คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 04 : And I get butterflies, just thinking (และฉันก็รู้สึกเหมือน...
Chapter 04 : And I get butterflies, just thinking (และฉันก็รู้สึกเหมือนผีเสื้อบินอยู่ในท้อง แค่เพียงคิดถึง...)
“ฮือ.. ฮึก แค่กๆ”
ประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากคนป่วยที่นอนสลบไสล เป็นเสียงกระแอมไอแหบพร่า แต่ถึงเช่นนั้นมันก็มีอาการดีขึ้นมากแล้ว เพราะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หากแต่คนที่เฝ้าไข้อยู่กลับไม่รู้สึกอย่างนั้น ร่างสูงเหยียดตัวลุกขึ้น ก่อนจะเคลื่อนร่างมาที่ข้างเตียงหนาทันที
“ทรงฟื้นแล้ว... ไปตามหมอหลวงเร็ว”
เสียงสั่งคนรับใช้ดังกร้าว หลังจากนั้นมีเสียงฝีเท้าวิ่งออกไปและประตูก็ปิดลง ขณะนี้ดวงตาสวยปรือมองคนข้างกายที่ยืนท่าทางร้อนรนอยู่ ก่อนจะรวบรวมแรงเอ่ยชื่อ
“ท่านมาร์ค...”
เท้าหยุดยืนอยู่กับที่ ก่อนจะย่อตัวโน้มมาหาร่างบนเตียง แล้วระบายยิ้มที่แฝงด้วยความกังวล ถือวิสาสะกุมมือเนียนไว้ ก่อนจะนำมาแนบแก้มอย่างแผ่วเบา คนบนเตียงไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ร้องบอกสิ่งใด ไม่ว่าความเหมาะสม หรือบอกว่าตนดีขึ้นมากแล้ว ... หรือสมองสั่งบอกว่าคนคนนี้ไว้ใจได้ และสิ่งที่เค้าทำไม่มีอะไรเกินเลย เกินเลยจากหัวใจดวงน้อยที่เริ่มพองโตขึ้นหลังจากพาไข้กัดกินมา จึงปล่อยให้คนตัวสูงกอบกุมมือตนเองไว้ พร้อมกระพริบตามองช้าๆ
“หม่อมฉันขอโทษ.. ถ้าหม่อมฉันไม่คิดเกมล่าสัตว์เราคงไม่พลัดหลงกัน พระองค์คงไม่...”
“ไม่... ไม่ใช่ ไม่ใช่ความผิดท่าน” ตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะคลี่ยิ้ม พร้อมหายใจเข้าลึกๆ
เสียงประตูเปิดขึ้น ร่างสูงถอนตัวออกมาจากเตียง มือหนาปล่อยจากการกอบกุมมือเนียน พร้อมยืนตัวตรงวางมาดเช่นเดิม เพราะหากใครเข้ามาเห็น คนที่เสียหายคงไม่พ้นคนบนเตียง และเหมือนคิดถูกที่ละตัวออกมาก่อน เพราะคนที่เข้ามาคือราชาแห่งเอนไอริส
“ลูกพ่อ” ผู้เป็นพ่อเข้าไปโอบอุ้มลูกอันเป็นที่รักทันทีที่เห็นลูกตนพยายามยันตัวลุกทำความเคารพ
“ท่านพ่อ...” นั่งอิงหัวเตียงในอ้อมกอดผู้เป็นพ่อ “ลูกขอโทษที่ทำให้พระองค์เป็นห่วง”
“ไม่ ไม่เลย... เพียงเจ้ากลับมาหาพ่อนั่นคือทุกสิ่งแล้ว”
สัมผัสถึงความเป็นห่วงของผู้เป็นพ่อได้ด้วยใจ เรื่องนี้คงสะเทือนอารมณ์คนที่เป็นบิดาอย่างมาก เพราะการจากไปของผู้เป็นแม่นั่นก็เพราะด้วยการป่วยตาย ดังนั้นหากตนหรือน้องเป็นอะไรไป ก็ยิ่งทำให้ความทรงจำอันแสนเจ็บปวดย้อนคืนมา
“ทุกคนออกไปก่อน” พูดเสียงค่อย แต่ก็พอที่จะทำให้คนในห้องรับรู้ มองไปที่ร่างสูงเพื่อส่งสายตาบอกว่าท่านก็เช่นกัน ตอนนี้ในห้องบรรทมกว้าง มีเพียงพ่อลูกกับอ้อมกอดอบอุ่น “..ท่านพ่อ”
มือบางเอื้อมไปเช็ดคราบน้ำตาที่กลั้นไว้ไม่อยู่ การที่ตนให้ทุกคนออกไปเพื่อ รักษาเกียรติของคนเป็นราชา การกรรแสงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย แต่ก็ไม่อยากให้ใครเห็น จูเนียร์รู้ดีว่าคนเป็นพ่อรักตนและน้องมากแค่ไหน ยิ่งกับตนที่มีความคล้ายคลึงท่านแม่มากกว่าแบมแบมเสียอีก การสูญเสียมันเลยเจ็บปวดขึ้นเป็นทวีเมื่อเห็นเค้าเป็นอะไรไป
“เหมือนเหลือเกิน เหมือนตอนนั้น..” คนเป็นพ่อพึมพำในขณะที่กอดลูก จุมพิตกลุ่มผมหนา ก่อนจะผละออกให้คนเป็นลูกพักผ่อนในท่าทางที่สบาย
“หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้ว ขอแค่ได้พักผ่อนอีกนิดหน่อย... ก็ออกไปวิ่งเล่นได้แล้วเพคะเสด็จพ่อ”
“แต่.. แต่หมอหลวงก็อยู่ข้างนอก ให้เข้ามาตรวจหน่อยเถอะ” ความเป็นห่วงยังไม่คลายลง
“ท่านพ่อเชื่อลูกสิ... ว่าแต่ แบมแบม?”
ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมายังไม่เห็นใบหน้าทะเล้นของน้องสาว(?) สุดที่รักเลย คิดถึงเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยเต็มที อยากกอดให้คลายคิดถึง แค่ไม่เจอกันเพียงวันสองวันก็อยากเดินไปคุยไปเล่นด้วยแล้ว แต่แล้วใบหน้าเปื้อนยิ้มของตัวเองก็ถูกชะล้างด้วยสีหน้าของผู้เป็นพ่อ
ก้าวเดินออกมาจากห้องนอนของคนป่วยคนแรกด้วยสีหน้าไม่ชอบใจเล็กน้อย แต่ก็ต้องปั้นหน้าปกติ ซึ่งมันก็ทำได้ไม่ยาก เพราะเค้าทำมันมาโดยตลอดอยู่แล้ว.. เดินต่อไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็ไม่รู้ทำไมว่าตัวเองถึงมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องของคนป่วยอีกคน และยิ่งกว่านั้นสมองก็สั่งการให้เปิดประตูเดินเข้าไป แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก
“...?” สีหน้าตกใจเล็กน้อยปนเปมากับความสงสัย ก่อนจะวางหนังสือในมือลง ไม่รู้ทำไมเค้าถึงรู้สึกถึงสายตาตัดพ้อที่แฝงมาในแววตาคู่นั้น
“.....”
ทั้งสองไม่มีใครปริปากเริ่มการสนทนาใดๆ ทั้งที่หากเป็นก่อนหน้านี้ทั้งคู่พร้อมเปิดสงครามน้ำลายสาดใส่กันอย่างไม่มีใครยอมกัน เด็กแสบกับชายมากรัก คู่ศัตรูที่พร้อมจะฟาดฟันกันด้วยฝีปากหายไปที่ใดกัน หรือมันมลายหายไปในสายน้ำของน้ำตกในป่าไปแล้ว
“มีอะไร” ในที่สุดเจ้าของห้องก็เอ่ยถามก่อน หลังจากทนสบสายตาคู่นั้นมาจนทนไม่ไหว ความกดดัน อึดอัด เมื่อผสานเข้ากับความเงียบก็ยิ่งรุ่นแรงกับความรู้สึก หลุบตาลงมองหนังสือเหมือนไม่สนใจ
“ไม่มี” ถึงกระนั้นแต่ก็ไม่มีความคิดจะเดินออกไป ทั้งที่ปากพูดว่าไม่มีอะไร
“...ออกไปเถอะ ข้าจะพัก...” พูดเรียบๆ โดยที่ไม่เงยหน้ามาสบตาคนฟัง ...ก็ไม่รู้เพราะอะไร แต่เหมือนลึกๆรอฟังคำๆนึง คำที่อยากได้ยินจากปากคนตัวสูงที่ยืนเย็นชาอยู่ตรงมุมห้องนั่น คำว่า
“ท่าน....”
“เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
นั่นแหละคือสิ่งที่เค้าอยากฟัง เพียงแต่เจ้าของประโยคแสนห่วงนั่นมันคือ...
