คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9 ไม้ขีดไฟ
คำพูดของคนก็ไม่ต่างอะไรจากน้ำที่ไหลไปทุกที่ได้เพียงแค่มีที่ว่างให้กับมันและสัตว์สังคมเช่นมนุษย์ย่อมยากจะควบคุมความคิดและปากของพวกมัน
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะล่อลวงพวกมันให้เดินไปตามที่ตนต้องการเพราะกิเลสและความเขลา
เคียร์เนย์หมดเวลาในวัยเยาว์ของตนไปกับความโสมมของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์..เขาเคยเป็นผู้ถูกกระทำและผู้กระทำในเวลาเดียวกัน
“วันนี้ข้าจะไปเยี่ยมพระปัยกาสักหน่อย...คงไม่ได้อยู่ที่นี้สักพัก”
เป็นจอมมารหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเด็กหญิงผู้แสดงท่าทีคล้ายจะหลับตลอดเวลา
ซึ่งเคียร์เนย์นั้นค่อนข้างเปิดเผยเรื่องตารางที่เขาจะทำสิ่งต่างๆให้กับเด็กหญิงได้ทราบ
ดังนั้นจึงเป็นนางเพียงคนเดียวที่รับรู้ว่าเขาอยู่ไหนและจะทำอะไร
แตกต่างจากผู้คนอื่นๆที่แม้จะตามหาเขาแทบตาย
แต่หากเขาไม่อยากหรือไม่สนใจก็ไม่มีวันรับรู้ว่าเขาอยู่ไหนหรือทำอะไร
“ไปนานแค่ไหนกัน?”
มัวเรลล์เอ่ยถามแม้สติของตนคล้ายจะง่วงเต็มทนแล้ว
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาจอมมารผู้นี้ไม่ค่อยไปไหนที่ห่างไกลกับเธอเช่นนี้นัก...จึงนับว่าน่าแปลกไม่น้อย
แต่เอาเถอะ...มันก็คือชีวิตของเขา
เขาจะไปไหนก็เป็นสิทธิ์ของเขา...ต่างจากเธอที่ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว...จึงคร้านจะใส่ใจให้มากความเกินไปนัก
“สามวัน”
เคียร์เนย์ตอบกลับอย่างมั่นคงในขณะที่มือหนาลูบไล้ใบหน้างามล้ำของเด็กหญิงคล้ายเก็บความรู้สึกก่อนจากไป
“ทำไมเร็วจัง?”
มัวเรลล์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แม้เธอจะไม่เคยเห็นโลกภายนอก หากแต่ด้วยแผนที่โลกที่จอมมารผู้นี้ให้มาและสั่งสอนให้เธออ่าน
ทวีปมืดนั้นห่างจากทวีปหลักมากนัก....หนำซ้ำอาณาจักรวาสตินยังอยู่ตรงใจกลางของทวีปหลัก..การเดินทางย่อมไม่มีทางรวดเร็วปานนั้น
“คิดว่าข้าเป็นใครกันล่ะ?...แล้วอีกอย่าง...ข้าไม่อยากให้เจ้า’ทรมาน’นานหรอกนะ”
จอมมารหนุ่มเอ่ยตอบพลางฉีกยิ้มเอ็นดูให้แก่เด็กหญิงที่ใบหน้าตอนนี้แสดงความสงสัยราวกับลูกหมาตัวน้อยที่พึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก
“ทรมาน?”
มัวเรลล์ทวนคำกล่าวของจอมมารหนุ่มอย่างไม่เข้าใจนัก...เขาหมายถึงอะไรกันแน่?
“อืม...อดทนหน่อยนะ”
เคียร์เนย์ไม่ได้ไขความข้องใจของเด็กหญิงมีเพียงรอยยิ้มและแขนที่โอบกอดเธอราวกับปลอบขวัญเธอจากอะไรสักอย่าง....
ก่อนที่ร่างอันคุ้นเคยของจอมมารหนุ่มจะลุกขึ้นและหายลับตาไป...ดวงตาสีอรุณของเธอทำได้เพียงจ้องมองเขาที่จากไปอย่างเงียบๆ
แม้จะอยากเอ่ยถามถึงสิ่งที่เขาพูดก็ตาม
บางทีมันก็น่าหงุดหงิดที่คล้ายจอมมารอย่างเคียร์เนย์จะรับรู้อะไรบางอย่างที่เธอไม่รู้.....
.
.
.
