอกกระเพาะไม่รักดี ให้หยุดร้องโครมครามน่าเกลียดได้แล้ว

     

    หยุดเสียทีเถอะ เจ้าน่ะ

    โครกก

    จะร้องให้ได้อะไร ร้องไปใช่ว่าจะได้กินอะไรเร็วขึ้น

    ครืนนนน

    ขอร้องล่ะ หยุดซะที

    โครกก... ก

     

    อยากจะตีท้องร้องดังๆให้มันหยุด หมดกัน เราเป็นถึงองค์หญิง มารยาทอันพึงมี ใยเจ้าถึงทำลายความเรียบร้อยที่เคยมีของข้าลงเช่นนี้ เจ้ากระเพาะใจร้าย!

     

     

    “หยุดรถ”

     

    30%




    เสียงเข้มๆของคนที่เอาแต่มองไปนอกหน้าต่างราวกับคนเหม่อ เอ่ยขึ้น

    “จอดทำไม ไม่เห็นหรือว่าทุกคนกำลังชื่นชมกับทิวทัศน์สองฝั่ง” มาร์คพูดขัดพร้อมโปรยยิ้มเอาใจให้คนข้างกาย แต่ดูคนข้างๆจะไม่ได้สนใจเค้าเท่าไหร่นัก

    “ข้าหิว...” ละไว้จังหวะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่เห็นรึไงท้องข้าร้องไปหมดแล้ว”

     

    สิ้นคำขององครักษ์เจบี สายตาหมิ่นมารยาทก็ส่งมาให้โดยมาร์คทันที แบมแบมดูจะแปลกใจเล็กน้อยที่เสียงท้องร้องโครมครามนั่นมาจากคนข้างกายไม่ใช่คนที่คิด

    ดวงตาโตใสจ้องมองใบหน้าเข้มที่ถูกบดบังด้วยผมสีดำเข้ม ลมที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างอาจทำให้เสียยุ่งไปบ้าง และถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจจัดให้มันเข้าทรงดีๆก็ตามที แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญว่าทำไมเค้าถึงเลิกมองคนคนนี้ไม่ได้ องค์หญิงจูเนียร์เกิดความคิดสงสัย ... สังสัยว่าทำไม

     

     

    “เชิญลง” เอ่ยเรียบๆหลังจากเปิดประตูรถม้าลงมายืนบนพื้นดิน

     

    ใบหน้าเรียบขรึมไม่บ่งบอกอารมณ์อะไร ทุกคนก็ก้าวลงจากรถม้ากันอย่างไม่ขัดข้อง มีเสียงฟึดฟัดในคอของมาร์คดังเป็นระยะ เมื่อตอนที่ก้าวลงมา แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความน่ารำคาญใดๆ

     

    ร่างสูงดูไม่สบอารมณ์เท่าใดนักที่ต้องยอมฟังแล้วลงรถมา ทั้งที่ตนหวังที่จะโชว์ความสง่าพาองค์หญิงจูเนียร์เที่ยวเล่น เพื่อสร้างความสนิทสนมและประทับใจให้เพิ่มพูน แต่แล้วก็มีเด็กแสบมาเป็นมารผจญ  แถมยังพ่วงก้างชิ้นโตอย่างเจบีมาขวางอีก ช่างน่าหน่ายใจ

    เดินทิ้งระยะไปไกล เหมือนกับลืมไปว่าตนมากับใครเพื่ออะไร ก้าวขาฉับๆทิ้งร่างบางที่ลงมาเป็นคนสุดท้ายยืนเก้อ ผู้เป็นน้องเห็นเช่นนั้นก็ทนไม่ได้ ถึงแม้ไม่ชอบหน้า แต่การที่ออกปากชวนพี่ของตนออกมาแล้วไม่ดูแลแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ออกตัววิ่งตามไปเอาเรื่องโดยไม่เอ่ยถามใคร

     

    “.....”

    “.....”

     

    ทิ้งให้เสียงสะบัดเชือกกับเกือกม้ากระทบพื้นดังแทนคำพูด สายลมพัดใบไม้เศษหญ้าลิ่วลอยแทนการขยับกาย ไม่มีใครเปิดประเด็นขึ้นก่อน แต่ก็ไม่มีใครเดินไปไหนเช่นกัน ไม่รู้ว่าใจอีกคนคิดอะไรอยู่ แต่อยากจะบอกเหลือเกินว่าจูเนียร์รับสถานการณ์เช่นนี้ไม่เป็น

    ทั้งคู่ลอบมองกันโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เจบีไม่เอื้อนเอ่ยคำใดไป เพราะไม่ใช่นิสัย ถึงใจจริงมีบางสิ่งอยากจะพูด ก็มีบางอย่างกั้นให้ตัวตนเก็บกดลงลึกเอาไว้ ในขณะเดียวกันที่คนที่ไม่คิดจะรู้อะไรเลยอย่างจูเนียร์ก็คงยังพยายามจะหาโอกาสพูดในสิ่งที่ตนอยากจะถาม ..ถามก่อนที่อีกคนจะเดินไป

     

    “ดะ เดี๋ยว..

    “...?”

     

    สองขาหยุดก้าวลง ไม่หันมาตามเสียงเรียกเหมือนรอให้คนตัวเล็กกว่าพูดออกมาก่อน

     

    “..ท่าน ทำไมถึงทำแบบนั้น” หลุบตาลงมองเศษหญ้าที่ถูกลมพัดให้เคลื่อนเปะปะไปทั่วพื้น บัดนี้ไม่รู้อะไรที่ทำให้ไม่กล้ามองหน้าอีกคน ถึงแม้จะเห็นเพียงหลังกว้างก็ตามที

    “..ทำอะไร?” เอ่ยเสียงนิ่ง ก่อนจะหันหลังกลับมามองหน้าอีกคน

    “ก็.. ที่ เอ่อคือ ที่ท่าน” อึกอักพูดไม่ถูก ลมหายใจเข้าออกสูดอย่างช้าที

    “อะไร ข้าทำอะไร.. ?”