“ท่านพี่...” ร่างบางในชุดนอนเดินเข้ามาหาคนเป็นน้องทันที ทั้งที่สภาพดูแย่กว่าคนที่นั่งถือหนังสือเล่มหนาบนเตียงเสียอีก
อ้อมกอดแสนอบอุ่นโผเข้ามาหาคนบนเตียงทันที ทั้งสองผูกพันเกินกว่าใครจะเข้าใจ สายใยพี่น้องอันแน่นแฟ้น แต่ไม่รู้ทำไมความอบอุ่นของผู้เป็นพี่ในครานี้มันทำในอกข้างซ้ายเจ็บแปล๊บขึ้นมา
“ข้าแค่หน้ามือนิดหน่อยเอง พักผ่อนน้อยก็เพราะห่วงท่านพี่นั่นแหละ ทำไมถึงรีบลุกมาทั้งที่อาการยังแย่แบบนี้ล่ะ” พูดพลางยู่หน้าใส่เล็กน้อย ทั้งที่ชอบว่าน้องว่าดื้อ แต่ผู้เป็นพี่กลับดื้อกว่าเสียอีก
“ก็ข้าห่วงเจ้า คืนนี้ข้าจะนอนกับเจ้า ไม่รู้ล่ะ”
ความรักของพี่น้องทั้งสองดูเป็นความรู้สึกบริสุทธิ์จน แลดูคล้ายม่านพลังที่ไม่มีสิ่งใดสามารถเจาะเข้าไป แทรกให้ห่างได้เลย รอยยิ้มของผู้เป็นพี่มันช่างเยียวยาหัวใจของคนบนเตียงได้อย่างดี
“งั้นก็ตามพระทัยเพคะ~ แต่ถ้าน้องติดไข้แล้วประชวลตามท่านก็คงสนุกดีไม่น้อย” ยิ้มตอบแบบยียวน ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง
“ไม่หรอกข้าดีขึ้นแล้ว ข้อเท้าก็หายเจ็บแล้ว ไปรับประทานอาหารเช้ากันเถอะน้องพี่”
จูงมือกันกันไปสองคนโดยไม่ได้สนใจร่างสูงที่ยืนสงบเงียบดูความเป็นไปในห้อง เสี้ยววิหนึ่งจูเนียร์เหลือบมองมาร์ค แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดติดใจอะไรเพราะการที่จะเข้ามาเยียนคนป่วยมันก็เรื่องปกติ ถึงแม้จะรู้ว่าทั้งคู่ดูไม่ถูกกันเท่าไหร่นัก แต่จากที่เห็นทั้งสองอาจจะมีความสัมพันธ์อันที่ดีขึ้น ก็อาจจะทำให้น้องรักมองมาร์คเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็อาจจะยอมให้ตนได้คุยกับมาร์คอย่างไม่ดุไม่ขัด
...มองร่างบางทั้งสองเยื่องกรายออกไป ก็มองตามช้าๆ ทั้งที่เป้าหมายของเค้าคือเจ้าหญิงองค์โตของเอนไอริสอย่างจูเนียร์ แต่ตอนนี้สายตาที่มองมันกลับมองไปที่อีกคน คนตัวเล็กที่เดินไปกับผู้เป็นพี่อย่างร่าเริง กลืนคำว่าเป็นห่วงลงคอ ตอนนี้ได้แต่เพียงท่องไว้ในใจว่า งานต้องมาก่อน...
เหม่อมองออกไปท่ามกลางยอดหญ้า และใบไม้ที่ลู่ตามลม ตอนนี้ก็จวนเจียนจะเย็นย่ำ อาทิตย์ใกล้จะลาลับไปอีกครา มาร์คนั่งอยู่ตรงนี้นานเหลือเกิน นานแสนนาน ตั้งแต่รุ่งเช้าของวันที่ถูกเพิกเฉย จากเจ้าของห้องนอน ที่เดินออกไปกับพี่สาว.. ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันก็ควรจักเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกประหลาด รู้สึกหงุดหงิดอย่างที่ใจบอกไม่ถูก
...ทั้งๆที่เป็นคนไล่ไปเองแท้ๆ
...ทั้งที่สั่งห้ามเค้าเองแท้ๆ
...ทั้งๆที่..
.
.
.
“โถ่เว้ย!”
