คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 01 : If you wanna party, If you.
Chapter 01 : If you wanna party, If you.
*ก๊อก ก๊อก~
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่จะปรากฏร่างของน้องชายผู้เป็นที่รัก น้องชายคนเดียวของเค้า จูเนียร์ค่อยๆลุกจากเก้าอี้ที่หน้าต่าง เดินมาที่เตียงเพื่อคุยกับแขกที่มาเยือนถึงห้องนอน
“ว่าอย่างไร มาหาพี่กลางดึกเช่นนี้ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น?”
“ก็ไม่มีเหตุสำคัญอันใดเลย เพียงแต่ ข้าเห็นว่าแสงไฟจากห้องท่านยังไม่ดับลง ก็เลย...”
“ขอบใจนะที่เป็นห่วงข้า แต่เจ้าไปนอนเถอะ เพราะพี่กำลังจะเข้านอนแล้วเช่นกัน”
“ท่านพี่... คิดถึงคนคนนั้นอีกแล้วหรอ”
ใบหน้ายิ้มแย้มที่มีให้น้องชาย จางลงไปทันตา จูเนียร์หายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง ก่อนจะหย่อนตัวลงบนเตียงพร้อมหันไปพูดกับเจ้าของคำถามอีกครั้ง
“อื้ม...”
“ท่านพี่~ ท่านควรปล่อยใจให้โล่ง และเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสบายใจนะ ข้าไม่อยากเห็นท่านดูไม่สดใส ในวันรุ่งพรุ่งนี้ ...ข้าน่ะ ยินดีที่เห็นท่านพี่ของข้ามีความรักที่บริสุทธิ์ แต่.. หากความรักของท่านครั้งนั้นทำให้ใจท่านหมองหม่น ข้าขอได้ไหม ให้ท่านลองเปิดใจ เปิดใจ... ให้กับคนใหม่ๆ อีกไม่กี่เดือน ท่านก็จะเข้ารับเอนไอ เอนไอน่ะเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ มีเรื่องที่จะเกิดขึ้นมากมาย ไหนจะเรื่องเตรียมตัว เตรียมชุด และท่านยังต้องเลือกรสจูบของตัวเองอีก ข้าอยากเห็นท่านพี่... ลองมองใครไว้...บ้าง ก็เท่านั้น”
เมื่อบทพูดอันยาวเหยียดของน้องรักที่ห่วงใยจบลง ผู้เป็นพี่ก็เอื้อมไปกุมมือของน้องรัก ก่อนจะยิ้มด้วยความเอ็นดูให้ และกล่าวขึ้น
“ขอบใจเจ้านะแบมแบมน้องรัก แต่พี่น่ะ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างเจ้าบอกได้หรือไม่ ...พี่แค่หวังว่าเค้าอาจจะมา”
“ท่านพี่~ ลืมเรื่องนั้นไปก่อนเถิด ท่านเห็นชุดที่ท่านพ่อสั่งตัดเพื่อเราทั้งคู่รึยัง”
เพราะมเหสีอันเป็นรักเดียวได้ด่วนจากไปเร็ว ทำให้ใจอันแกร่งแลกล้าหาญของราชาแตกร้าว ราวกับเพียงพะพายพัดผ่านก็พลันแหลกสลายป่นลงกลายเป็นฝุ่นได้ก็ไม่ปาน จึงทำให้องค์ราชาฝังใจว่าลูกทั้งสองที่รักของเค้านั้นคือชายาที่ตายจาก เหตุนั้นอาจมาจากบุตรทั้งสองช่างเหมือน เหมือนราชินีสุดที่รักที่จากไปเกินบรรยาย และด้วยอำนาจที่มีทั้งหมดในมือ พระองค์จึงทำให้ทุกคนเชื่อว่า ลูกชายทั้งสองนี้ คือพระราชธิดาที่เหลืออยู่ ซึ่งคนที่รู้ก็ได้ตายไปแล้วสิ้น มีเพียงแต่ใจของราชา และเด็กทั้งสองที่รู้ ถึงแม้ทั้งสองจะรู้ดีแก่ใจ แต่ก็ทำเพื่อท่านพ่อจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแท้จริงตนเองนั้น...
เนื่องมาจากทั้งสองนั้นถูกเลี้ยงดูมาจากท่านแม่ ท่านที่เลี้ยงมาราวกับธิดาองค์น้อย ความอ่อนโยนที่เจ้าหญิงพึงมี ทั้งคู่จึงเพียบพร้อม ทั้งรูปโฉมงามหาที่เปรียบ เนื่องด้วยความงามที่เหมือนกับมารดาราวกับถอดพิมพ์ รูปร่าง ผิวพรรณ หน้าตา กิริยา หาที่ติมิได้ …ในสายตาผู้เป็นพ่อ พวกเค้าคือ ‘องค์หญิง’
“ท่านพี่ ข้าน่ะเห็นมาแล้วนะ ข้าชอบมากๆเลย มันเป็นสีที่เข้ากับข้ามากๆ แต่ของท่านพี่นั้นก็สวย.. ข้าเชื่อว่าเมื่อท่านสวมมัน มันจะต้องงามเกินใครในงานวันพรุ่งเป็นแน่”
“เจ้าเอ่ยเกินจริงแล้วน้องพี่ ... ได้เวลานอนของเจ้าและพี่แล้วน้องรัก หากท่านพ่อทรงทราบว่าเจ้าลุกจากห้องมาเดินตามทางเดินยามวิกาลล่ะก็”
ถึงจะพูดเช่นนั้น ทว่าผู้เป็นน้องก็ลุกและเดินไปทางประตูเรียบร้อย แต่ก็หันมายิ้มให้ผู้เป็นพี่อย่างเจ้าเล่ห์
“ท่านพี่ พรุ่งนี้ท่านหมอเฮอเซล ฮาเซลที่เลื่องชื่อว่าเก่งไพ่ยิปซี จะมาร่วมงานที่เมืองเราด้วย ถ้าท่านอยากรู้ว่าจะได้พบท่านพี่ผู้นั้นหรือไม่ เราไปให้ท่านหมอดูให้กันไหมล่ะ ข้าน่ะก็อยากลองไปดูเหมือนกัน พรุ่งนี้ท่านต้องไปกับข้านะนะนะ”
“...ไพ่ยิปซีงั้นหรอ ...เช่นนั้นก็คงได้แหละมั้ง”
สายตาตื่นเต้นของผู้เป็นน้องและถ้อยคำโน้มน้าวใจ ทำให้ผู้เป็นพี่ยอมรับคำว่าจะไปดู ...ใช้คำว่าไปเป็นเพื่อนจะถูกกว่ากระมัง…
ดวงตาแห่งโลกสาม และคำถามที่แถลงไข
บางครั้งก็ควรตรึกตามว่าทำไม
เมื่อเจ้ารู้แล้วไซร้ ...ดีต่อใจแล้วหรือ?