     

    ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พื้นถนนที่ตนกำลังใช้เป็นที่วางตาอยู่นั้น มีเงาคนตัวสูงทอดทับ และรองเท้าสีเข้มก็ก้าวมาหยุดเกือบชิดปลายเท้าของตน

     

    !!” ร่างบางสะดุ้งตกใจเล็กน้อยที่อีกคนมาใกล้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใจเจ้ากรรมดันเต้นแรงย้ำเตือนว่าความใกล้นี้มันสุ่มเสี่ยงต่อความรู้สึกมากเพียงใด

     

    ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ใครจะตอบได้ ว่าใบหน้าคมนั้นย่อมาใกล้เค้ามากเกินไปแล้ว หากเจ้าของการกระทำนี้เป็นมาร์ค คงไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่านี้ แต่นี้เป็นท่านองครักษ์ที่ไม่รู้เลย ว่าความคิดของเค้าเป็นเช่นไร กลั้นใจพูดออกไปก่อนจะเกิดเรื่องที่ตัวเองคิดขึ้น

     

    “ก็ที่ท่าน! ...”

     

    ใครล่ะจะกล้าพูดเรื่องหน้าอายอย่างเช่นว่าข้าท้องร้องเสียงดังมากเลย แล้วเหตุใดท่านจึงออกมาพูดว่ามันเป็นของท่านเอง.. ข้าไม่ได้หมายความว่าข้าคิดว่าท่านคิดอะไรกับข้านะ แต่เพียง... แต่

     

    “ที่ท่านพูดบนรถ?!” ร่างบางตกใจเล็กน้อยมีมือหนาเอื้อมมาจับบนหัวของตน นิ้วค่อยๆเกลี่ยมันอย่างเบามือ ความรู้สึกที่มีแต่ความอ่อนโยนนี่มันอะไร แววตาที่แฝงอยู่นั้น ท่านกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่เจบี

     

    สะบัดปลายนิ้วสองสามที ก็เห็นเศษใบไม้แห้งปลิวออกไปตามลม คงไม่ต้องถามให้มากความว่าเมื่อครู่คนตรงหน้าทำอะไร ร่างสูงหายใจเข้าเต็มปอดแล้วปล่อยออกมาเหมือนทอดถอนใจ ทำไมมันเหมือนเป็นการกระทำของคนที่เอ็นดูเด็กก็ไม่รู้

     

    “.......”

    “.....??”

     

    องครักษ์หนุ่มไม่เอ่ยคำใดออกมา เพียงแต่มองหน้าขององค์หญิงน้อยอยู่ชั่วครู่ เหมือนจะพูดแต่ก็ไม่ทำ แววตาช่างอ่านยากเสียยิ่งกว่าหนังสือกวีที่ท่านพ่อเคยให้ถอดความเสียอีก จูเนียร์ได้แต่ส่งแววตาสงสัยกลับไป เพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจ ไม่รู้อะไรเลยจริงๆไม่ใช่เพียงแสร้ง

     

    “...” เงียบ ความเงียบเท่านั้นที่ได้คืนมา การพูดจาพาทีกับข้านั้นมันยากมากหรือไร ในใจร่างบางได้แต่ร้องถามเช่นนี้

     

    คนตัวสูงหันหลังกลับไปเช่นเก่า แล้วออกตัวเดินไปเช่นเดิม แต่เมื่อก้าวต่อเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดลง ถอนใจอย่างเหมือนเหนื่อยหน่าย แต่ความรู้สึกไม่ใช่ เงยหน้าสะบัดผมพลิ้วไปกับลม แล้วเอื้อนเอ่ยคำบางคำออกมา

     

     

     

    “เร็วสิ”

    “..?”

     

     

     

    “หิวไม่ใช่หรอ”

     

     


     

    แขนเรียวยกขวางทาง กั้นไม่ให้ร่างสูงผ่านไปต่อ สีหน้าไม่พอใจแสดงออกมาชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัยถามว่า มาขวางกันทำไม ร่างสูงปัดแขนบางออกให้พ้นทางอย่างไม่สนใจนัก แน่ล่ะ ทำไมต้องทำตัวสุภาพบุรุษ โอนอ่อนให้เด็กจอมแก่นคนนี้ เหอะ หาเหตุจำเป็นไม่ .. ทั้งสองปัดป่ายกันไปมาอยู่เช่นนั้นหลายรอบที

    แบมแบมต้องการจะคุยกับคนถือดีที่ทิ้งพี่ของตนออกมาอย่างไม่ใยดี แต่ก็ไม่อยากจะเอ่ยเรียกชื่อ หรือกล่าวเปิดบทสนทนา จึงทำได้เพียง รั้ง บัง กั้น ไม่ให้อีกคนเดินไปไหนได้

     

    “นี่!

     

    สำเร็จ ในที่สุดมาร์คก็ทนความน่ารำคาญของคนตัวเล็กไม่ไหว ออกปากพูดก่อน พอเหลืออด

     

    “ทำไม! เจ้าจะทำไม” พูดอย่างไม่สนใจใครที่ผ่านไปมา ถึงแม้คนจะไม่พลุกพล่าน เหมือนย่านการค้าที่รถม้าเพิ่งผ่านมา แต่ก็มีชาวบ้านเดินไปมาไม่น้อย

    “ท่านต้องการอะไร! นอกจากจะตามมาป่วนวันเวลาดีๆของข้าและองค์หญิงจูเนียร์แล้ว ท่านยัง” พาไอ้องครักษ์งี่เง่านั่นมาด้วย “ต้องการอะไร! ข้าเคยเตือนท่านแล้วว่าอย่ามายุ่งกับเรื่องนี้ หรือมีใจพิศวาสข้าขึ้นมาถึงตามมาหึงหวงกันล่ะ”

     

    จุกกับคำพูดนั้นไปชั่วขณะ ความรู้สึกหัวเสียของอีกคนแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนทั้งคนพูดเองก็ตกใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคนที่ฟังอยู่ก็คงเจ็บแสบกว่าเป็นไหนไหนก่อนจะรีบตีหน้าปกติตอกกลับไปอย่างไม่ยี่หระ

     

    “หึ หลงตัวเองเกินไปแล้ว ข้าไม่หลงใหลในรูปโฉมของคนที่ดีแต่เปลือกอย่างท่านหรอก ตีสองหน้า กับพี่ก็ทำตัวเป็นคนดี แต่หลับหลัง...”