ขายาวๆวาดเตะอากาศ ได้ยินเป็นเสียงลมควับ ใส่อารมณ์ขุ่นที่ไม่เคยมีกับธรรมชาติที่แตะต้องไม่ได้เพื่อระบาย ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปเข้าไปในวัง แต่ทว่าขาก็หยุดกึกลง ใบหน้าคมหันมองร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่เงียบๆ ใบหน้าเรียบเฉยยากจะเดาอารมณ์ เฉกเช่นเดียวกับเขาในตอนนี้
เสียงทอดถอนหายใจดังออกมาเบาๆ ก่อนจะหันตัวไปประจันกับบุคคลที่ยืนอยู่ รอประวิงเวลาอยู่นานโข แต่ก็ไร้ซึ่งคำใดๆออกมา จากร่างที่นิ่งเฉียบยิ่งกว่าศิลาหิน หรือขอนไม้หนา มีเพียงแค่แววตาสงบแฝงด้วยไอเย็นมองมา
“เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้า... หรือไม่?” ความอดทนที่ต่ำกว่าของมาร์ค ทำให้เอ่ยพูดไปก่อน เกมประสาทสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงถามของเค้า
เคลื่อนตัวออกมาจากที่ๆยืนอยู่ ก่อนจะเดินมาคุยกันตามมารยาทที่ควรจะมาอยู่ในจุดที่ควร เพื่อเริ่มบทสนทนา มือหนาล้วงกระเป๋าเป็นแนวเตรียมพร้อมกับการมาของมนุษย์ศิลาที่เยื่องกรายเข้ามา อย่างไร้อารมณ์ หากแต่สิ่งที่เอ่ยนั้นกลับดูต่างกับการแสดงออก
“ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ยากจะควรคู่อยู่หรือ”
ประโยคที่ฟังแล้วต้องคิดทวนอยู่หลายทบรอบ เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่ คนตรงหน้าต้องการสิ่งใด
“เจ้าหมายความว่าอะไร” แววตาฉายความสงสัยใคร่รู้ กลบทับความขุ่นข้องใจก่อนหน้า
“ไม่มีเหตุอันใด จำเป็นต้องอธิบายขยายความ” ยกยิ้มร้ายให้ก่อนจะเดินออกมา
ทิ้งให้คนข้างหลังตากระตุกกว้าง รอยยิ้มร้ายๆนั่น ไม่คาดคิดว่าจะได้รับมาจากคนตรงหน้านั้น อะไรกัน เจ้าองครักษ์นั้น ยิ้มของมัน...
ยืนนิ่งงันอยู่ครู่นึง เค้าไม่อยากจะยอมรับนักหรอกว่ารอยยิ้มบ้าๆที่ไม่คิดว่าจะพบเจอมันบนใบหน้าขรึมของเจบีนั่นมัน เย็นยะเยือกแปลกพิกล สะบัดหัวเบาๆ ก่อนจะใช้มือหนาปัดให้เข้าทรงอยู่ในมาด แล้วเดินกลับเข้าไปในตัววังหลังจากปลีกตัวออกมานานโข
ร่างสวยทั้งสองนั่งมองกระต่ายตัวน้อยที่เลี้ยงไว้วัง กระโดดไปมาตามพงหญ้าพนาพันธ์ สนามหญ้ากว้างที่อยู่ไม่ไกลจากสวนอันงามงดของผู้เป็นแม่ ตอนนี้คนป่วยที่ดูร่าเริงเกินปกติ อย่างผู้เป็นพี่ก็ดี หรือจะคนที่ปากบอกสบายดี แต่สีหน้ากลับเรียบนิ่งแทนที่จะวิ่งไล่สัตว์ตัวน้อยกับคนเป็นพี่ ก็ด้วย ตอนนี้ใจดวงเล็กที่กำลังวุ่นวายไหวหวั่นนั้น ยากเกินทานทน
“อ้ะ! โอ้ย!”
แววตาที่หลุบมองแสงแดดอ่อนๆส่องกระทบพื้นหญ้า ยกขึ้นมองต้นเสียงก่อนจะเบิกโพล่ง สองขาวิ่งไปประคองร่างที่ล้มลงไปทาบดินทันที ความคิดว้าวุ่นในหัวกระเจิดกระเจิงออกไป มือน้อยๆคอยพาร่างคนเป็นพี่ไปนั่งที่เกาอี้มีพนัก
“..?” ร่างเล็กชะงักงันเมื่อข้อมือบางถูกรวบไว้ด้วยคนเป็นพี่ “หม่อมฉันจะไปตามหมอ..” ปลายเสียงแผ่วลงเมื่อเห็นแววตาของคนที่นั่งจ้องอยู่
...ท่านพี่
คิดว่าการเป็นพี่น้องกัน อยู่ด้วยกันมา ความผูกพันระหว่างคนทั้งสองสื่อถึงกันได้แค่ไหน ความในใจถึงให้ปิดกลั้น โบกปูนทับ หาดินมาถม ก็คงหลุดลอดออกไปให้อีกฝ่ายรู้เอง สายใยที่ไม่สามารถตัดกันขาด ของคนทั้งคู่
“.....” หย่อนตัวลงกับพื้นหญ้า มือคนเป็นพี่ยังไม่คลายออกจากข้อมือเนียน ได้แต่จ้องมองใบหน้าแววตากันและกัน หากแม้นมีใครเอ่ยวาจาขึ้นก่อนคงดีมิน้อย เพราะตอนนี้คนที่มักจะตะโกนโหวกแหวก ในความคิดนั้น ล่องลอยว่างเปล่า เหมือนมีปุยนุ่นขยุมยุ่งๆไว้พ่อเป็นพิธีแทนที่สมองประมวลเรื่อง
“น้องพี่...” เอ่ยขึ้นยุติความเงียบงัน “มีอะไรเกิดขึ้นตอนพี่หายไปรึไม่” เสียงนุ่มๆของคนเพิ่งหายป่วยเอ่ยถาม
“....?”
“เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่พี่ไม่อยู่รึไม่?” เป็นคำถามที่เข้าใจง่ายดายแต่ตอบยากเหลือเกิน
“.......” ไม่เคยรู้สึกกระอักกระอวนในใจถึงเพียงนี้ คำตอบนี้ควรเอื้อนเอ่ยไปเยี่ยงไร
“ช่างมันเถอะ” ระบายยิ้มบางๆ ก่อนจะละมือออก “มันคงเป็นเรื่องหนักหนาจริงๆ เจ้าถึงเปลี่ยนเป็นคนนิ่งขรึมถึงเพียงนี้
“...ท่านพี่”
“อะไรล่ะ ... เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้เลยหรอว่าน้องจอมแก่นของตัวเองมีเรื่องในใจ จนพูดไม่เป็นน่ะ”
คนเป็นน้องเขยิบตัวนั่งลงใกล้ ก่อนจะมองคนบนเก้าอี้ด้วยสายตาที่มากด้วยความความรู้สึก ความคิดและสิ่งที่อยู่ในหัวประดังประเดเข้ามา
“ข้ามีเจ้าเป็นน้องคนเดียว” มือคนเป็นพี่เลื่อนมาเกลี่ยไรผมที่ถูกลมพัดบังหน้าน้องรัก “ดังนั้น เจ้าจึงเป็นคนที่ข้ารักที่สุด.. ข้ารักเจ้ามากกว่าท่านพ่อเสียอีก” พูดติดอารมณ์ขันให้คนฟังคลี่ยิ้ม
“เพคะ...”
ควรบอกไปดีหรือไม่ ความรู้สึกที่ไปเจอมา ..
“ท่านพี่...”
“ว่าเช่นไร?”
..อย่ามายุ่งกับหม่อมฉันเลย องค์หญิง
“...คือ....”
มันไม่มีผลดี... ไม่ว่ากับใคร
“ท่านมาร์ค”
เสียงคนเป็นพี่เอ่ยขึ้น ทำเอาคนที่อยู่ในภวังค์สับสนสะดุ้งตัวเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะความดังของเสียง แต่เป็นเพราะชื่อนั่นต่างหาก..
“องค์หญิง..” ดวงตาคมปรายมองคนตัวเล็กที่นั่งหลุบตาลงกับพื้นหญ้าอยู่ข้างๆคู่สนทนา ก่อนจะปั้นยิ้มให้คนบนเก้าอี้ต่อ “มาอยู่ที่นี่เอง หม่อมฉันหาตั้งนาน”
“ตามหาข้า? มีเรื่องอะไรหรือ?” มือหนายื่นมาให้บอกเป็นนัยน์ว่าให้ลุกไปด้วยกัน
“หากมิมีเหตุ จะขอเข้าพบได้หรือไม่” ส่งรอยยิ้มเรียกใจสั่นให้ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปใกล้
“...ท่านก็เข้ามาพบข้าแล้วนี่นา” หลบตาเพราะความเหนียมอายก่อนจะลุกตามแรงช่วยของคนตัวสูง “..ขอบคุณเพคะ”
ดวงตาคู่ที่เคยหลุบมองพื้นหญ้า เหลือบมองภาพที่สะท้อนในใจชัดเจน ก่อนจะพยุงตัวที่สั่นเทาของตัวเองลุกแล้ว ปั้นหน้าให้เรียบเฉยที่สุด ไม่เข้าใจว่าทำไมใจตัวเองถึงรู้สึกประหลาดเท่านี้
“หม่อมฉันไร้ยศศักดิ์ ไม่ต้องขอบพระทัยอะไรนั่นหรอก”
“...ไม่เห็นยุติธรรมเลย” มองคนที่โอบตัวเองอยู่ก่อนจะ พูดเสียงค่อยว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็เรียกกันด้วยคำปกติที่สามัญชนใช้เถอะ” กลั้นรอยยิ้มเขินอายไว้ ก่อนจะลอบมองใบหน้าหล่อเป็นระยะ
“ได้ขอรับนายหญิง” ยิ้มบาดใจนั่นทำเอาคนตัวบางในอ้อมแขนใจสั่น ผู้กระทำนั้นรู้ดี