ห้วงนิทราอันแสนหวานถูกป่วนด้วยความตื่นเต้น ของน้องชายที่ทวงสัญญา ผู้เป็นพี่จึงได้แต่เดินตามน้องไปตามที่ต่างๆรอบเมือง วันนี้เป็นวันฉลองวันเกิดของราชาแห่งเอนไอริส ทุกที่จึงประดับประดาไปด้วยดอกไม้ โคมไฟ และริบบิ้น นี่ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว ผู้เป็นน้องก็หยุดม้าอยู่ตรงหน้าพลับเพลาที่ดูลึกลับ มีเถาวัลย์เลื้อยอยู่รอบๆ มีดอกไม้ป่าเบ่งบานตามมุมหน้าต่าง มีเพียงป้ายไม้ที่ดูสะอาดตาเขียนว่า เฮอเซล.
“ที่นี่แหละท่านพี่ ที่เค้าบอกว่าท่านหมอมาพักชั่วคราว”
“...พี่ว่ามันน่ากลัวแปลกๆนะแบมแบม”
“มาถึงแล้วก็ต้องลองดูสิ หรือไม่ท่านไม่อยากรู้เรื่อง...คนคนนั้น”
ผู้เป็นน้องจี้จุดได้ตรงลงไปกลางใจผู้เป็นพี่ เค้าจึงยอมเดินเข้าไปในที่พักแห่งนี้ด้วย ด้านกลับไม่น่ากลัวเหมือนด้านนอก สะอาดตา และอบอุ่น สีเขียวของต้นกระบองเพชรนาๆชนิดวางเรียงรายไว้ รายกับเป็นร้านขายส่ง ทั้งคู่เดินเข้ามาจนถึงห้องที่มีเทียนหอมวางล้อมเอาไว้ หญิงวัยกลางคนกำลังหลับพักอยู่บนเก้าอี้โยก
“แบมแบม กลับกันเถอะ ข้าว่าเรามารบกวนเค้านะ นี่อาจเป็นเวลานอนพักของนาง”
“ไม่เอา! ท่านพี่ข้าอยากดูไพ่ยิปซี นางอาจแค่นั่งพักผ่อนก็ได้”
ทั้งสองกระซิบถกเถียงเรื่องจะอยู่จะไปกันอยู่หน้าห้อง แต่ทว่า
“...อยากดู ข้าดูให้ก็ได้นะ”
เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น ดูเหมือนว่าสองพี่น้องจะมารบกวนการพักผ่อนของนาง แต่น้ำเสียงที่ใจดีเช่นนี้คืออะไรกัน ร่างของหญิงวัยกลางคนลุกขึ้นก่อน ที่จูเนียร์จะออกปากขอโทษ นางยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่กับโต๊ะเข้าชุดกัน
“อ่าว รออะไรกันอยู่ล่ะ เดินมานั่งสิ... ท่านรอเค้ารอมานานแล้วไม่ใช่หรอ”
เสียงของเฮอเซลที่เอ่ย ฟังแล้วเสียวสันหลังวาบ... ทว่าประโยคที่นางพูดนั้นกลับทำให้จูเนียร์ รู้สึกอยากรู้มากขึ้น คำพูดนาง ราวกับว่านางรู้ถึงใจของเค้า แต่สีหน้าของนางนั้นเรียบเฉย มีเพียงรอยยิ้มบางๆ เท่านั้น
“เลือกออกมาสักใบนึงสิ”
นางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้ แบมแบมดูตื่นตาตื่นใจกับไพ่สีดำเงาลายดาวหกแฉกที่วางเรียงเป็นรูปครึ่งวงกลมบนโต๊ะ
“ไม่ต้องตั้งสมาธิ หรือภาวนาก่อนหรอท่านหมอ”
น้ำเสียงขี้สงสัยจากเด็กน้อยที่กำลังจริงจังกับเรื่องที่สนใจ ตอนนี้เค้าจับจ้องเพียงแต่ท่านหมอฮาเซล และไพ่บนโต๊ะ ดูราวกับว่า ต้องการศึกษาก็ไม่ปาน
“ฮ่าๆ.. ท่านนี่ รู้เยอะดีนะ ท่านหนุ่มน้อย แต่เพียงท่านเลือกมันด้วยใจ ผลมันก็จะออกมาตามนั้น”
“ไม่เท่าไหร่หรอก ...ข้าแค่สนใจศึกษาตามตำรามาบ้าง ข้าชอบหาอะไรอ่าน ตอนอยู่ในวัง.. เอ้ย ในบ้าน ข้าไม่ค่อยมีอะไรทำ ..ข้าว่าศาสตร์แห่งการทำนาย มันน่าพิศวง ตื่นเต้น ...และก็”
“มันก็ไม่ได้ดีเสมอไปหรอก หากท่านเรียนรู้จากมัน ท่านก็ต้องทำใจยอมรับกับคำตอบที่ท่านพบให้ได้ ...คำตอบที่เราไม่สามารถไปโต้แย้งได้”
“...ทำใจงั้นหรือ?”