    ละไว้เหมือนยั่วยุอารมณ์ แต่เปล่าเลย คำพูดที่ขาดช่วงไปนั้นมันถูกแทนที่ด้วยภาพความทรงจำที่ธารน้ำในวันนั้น หากแต่มันก็ทำให้อารมณ์คนฟังพุ่งทะยานได้เช่นกัน มาร์คพยายามข่มอารมณ์โทสะไว้ ดึงเหตุผลและหน้าที่ ทุกสิ่งอย่างเข้ามา ไม่ให้ดึงตัวคนปากร้ายเข้ามาทำโทษแต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไร เมื่ออีกคนดูจะไม่ยอมหยุด

     

    “อ่าวเงียบทำไมล่ะ แค่นี้ทนไม่ได้หรือไรกัน? ... ถ้าแค่นี้ทนไม่ได้ก็กลับไปเมืองตัวเอง ไปเกี้ยวพาราสีสตรีทั้งหลายให้หายอยากสิ พี่ข้าไม่ใช่ดอกไม้ริมทางที่ท่านจะดอมดม จับต้องให้ช้ำแล้วก็จากไปไม่ใยดี คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงอาจหาญมาเล่นกับความรู้สึกของ.. ใครก็ได้.. ถ้าปากพูดว่าอยากสร้างความทรงจำดีๆกับพี่ข้า ก็ทำให้ได้สิ พิสูจน์มันให้ข้าเห็นที ... หรือทำไม่ได้กันล่ะ ถ้าทำไม่ได้ ก็ออกไปซะ! ก่อนที่พี่ข้าจะหลงคารมคมปากของเจ้า มิสเตอร์มาร์ค!

     

    เป็นครั้งแรกที่มิสเตอร์มาร์ครู้สึก พูดไม่ออก เค้าเคยถูกใครเตือนเรื่องใจร้อน และไม่ฟังใครของตัวเองมามากพอดู แต่หลังจากฟังคำที่เหมือนอัดอั้นล้นอกของเด็กตรงหน้า ปากที่เคยพูดพ้นคำแสลงหูก็หนักเสียขึ้นมาดื้อๆ หนักจน คำว่าขอโทษเพราะความรู้สึกผิดหลังจากคิดย้อนไปถึงคำพูดที่ดูหยาบคายกับแบมแบมก็ถูกน้ำท่วมปากเอาไว้

     

    เปลือกตาปิดลงเหมือนต้องการสงบสติอารมณ์ แบมแบมไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน หากแต่ที่พูดไป ก็เพราะห่วงผู้เป็นพี่ เพราะเด็กน้อยรู้ดี ว่าคนเป็นพี่แสนดีเพียงใด และเค้าคงไม่ยอมแน่ๆหากคนที่เจ็บจะต้องเป็นพี่ของตน ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่พูดไปใคร่ควรแล้ว ทั้งที่พยายามกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดที่อยู่ความพอดี แต่ก็ยอมรับว่ามันมีอารมณ์ที่อยู่ลึกๆในใจปนเปออกมา

     

     

    ให้ตายสิแบมแบม

    จะมาต่อว่า กวนประสาท

    แต่ที่ไหนเลย

    ดันมาพูดเรื่องเช่นนี้

    มิสเตอร์มาร์ค เจ้ามันบ้า บ้า บ้า

     

     

    “ค..คือ”

     

    อยากเอื้อนเอ่ยคำขอโทษออกไป แต่คนตัวเล็กตบเท้าเดินออกไปอย่างไม่ใยดี ไม่อยากอยู่ตรงนี้ เป็นสิ่งเดียวที่คนตัวเล็กคิด ในทางกลับกัน อีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็มองตามร่างบางอย่างไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก ... เรื่องนี้เค้ารู้ดีว่า

     

    “ข้าผิดเอง..แบมแบม”

     


     

    หลังจากมื้ออาหารเช้ายามสายจบลงด้วยความอึดอัดและสับสนของ4คนจบลง ก็เกิดการแบ่งคู่แยกทางกันอย่างชัดเจน แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ เมื่อจู่ๆ ความคิดเล่นสนุกของจูเนียร์ก็ผุดขึ้นมา

     

    “นี่ๆ... เรามาเล่นเกมสนุกๆกันไหม” พูดออกมา พร้อมโปรยยิ้มสดใส ที่ทำเอาใจคนมองสั่น

    “เกมอะไรหรอเพคะ?” ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย แต่พูดถึงเรื่องสนุก มีหรือแบมแบมจะปล่อยให้มันผ่านเลยไป โดยไม่ทักทายเสียหน่อย

    A to Z Market!” พูดพลางก้าวไปคว้ามือน้องรักมากุมไว้ เหมือนหาพวก “เจ้าจำได้ใช่หรือไม่? ที่ตอนเด็กๆ เราเคย...”