“นายหญิงอะไรกันเล่า...” ดวงหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ
ทั้งสองเดินเข้ามาในตัวปราสาท โดยลืมไม่แล้วกระมัง ว่ามีคนอีกคนที่เดินตามมาอย่างไร้วิญญาณอยู่ด้านหลัง มองหลังของคนที่เดินอยู่เบื้องหน้าค่อยๆจากออกไป พร้อมกับเสียงคุยปนเสียงหัวเราะ เท่านี้ก็รู้กระจ่างแก่ใจแล้ว ว่าเรื่องของตัวเองควรจบไปเป็นเช่นไร
ปลีกตัวออกมาก่อนจะมุ่งตรงไปยังที่เดิม ที่ที่คิดว่าคงจะปลอบใจฟุ้งซ่านได้ ห้องหนังสือสุดรัก
“....ท่าน?” เดินเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเห็นองครักษ์หนุ่มที่เคยอยู่ในดวงใจ ยืนจัดกองหนังสืออยู่
คนถูกเรียกโค้งให้เป็นเชิงทำความเคารพก่อนจะหยิบหนังสือแต่ล่ะเล่มเก็บไว้ตามชั้นที่ควร คนตัวเล็กได้แต่มองการกระทำนั้นอย่างฉงนใจ
“หึ..” เสียงหัวเราะในลำคอ ดังขึ้นพร้อมกับตาคู่ที่เอาแต่มองสันเรื่องเปลี่ยนมามองคนตัวเล็กที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ “ท่านซ่อนพวกมันไว้ทำไมหรอ”
“..ห้ะ?” คนตัวเล็กมองงงๆ ก่อนจะยิ้มแห้งๆให้เจ้าของคำถาม “ก็ข้ากลัวใครเอาไปอ่าน... ”
พูดจบก็เดินตรงเข้ามาหยิบกองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ เจบีไปค้นมาจากทุกซอกหลืบ ที่ตนเอาไปวางแอบไว้ บางเล่มอ่านจบแล้ว บางเล่มก็เพิ่งอ่านไปไม่กี่หน้า
“ก็ข้ายังอ่านมันไม่จบเลยนี่นา...” มองหน้าอีกคน พร้อมกอดหนังสือที่อ่านค้างไว้ “อ้า! เล่มนี่ข้าชอบที่สุดเลยล่ะ” ชี้ไปที่หนังสือเล่มที่องค์รักษ์หนุ่มกำลังจะเก็บ “เนื้อเรื่องมันสนุกดีนะ เกี่ยวกับความรักที่ห่างไกล ผู้ประพันธ์ใช้ถ้อยคำกินใจมาก”
“เล่มนี้น่ะหรอ?” มองหนังสือเล่มขนาดพอดีในมือ ก่อนจะยักไหล่เก็บไว้กับตัวเอง “ไว้ข้าจะลองอ่าน”
“จริงหรอ!” คนตัวเล็กดูตื่นเต้นที่มีคนสนใจกับเรื่องที่ตัวเองพูด “ท่านจะอ่านมันจริงๆหรอ”
“ก็ท่านบอกว่ามันสนุกใช่ไหมล่ะ... ข้าก็อยากลองอ่านมันดู” ยิ้มบางๆที่มุมปาก ก่อนจะเก็บเล่มสุดท้ายบนชั้นวาง
คนตัวเล็กยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ กับสิ่งที่ทำ ไม่เคยมีคนสนใจจะฟังคำของคนอย่างเค้าเลย หรืออาจเพราะนิสัยขี้เล่นจนดูไม่น่าจะโกรธเคืองใครง่าย เลยทำให้ทุกคนเห็นเรื่องที่เค้าอยากพูดเป็นเรื่องตลกไป หารู้ไม่ว้าเค้าก็แอบน้อยใจในบางที
“ทำไมมุมกระดาษถึงเป็นรอยยับเช่นนี้ล่ะ” มือหนาเปิดผ่านดูรอยกระดาษที่ยับที่มุมเกือบทั้งเล่ม
“..ข้าพับมันเองแหละ” ยิ้มตาหยีก่อนจะเปิดเล่มที่กอดไว้ให้ดู “นี่ก็ด้วย...”