“ข้าคงบอกท่านได้เพียงว่า การที่เรารู้มาก มันก็ไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป หากแต่ทำให้ท่านมีเรื่องในใจมากขึ้น ... การที่เราต้องแบกรับหน้าที่นำอนาคตของคนอื่นมาเอ่ยก่อนที่มันจะเกิด ต้องแบกรับมากกว่าความรู้สึกของเจ้าของมัน”
ใบหน้าของฮาเซลเศร้าลงเล็กน้อย เมื่อสิ่งที่พูดถึงเหมือนกำลังบอกเล่าชีวิตของตน... จูเนียร์รับได้ถึงความรู้สึกของฮาเซล นางเป็นเพียงหญิงคนหนึ่ง ไม่ใช่คนน่ากลัวดังที่คิดไว้
“ความรัก! ข้าอยากรู้เรื่องความรัก ท่านพี่และข้าก็เช่นกัน”
“ฮึ.. เช่นนั้นก็ได้เลย เอาล่ะ มาเริ่มกันได้แล้ว.. เชิญเลือกใบที่ตรงใจท่านมา”
องค์ชายน้อยผู้เป็นน้องเป็นผู้เริ่มก่อน ดูเหมือนว่าจิตของเค้าจะตั้งอยู่บนความศรัทธาอย่างแท้จริง แววตาอันมุ่งมั่น และเปี่ยมไปด้วยความไร้เดียงสา จ้องไปที่ใบที่อยู่ตรงหน้า เสมือนว่ามันต้องตาต้องใจเป็นแน่แล้ว ก่อนที่จะใช้สองนิ้วน้อยๆขยับไพ่ไปตรงกลางโต๊ะ
“...King of Cups…”
“king of cups? มันเป็นอย่างไรหรอท่านฮาเซล”
“..ความหมายโดยทั่วไป ไพ่ใบนี้สื่อถึงเวลา ...ที่ต้องมาทบทวนเรื่องราวของตัวเอง เมื่อหลังจากที่วุ่นวายกับเรื่องของผู้อื่น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องการอันใดกับตัวท่าน มั่นช่างวุ่นวาย ท่านนั้นจะพบเรื่องวุ่นวาย ไม่ว่ามันจะมาหาท่านก็ดี แต่ท่านก็รับมันไว้ในดวงจิตตน ดุจดั่งราชาถือถ้วย ที่คอยช่วยเหลือผู้อื่นได้... แต่เมื่อถึงกาลแก่ปัญหาของตัวมักแก้ไม่ตก ...ตอนจบ จึงมักใช้ชีวิตโดดเดี่ยว แต่เรื่องเศร้าให้นึกถึงอยู่มิรู้ลืมเลือนไป”
“......ความรักของข้าช่างแสนโดดเดี่ยว และเศร้าหมอง”
เมื่อสิ้นคำท่านหมอฮาเซล ดวงตากังวลใจของพระอนุชาก็แสดงออกอย่างชัดเจน จนผู้เป็นพี่อดรนทนอยู่นิ่งมิได้ จูเนียร์เอ่ยทักถามหญิงกลางคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ความหมายโดยทั่วไปงั้นรึ... แล้วมีความหมายอื่นอีกหรือไม่?”
“..มีสิ”
“เป็นเช่นไรหรือท่านหมอ!”
ครั้งนี้ผู้เป็นน้องพูดออกมาด้วยความอยากรู้ ก่อนที่แม่หมอจะยิ้มที่มุมปากและเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
“.. หนุ่มน้อยท่านน่ะ เป็นที่พึ่งของญาติพี่น้อง ท่านทำให้คนรอบข้างมีความสุข และยังเป็นคนใจกว้าง เห็นใจผู้อื่น ชอบช่วยเหลือคนพร้อม... ที่จะให้คำชี้แนะดีๆ แก่คนที่มีปัญหา... หัวใจ แต่...ไพ่ใบนี้ ยังเป็น ไพ่พ่อหม้าย มันหมายถึงชายที่เป็นพ่อหม้าย หรือมีครอบครัวแล้ว บางครั้งก็เป็นต่างชาติ ต่างเมืองดังนั้นหากผู้ใดหยิบได้ไพ่ยิปซีใบนี้ก็มักจะได้คู่ตามลักษณะดังที่ข้าเอ่ย”
“หม้ายงั้นหรือ? ... คู่ครองของข้า เนื้อคู่น่ะหรือ...”
“อย่าได้กังวลใจไป ไพ่ของข้าก็ไม่ได้ถูกไปซะทั้งหมด”
ดูเหมือนว่าดวงใจน้อยๆที่ทิ้งตัวแฟบลงไปแนบกับไขกระดูกนั้น ได้ลมเติมความหวังให้เริ่มใช้การได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าหมองเศร้าและโดดเดี่ยว ผู้เป็นพี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานให้น้องชายอันเป็นที่รักก่อนจะกุมมือน้อยๆ ขึ้นมาและบีบมันเบาๆ เหมือนต้องการจะเอ่ยว่า เจ้าน่ะยังมีพี่และดีที่สุด มิมีผู้ใดเสมอเหมือน ก่อนที่ผู้เป็นพี่จะเลือกใบที่ต้องตาของตนเช่นกัน
“ข้าเลือกใบนี้...”
“... Seven of Cups.. ไพ่แห่งภาพลวงตางั้นรึ...ฮึฮึ ลำบากใจหน่อยนะ ท่านชาย”
“ลำบากใจ? งั้นรึ?”
องค์ชายน้อยแปลกใจเมื่อได้ยินคำที่ฮาเซลเอ่ยขึ้น หลังจากเปิดดูหน้าไพ่ของตน
“ท่านน่ะ กำลังจักมีความลังเลใจ ..ผู้ที่หยิบไพ่ใบนี้ มักตกอยู่ในวังวนความสับสน การอันตัดสินใจยากลำบาก... ดังนั้นท่านควรมีสติให้มั่น และถามใจตนเองว่าแท้จริงท่านต้องการสิ่งใด เพราะหากท่านหยิบได้ใบนี้แล้วล่ะก็ ไพ่มันบอกกับข้าว่าท่านกำลังจะมีโชคในเรื่องรัก ใครพานพบก็จะรัก เป็นเหตุให้ท่านต้องเลือก ...ตัดสินใจ”
“เลือกรัก... งั้นหรือ?”