    “ได้สิเพคะ!” เสียงสดใส พูดด้วยท่าทางเริงร่าต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

     

    แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงสองพี่น้องที่เข้าใจว่าสิ่งที่กำลังพูดถึงมันเป็นอย่างไร เพราะมาร์คและเจบีที่ยืนมองท่าทางดี๊ด๊าของสองพี่น้อง ก็ได้แต่มองเท่านั้น ไม่รู้จะพูดถามอะไร เพราะแค่อยากเข้าไปร่วมสนทนายังลำบาก เพราะตอนนี้มีโลกใบน้อยๆก่อตัวขึ้นแล้ว โลกที่เรียกว่า ความเป็นเด็ก

     

    “งั้นเอาตามนี้เลยหมดเวลาเมื่อตะวันตั้งตรง”

    “รับทราบเพคะ!

     

    สองพี่น้องรับคำเข้าใจกันเสร็จสรรพ จนชายหนุ่มทั้งสองต้องรีบทักท้วงขึ้นก่อนที่จะเลยไปไกลโดยที่เค้าทั้งคู่ยังไม่รู้เรื่องอะไรไปมากกว่านี้

     

    “เดี๋ยวก่อนองค์หญิง” มาร์คเอ่ยเรียกก่อนที่ร่างบางทั้งสองจะออกตัวไปพร้อมเป้ในมือ

    “...? // ..?”

    “นี่เรากำลังจะต้องทำอะไรกัน” เจบีพูดเสริม

     

    “อ่า... ข้าลืมเสียสนิทเลย ว่าท่านทั้งสองไม่รู้จักเกมส์นี้” ยกมือเรียวขึ้นมากระชับเป้เล็กน้อย “เรากำลังจะเล่นA-Z market กัน..” โปรยยิ้มบางๆให้ชายหนุ่มร่างสูงทั้งคู่

    “ซึ่งเกมส์นี้จะเล่นโดย เราจะต้องออกตามหาของที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรต่างๆ ห้ามซ้ำกัน จนครบA-Z ...น่าสนุกใช่ไหมล่ะ” แบมแบมเอ่ยเสริมพี่สุดที่รัก ที่ตื่นเต้นกับการเล่นสนุกตามประสาเด็กที่ได้ออกจากวัง

     

    “เราไม่ได้มีเวลาทั้งวันนะ”

     

    ถึงแม้จะดูน่าสนุก แต่ก็ไม่อยากให้กลับวังกันล่าช้า องครักษ์ผู้เคร่งครัด เอ่ยเตือนสั้นๆแต่ได้ใจความ กระจ่างไปถึงทรวง ใบหน้าองค์หญิงผู้พี่หมองลงเล็กน้อย เพราะเสียดายที่คงจะไม่ได้เล่นสนุกตามฤทัย

    ผู้เป็นน้องก็ดูเข้าใจถึงความคิดคำนึงของผู้เป็นพี่ จึงพยายามช่วยคืนรอยยิ้มให้แกใบหน้าหวานของจูเนียร์

     

    “งั้นก็ไม่ต้องเล่นให้ครบทุกตัวสิ...” กวาดตาไปมาก่อนจะ เอ่ยสิ่งที่ตนคิด “ใช้เพียงอักษรในชื่อของพวกเราก็พอ”

     

    ผู้เป็นพี่ยิ้มร่ากับคำน้อง มีเรื่องราวน่าสนุกผุดขึ้นอยู่เต็มไปหมด ราวกับมีกลีบดอกไม้โปรยปรายในฤดูไม้ไหม้ร่วงนี้ แต่แล้วก็เกิดความคิดแสนเด็กในใจของจูเนียร์

     

    “งั้นก็จับคู่ตามนี้ ข้าไปกับองค์หญิงจูเนียร์” มาร์คพูดอย่างไม่ยี่หระ เพราะคาดว่าคนตัวเล็กคงไม่มีอารมณ์จะมากวนใจตน หลังจากเกิดศึกวาทะที่รุนแรงพอดูก่อนมื้อเช้า แต่แล้วก็สบายใจได้ไม่นาน เมื่อ...

     

     

     

     

    “ไม่!

     

     

    เสียงแย้งดังขึ้น มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรมากนัก เพราะเค้าชินเหลือเกินกับการถูกขัดขวาง ในทุกๆการกระทำ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่คนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับตนเสมออย่างองค์หญิงตัวแสบที่ยืนทำหน้าแปลกใจไม่แพ้กัน

    เจ้าของคำพูดนั้น กลายเป็นองค์หญิงที่แสนดีของเค้า อย่างจูเนียร์ที่ทำหน้าครุ่นคิดประมวลการอยู่ ในขณะที่เอ่ย

     

    “เหตุใดพระองค์ถึง... ไม่อยากร่วมทางไปกับกระหม่อมหรือ?” พูดตัดพ้อเล็กๆ เพราะคิดว่าร่างบางคงแพ้คารมและยอมโอนอ่อนเช่นเคย แต่เค้าคิดผิด

    “ใช่..” น้ำเสียงแสนซื่อเอ่ยมาเรียบๆ

     

    คิกๆ ฮึ...

     

    เสียงหัวเราะในลำคอของเด็กแสบและองครักษ์งี่เง่าลอยเข้าหูมา ยิ่งทำให้หงุดหงิด นางฟ้าน้อยๆของเค้าเหตุใดกัน ใยถึงกล่าวปฏิเสธเค้าได้ มาร์คไม่เข้าใจ

     

    “ใยถึง..” ถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้จูเนียร์เป็นอะไร และถ้าหากถามผิดไปแล้วได้คำตอบที่ทำให้หน้าคมแตกร้าวเป็นเศษแก้วร่วงลงดิน ให้เจ้าของเสียงหัวเราะน่ารำคาญย่ำเหยียบ ก็คงไม่ดีแน่

     

    “ชื่อข้ายาวไป...”