“ทำแบบนี้กระดาษก็เสียหมดสิ”
น้ำเสียงดุเล็กน้อย ก่อนจะมองด้วยสีหน้าอ่อนโยน ไม่คิดเลยว่าท่านเจบีจะมีมุมนี้เหมือนกัน
“อะไรกันเล่า ดุยิ่งกว่าพี่ข้าเสียอีก”
“ข้าก็ถือว่าเป็นพี่ท่านนะองค์หญิงน้อย”
“งั้นข้าก็เรียกท่านว่าพี่ชายได้ใช่ไหม”
“หืม? พี่ชาย”
“ไม่รู้ล่ะ ข้าอยู่กับท่านแล้วสบายใจ ... พี่ชาย!”
รอยยิ้มที่แสนร่าเริงของเด็กน้อย นั่นทำให้ความคิดคนที่มองอยู่ไหววูบไม่น้อย ก่อนจะยกไหล่เป็นเชิงตามใจ
“แล้วยังไม่ตอบเลยว่าพับมันทำไม... อ่านแล้วมือบอนหรือน้องพี่”
คนตัวเล็กหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกแบบนั้น.. ให้ตายสิ ท่านเจบี ...ไม่ไม่ไม่ เขินบ้าอะไร แค่ถูกเรียกว่าน้องเอง
“ก็ถ้าไม่พับไว้ ข้าก็ลืมสิว่าอ่านถึงไหนแล้ว” เบ้ปากพูดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเช่นเดิม
“...ไม่มีที่คั่นหนังสือทั้งที่ชอบอ่านมันงั้นหรือ?”
“มันคืออะไรหรอ?” มองด้วยสีหนาจริงจัง ก่อนจะพูดขึ้นก่อนจะฟังคำตอบ “ข้าไม่รู้จักมันหรอก เอาเป็นว่า อ่านจบแล้วมาบอกข้านะ ว่าสนุกไหม”
“เอ่อ... ได้สิ” พยักหน้ารับอยู่ในที มองคนตัวเล็กที่เดินโดดไปมาอยู่ตรงประตู
“ข้าไปก่อนนะ... อย่าลืมอ่านล่ะ! ...ท่านพี่~”
พูดจบก็เดินออกจากห้องหนังสือไปยังห้องของตัวเองทันที
“ขอบคุณนะ ที่มาส่งข้าถึงห้อง” ยิ้มน้อยๆ รักษากิริยา
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ข้าเต็มใจเสียอีก” คว้ามือเนียนมากุมกอบไว้ ก่อนจะระบายยิ้มอ่อนหวาน
“...เอ่อท่านมาร์ค” ใบหน้าขึ้นสีกว่าเก่า ทั้งเขิน ทั้งประหม่า
“ถ้าไม่รังเกียจ วันรุ่งพรุ่งนี้ เราไปเที่ยวชมเมืองกันได้หรือไม่..”
“ชมเมือง?” นี่เรากำลังถูกขอเดทใช่ไหม นี่ท่านมาร์คกำลังชวนเราไปเที่ยวตามประสาคนรักหรือเปล่านะ “เอ่อคือ... ข้า”
“ไปสิ.. น่าสนุกดี” เสียงของแบมแบมดังขึ้นในขณะที่จูเนียร์กำลังคิดหนัก เหมือนกับช่วยชีวิต ก่อนที่ความเขินอายจะแทรกซึมจนร่างแตกออกมา
คนเชิญมองด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะวางมาดเช่นเดิม
“ข้าเชิญองค์หญิงจูเนียร์”
“พูดเช่นนี้จะบอกว่าไม่ได้เชิญข้าใช่ไหม?” ดวงตาสวยที่เคยเอาแต่หลบ ไม่มองใบหน้าหล่อ บัดนี้มันกลับมามองคนหน้าคมด้วยสารท้ารบเช่นเดิมแล้ว
“ไหนเลยหม่อมฉันจะกล้า...”
“งั้นก็จบเรื่อง เลิกรุ่มร่ามกับพี่ข้าแล้วก้กลับห้องไปซะ”
“...!”