เมื่อยินคำของฮาเซล ความคิดอันสารตะในดวงกมลของจูเนียร์ ก็พรั่งพรูไปด้วยคำพูดของนาง ..ความคิด ความรักที่ต้องเลือก ความรู้สึกที่แท้จริง ความสับสน ใครพานพบก็จักรักใคร่... ถ้อยวลีเรียงร้อย วนในใจยากจะหยุด หากแต่ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา หากตัวเค้ามีโชคในรัก ก็ขอให้ได้พานพบรักแท้ ...และหวังว่าจะเป็น รักแรกอันบริสุทธิ์ที่ยังอัดแน่นล้นในดวงฤทัยไม่จาง ดวงจิตน้อยต้องอธิฐานว่า ขอให้พบกับคนที่จะรักเค้า แลเค้ารัก ได้อย่างหมดจดดวงใจ
เมื่อถึงกาลแก่สมควร องค์ชายน้อยทั้งสองก็ต้องกลับไปที่งานเลี้ยง ทั้งสองเดินออกมาจากบ้านหลังเล็กนี้ มาที่ม้าของตน โดยมีเจ้าของบ้านอย่างฮาเซลเดินมาส่งหน้าประตู และก่อนจากกันนางก็เอ่ยคำจากลาแด่องค์ชายทั้งสอง
“...ท่านชาย และพ่อหนุ่มน้อยไม่ต้องกังวลใจไป แลจงลองเปิดใจที่กั้นอยู่ อย่างที่ข้าลั่นวาจาเมื่อครู่ ไพ่ของข้าก็ไม่ได้ถูกไปซะทั้งหมด ...แต่ทว่า ไพ่ของข้าไม่เคยพลาด มันบอกความจริงกับข้าเสมอ ...ขอให้โชคดี”
คำของนางช่าง... แต่เดี๋ยวนะ นางรู้ได้อย่างไรกันว่าข้าและน้องเป็น.. “ชาย”
เมื่อดวงตาประสาน มิอาจต้านทานความรู้สึก
จ้องมองแววตาอันแสนลุ่มลึก ...
ไออุ่นที่รินใกล้ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง
เมื่อร่างเธอและฉันได้เคียงคู่ ...
คงมีเพียงแต่เรา... เต้นรำใต้แสงจันทรา
หลังจากกลับเข้ามาในพระราชวังแล้ว ทั้งสองก็เปลี่ยนฉลององค์เป็นชุดสำหรับงานเลี้ยงอันแสนยิ่งใหญ่ ของราชาแห่งเอนไอริส หรือ พ่อผู้เป็นที่รักของทั้งคู่ ทั้งสองพี่น้องเยื้องย่างลงจากบันไดของพระราชวังอย่างระมัดระวัง ทุกท่วงท่าที่รองเท้าสีน้ำตาลอ่อนของผู้เป็นพี่หรือสีครีมของผู้เป็นน้องเหยือบลงในแต่ละขั้น แขกที่กำลังสำราญสำเริงเพลิดเพลินกับแสงสี ดนตรีของงาน ...บัดนี้ทุกคู่สายตาได้มุ่งตรงมาที่เค้าทั้งคู่ ชุดสีฟ้าเข้มตัดกับสีมิ้นอ่อนๆ ผ้าริ้วระบายพอดี กับริบบิ้นสีดำขาดเอวเข้ารูปของจูเนียร์ และชุดปาดข้างสีชมพูอ่อนมีระบายลูกไม้สีพีชและโบตามจีบกระโปรงของแบมแบม ทำให้แขกในงานไม่สามารถละสายตาไปที่ใดได้ แม้แต่นักดนตรีหรือนางแสดงบนเวทีก็ต้องหยุดมอง
“อ่าว.. เงียบทำไมกันนักดนตรี เหตุใดเจ้าจึงไม่เล่นเพลงต้อนรับลูกที่น่ารักของข้ากัน”
เสียงอันน่าเกรงขามของผู้เป็นราชาเอ่ย ผู้ที่เลี้ยงเค้าทั้งสองมาด้วยพระหัตถ์ที่กำลังถือคทากษัตริย์สีทอง ก่อนที่ร่างอันน่าเกรงขามจะเดินมาหาลูกๆทั้งสองด้วยความดีพระทัย
“ลูกของพ่องาม งดงามยิ่งนัก ...ช่างเหมือน”
“ท่านแม่/ท่านแม่”
ลูกทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เมื่อได้ยินถ้อยวาจาที่ฟังมาทุกปีหลังจากมารดาจากไป ทั้งคู่มอบของขวัญที่เตรียมให้เสด็จพ่ออันเป็นที่รัก ก่อนจะออกมาจากวงสนทนาที่เสนาและราชาเมืองอื่นๆกำลังเริ่มรุมล้อมผู้เป็นพ่อ
“พวกข้ารับใช้ไปไหนกันหมด? ...ท่านพี่ข้าว่าข้าไปเอาเครื่องดื่มมาให้ท่านดีไหม”
“...อืม ก็ดี เช่นนั้นเจ้ารีบไปรีบมานะ ข้าไม่อยากยืนในนี้คนเดียว”
“เพคะ~”
น้องชายขี้เล่น ตอบรับด้วยถ้อยคำแสนหวาน เหมือนเวลาคุยกับผู้เป็นแม่ เค้าถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นเจ้าหญิงอย่างแท้จริง ...
“ทำไมยังไม่มาอีกนะ.. โอะ โอ้ย..~”
ในขณะที่องค์หญิง(?) จูเนียร์กำลังมองหาแบมแบมผู้เป็นน้องที่อาสาไปนำเครื่องดื่มมาให้อยู่นั้น ก็ถูกชนเข้าอย่างจังที่แขน ขณะที่ร่างนั้นกำลังจะล้มลง ก็ถูกเจ้าของการกระทำคว้าตัวไว้ได้ทันท่วงที สายตาทั้งสองประสานเข้าหากัน รอบข้างพลันเงียบลง เหมือนกับทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหว เหตุใดแววตาคู่นี้ช่างคุ้นตา แต่ทว่าหน้ากากสีดำที่แขกทุกคนใส่เพราะเป็นงานแฟนซีกั้นไว้ แต่ถึงกระนั้นใบหน้าก็ชิดเกินเอ่ยคำใด ...ดวงตาคู่นี้ มันช่าง... ความใกล้เพียงหน้ากากบางกั้น ลมหายหายใจอุ่นๆทีรินรดลงปลายจมูก ก่อนที่จะสติจะหลุดลอยไป เสียงก็ดนตรีก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับชายลึกลับที่หายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงเจ้าที่ยังเต้นตึกตัก
...หายไปเร็วจัง.. ใครกันนะ
“ท่านพี่~ ข้ามาแล้ววว”
“หายไปไหนมา ตัวดี ทิ้งพี่ยืนคนเดียว...”