    “ห้ะ? อะไรนะพะยะค่ะ” มาร์คร้องถามอย่างที่ไม่เคยมาก่อน

     

     

    J U N I O R ตั้งห้าตัวอักษร หากข้าไปกับท่าน M A R K ไม่ได้... มันไม่ยุติธรรม” ร่างบางงึมงำเป็นเด็ก เหมือนกำลังคำนวณอักษรในชื่อของคนทั้งสี่ “B A M … J B ตัดอักษรที่ซ้ำ ก็เหลือเพียงแค่4ตัว ไม่ได้ แบมแบมเจ้าขี้โกง”

    “อะไรกันท่านพี่!~” แบมแบมเอ่ยเสียงหลง จู่ๆก็กลายเป็นคนขี้โกงเพราะเกิดมามีชื่อสั้นกว่า

    “ข้าจะไปกับท่านเจบี” พูดชัดฉะฉาน ก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้าง องครักษ์ที่ยืนเงียบไม่พูดอะไร

    “แต่ท่านพี่...”

    “ไม่ต้องเอ่ยคำใดอีกแล้วน้องพี่ ใครแพ้เป็นลูกกระต่ายฟันใหญ่!” แลบลิ้นยียวนเป็นเด็กน้อยก่อนจะคว้าแขนคนตัวสูง วิ่งออกตัวไปทันที”

     

    ทิ้งให้คู่ปรับที่ยังไม่พร้อมประชันฝีปาก ยืนนิ่งงันมองดูหลังคนทั้งคู่วิ่งจากไปโดยไม่รอคำตอบ

     


     

    กรุ๊งกริ๊ง~

     

    เสียงกระดิ่งดังขึ้นทันทีที่ประตูไม้มะค่าสีเข้มเปิดขึ้น ก่อนจะปิดลงด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดแสดงความเก่าแก่ นี่คือร้านหนังสือที่ตนเคยมาวิ่งเล่น เลือกซื้อหาหนังสือใหม่ๆ รวมถึงเก่าตั้งแต่สงครามล่าอาณานิคม บรรยากาศเก่าๆยังไม่เสื่อมคลาย ภาพความทรงจำวัยเด็กที่ได้วิ่งเล่นไปรอบๆ ซ่อนตรงนั้น แอบตรงนี้ ยังชัดเจนแจ่มแจ้ง มิมีสิ่งใดมาลบเลือนไป

    ร่างของเด็กน้อยผมดำปรกหน้าที่เดินตามหาตนตามมุมต่างๆ ย้อนเข้ามาทุกโสตประสาท น้ำเสียง สัมผัส หรือแม้แต่รอยยิ้มที่ถูกบดบังด้วยเส้นผมหนานั่น จูจูน้อยยังจำได้ไม่เคยลืม

     

    “อยากได้อะไรอีกหรือ..”

    “พี่ชาย..”

     

    ไม่ทันได้เอ่ยถามร่างบางที่กำลังยืนคลี่ยิ้มบางๆ อย่างมีนัยน์ตั้งแต่เข้ามาในร้าน ยืนมองคนตัวเล็กมองทอดสายตาไปราวกับคนเหม่ออยู่พักใหญ่ รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนหน้ามันช่างดูน่ามองอย่างปฏิเสธไม่ได้ หากแต่แววตาที่ดูหม่นหมองคล้ายตัดพ้อนั่น ทำให้เจบีอดจะเรียกให้ได้สติไม่ได้ ... ด้วยความที่ไม่ใช่คนช่างพูด หรือคมรมคมคายเหมือนใครบางคน จึงทำให้รูปประโยคที่เอื้อนเอ่ยช่างดูเรียบเฉย ไม่มีบทเกริ่นใด

    ถึงเช่นนั้น เมื่อเอ่ยคำไปแล้ว ก็ต้องสะดุดกึก นิ่งงันกับคำที่ได้ยินจากปากองค์หญิงตรงหน้า คำที่ฟังเมื่อใดก็ใจเต้น ยิ่งเป็นจากปากของคนตัวเล็กด้วยแล้ว...

     

     

    “จู.. องค์หญิงจูเนียร์” เอ่ยเรียกอีกคนด้วยน้ำเสียงนิ่ง

    “ฮ..ฮ้ะ..?” สติที่ล่องลอยตามความทรงจำแสนละมุนกลับมา จนต้องอุทานร้องเพราะความตกใจเล็กๆ “อ..เอ่อ ท่านว่าอย่างไรนะ?”

    “ข้าเพียงอยากถามว่า ท่านต้องการอะไรอีกหรือไม่”

    “ก็ B ของท่านอย่างไรเล่า ...B BOOK” ร่างบางเอ่ยพร้อมออกตัวเดินนำคนตัวสูงกว่า

     

    ร่างสูงเดินตามองค์หญิงตัวเล็กไปยังชั้นหนังสือที่ดูเก่าแก่ พอๆกับหอหนังสือในวัง มีหนังสือมากมาย ที่เค้าเคยได้อ่านเมื่อเยาว์วัย มันยังอยู่ อยู่ที่เดิมไม่เคยไปไหน...

     

    “เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ ว่าจะใช้ B Bill” ว่าพลางหยิบเศษกระดาษสีน้ำตาลอ่อนที่มีรอยหมึกซึมจรดเขียนรายการสินค้า “เราไม่ได้มีเวลามากมาย”

    “แต่นี่มันก็ไม่ได้เสียเวลามากมายเช่นกัน” พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กๆ ทำไมท่านองครักษ์ต้องจริงจังกับทุกๆเรื่องในชีวิตด้วยนะ

    “แต่..”

    “ข้าแค่อยากหาหนังสือไปให้แบมแบม... ไม่ใช่เรื่องบ่อยนักที่ข้าจะได้ออกมาย่านชุมชน โดยที่ท่านพ่อไม่ว่า”

     

    ฟังเหตุผลของคนตัวเล็กแล้วก็ไม่อยากจะขัดพระทัย จึงทำได้แค่พยักหน้ารับ แล้วเดินตามคอยอารักษ์ขา และอำนวยความสะดวกให้ เท่าที่จะสามารถทำให้องค์หญิงคนนี้

     

    “อ้ะอยู่นั่นเอง” จูเนียร์พูดด้วยเสียงตื่นเต้น เมื่อแลเห็นสิ่งที่ต้องการ หากแต่ “อ้ะ ฮึบ!

