ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่ครานี้เป็นสตรีสองใจนามว่านางวันทอง

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9 เจอตัว

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.34K
      465
      23 ต.ค. 62

      

    ความจริงแล้วพิมพิลาไลยไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนฉลาด นางเพียงมีประสบการณ์ต่างๆและความรู้ในอดีตชาติเท่านั้น มิได้เป็นอย่างกำเนิดเหมือนขุนช้าง และการเดินป่าก็เกินมือนางในร่างเด็กอายุห้าขวบ...

     

    หากนางโตกกว่านี้หน่อยก็คงไม่ใช่ปัญหาในการพึ่งพาตัวเอง ร่างเด็กนั้นอ่อนแอและเหนื่อยง่าย....

     

    แต่หากไปบอกผู้ใหญ่แผนที่คิดไว้คราแรกก็คงถูกจับได้....ไม่น่าเปลี่ยนใจเลยจริงๆ คิดแล้วเด็กหญิงได้แต่ถอนหายใจเบาๆในความลังเลของตน

     

    ถ้ามารดาของเด็กนั่นไม่มาร้องไห้ให้เธอฟัง...เธอคงสบายใจและปล่อยให้เด็กนั่นตายไปในป่าเสียแล้ว

     

    แล้วเจ้าจะทำอย่างไง?”

    เป็นขุนช้างที่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังเหม่อลอย เขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่านางคิดจะทำอะไรอยู่กัน...

     

    ไปเก็บหินมาเยอะๆแล้วก็กิ่งไม้ด้วยก็ดี...

    พิมพิลาไลยที่ถูกเอ่ยถามได้สติ จึงเอ่ยตอบและสั่งเด็กชายในคราเดียวกัน จากนั้นนางจึงเดินไปเก็บหินข้างทางเช่นกัน

     

    ทิ้งขุนช้างที่สงสัยใคร่รู้ว่าจะเก็บมันไปทำอะไร แต่สุดท้ายเด็กชายก็ยอมไปเก็บให้

     

    พิมพิลาไลยที่เห็นว่าเด็กชายและตนเก็บได้มาเยอะพอสมควรแล้ว จึงบอกให้เด็กชายถือให้ดีห้ามเททิ้งเป็นอันขาด จากนั้นจึงเดินเข้าป่าอย่างช้าๆ

     

    ป่าในสมัยอดีตช่างแตกต่างจากป่าในโลกที่นางจากมาอย่างเห็นได้ชัด มันอุดมสมบูรณ์กว่ามากมายนัก ไม่มีการตัดหรือเผาเพื่อสร้างที่ให้นายทุนแต่อย่างใด

     

    ซึ่งพิมพิลาไลยไม่ได้รู้สึกชื่นชมกับความอุดมสมบูรณ์นี้นักเท่าไหร่....เธอกังวลเสียมากกว่า หากป่านี้อุดมสมบูรณ์ไม่แปลกนักที่สัตว์ป่าจะอยู่อาศัยกัน ซึ่งมันก็คงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักสำหรับมนุษย์ที่จะเดินเข้าไปในป่า หนำซ้ำตัวนางเองก็ยังเป็นเด็กเสียด้วย...

     

    หากมีสัตว์ร้ายเข้ามา ก็คงวิ่งไม่ทัน....จะกลับดีกว่าไหมนะ?

     

    เมื่อลองคิดถึงชีวิตตัวเองแล้วก็ไม่คุ้มค่านักที่จะเสี่ยงกับแค่เด็กคนเดียวที่นางต้องการให้ตายอยู่แล้วเสียด้วย

     

    ข้าเปลี่ยนใจแล้ว...กลับกันเถอะ มันไม่ปลอดภัยนักสำหรับเด็กอย่างพวกเรา

     

    เจ้าพึ่งคิดได้เหรอ? ความจริงแล้วเราต้องไปแจ้งผู้ใหญ่ให้ช่วยกันหาต่างหากล่ะ

    ขุนช้างไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กหญิงผู้นี้พึ่งคิดได้หรือว่าในป่านั้นอันตรายสำหรับเด็ก นางวางแผนฆ่าคนได้ แต่กลับพึ่งมาคิดว่าป่าอันตราย...

     

    ไม่ต้องแจ้ง...ก็กลับไปเฉยๆเสียอย่างนี้แหละ

    พิมพิลาไลยเอ่ยหน้าตายอย่างหน้าตาเฉย ถ้าแจ้งก็โดนดุสิ ก็ปล่อยเด็กนั่นให้หลงป่าทั้งอย่างนั้นไปตามความต้องการเดิม

     

    นางเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่นะ...หากแต่เด็กนั่นไม่ใช่ลูกนาง หนำซ้ำยังเป็นตัวละครที่จะฆ่านางในอนาคต...นางไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงหรอก...