“ข้าลายตานี่ท่านพี่ คนในที่นี้ก็เหมือนกันไปหมด ชายก็ใส่สีดำเหมือนกันไปหมด ส่วนพวกผู้หญิงก็สีสันแสบตายืนเรียงรายขวางไปมา ข้าล่ะเวียนหัว ...ข้ารอดฝ่าฝูงชนมาหาท่านได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
ผู้เป็นน้องบ่นให้ผู้เป็นพี่ฟังด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนที่ความตื่นเต้นในใจของแบมแบมจะลุกฮือขึ้นอีกคราเมื่อเห็นเวลาบนนาฬิกาเรือนยักษ์บนหอที่ตั้งอยู่ไม่ไกลผ่านกระจกใสของโถงราชวัง
“ท่านพี่ ไปหน้าเวทีกัน ได้เวลาแล้ว”
“เวลา? ด... ดะ ...เดี๋ยว”
ยังไม่ทันรู้เรื่องใดๆ น้องผู้น่ารักก็รีบจูงมือผู้เป็นพี่ไปที่หน้าสุดของเวลาที่ตั้งอยู่ ไฟทุกดวงของพระราชวังดับลงพร้อมกัน มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องสาดมาจากกระจกทุกบาน และแล้วไฟที่เวทีก็สว่างขึ้น ดนตรีก็เล่นอย่างเร้าใจ ราวกับกระตุ้นความน่าตื่นเต้นให้แก่แขกในงานที่กำลังกินดื่มกันอยู่บริเวณรอบ
“นี่มันอะไรหรอ?”
“โชว์ไงท่านพี่ โชว์~”
“ของใครกัน ท่านพ่อเป็นคนให้จัดหรอ? ทำไมพี่ไม่รู้”
“ใช่ ท่านพ่อสั่ง โชว์ เป็นโชว์ของมิสเตอร์..”
ยังไม่ทันฟังจบคำของน้องรักที่กำลังตื่นเต้น ก็มีร่างของชายปรากฏขึ้นกลางเวที หางตาขององค์หญิงผู้สง่าก็หันไปมองท่านที ใบหน้าที่สวมหน้ากากเช่นแขกคนอื่นๆนั้น ถึงแม้ว่าจะปิดอยู่เกือบหมด แต่ก็รู้ได้ว่าหล่อเหลาเอาการ แสงสีมากมายที่มาจากที่ใดก็ไม่อาจทราบ เปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นบนพื้นของเวทีก็เรียกเสียงฮือฮาให้เหล่าแขกที่กำลังจ้องมองโชว์อย่างใจจดใจจ่อ เปลวไฟโหมกระหน่ำขึ้นจนน่าหวาดหวั่น ผู้ชมถึงกับถอยหลังเล็กน้อย เปลวไฟที่กำลังโชติช่วง พลิ้วไหวไปกับร่างกายของชายนิรนามผู้นั้น ลีลาที่แสนอ่อนช้อยแต่แฝงด้วยความแข็งแกร่งนี้ ราวกับเปลวไฟที่แสนอันตรายคือน้ำนมที่ลงนอนแช่ ร่างที่กำลังกระโดดไปมาบนเวทีกว้าง ดีดตัวลอยบนอากาศก่อนจะลงมาที่พื้น เรียกเสียงกรี๊ดจากคนดูได้ยกใหญ่
แรงดีดตัวของช่วงสะโพกอันทรงพลังทำให้ร่างแกร่งขึ้นไปลอยตัวหมุนบนอากาศอีกครั้ง แต่คราวนี้ร่างนั้นไม่ลงมาเหยียบพื้นอีกต่อไป เพียงแต่ฝ่าเท้าวางบนเส้นเชือกที่ขึงไว้อย่างพอดิบพอดี ร่างสูงเดินบนเชือกเส้นบางอย่างชำนาญ ก่อนจะกระโดดขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของชายชุดสูทสีดำถูกลมพัดผ่านทำให้เผยเห็นกล้ามเนื้ออันน่าหลงใหล ผสมกับแสงไฟที่ช่วยขับผิวขาวนั้นที่กำลังน่ามองท่ามกลางดอกกุหลาบที่ตกแต่งอยู่ด้านบนสุดของเวที แต่ทว่าไฟที่ลุกโชนกลับดับลง ... ก่อนจะสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงฮือฮาของแขกในงานเมื่อเจ้าของการแสดงเมื่อครู่นั้นได้อยู่ตรงหน้าเจ้าของชุดสีมิ้นที่ยืนอยู่ ดอกกุหลาบสีแดงสดถูกยื่นมาตรงหน้าของจูเนียร์ ก่อนจะเผยให้เห็นคนที่ยื่นมาให้ รอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ที่ทำให้ใจอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเต้นผิดจังหวะถูกส่งมาให้ มันใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนไม่รู้สึกตัว ใบหน้าที่ห่างกันเพียงกุหลาบแดงกั้นไว้ แววตาที่น่ามองชวนฝัน ความรู้สึกเหมือนดวงใจกำลังตีกลองลั่นประกอบเป็นจังหวะที่เร้าใจกว่าดนตรีเมื่อครู่เสียอีก คนตรงหน้าเป็นใครกัน มาทำให้ใจที่ไม่มีเคยเปิดรับผู้ใดสั่นไหวถึงเพียงนี้
*แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือดังขึ้น ก่อนที่องค์หญิงจะดำดิ่งลงไปในนัยน์ตาอันลุ่มลึกนั่น เป็นเสียงปรบมือที่กึกก้องจนทุกคนต้องเหลียวมอง นั่นคือเสียงปรบมือของพระราชาเจ้าของงานวันนี้... ที่อาจจะลืมกันไปแล้ว ร่างกายสูงใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาที่หน้าเวทีอย่างสง่า ในขณะที่เจ้าของชุดสีมิ้นหน้าแดงฉ่า...