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าปราสาทลึกลับนั่นมีอะไรอยู่จริงๆนะ! เพราะข้าเห็นพี่สามเดินออกจากทางที่นั่นต่อหน้าต่อตาเลย ไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่พวกเราพูดกันแล้ว”
เป็นเจ้าชายตัวน้อยเอ่ยขึ้นราวกับเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น
เพราะสำหรับเจ้าชายลำดับสามผู้ลึกลับนั้นนับว่าเป็นเรื่องยากเย็นนักที่จะพบเขาได้
จนถึงขนาดที่ว่าบรรดาเจ้าชายเจ้าหญิงตัวน้อยต่างเห็นกันว่าหากผู้ใดที่พบพี่ชายลำดับที่สามของพวกเขาย่อมนับว่าเป็นคนมีดวงอย่างแท้จริง
“เจ้าจะบอกว่าที่พวกเราพูดเล่นกัน
เป็นเรื่องจริงหรืออย่างไร? แล้วพี่สามจะไปทำอะไรที่นั่นได้กัน
ในเมื่อพระบิดาสั่งห้ามเข้าไปที่นั่น”
เจ้าชายอีกคนตอบกลับด้วยความไม่ชอบใจ
ใครๆก็รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่ต้องห้ามอย่างแท้จริง ถึงขนาดพระบิดาผู้เมตตาทรงกำชับนักหนาว่าโทษของผู้ย่างกายเข้าไปคือความผิดเฉกเช่นสามัญชนที่ก้าวเดินเข้ามายังวังศักดิ์สิทธิ์โดยไม่รับอนุญาต
“แต่ว่าข้างในนั้นมีอะไรล่ะที่ทำให้พี่สามเข้าไปในนั้น?”
เจ้าหญิงตัวน้อยเอ่ยถามถึงประเด็นที่ทุกคนอยากรับรู้...เพราะหากที่นั่นไม่มีอะไร
พี่ชายผู้แสนลึกลับมีหรือจะเข้าไปที่นั่น...
มันคืออะไรกันที่อยู่ภายในปราสาทลึกนั่น?....
ความสงสัยใคร่รู้ของมนุษย์นั้นก่อเกิดขึ้นมาเสมอ...และในตอนนี้มันก็จุดประกายขึ้นภายในใจของเหล่าเด็กหญิงและเด็กชายตัวน้อย...
หากที่นั่นมีสมบัติล่ะ?
หากที่นั่นมีของวิเศษกัน?
หรือหากที่นั่นมีปีศาจผู้ชั่วร้ายอาศัยอยู่?
ดวงตาที่เป็นประกายของเหล่าเด็กน้อยบ่งบอกถึงความต้องการอันใกล้ซึ่งง่ายที่จะเข้าใจ...บางครั้งมนุษย์ก็มักทำตัวเป็นเหมือนผู้แสวงหาความจริง
ทั้งที่แท้จริงแล้วบางครั้งบางสิ่งล้วนย่อมไม่ควรถูกแสวงเจอ...
.
.
.
คำกล่าวมากมายของเหล่าน้องชายน้องสาวนั้นแว่วไปตามสายลมแดนศักดิ์สิทธิ์
ทำให้เหล่าเจ้าชายและเจ้าหญิงผู้เติบโตเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาวเข้าวัยศึกษาวิชาแล้วเมื่อได้ยินข่าวลือของเจ้าชายลำดับที่สามที่ตนแสนริษยาไม่ก็หวาดระแวงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสนใจมัน
บางทีการที่ไม่มีผู้ใดพบตัวเจ้าชายผู้แสนลึกลับนั้นอาจเป็นเพราะว่าเขาไปหมกตัวอยู่ที่ปราสาทลึกลับนั่นก็เป็นไปได้...ใช่
อาจจะเป็นแหล่งมั่วสุมที่เขาซุกอะไรไว้ก็ได้
‘เฟรดริก’หรือเจ้าชายลำดับที่สองผู้เป็นคู่กัดของเจ้าชายต้นเรื่อง
เมื่อได้ฟังก็เลิกคิ้วสงสัยไม่น้อย...น้องชายลำดับที่สามของเขานั้นไม่ใช่คนเปิดเผยเรื่องของตนให้ผู้อื่นได้ทราบนักและมันก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายแท้ๆที่เขาจะซ่อนปราสาทลึกลับอะไรนั่น
คล้ายจงใจให้เห็นเพื่อสร้างข่าวลือให้ผู้คนสนใจที่นั่น....ราวกับเป็นกับดักแมลงที่สร้างขึ้นโดยน้ำผึ้ง
เพราะทุกคนล้วนสงสัยในตัวของเจ้าชายผู้ทำตัวลึกลับไหนจะชอบทำตัวเหนือพวกเขาอยู่แล้ว
ไม่มีทางหรอกที่จะเมินเฉยมัน มันจึงเป็นดั่งน้ำผึ้งอันหอมหวาน
ที่ตกพวกริษยาและสอดรู้สอดเห็นได้เป็นอย่างดี....
“อย่าเข้าไปยุ่งที่นั่นดีกว่า...”