     

    ความใจอ่อนที่มีต่อนางทองประศรีนั้นย่อมสู้ความรักชีวิตของตัวนางเองมิได้หรอก...

     

    ถ้าเจ้าไม่บอก งั้นข้าจะไปบอกเอง....

    ขุนช้างเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ เขาไม่ได้บ้าอย่างนางที่จะเห็นชีวิตหนึ่งหายไปเพราะไม่ยอมให้บิดาดุหรอกนะ...ตรรกะของเด็กหญิงตรงหน้าคงไม่ต่างอะไรจากคนบ้าเท่าไหร่นัก ไร้สาระยิ่งนัก

     

    เขาวางหินและกิ่งไม้ทั้งหมดลงก่อนหันหลังและเตรียมจะก้าวเดินจากไป แต่เมื่อขุนช้างก้าวเดินไปได้เพียงไม่ไกลนัก

     

    เขาก็ถูกหินก้อนหนึ่งปาใส่อย่างแรงจนทำให้เขาตกใจและทันใดนั้นก็มีแรงกดหนึ่งที่กดร่างของเขาให้นอนลงไปกับพื้นดิน....

     

    และขุนช้างก็พบว่าเป็นเด็กหญิงที่กดร่างของเขาอยู่ด้านบน....ในมือของนางถือหินก้อนใหญ่ที่นางเก็บมา...และสายตาของนางน่ากลัว...

     

    ขุนช้างสัมผัสได้ว่าเด็กหญิงตรงหน้าน่ากลัวราวกับ....นางกำลังจะฆ่าเขา.....

     

    อย่าสร้างปัญหาให้ข้านักจะได้ไหม...ข้าไม่อยากทำบาปถึงสองคราหรอกนะ

    เป็นนางที่เอ่ยออกมากับเขาเสียงเย็น....

     

    เจ้านั่นแหละที่สร้างปัญหา เป็นบ้ารึอย่างไร ที่จะฆ่าผู้อื่นง่ายๆเช่นนี้

    ขุนช้างเหลืออดกับเด็กหญิงตรงหน้า เป็นนางต่างหากที่สร้างปัญหามิใช่เขา คิดแล้วก็พยายามดิ้นหากแต่เด็กหญิงตรงหน้ากับกดร่างของเขาแรงกว่าเดิม

     

    ถ้ามันจะฆ่าเจ้าในอนาคต เจ้าจะปล่อยให้มันมาฆ่าอย่างนั้นเหรอ?”

    พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่เอ่ยถามเสียงเย็น เธอไม่ได้บ้า แต่เด็กนั่นหลงป่าเองและเธอก็แค่ไม่ช่วยเหลือเขา.... เหตุใดจึงกล่าวว่านางกลายเป็นผู้กระทำผิดหมดซะล่ะ...

     

    มันอาจจะเป็นแค่ความเฟ้อฝันของเจ้าก็ได้ หรือต่อให้มันเป็นจริง แต่เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลยนะ

    ขุนช้างเอ่ยกับเด็กหญิง เขาไม่หรอกว่านางรับรู้เรื่องเช่นนั้นมาอย่างไร แต่สิ่งที่นางทำก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้นัก

     

    ไม่ใช่ตัวเองก็พูดง่ายสิ คุณพ่อพระ

    พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะประชดเด็กชายตรงหน้า หากมีคนชักปืนออกมา นางจะต้องอยู่นิ่งรอให้มันยิงเข้าหัวตัวเองหรืออย่างไร นางเพียงถอนหายใจเบาๆก่อนพูดเสียงเย็นว่า

    เจ้ารู้หรือไม่ แม้ข้าจะเป็นเด็กแรงจึงน้อยนัก ตีเจ้าก็คงไม่เจ็บเจียนตาย....หากแต่ถ้าใช้แรงเอาก้อนหินทุบหน้าเจ้า...ก็คงไม่แน่

     

    ความจริงที่นางไม่อยากบอกเพราะกลัวถูกบิดาดุนั้นเป็นเรื่องจริง...หากแต่อีกความจริงหนึ่งคือความกลัวขุนไกรพลพ่ายผู้เป็นบิดาของเด็กนั่นจะโกรธนางเช่นกัน...และนางก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับนาง แม้นางจะเป็นบุตรของสหายตนก็ตาม...เพราะสิ่งที่นางทำก็ไม่ต่างอะไรจากทำให้ชีวิตบุตรชายเขาตกอยู่ในอันตราย...