“ดี ดีจริงๆ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก”
ถ้อยคำที่ตรัสชมเจ้าของการแสดงจากราชาผู้ยิ่งใหญ่ เริ่มทำให้แขกที่เหลือรู้สึกตัว ก่อนจะเอยชมผสมกับปรบมือ เพียงแต่แววตาที่ทรงตรัสนั้น หาใช่แววตาชื่นชมไม่ ถึงแม้ว่าการแสดงจะเป็นที่พอพระทัยเพียงใด แต่ทว่าแววตาหวงลูกสาว(?) กลับออกมาชัดยิ่งกว่า และเหมือนเจ้าของการกระทำจะรู้ตัวและถอนหน้าออกจากกุหลาบ ฝ่ายเจ้าหญิงผู้ทรงสง่าก็รับดอกไม้มาอย่างเขินอายเล็กน้อย
“แหม่ท่านพี่~ ดอกไม้สวยนะเพคะ”
เสียงกระซิบเย้าแหย่ของแบมแบมที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแบบใกล้ชิดเอ่ยขึ้น หลังจากเห็นพี่ของตัวเองรับดอกไม้แทนใจมาไว้ในมือ ผู้เป็นน้องรู้ดีว่าจิตใจของท่านพี่สุดที่รักนั้นไร้เดียงสาเพียงใด ถึงในใจจะแอบไม่ชอบที่ออกจะดูรุ่มร่ามกับพี่ตน แต่ก็ดีใจไม่น้อยที่เห็นพี่ของตัวเองดูเหมือนกับจะเปิดใจให้ชายอื่นเค้าบ้าง
“ขอบคุณเจ้านะที่มาร่วมแสดงโชว์สุดพิเศษนี้ให้แก่ข้า มิสเตอร์ มาร์ค”
เสียงของราชาแห่งเอนไอริสที่ดูน่าเกรงขามตรัสชมอย่างไม่ขาดปาก จนกระทั้งบรรยากาศเริ่มซาลง ฝูงชนแขกเหลื่อก็แยกกลับไปตามโต๊ะ ตามุมที่กินดื่มเช่นเคย เพื่อรอเวลาเต้นรำที่กำลังจะมาถึง ราชาผู้เป็นพ่อก็จำต้องทิ้งลูกสุดที่รักไปเช่นกันเพราะวงสนทนาของเสนากษัตริย์น้อยใหญ่ที่มาร่วมงานก็มาเรียกให้ไปร่วมวง จึงจำใจต้องฝากชิ้นปลามันไว้กับแมวที่ขโมยสุดหล่อ
“ขอบคุณนะ... มิสเตอร์ มาร์ค?”
น้ำเสียงอ่อนหวานของจูเนียร์พูดขอบคุณตามมารยาท กับเจ้าของดอกไม้ที่นำมาให้ตน บัดนี้ทั้งสองเดินออกมาคุยกันบริเวณริมห้องโถงจัดเลี้ยง เป็นมุมเงียบๆที่แบมแบมน้องรักเป็นคนจัดการให้ โดยบอกเช่นเดิมว่าจะไปนำเครื่องดื่มมาให้เพิ่ม ทั่งคู่เริ่มบทสนทนาธรรมดาๆ
“ดอกไม้สวยๆ ย่อมคู่ควรกับคนสวยๆแบบท่าน” เจ้าของคำพูดพูดพลางฉวยยกมือเรียวขององค์หญิงมาจุมพิตเบาๆ ใบหน้าอันใส่ซื่อร้อนผ่าวขึ้นดื้อๆ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกผู้ใดทำเช่นนี้มาก่อน
“..เอ่อ ขอบคุณเพคะ” น้ำเสียงติดๆขัดๆ จากอาการเขินแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เจ้าของการกระทำรู้ตัวและ ปล่อยมือลงเบาๆ
“หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วย หากกระทำล่วงเกินไป ...แต่ความงามของท่านทำจิตใจของกระหม่อมหวั่นไหว จนควบคุมไม่ค่อยอยู่”
ขณะนี้ ในใจดวงน้อยของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์หญิงแห่งเอนไอริส กำลังเต้นตึกตัก ต้องการการตรวจอาการจากหมอหลวงโดยด่วน หากได้ยินคำหวานไปมากกว่านี้ หัวใจของหลุดลอยขึ้นฟ้าไปเป็นแน่ แต่ทว่า เหมือนกับน้องรักได้ยินเสียงเพรียกหาความช่วยเหลือจากผู้เป็นพี่ แบมแบมเดินเข้ามาพร้อมกับเครื่องดื่มแก้วเล็กๆ
“ท่านพี่~ ข้ามาแล้ว ...เป็นอย่างไรบ้าง สนุกไหม?” น้ำเสียงของผู้เป็นน้องกระเซ้าเย้าแหย่ผู้เป็นพี่อย่างสนุกสนาน ถึงแม้จะพอใจมากที่พี่ตนไม่หมองเศร้าเรื่องเก่าแล้ว แต่ในทางกลับกันแววตาที่มองชายตรงหน้ากับมองด้วยสายตาบ่งบอกว่า ‘หยุดทำรุ่มร่ามกับพี่ข้าได้รึยัง’
“ อื้ม.. ก็ดี แต่พี่ว่าพี่ขอออกไปสูดอากาศด้านนอกหน่อยนะ เจ้าอยู่ในงานรับหน้าท่านพ่อไปก่อนแล้วกัน” ผู้เป็นพี่เอ่ยกับน้องรักก่อน เพราะเกรงว่าผู้เป็นพ่อจะกังวลใจหากไม่เห็นตนในงาน หรือรู้ว่าตนออกจากงานไปคนเดียว
กระโปรงยาวสีมิ้นกับผ้าสีน้ำเงินเข้มตัดกันถูกลากออกมาจากห้องจัดเลี้ยงในวัง ร่างบางยิ้มให้ดวงจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องนภาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ที่อยู่ในสวนนี้ สายตาของจูเนียร์ละจากดวงจันทราที่เต็มดวง มาเป็นพุ่มดอกไม้แห่งความทรงจำ มือเรียวคลำที่กลางอกตัวเอง แต่ทว่าไม่พบ เพราะชุดที่ใส่ทำให้ไม่สามารถสวมสร้อยสุดรักมาได้ ดวงใจน้อยๆรู้สึกโหวงเล็กๆที่ไร้ของต่างหน้า