กล้ามเนื้อบนหน้ากระตุกเล็กน้อย คนที่หมองเศร้าก่อนหน้านี้ไม่กี่เพลาหายไปไหน ใยกลายเป็นเด็กแสบ ที่ไปเพิ่มความเขนตรงมาอีก พูดตอกหน้าไม่สนใจว่าพี่ของตนมองอยู่
“แบมแบม...” พูดเสียงปรามน้องที่ยืนมองชายที่ทำให้ตัวเองไหวหวั่น ด้วยสายตาพร้อมทุ่มสันหนังสือในอ้อมแขนใส่
“...งั้นก็ตามพระทัย แต่หม่อมฉันอาจจะถวายความอารักษ์ขาพระองค์ไม่ได้ เพราะหม่อมฉันต้องดูแล ...” มองด้วยสายตาเยิ้มหวาน ให้จูเนียร์ก่อนจะเอ่ยต่อ “คนสำคัญของหม่อมฉัน”
..คนสำคัญงั้นหรอ..
-///-
“เหอะ! งั้นก็ดี เจ้าก็ไม่ต้องมาเกะกะข้าเที่ยวเล่น” ยิ้มเย้ย ก่อนจะตบเท้าเข้าห้องไป ปิดประตูเสียงดังลั่น
“...ขอโทษแทนน้องข้าด้วย แบมแบมเพิ่งเจอเรื่องแย่ๆมา คงอีกสักพักถึงจะปกติ ที่จริงเค้าไม่ได้เป็นคนก้าวร้าวแบบนี้เลย”
“ช่างเถอะ ..หม่อมฉันเข้าใจ”
คว้ามืออีกคนมาจุมพิตบางๆ ก่อนจะยิ้มให้อีกครั้ง ใจของจูเนียร์ทำงานหนักอีกครา กับการกระทำของชายหนุ่มนักกายกรรมรูปงาม
“ฝันดี... คนสำคัญของข้า”
รู้สึกหวิวในท้อง ราวกับมีผีเสือนับร้อยตีปีกด้านใน คนคนนี้ ...ก้าวข้ามคำว่าน่ารักไปไกล เค้าช่างแสนดี สุภาพ อ่อนโยน แก้มสองข้างร้อนผ่าว กลั้นรอยยิ้มไม่ไหว ต้องถอนมือออกมา แล้วปิดประตูใส่ทันที
“ให้ตายสิ น่ารักอะไรแบบนี้”
หลังประตูสีน้ำตาลอ่อน มีร่างเล็กที่ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ หลังจากรู้สึกว่าทำอะไรคนหน้าหนาด้านนอกไม่ได้เลย
“เจ้า! ไอ้คนบ้า... ข้าจะไม่ยอมให้ท่านพี่ข้าตกหลุมพรางรักปลอมๆ ของคนเจ้าชู้เช่นเจ้าเป็นแน่ คอยดูแล้วกัน ท่านพี่ต้องตาสว่าง ปฏิญาณด้วยเกียรติของแบมแบมผู้ถือหนังสือสามเล่มเลย!”
วางหนังสือทั้งสามลง มองไปที่รูปที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหยิบขึ้นมามอง นิ้วมือลูบเบาๆที่ใมบหน้าเปื้อนยิ้มของคนเป็นพี่
“หม่อมฉันจะทำให้ท่านพี่เสียใจไหมนะ... แต่มันดีสำหรับท่าน”
.
.
.
.
“เพราะคนอย่างมาร์คน่ะ ไม่คู่ควรกับท่าน!”
.. Waiting for next Chapter ..
อัพแล้ว!!! ฮือออ วันเวลาผ่านไปอย่างยากลำบาก นี่ก็พยายามอัพเร็วที่สุดแล้ว
หวังว่าคงไปจากกันไปเสียก่อน นี่จัดไปยาวๆค่ะ เนื้อเรื่องดำเนินเร็วนิดนุง (รึเปล่า?)
เราจะไม่ยอมให้แบมแบมมาขี้แงแน่นอน ใครคิดว่าทำไม ฮึดเร็วจังวุ้ย
ก็นิสัยตัวละครไม่ใช่คนที่จะมานั่งดราม่า ดังนั้นเราจะไม่ยืดเยื้อใดๆ
พาร์ทหน้า นี่สำคัญมากอ่ะ สำหรับไรท์นะ
เตรียมตัวงงได้เลย 55555+
“อย่าคิดว่าทุกอย่างจะเป็นแบบที่คิด เพราะขนาดคนแต่งยังคิดแล้วไม่เป็นแบบนั้นเลย”
อ่าวววววววว~
...
อยากเม้น อยากโหวต ก็ทำเลยเราจะรออ่าน
ฮริ้ง~ หรือจะจิกหัวให้มาอัพไวๆก็เช่นเดิม @SwT_Te
หรือจะบ่นในแท็ก ก็จัดมา~
B E R L I N ❀
ความคิดเห็น