     

    คราแรกก็คิดว่าจะคุยกันรู้เรื่องหน่อย...หากแต่ขุนช้างก็ยังคงซื่อตรงนัก....ซึ่งมันสร้างปัญหาให้กับนาง หากจะโทษใครล่ะก็ ก็คงต้องโทษความซื่อตรงของเขาที่ไม่ยอมยืดหยุ่นล่ะนะ...

     

    ว่าแล้วมือเล็กก็ง้างหินในมือเพื่อเตรียมทุบหัวของเด็กชาย

     

    นางไม่กล้าฆ่าคน....เพราะฉะนั้นก็คงทำให้แค่หัวแตกไม่ก็บาดเจ็บสาหัสแล้วจึงลากเอาไปทิ้งในป่าไม่ลึกแต่ก็ไม่ใกล้ดีกว่า

     

    อา...ขอโทษนะ แต่เพื่อความอยู่รอดของนาง...

     

    ถ้าเจ้าฆ่าข้า ทุกคนจะเห็นถึงความผิดปกติ! หากพ่อของข้าหาข้าไม่พบ เขาย่อมมุ่งความสงสัยมาที่เจ้า!”

    ขุนช้างที่เกิดมาชาติยังไม่เคยถูกเด็กหญิงคนไหนกล้าพอที่นั่งทับตัวเองและเอ่ยจะฆ่าตนอย่างตรงไปตรงมาเยี่ยงคนโรคจิตนั้นพยายามผลักร่างของเด็กหญิงให้ออกไปและใช้มืออีกข้างจับมือของเด็กหญิงที่กำหินเอาไว้

     

    เด็กหญิงผู้นี้เหมือนผีบ้า เดี๋ยวยอมพูดคุยกับเขา เดี๋ยวจะฆ่าเขาในตอนนี้อีก...เดาความคิดของนางไม่ออกเลยจริงๆ

     

    เดี๋ยวลากเจ้าไปทิ้งในป่า สักพักก็ค่อยไปบอกผู้ใหญ่ว่าเจ้าไปตามเด็กนั่นในป่า แล้วข้ากลับขึ้นเรือนก็คงไม่สาย

    พิมพิลาไลยกล่าว เดี๋ยวให้คนรับใช้ช่วยเป็นพยานปลอมๆให้ก็คงได้...

     

    แล้วเจ้าจะฆ่าข้าเพราะอะไรกัน?! ข้ายังไม่เข้าใจตรรกะเจ้าเลยด้วยซ้ำ!”

    ขุนช้างเอ่ยถามหวังยื้อเวลาพลางคิดหาทางรอด เด็กหญิงตราหน้าเขาบ้าเกินกว่าจะพูดด้วยเหตุผลเสียแล้ว

     

    เพราะการที่เจ้าปากเปราะ....มันจะสร้างปัญหาให้กับข้าในตอนนี้และที่สำคัญอาจสร้างปัญหาให้ข้าในอนาคตเช่นกัน

    พิมพิลาไลยเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย ในขณะที่พยายามสู้แรงของเด็กชายด้วยเช่นกัน

     

    งั้นข้าจะไม่กล่าว!”

    ขุนช้างพยายามเอาตัวรอดในตอนนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

    แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไร สู้ให้ข้าฆ่าเจ้าตายจะมั่นใจได้ดีเสียกว่าอีก

    พิมพิลาไลยค่อนข้างเป็นคนหวาดระแวง หากมีโอกาสเกิดขึ้นแม้เพียงน้อยนิดสำหรับนางก็ยังคงเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวอยู่ดี

     

    งั้นมาสาบานกัน!”

    เมื่อเห็นท่าทีไม่เชื่อใจของเด็กหญิงตรงหน้า ขุนช้างไม่สามารถหาทางออกอื่นได้นอกเหนือเสียจากคำสาบาน ซึ่งเมื่อเด็กหญิงได้ฟัง นางหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ

     

    ไร้สาระ คิดว่าข้างมงายรึอย่างไร

    พิมพิลาไลยไม่คิดว่าการสาบานตนจะเป็นเรื่องที่สามารถทำให้นางเชื่อถือได้เท่าไหร่นัก...ขนาดคนที่สัญญานักสัญญาหนาว่าจะอยู่กับนางในตอนลำบากยังจากไปอย่างง่ายดาย

     

    งมงาย?...เจ้าเห็นว่าการที่ข้าสาบานอะไรสักอย่างเป็นเรื่องไร้สาระอย่างนั้นเหรอ?”