“ไวน์องุ่นรสเยี่ยม อาจช่วยให้ทรงหายเหงาได้นะพะยะค่ะ” เสียงเข้มๆที่คุ้นหูดดังขึ้น ตาคู่สวยหันไปมองด้วยความแปลกใจ
“ท่าน...” สายตาประสานกันโดยบังเอิญ ทำเอาเจ้าของคำพูดชะงักไป “ออกมาทำไมหรอ?” ร่างบางที่กำลังนั่งชมจันทร์เพียงลำพังถามผู้มาใหม่ที่ ณ ขณะนี้ได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวข้างๆ
“ไม่มีอะไรมากหรอกท่านหญิง...” รอยยิ้มที่ชวนเคลิ้มถูกส่งมาให้พร้อมเผยให้เห็นเขี้ยวที่ดูเจ้าเล่ห์เล็กๆ “ข้าหม่อมฉันเพียงแต่อยากร่วมชมจันทร์กับพระองค์”
แต่ยังไม่ทันไร บทสนทนาที่เพิ่งเริ่มได้เพียงไม่กี่ประโยคก็ถูกเสียงดนตรีเริ่มการเต้นรำในงานขัดขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้หน้ากากครึ่งใบยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะถอดมันออกเผยให้เห็น ใบหน้าขาวเนียน จมูกเป็นสัน ปากที่เป็นรูปกระจับสวย คิ้วหนา ดวงตาชวนฝัน รวมแล้วยังหาที่ติบนใบหน้าของชายผู้นี้ไม่เจอเลย เจ้าของใบหน้าโปรยยิ้มให้อีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้กลับยืนขึ้นก่อนจะโค้งให้เกียรติเป็นนัยน์ว่า ขอเต้นรำด้วย
“ถ้าไม่รังเกียจ...หม่อมฉันขอ” จู่จู่แววตาที่ดูมาดมั่นกลับอ่อนลง จนดูชัดเจนว่าเหนียมอายที่จะกล่าว
...ช่างเป็นคนที่น่า... รักดีจัง
หน้ากากสีทองถูกทอดออกเช่นกัน เพื่อความเท่าเทียม เจ้าของกระโปรงเรี่ยดินที่นั่งอยู่ก็ถอดมันวางไว้ข้างๆกับหน้ากากสีดำนั้น ก่อนจะลุกและทำท่าทางตอบรับคำขอ มือเรียวค่อยๆสัมผัสกับบ่าอันดูองอาจของคนตรงหน้า มือหนาก็อ้อมโอบเอวบางเช่นกัน ทั้งสองประสานมือเข้าหากัน พร้อมๆกับ สายตาที่เชื่อมกันโดยอัตโนมัติ ดนตรีคลอ เคล้าแสงจันทร์ที่สาดส่อง บรรยากาศอันหอมหวนนี้มัน ช่างดลใจให้เคลิบเคลิ้ม ความไร้เดียงสาที่ไม่เคยผ่านมือชายชาตรี ทำให้ยิ่งหลงคนตรงหน้าง่ายเข้าไปใหญ่ ด้วยเหตุใดก็ตอบไม่ได้ แต่จูเนียร์ก็เปิดให้คนนี้เข้ามาในใจเสียแล้ว ยิ่งร่างกายใกล้และได้สัมผัสความรู้สึกปล่อยตัวปล่อยใจก็เกิดขึ้นเสียอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงตอนนี้กัน
“เค้าบอกกันว่าชาวเอนไอริสจะมอบของให้ เมื่ออยากรู้จัก” ร่างหน้าเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ่มเข้ม เว้นวรรคเน้นคำ “...กับคนที่สนใจ..ใช่หรือไม่พะยะคะ”
“...ใช่เพคะ” ร่างบางรู้สึกเบาหวิวที่ถูกจู่โจมด้วยคำหวาน ในสมองว่างเปล่า ใจที่แสนไร้เดียงสากำลังประหม่า รู้สึกดีกับคนตรงหน้าอย่างพูดไม่ถูก “และหากรับมาแล้ว ก็แสดงว่า...สนใจเช่นกัน”
ใบหน้าสวยหลบตาเล็กน้อย ถ้อยวจีที่เพิ่งเอ่ยไปนั่น เหมือนกับทิ้งคำว่าใสซื่อไปด้วย ในหัวของจูเนียร์คิดเพียงว่า อยากทำให้คนตรงหน้าประทับใจตนเหมือนกับที่ตนรู้สึก แต่ก็
...เล่นด้วยเฉยเลยเรา วางตัวดีๆสิจูจู
ร่างบางย้ำเตือนตัวเองในความคิด แต่ก็เหมือนว่าจะคิดได้เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที เมื่อสายตาบรรจบกับคนตรงหน้า และด่ำดิ่งลงไปในนัยน์ตาหวานซึ้ง ที่ส่งมาราวกับว่ามีใจ
“...ดวงจันทร์ช่างงาม..” น้ำเสียงเขินอายจากปากสีเชอร์รี่ขององค์หญิงเอ่ยขึ้นกับคู่เต้นรำ “ยิ่งได้มองกับท่านด้วย...แล้ว” เผลอพูดคำเลี่ยนออกไปให้ชายที่เพิ่งพบหน้ากันไม่กี่ชั่วยาม เกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงองค์นี้ ทำตัวเฉกเช่นคนตรงหน้านั้นคือคู่รักที่ดูใจกันมาแรมปี
“...งั้นหรอพะยะค่ะ...” ร่างหนายิ้มบางๆให้คู่เต้นก่อนจะทำหน้าอ่อนหวานชวนหลง “แต่สำหรับหม่อมฉันดวงจันทร์มันช่างดูหมองและไร้ความงามกว่าคืนไหนๆ ไม่ว่าจะดอกไม้รอบกายก็เช่นกัน”