     

    มองร่างบางขยับตัวอย่างเก้ๆกังๆ เขย่งปลายเท้าเพื่อคว้าหนังสือที่คาดหมาย ก็นึกขันไม่น้อย ท่าทางที่ดูเหมือนเด็กน้อยปีนเก็บลูกโป่งที่ติดอยู่บนยอดไม้นั่น น่าเอ็นดูยิ่งนัก

     

    “..?!

    “....”

     

    สายตาสอดประสานเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสอุ่นๆจากฝ่ามืออีกคน ท่านองครักษ์ที่หวังดีจะช่วยตนหยิบหนังสือแสนยากจะเอื้อมถึงให้ แต่ด้วยลมเพลมพัดหรืออะไรก็ตามแต่ใจสวรรค์สร้าง ฝ่ามือหนากำลังกอบกุมหัตถ์สีน้ำนมเนียนอยู่อย่างไม่ตั้งใจ มันเป็นอย่างนั้นต่อไปราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนไป รอบกายหยุดเคลื่อนไหว ไอฝุ่นแสดงแดดที่ส่องมาก็นิ่งงัน สายตาของจูเนียร์ดำดิ่งเข้าไปในนัยน์ตาคู่นั้น

     

     

    +++Memory+++

     

     

     

    “ทำไมเจ้าไม่สูงขึ้นสักทีนะจูจู”

     

    เสียงเด็กชายเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นคนตัวเล็กพยายาม กระโดดหยิบเครื่องบินกระดาษสีชมพูอ่อนที่ร่อนไปจอดบนชั้นหนังสือ จริงอยู่ว่ามันไม่ใช่ระดับสูงชันอะไรมากนัก แต่สำหรับเด็กอายุหกขวบ ความสูงระดับนั้นก็สุดเอื้อม

     

    “อะไรกันล่ะ ข้าสูงขึ้นตั้ง 1เซน. จากเดือนที่แล้วนะ!” พูดพลางยู่หน้าใส่คนโตกว่า

    “1 เซน. ทำมาเป็นคุย ข้าสูงขึ้นตั้ง 3 เซน. เชียวนะจูจู” เสียงหัวเราะเย้ยปนกระเซ้าดังไปทั่วร้าน

    “ชิ... 3 เซน. แล้วมันยังไง” พูดพลางเบ้ปากน้อยๆให้คว่ำลง กอดอกเดินหนีไปไม่สนใจ

     

    นั่งอ่านตัวหนังสือในนวนิยายที่อ่านค้างไว้ แต่ทำอย่างไรก็ไม่เข้าไปในสมอง ยิ่งอ่านก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง ในใจว้าวุ่นอยากรู้เนื้อความในเครื่องบินกระดาษลำนั้น หากถามว่าทำไมถึงต้องอยากรู้ ก็คงต้องตอบเพียงว่า ใครใช้ให้คนนิสัยไม่ดีคนนั้นเขียนคำสำคัญเอาไว้ด้วยล่ะ กับการที่แค่ตนลองถามว่า

     

    สรุปเจ้าชื่ออะไร

    อยากรู้ไปทำไม

    ก็จะได้เรียกถูกไง

    แล้วถ้าข้าไม่อยากให้เรียกชื่อล่ะ

    อะไรกัน ไม่เห็นยุติธรรมเลย ทำไมเจ้าถึงมีสิทธิรู้ชื่อข้าฝ่ายเดียวล่ะ

    ไม่บอก

    ทำไมทำเช่นนั้นล่ะ.. แล้วข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไร

    ฮึขำน้อยๆในลำคอก่อนเอ่ยต่อ งั้นข้าจะเขียนใส่เครื่องบินลำนี้ หากเจ้าตามหามันเจอเจ้าก็จะรู้เองพูดจบก็พับปีกให้เรียบร้อย พร้อมปาให้มันล่องลอยไปตามแรง

     

    ทั้งๆที่เจอแล้วแท้ๆ แต่กลับไปอยู่สูงขนาดนั้น เจ้ามันขี้โกง! จะบอกกันดีๆก็ไม่ได้ ทำไมต้องแกล้งก็ไม่รู้ ...มันสูงมากจริงๆนะ ข้าไม่ได้สูงไม่ถึงมัน เพียงแต่ชั้นวางมันสูงไปก็แค่นั้น ท่านแม่บอกว่าข้าเป็นเด็กก็ต้องตัวเล็กน่ารัก สูงขึ้น 3 เซน. งั้นหรอ ชิ ส่วนสูงมันกินไม่ได้สักหน่อย

     

    “โอ้ะ!

     

    มือน้อยยกกุมศีรษะ ลูบกลุ่มผมสลวยปอยๆ จู่ๆก็มีอะไรบินมากระแทกเข้าอย่างจัง เหลือบมองเครื่องบินกระดาษสีชมพูอ่อนที่ตกอยู่ไม่ไกลตัว ไม่ต้องถามผู้ใด ก็กระจ่างได้เองว่า มันคือตัวการ คลี่ออกอ่านอยากอย่างรู้อย่างเห็น เนื้อความในกระดาษ เขียนไว้เพียงสั้นๆว่า ขี้งอน แก้มจะบวมนะพอพลิกดูอีกด้านก็เขียนไว้ว่า แต่ถ้าหายโกรธ ปากจะหายห้อย

    ถ้อยคำยียวนทำเอาคนอ่านอยากจะเขวี้ยงกลับไปทางที่มันบินมาเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก้ทำได้แค่วางกระดาษไว้บนโต๊ะเช่นเดิม แล้วหันหน้าไปอีกทาง ราวกับว่ากระดาษแผ่นนั้นมันคือหน้าเด็กนิสัยไม่ดีเจ้าของของมัน