    ขุนช้างใช้โอกาสจังหวะที่เด็กหญิงเผลอตัว บิดข้อมือของนางที่ถือก้อนหินอยู่อย่างสุดแรงเท่าที่มี

     

    ทำให้ก้อนหินที่เด็กหญิงจับอยู่นั้นหล่นลงไปกับพื้น...จากนั้นขุนช้างจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นฝ่ายกดร่างของเด็กหญิงไว้แทน แม้เขาจะไม่แข็งแรงเพราะเป็นเด็กขี้โรค หากแต่เมื่อเทียบกับแรงของเด็กหญิงแล้วเขาที่เป็นผู้ชายย่อมมากกว่าอยู่แล้ว

     

    พิมพิลาไลยที่ดันประมาทเพราะคิดว่าเด็กชายตรงหน้าขี้โรคจึงไม่มีแรงมากนัก แต่นางกลับลืมตระหนักไปว่าเขาก็ยังเป็นเด็กผู้ชายและโตกว่านางหนึ่งปี....อา บัดซบ ทำไมนางถึงไม่ทำอะไรให้รอบคอบกว่านี้นะ น่าจะทุบหัวไปตั้งแต่คราแรกแล้ว

     

    หยุดบ้าได้แล้ว! เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกคิดเองเออเองแบบนี้ ไม่มีใครจะมาฆ่าเจ้าหรอก ถ้ามันจะมาฆ่าเจ้าจริงมันก็คงจะมาฆ่าเจ้าเพราะเจ้าเป็นบ้าฆ่าคนไม่เลือกเช่นนี้!”

    ขุนช้างอยากจะเขกหัวของนางสักทีให้เด็กหญิงผู้นี้คิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง แต่เมื่อมองลงไปที่เด็กหญิงใต้ร่าง เขาก็หยุดชะงัก...

     

    ดวงตาของเด็กหญิงผู้นี้เต็มไปด้วยล่อกแล่กคล้ายคนประสาทเสีย ราวกับหวาดกลัวอย่างมากมาย มากมายเสียจนขุนช้างไม่คิดว่านางจะกลัวเขา หากแต่เหมือนนางกำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่...

     

    ขุนช้างเพียงถอนหายใจกับท่าทางราวกับคนวิกลจริตของเด็กหญิง คราแรกคิดจะสั่งสอนและจะนำความไปให้ผู้ใหญ่ลงโทษนางให้หลาบจํา ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางในตอนนี้ก็คงต้องปลอบเสียก่อน ไม่งั้นคงเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกรอบอีก ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นมือของเด็กชายก็ยังไม่ปล่อยมือของเด็กหญิงหนำซ้ำยังบีบแน่นกว่าเดิม ช่วยไม่ได้...เขายังคงหวาดระแวงนางอยู่ดี หากหลุดขึ้นมา อาจเอาหินฟาดเขาอีกก็ได้

     

    เอาล่ะใจเย็นๆก่อน ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน....ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน

    ขุนช้างเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนคล้ายเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

     

    ทางด้านพิมพิลาไลยที่ได้ยินไม่กล่าวตอบอะไร สนใจแต่พยายามดิ้นหนีให้หลุดจากเด็กชาย

      

    และเมื่อขุนช้างเห็นว่าเด็กหญิงไม่สนใจคำพูดของตนเลยพยายามแต่หาทางหลุด จึงเกิดความโกรธขึ้นมาไม่มากก็น้อย เขาจะถูกนางฆ่าตาย...ดีแค่ไหนที่เขาไม่ทำนางคืน แต่นี่ก็ดันไม่สนใจฟังคำเจรจาของเขาอีก

     

    เด็กนี่เหลือเกินไปแล้ว....เกินเยียวยาแล้ว...พ่อพันศรโยธาเลี้ยงให้โตมาได้อย่างไรกัน!

     

    ถ้าเจ้ายังไม่หยุด...ข้าจะเอาก้อนหินทุบเจ้าแบบเดียวกับที่เจ้าทำกับข้า

    ขุนช้างเอ่ยเสียงเย็น....พลางหยิบก้อนหินใกล้มือขึ้นมาขู่...

     

    เด็กหญิงตรงหน้าหยุดชะงักในทันที...แต่ไม่นานนางก็เริ่มไม่ต่างจากเดิม...คล้ายคนวิกลจริต....

    ถ้าเจ้าทำ...ข้าจะร้อง...ทุกคนจะได้ยิน ใช่ ถ้าเจ้าทำ...