สิ้นเสียงของชายตรงหน้า องค์หญิงก็หุบยิ้มอันอ่อนหวานของตนและ ทำหน้างุนงงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า เหตุใดคนที่อยู่กับตนในตอนนี้ ถึงมองจันทร์แล้วหมองหม่น หรือตัวเองจะทำอะไรแย่ๆไป หรือเพราะอาการที่ยอมง่ายเกินงาม? จะว่าเหยียบเท้าก็ไม่น่าใช่ หรือกลิ่นปาก ก็ไม่น่าใช่ เพราะเมื่อครู่ก็เพียงแต่จิบไวน์ไปเพียง2-3จิบ แต่ก่อนที่ร่างบางจะทำหน้าฉงนนานไป เจ้าของคำพูดก็โอบรัดร่างบางให้ใกล้ขึ้น กระตุกยิ้มขึ้นแล้วก้มกระซิบใกล้หูว่า
“ไม่ว่าจะดอกไม้นานาพันธ์ในที่นี้ หรือดวงจันทร์ที่กำลังเฝ้ามองเราทั้งคู่ ... หม่อมฉันก็หา..” ใบหน้าที่ใกล้เพราะการกระซิบหันเข้าหากันพอดี ปลายจมูกของทั้งคู่ชนกันจนลมหายใจรดกันจนได้กลิ่นไวน์องุ่นอ่อนๆที่หวานหอมเกินบรรยาย จู่ๆร่างกายของคนตัวบางก็ไม่อาจขยับได้ ความรู้สึกร้อนวูบวาบที่เกิด ไม่รู้ว่าจากฤทธิ์ไวน์องุ่นเมื่อครู่ หรือคนตรงหน้า
“หา ..สิ่งงามกว่าพระองค์ไม่ได้เลยจริงๆ”
สิ้นวาจาที่ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ย ลมหายใจอุ่นๆที่ได้กลิ่นไวน์องุ่นก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ราวกับว่าอยู่กันแค่สองคนในที่นี้ ลมหายใจที่อ้อยอิ่งกับไออุ่นจากร่างหนา มือไม้ของสาวน้อย(?)ก็อ่อนเปลี้ย วงแขนแกร่งกระชับร่างบางมาชิดตัว ถึงแม้ว่าในใจจะคิดอยู่ว่ามันสมควรแล้วหรือที่จะยอมมอบจุมพิตให้คนตรงหน้า แต่จะให้ขัดขืนร่างกายก็ทำไม่ลง เพราะเหมือนต่อมใจง่ายของตัวเองถูกปลุกให้ตื่น ไม่รู้ทำไม ความนึกคิดอยากรู้อยากเห็น อยากลองสัมผัสสักครั้ง
ในใจลึกๆอาจกำลังนึกถึงคนไกลที่คนึงหา แต่ไม่ได้พบ จึงยอมเปิดให้คนตรงหน้ารุกเข้ามาอย่างง่ายดาย ความประทับใจแรกบวกกับเสน่หาอย่างประหลาดอย่างไม่เคยเกิด บวกกับคนตรงหน้าก็ตั้งใจจะมอบความรู้สึกดีๆให้เช่นกัน
...นี่รึเปล่า ความรัก? ... คนคนนี้ใช่รึเปล่า ที่จะมาเติมเต็ม
ร่างบางคิดไปไกล ในขณะที่มาร์คเอียงหน้าเข้าหาจูเนียร์ ยิ่งมองผิวพรรณอันละเอียดดุจแพรพรรณ ก็ยิ่งเร่งเร้าให้ใจประกบจุมพิตหวานลงบนริมฝีปากแดงน่ากัด ...แต่
*เพล้ง! ตุบ!
จู่ๆเสียงถาดเงินรองแก้วที่ตกลงพื้น พร้อมกับแก้วแชมเปญก็ดังขึ้น ขัดจังหวะหวานของเค้าทั้งคู่ จูเนียร์ผละออกจากอ้อมอกมาร์คอย่างตกใจ และเหมือนเพิ่งได้สติหลังจากเคลิ้มเคลิบอยู่นาน อาการใจแตกหายไปแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและจบเหมือนแค่ลมพัดวูบ.. ส่วนหนุ่มเจ้าก็ดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็พยายามปั้นหน้าให้อยู่เรียบเฉย ก่อนจะหันไปมองต้นเสียง ชายหนุ่มรูปร่างดี สูง ดูสง่า ในชุดสูทสีดำที่ไม่ได้แตกต่างจากมาร์คยืนหน้าเรียบเฉย มองมาที่เค้าทั้งคู่
แบมแบมที่อยู่ไม่ไกล เป็นห่วงพี่สุดที่รักก็เดินออกมาตามเสียงเช่นกัน ภายใต้หน้ากากสีดำนั้น ใจของจูเนียร์เต้นผิดจังหวะอีกครั้ง เมื่อแลเห็นแววตาเย็นชา แต่ทำให้ร้อนผ่าวที่รวงแก้ม วันนี้เป็นวันใจสั่นของวัยแรกรุ่นหรือไร
“เจ้าเป็นใครกัน” มาร์คถามออกไปอย่างเรียบๆ ถึงแม้สายตาจะแสดงให้เห็นว่าสบถในใจอยู่
“ข้าชื่อ ... เจบี”
.. Waiting for next Chapter ..
จบไปแล้วกับพาร์ทแรก ยาวไปไหม? คือเรื่องนี้ไรท์ติดบรรยายมากเลย อยากให้เห็นถาพ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ ตอนนี้เป็นการเริ่มต้นของเรื่องในหลายๆเรื่อง
อย่าเพิ่งว่าจูจูว่าใจแตกนะ ที่อินโทรยังใสๆอยู่เลย แต่ตอนนี้ยอมเค้าง่ายๆ
ถ้าจะว่า ไปว่าฝ่ายเริ่มเลยค่ะ จูจูเราใส ยอมคน ฮ่าๆ
ปล. อยากติดตามฟิค ก็กดเป็นแฟนไว้เลยค่ะ จะได้ไม่พลาด~
คอมเม้นเป็นกำลังใจสำคัญของไรท์มากเลย ไรท์ไม่ขอให้ต้องโหวต ต้องเพิ่มเรทติ้ง(แต่ทำให้ก็ดีนะ อ่าว)
แต่ขอแค่คอมเม้นที่อยากพูดถึงฟิคเรื่องนี้ให้ชื่นใจหน่อยแค่นี้เอง
ไรท์จำหมดนะใครเม้นบ้าง นี่ๆ คอมเม้นมีผลต่อการให้ฉากที่เค้าไม่ให้อัพในนี้นะ~
หรือถ้าใครอยากคุยกับไรท์ก็นี่เลยทวิตไรท์ @SwT_Te
แล้วก็อย่าลืมไปสกรีมความใส(?)ของฟิคเรื่องนี้ได้ในแท็กนี้เลย~
#ficrightthere
จะรออ่านนะคะ ♥
ความคิดเห็น