     

    “อ้ะ!” สดุ้งตัวก่อนจะหันมามองคนตัวสูงกว่า ที่กำลังถือเครื่องบินกระดาษอีกลำแล้วจับมันจิ้มหัวของเค้าอยู่ เบ้ปากลงไปหาแรงโน้มถ่วงโลก ก่อนจะมองคาดโทษอีกคน

    “หายโกรธรึยัง” พูดเหมือนกับว่า ได้ง้องอนตนด้วยแรงทั้งหมดที่มี จูจูไม่หายง่ายๆหรอกนะ

    “ไม่!” สะบัดหน้าหนีไปอีกทาง

    “นี่เจ้าไม่อยากรู้จักข้าแล้วจริงๆหรอจูจู” พูดพลางยื่นหน้ามาใกล้

    “ก็ดูเจ้าสิ ... เจ้านั่นแหละที่ไม่อยากให้ข้ารู้จัก”

     

    หันมาหมายจะตะคั่นตะคอกใส่ แต่กลับแทบกลั้นหายใจเพราะใบหน้าของอีกคน ตกใจปนรู้สึกประหลาด แต่จะเอาอะไรมากกับเด็กอายุหกขวบ ที่ไม่ได้ประสีประสา

     

    “...อ่ะ นี่” ยื่นเครื่องบินกระดาษที่ก่อนหน้านี้ ได้ไปลงจอดบนชั้นหนังสือแสนสูงลิ่ว

    “??” ตากลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนจะรับมันมาอย่างไม่คิดปฏิเสธ เพราะในใจลึกๆก็หวังที่จะได้รู้เนื้อความด้านในอยู่แล้ว หากแต่มันยากเกินเอื้อมถึง จึงตัดใจไป แปลกใจไม่น้อยที่อีกคนนั้น จู่ๆก็นำมาให้ตนง่ายๆ

     

    เปิดเนื้อความออกอ่านอย่างตั้งใจ คลี่กระดาษด้วยมือน้อยๆ แต่แล้วก็ต้องฉงนเพิ่มเป็นทวีเมื่อคำที่คาดไว้ว่าจักเป็นชื่อเสียงเรียงนาม กลับเป็นคำเรียกทั่วไปอย่างคำว่า

     

    “พี่ชาย?” อ่านออกเสียงด้วยน้ำเสียงสงสัย “หมายความว่ายังไง?”

    “ก็.. เรียกข้าว่าพี่ชายอย่างไรเล่า” พูดพร้อมลอบยิ้มกวนๆ

    “แต่มันไม่ใช่ชื่อ...”

    “แล้วอย่างไรเล่า ก็ข้าอยากให้เจ้าเรียกเช่นนี้ แล้วข้าก็จะเรียกเจ้าว่าจูจูน้อย”

    “แต่ว่า..”

    “เรียกพี่แบบนี้ได้ไหมจูจู”

     

    น้ำเสียงที่ทำให้ใจของเด็กไร้เดียงสาใจสั่น อะไรกัน โรคภูมิแพ้กลิ่นดอกลาเวนเดอร์กำเริบหรือไรกัน ถึงรู้สึกร้อนผ่าวที่รวงแก้มเนียน ยิ่งมองสายตาคู่นั้นก็ยิ่งทำให้ใจของจูจูตั้งให้สงบมิได้เลย

     

    “...จูจู เจ้าฟังพี่อยู่รึไม่”

    “...”

    “จูจู ..จู”

     

     

    “พี่ชาย...”

     

    ผมปรกหน้าสีดำเข้มถูกลมพัดแผ่วๆ ให้เห็นใบหน้าคมตั้งแต่เด็กชัดเจนขึ้น รอยยิ้มแสนอ่อนโยนผนกวนเผยออกมา ก่อนจะเอ่ยตอบรับขานชื่อ

     

     

     

    .

    .

    .

     

    “จ๋า จูจูน้อยของพี่ชาย”

     

    +++++++++++++

     


    “องค์หญิงจูเนียร์”

    “....”

    “องค์หญิง”

    “ห..ห้ะ?”

     

    ถือวิสาสะเอื้อมไปเขย่าแขนของร่างบางเบาๆ เมื่อเห็นอาการเหม่อลอยเกิดขึ้นกับองค์หญิงอีกครั้ง ใบหน้าหวาน โปรยยิ้มอ่อนโยนมาให้เป็นมารยาท ไม่เอ่ยกระไรต่อให้มากความ แล้วหยิบหนังจากมือแกร่งที่ยื่นมาให้ไปจัดการให้เรียบร้อย ก่อนจะออกจากร้านไปยังสถานที่นัดพบ พร้อมกับพาความทรงจำแสนหวานในวัยเยาว์ออกไปด้วย

     


     

    กอดถุงกระดาษที่ใส่ข้าวของไว้ไม่พูดจา เดินไปอย่างเงียบเชียบ ไม่คิดแม้จะปริปากเอ่ยกัดจิกให้ร่างสูงที่ถือข้าวของไม่ต่างกันนั้นต้องระคายเหมือนเช่นที่ผ่านมา

     

    ภายใต้ใบหน้าหวานที่กำลังมองทอดสายตาแสนนิ่งไปยังทางด้านหน้า ใครจะรู้กันว่าจิตใจกำลังว้าวุ่นเพียงใด เท้าค่อยๆก้าวเดินตรงไปยังสถานที่นัดหมายอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด ราวกับว่าสิ่งเร้ารอบข้างไม่ว่าจะเป็นของเล่น เครื่องประดับ อาหารริมทาง ไม่มีผลใดๆกับคนตัวเล็กทั้งสิ้น ทั้งที่ก่อนหน้ามันเคยเป็นสิ่งที่สามารถทำให้คนตัวเล็กวิ่งพาตัวเองไปหา