     

    นางเอ่ยวนไปวนมา...ในขณะที่ดวงตายังคงล่อกแล่กไม่ต่างจากคนวิกลจริต...

     

    สำหรับพิมพิลาไลยแล้ว...นางที่เผชิญความตายมาแล้วรอบหนึ่ง การกลับไปอีกคราไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ....คล้ายยิ่งบีบคั้นนาง ภาพการตายในอดีตก็เข้ามารุมเล้าจนนางแทบอยากกรีดร้องออกมา...

     

    อา...ไม่เอาแล้ว....ไม่อยากตาย.....ไม่เอา....

     

    สุดท้ายเป็นขุนช้างที่ถอนหายใจอีกครา....ลูกสาวบ้านพันศรโยธาที่เขาเล่าลือว่าฉลาดนักหนานั้น....แท้จริงแล้วเป็นเด็กจิตไม่ปกติคนหนึ่งเท่านั้น....

     

    เขาไม่รู้ว่านางเจอเรื่องอะไรหรือใครกันที่ทำนาง...แต่ทุกอย่างคงเลวร้ายมากนัก เพราะมันสื่อผ่านดวงตาของเด็กหญิงผู้นี้หมดแล้ว...

     

    ขุนช้างเองก็ไม่ได้มีครอบครัวที่อบอุ่นนัก แม้ภายนอกจะดูสมบูรณ์แบบ....แต่ภายในกลับร้าวฉานยิ่ง เขาเลยอาจพอสัมผัสได้ว่าเด็กนี่ก็คงเจอเรื่องแย่ๆมาไม่น้อย

     

    ค่อยๆฟังข้านะ...ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าและข้าจะไม่นำความนั้นไปบอกผู้ใหญ่....

     

    น้ำเสียงของขุนช้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลคล้ายพยายามกล่อมเด็กให้หยุดโวยวาย

     

    แต่พิมพิลาไลยก็อาศัยจังหวะที่ขุนช้างพยายามใช้ไม้อ่อนกับนางดิ้นจนหลุดออกมาได้

     

    แต่ครานี้เด็กหญิงกลับไม่ได้ทำอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย....ขุนช้างที่คราแรกตกใจและกังวลต้องรับมือกับเด็กหญิงอีกรอบแปลกใจ....

     

    เป็นพิมพิลาไลยที่เหลือบมองเด็กชายอย่างชั่งใจก่อนจะหันมามองอย่างซื่อตรง

    หวังว่าเจ้าจะทำตามที่พูดนะ...

     

    เอาจริงๆแล้วถ้าหากเขาทุบหัวนางเมื่อกี้ก็ยังได้....แต่ขุนช้างกลับไม่ทำและพยายามสงบศึกกับนางอย่างใจเย็น ซึ่งทำให้พิมพิลาไลยพยายามชั่งใจกับเด็กชายผู้นี้

     

    นางไม่ได้เชื่อเขาหรอก....แต่ว่าหากจะพยายามฆ่าเขาในตอนนี้อยู่ดี จะเป็นนางที่เสียเปรียบ....ไม่ว่าจะด้วยสภาพร่างกายหรือเวลา ไหนจะอาจเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีกมากอีกหากทำตอนนี้

     

    ทุกอย่างช่างน่าวุ่นวายจริงๆ...

     

    สุดท้ายแล้วพิมพิลาไลยเพียงหยิบกระปุกยาขนาดเล็กขึ้นมาและนางก็กินยาที่ได้รับติดตัวมาหนึ่งเม็ดโดยไม่พูดอะไรเงียบๆ

     

    แต่ก็เรียกสายตาของขุนช้างและความสงสัยของเขาได้เป็นอย่างดี....

    เจ้ากินอะไรไปน่ะ?”

     

    เด็กหญิงที่ถูกถามเพียงเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำถามของเด็กชายแต่อย่างใด เพียงตอบกลับอย่างเรียบเฉย

    ยาพวกระงับประสาทน่ะ....เจ้าก็เห็นท่าทางเมื่อครู่แล้วไม่ใช่เหรอ....อย่างกับคนบ้าน่ะ

     

    ขุนช้างมองเด็กหญิงอย่างแปลกใจเล็กน้อยก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ...ดูเหมือนนางจะรู้ตัวสินะ...

     

    ทางด้านพิมพิลาไลยที่เห็นสีหน้าของเด็กชายก็รับรู้ดีว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนัก

     

    ดวงตาสีพิศวงเหลือบมองกระปุกยาในกำมือ...

     

    บิดาของนางเห็นความผิดปกตินี้มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว...เขาพานางไปหาแม่หมอ แต่สุดท้ายก็จบลงที่โรงพยาบาล...

     

    ในโลกนี้ยุคสมัยที่นางอยู่นั้นปะปนไปด้วยสมัยอยุธยาบ้าง กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลายบ้าง ไม่มีหลักฐานยุคสมัยที่แน่นอน....ซึ่งก็คล้ายจะทำให้โชคดีนัก

     

    นางได้รับยาตะวันตกมาเพราะว่าอาการของนางยังไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาแผนไทยหรือต่อให้รักษาแผนไทยก็คงไม่สำเร็จและถูกมองว่าผีเข้าสิงซะมากกว่า...

     

    และความโชคดีของนางอีกคราคือบิดาของนางเป็นคนหัวสมัยใหม่...เขาเปิดใจกับยาตะวันตกและเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากมายกับยาราคาแพงนี้เพียงเพื่อให้นางกลับมาเป็นปกติ...

     

    อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ...สำหรับพ่อแล้วเงินทองพวกนั้นน่ะเทียบกับลูกไม่ได้หรอกนะ....เพื่อให้เจ้ากลับมายิ้มหรือเป็นเหมือนเด็กทั่วไป

     

    บิดาเอ่ยกับนางในวัยสามปี...เขากอดนางแน่นหลังฟังคำวินิจฉัย...การป่วยเป็นโรคทางจิตเช่นนี้สำหรับยุคสมัยนี้ที่ทัศนคติเรื่องทางจิตยังไม่เป็นที่เข้าใจเท่ายุคสมัยของนางย่อมถูกใครก็ตามที่รับรู้ นินทากันว่าเป็นคนบ้า....

     

    มันเป็นเรื่องน่าอับอายไม่น้อย...แต่บิดาของนางก็ยังคงกอดนาง...

     

    เขาจ่ายเงินปิดปากหมอที่ตรวจโรคและให้ยามาให้ปิดปากเงียบ...เพราะกังวลว่านางจะถูกนินทาและล้อเลียนจากทุกคน...

     

    ไม่เป็นไรลูก....ทุกอย่างจะไม่เป็นไร.....พ่อจะอยู่ข้างๆหนูเองนะ...

     

    เป็นมือของบิดาที่จับนางเอาไว้และจูงนางเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน....นางเงยหน้าเฝ้ามองรอยยิ้มนั้นตลอดทางจนถึงบ้าน....

     

    ข้าขอโทษที่คิดจะฆ่าเจ้า....

    ในระหว่างที่ความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างขุนช้างและพิมพิลาไลย เป็นเด็กหญิงที่เอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉยโดยไม่เขินอายหรือละอายที่จะขอโทษเมื่อตนทำผิด

     

    ขุนช้างที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ....ท่าทางของเด็กหญิงตรงหน้าสงบลงราวกับตุ๊กตาไร้ความรู้สึก....แตกต่างจากก่อนหน้านี้ชัดเจน....ราวกับการกระทำบ้าๆที่เกิดขึ้นเด็กหญิงตรงหน้าไม่มีทางทำลงไปได้แน่นอน...

     

    ราวกับเป็นคนละคน....

     

    อืม...แต่เจ้าคงจะไม่ฆ่าข้าอีกหรอกนะ

    ขุนช้างกล่าวยอมรับคำขอโทษอย่างไม่คิดอะไร แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ให้อภัยกับการกระทำของเด็กหญิงจริงๆ...แน่นอนสิ คนที่จะฆ่าตัวเองเชียวนะ....ไม่มีทางยอมรับได้ง่ายๆหรอก

     

    ไม่หรอก...

    พิมพิลาไลยมีหรือจะดูไม่ออกว่าเด็กชายคิดอะไร สิ่งที่เขามีต่อนางคือความหวาดระแวง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ....

     

    สุดท้ายก็มีเพียงความเงียบงันที่เกิดขึ้นอีกครั้ง...เด็กหญิงไม่ได้สนใจขุนช้างอีกเลย นางเพียงไปเก็บกิ่งไม้เงียบๆและก้อนหินเล็กๆต่อโดยไม่พูดอะไร ซึ่งทำให้เด็กชายไม่เข้าใจสิ่งที่นางกระทำนัก

     

    เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”

    ขุนช้างเอ่ยถามพลางจ้องมองอย่างตาไม่วาง เด็กหญิงเพียงตอบกลับอย่างเรียบเฉยโดยไม่แม้แต่จะหันหลังมาดูเด็กชายว่า

    ไปตามเด็กนั่นอีกครา ถึงจะเสี่ยงแต่ข้าขี้เกียจมีปัญหากับพวกผู้ใหญ่...แต่หากไปไกลเกินไปหรือมีอะไรอันตรายเกิดขึ้น ข้าก็จะหยุด...