     

    ก่อนหน้านี้ ...หลังจากที่องค์หญิงจูเนียร์ออกตัวไปเล่นเกมส์กับเจบี ร่างเล็กก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่า

     

    ไปสิข้าไม่อยากแพ้หรอกนะ

    เอาชิ้นนี้ก็ได้

    ครบหมดเสียที

     

    มาร์คได้ยินเพียงสามประโยคนี้เท่านั้น หลังจากใช้เวลาเกือบครึ่งค่อยวัน ในการช่วยอีกคนหาซื้อข้าวของตามกติกาการเล่นที่ได้รู้ก่อนจะเริ่ม ใจจริงเค้าเองก็ไม่อยากจะพูดเท่าไหร่นักว่ารู้สึกเองได้ว่าตนทำให้การเล่นสนุกของคนตัวเล็กข้างกายที่คล้ายคนไร้วิญญาณหมดไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเค้าไม่ใช้อารมณ์พูดเรื่องไม่เป็นเรื่องนั่น

     

     

    ...บางที ตอนนี้เราอาจจะยังเดินทะเลาะกันตลอดทาง

     

    และเค้าก็อยากให้มันเป็นแบบนั้นมากกว่าต้องกลั้นความรู้สึกผิด และคำพูดเอาไว้ในใจ เดินต่อไปไม่กี่ก้าวก็จะถึงจุดหมายแล้ว ตอนนี้สัญชาตญาณร้องบอกว่า ให้รีบเอ่ยก่อนที่จะไม่มีโอกาส

     

    “องค์หญิงแบมแบ..”

     

     

    หากแต่ว่า เค้าช้าไปก้าวหนึ่ง

     

     

    “แบมแบม!!~

     

    เสียงผู้เป็นพี่ร้องตะโกนเรียกน้องรักด้วยความร่าเริงที่มีทั้งหมด ใจจดใจจ่อกับสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของคนเป็นน้อง ความตื่นเต้นบดบังความรู้สึกและการสังเกตไปจนไม่เห็นว่า รอยยิ้มแสนทะเล้นของแบมแบมนั้นเปื้อนความหมองเศร้าเพียงใด

     

    ถึงจุดนัดหมาย ณ รถม้าที่จอดคอยท่าอยู่นานโข ทั้งสี่ใช้เวลาจนถึงเที่ยงวันเพื่อที่จะหาซื้อของมาให้ได้ครบกับตัวอักษรในชื่อ หากเพียงแค่ซื้อสิ่งที่ตรงกับชื่อก็คงใช้เวลาไม่นาน หากแต่ทั้งสี่เลือกที่จะซื้อในสิ่งที่ตนต้องการเท่านั้น

     

    “เป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ครบรึเปล่า คนแพ้~” เอ่ยเสียงหยอกแกล้งพี่สุดที่รักอย่างน่าเอ็นดู

    “อะไรกัน คนแพ้นั่นมันเจ้าต่างหากเล่า พี่น่ะคือคนชนะ” พูดกลับอย่างไม่ยอมกัน ในเพลานี้คำว่าพี่น้องถูกลดความสำคัญไปก่อน ขอหยิบยกความสำเร็จขึ้นมาคุยกันแทน “เจ้าน่ะจะต้องเป็นกระต่ายฟันใหญ่~

    “ท่านพี่นั่นแหละ~” พูดกลับพร้อมทำหน้าเป็นกระต่าย ข่มขวัญอีกฝ่าย หากแต่กลับดูน่าขันมากกว่าที่จะมากลัวเกรง

     

    จูเนียร์หัวเราะให้กับความน่าหยิกของน้องตัวเอง ก่อนทำท่าเหมือนจะหยิบของออกมาแสดงให้ดูว่าตนหาครบได้และมาถึงก่อน ทว่ากลับไม่ทันได้ทำก็ต้องหยุดมือลง

     

    “กลับกันเถอะ กว่าจะถึงวังก็คงบ่าย”

     

    เจบีเอ่ยขึ้นเรียบๆ ไม่คิดจะให้ใครมาตอบรับ ออกตัวไปเปิดประตูรถม้าเหมือนตอนเที่ยวมา  สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างเข้าใจ เข้าใจว่าด้วยสถานภาพยศศักดิ์ที่มี ความปลอดภัยของตัวเองนั้นสำคัญเพียงใด และการที่ออกมาเที่ยวเล่น ตะลอนๆไปทั่วเมืองนั้นมันช่างเสี่ยงต่อการถูกประทุษร้ายแค่ไหน เดินขึ้นไปบนรถอย่างว่าง่าย ไม่คิดอยากสร้างภาระให้ใครต้องเดือดร้อน แค่ให้คนบังคับม้ารอเป็นเวลาหลายชั่วหลายยามก็คงมากพอแล้ว ดังนั้นไปจัดการตัดสินกันที่วังคงเป็นเรื่องที่สะดวกมากกว่า

     

     

    “ออกรถ”


     

    .. Waiting for next Chapter ..




    อัพครบแล้วจ้า~ ร้องไห้หนักมาก พูดเลยว่าเกิน100%

    ก็ถือว่าทดแทนที่หายไปนาน เจอคำผิดบอกไว้ก็ได้นะคะ นี่พิมพ์งานกับฟิคสลับไปมาเบลอมาก

    เม้นเบยยย จะรออ่าน ไปพูดถึงความใสฟิคในแท็กกันด้วยนะคะ

    อยากเห็นคนเล่นแท็กบ้างอะไรบ้าง งิงิ

    ปล. ความจริงเอ๋ย จงเผยออกมา *-* อิอิ 


    ...


    #ficrightthere



    ขอบคุณที่ยังอยู่อ่าน



    B E R L I N ❀
    Tiny White Pointer
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×