     

    หากกลับไปเปล่าๆในเวลานี้ก็คงถูกสงสัย....นางดันเสียเวลาทะเลาะกับขุนช้างอย่างไม่รอบคอบเอง

     

    และสุดท้ายก็เกิดความเงียบขึ้นมาอีกละรอบคล้ายพอเด็กหญิงตรงหน้าสงบลงนางก็ไม่ต่างอะไรจากตุ๊กตาไร้ชีวิต ที่นิ่งเงียบและไม่สนใจสิ่งใดนัก....รวมถึงตัวเขาด้วย

     

    เจ้าป่วยเป็นบ้าอย่างนั้นรึ?”

    ขุนช้างอดไม่ได้ที่ถามออกมาอย่างใคร่รู้....การที่เด็กหญิงผู้นิ่งเงียบไร้ความรู้สึกคนนี้เปลี่ยนไปราวกับผีบ้าเช่นนี้ มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับมัน....เพราะเขาไม่เคยเห็นคนที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและแตกต่างไปอย่างมากมายนัก แตกต่างจนน่าหวาดกลัว....

     

    พิมพิลาไลยที่ได้ยินคำถามเสียมารยาทแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธอะไรเพราะเข้าใจดีว่าขุนช้างแม้จะฉลาดแต่ก็ยังเด็ก เขาคงยังไม่ถูกสอนเรื่องมารยาทที่เคร่งเท่าไหร่นัก

    ในมุมมองของคนที่นี้อาจเรียกเช่นนั้น....แต่สำหรับข้า...ข้าคิดว่าตนป่วยทางจิต

     

    นางรู้ตัวดีว่าอาการป่วยของตัวเองนั้นมีปัญหาอย่างหนัก...มันสร้างความเดือดร้อนให้กับนางเองและคนอื่นๆรอบข้างได้

     

    เคยมีครั้งหนึ่งที่นางเผลอไปเห็นเลือดไก่ในโรงครัวของเรือน....นางเกิดสติแตก เห็นภาพหลอนในอดีต...และพยายามทำร้ายคนครัว...จนสุดท้ายบิดาต้องมาเป็นผู้หยุดและรักษาข้ารับใช้เหล่านั้นก่อนปิดปากพวกมัน....

     

    แม้นางจะได้รับยามา...แต่น่าเสียดายนัก ที่คุณภาพและสรรพคุณของมันไม่ได้ดีเทียบเท่าจากยุคสมัยในโลกเก่าของนาง...ทำได้เพียงหยุดชั่วคราว...ไม่สามารถรักษาขาดได้แม้จะกินเป็นระยะก็ตาม

     

    อาการของมันเป็นอย่างไง?”

    เด็กชายใคร่อยากรู้ว่าเด็กหญิงตรงหน้ารู้สึกเช่นไร...ปกติแล้วคนบ้าส่วนมากที่เขาเคยเห็นมักถูกชาวบ้านเขวี้ยงก้อนหินปาใส่อยู่เสมอบางคนก็ถูกกักขังเพราะกลัวจะสร้างปัญหา...เพราะเป็นพวกไม่ปกติ...

     

    บางครั้งก็เหมือนมีรังมดในหัว...ทุกอย่างวุ่นวาย....ปวดหัว....บางครั้งก็มีภาพในอดีตซ้อนขึ้นมามากมาย มากมายเสียจนทุกอย่างน่ากลัว น่ากลัวจนอยากกรีดร้องอยากพังทุกอย่างเผื่อมันจะหายไป...ทุกอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ได้เลย....ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายมันเช่นไร...ทุกอย่างล้วนยุ่งเหยิง ไม่มีผู้ใดอยากเป็นหรอก...ข้าเองก็เช่นกัน

    พิมพิลาไลยเอ่ยอย่างเรียบเฉยเช่นเคย หากแต่ดวงตาของนางกลับดำมืดหม่นขึ้น....แต่มันก็เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเช่นกัน...

     

    พิมพิลาไลยรู้ดีว่าการเป็นผู้ป่วยทางจิตในโลกนี้....ก็ไม่ต่างอะไรจากสิ่งประหลาดไม่ก็ตัวตลก อย่างนางที่โชคดีเกิดมามีครอบครัวฐานะดีหน่อย อย่างมากสุดก็ถูกล้อเลียนไม่ก็นินทาเพราะยังมีครอบครัวคุ้มกะลาหัว แต่หากเป็นคนบ้า ที่ไม่ได้เงินทองหรือฐานะอะไร เป็นสามัญชน เป็นบ่าวไพร่...ย่อมได้รับการปฏิบัติไปอีกฐานะหนึ่ง

     

    บางคนอาจแกล้งพวกเขาเหล่านั้นเหมือนเป็นตัวตลกโดยไม่สนว่าสิ่งที่แกล้งลงไปนั้นหนักหนาแค่ไหนเพราะเห็นเป็นคนบ้าสติไม่ดี จึงคงไม่รู้อะไร....บางคนรังเกียจ บางคนไม่ชอบทั้งที่ยังไม่ทำอะไรให้...

     

    สุดท้ายแล้วเป็นบิดาที่ปิดปากคนทั้งหลายที่รู้เรื่องอาการป่วยของนางเพราะกังวลถึงการโจมตีทางสังคมของผู้คนที่รับรู้

     

    และแน่นอนว่าผู้ที่รับรู้อาการป่วยของนางย่อมมี...มารดาผู้ให้กำเนิดในชาตินี้ด้วย...

     

    หากแต่มารดาของนางไม่เหมือนบิดา...นางก็เหมือนคนอื่นๆ....

     

    สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาที่มองนางราวกับตัวประหลาด ไม่สิ....มันเป็นสายตาที่รับไม่ได้ที่ตนมีบุตรเป็นคนบ้า...เมื่อเห็นสายตานั้นเพียงครั้งแรกพิมพิลาไลยก็ตระหนักได้ในทันทีว่าสตรีผู้เป็นมารดาในชาตินี้ไม่ใช่ที่พึ่งของตนเช่นบิดา ความสัมพันธ์ของพิมพิลาไลยกับมารดาจึงหมางเมิน

     

    แต่เดิมคล้ายมารดาก็ไม่ค่อยพอใจนางอยู่แล้วเพราะหลังจากที่นางเกิดมาก็แย่งความสนใจจากบิดาไป...หนำซ้ำบางครั้งในสมัยก่อนนางเคยเอ่ยปากตักเตือนคำพูดของมารดาที่หยาบคายตามประสาหญิงชาวบ้านทำให้มารดาขัดใจ...มีหลายอย่างที่นางและมารดาไม่สามารถเข้ากันได้...

     

    อา...เลิกสนใจเรื่องไร้สาระได้แล้ว ออกไปตามหาเด็กนั่นได้แล้ว

    พิมพิลาไลยเอ่ยพลางเบือนหน้าหนี นางไม่ต้องการเห็นสายตาของขุนช้างที่มองนางด้วยความสังเวชหรือแม้แต่สงสาร

     

    แต่ทว่าสิ่งต่อมาที่ทำให้พิมพิลาไลยและขุนช้างที่บรรยากาศอึมครึมอยู่นั้นต้องตกตะลึงอย่างมากมายนัก...

     

    ตามหาใครนะ?”

     

    ก็ตามหาพลายแก้วไง

    พิมพิลาไลยตอบกลับ ก็มีคนหายตัวไปแค่คนเดียว...จะให้หาใครล่ะ...

     

    หาข้าอย่างนั้นเหรอ?”

     

    และเพียงสิ้นประโยค ก็ทำให้พิมพิลาไลยและขุนช้างแทบหันคอกลับไปมองด้านหลังจากต้นเสียง

     

    ซึ่งเจ้าของเสียงนั้น ก็เป็นเด็กชายที่ผู้คนทั้งหลายตามหาอยู่อย่างวุ่นวาย....ทว่าเด็กชายผู้นี้กลับทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ราวกับเป็นเรื่องปกติ หนำซ้ำยังมาทำสีหน้าสงสัยว่านางและขุนช้างมาตามหาตัวเองทำไม

     

    พลายแก้ว!!!”

     

    สุดท้ายเป็นเสียงตกใจของพิมพิลาไลยและขุนช้างที่เรียกผู้ใหญ่ให้มาเจอในภายหลังจนได้....

     

    .

    .

    .


    ขอย้ำอีกรอบนะคะว่าตัวเอกไม่ใช่คนดีและก็ไม่สมบูรณ์แบบด้วย น้องเขาป่วยทางจิตนะคะ เพราะฉะนั้นความคิดบางอย่างก็เลยเป็นแง่ลบหรือไม่ปกติสักเท่าไหร่ 

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×