เฟรดริกเอ่ยกับผู้ติดตามคนสนิทของตนอย่างเบาๆ
โดยปล่อยให้เหล่าน้องชายน้องสาวในสำนักเรียนพากันแสดงความสงสัยและคิดเห็นกันอย่างสนใจออกนอกหน้า
คล้ายแมลงที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดกับ...
ถึงเขาจะไม่รู้ว่าน้องชายผู้แสนยากจะเข้าใจคนนี้จะทำอะไร
แต่ก็ไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับน้องชายลำดับที่สามคนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดี...เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นสิ่งใดเกี่ยวกับเจ้าชายผู้นั้น
ก็อย่าได้เกี่ยวข้อง
ไฟก็คือไฟ...แม้เพียงจับเล็กน้อยก็สร้างความร้อนให้กับเราได้
“’งั้นเราควรแจ้งเรื่องนี้ให้แก่พระมหากษัตริย์คาเทียสหรือไม่พะยะค่ะ?”
เป็นผู้ติดตามคนสนิทเอ่ยถามอย่างเป็นงาน
เพราะหากข่าวลือเป็นจริง
ย่อมหมายความว่าเจ้าชายลำดับที่สามนั้นได้ละเมิดข้อห้ามของกษัตริย์คาเทียสที่สั่งห้ามเข้าไปยังปราสาทต้องห้ามนั่น...และสมควรถูกต้องโทษ
“ไม่จำเป็น...อย่าเดินนอกเกมส์ของน้องสามจะดีกว่า
เพราะข้าเองก็ยังไม่อยากมีเรื่องกับเขาขึ้นมาจริงๆหรอก”
แม้ว่าเฟรดริกจะเป็นคนที่มักคอยเอ่ยแซะหรือพยายามกดภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายให้ดูแย่ลง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไร
มันถือว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมราชวงศ์ด้วยซ้ำ
การประกาศสงครามการเมืองราชวงศ์กันจริงๆย่อมไม่เกิดขึ้นจากการจิกกัดง่ายๆเช่นนั้นหรอก
ผลประโยชน์ การขัดขวางแผนการ
หรือการดึงอำนาจและสิ่งต่างๆอีกมากมายต่างหากที่จะทำให้เกิดสงครามระหว่างราชวงศ์ขึ้น
และดูเหมือนเจ้าชายผู้น้องคนนี้กำลังคิดทำ’แผนการ’อะไรสักอย่างอยู่ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องอะไร หากเข้าไปขัดขวางแล้วเป็นเรื่องสำคัญ
ย่อมไม่ส่งผลดีถึงความสัมพันธ์ที่แสนบอบบางนี้
“แต่ว่าต่อให้ท่านไม่ไปบอกองค์กษัตริย์ให้รับรู้...แต่เจ้าหญิงเจ้าชายคนอื่นๆก็อาจไปบอกก็ได้นะพะยะค่ะ..”
ผู้ติดตามคนสนิทเอ่ยความคิดเห็นออกมาพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อเจ้าชายผู้เป็นนายของตนไม่มีความคิดจะเอ่ยโจมตีอีกฝ่าย
ทั้งที่เจอหน้ากันทีไรย่อมเกิดสงครามประสาทเกิดขึ้นแท้ๆ
ซึ่งคำกล่าวของผู้ติดตามคนสนิทก็ไม่ได้ทำให้เจ้าชายลำดับที่สองโกรธเคืองแต่อย่างใด
หนำซ้ำยังฉีกยิ้มราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก
“ต่อให้ไปแจ้ง
ทุกคนล้วนจะทำอะไรได้?...อย่าลืมสิ เรื่องที่เจ้าเอาไปแจ้ง
มันยังคงเป็น’ข่าวลือ’ และพระบิดาผู้ทรงเห็นชอบในการตัดสินที่ยุติธรรมนักหนาย่อม’ไม่ตัดสินมัน’ หากไม่มีหลักฐาน”
เฟรดริกรู้ดีว่าพระบิดาของเขาเป็นคนเช่นไร
แม้จะเป็นลูกที่เกลียดที่สุดหรือเป็นบุตรหลานจากทาสที่ชั้นต่ำที่สุด
เขาก็จะตัดสินทุกอย่างด้วยความมีเหตุและผลอย่างยุติธรรมและซื่อตรง
ไม่มีทางที่เขาจะลงโทษเจ้าชายลำดับสามอย่างเคียร์เนย์เพียงเพราะ’ข่าวลือ’ เพราะพระบิดามองว่าการลงโทษคนที่แม้ไม่มีหลักฐานทำผิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
และต่อให้ผู้ติดตามคนสนิทของเขาอยากจะหาหลักฐาน ย่อมต้องไปหาที่ปราสาทลึกลับนั่นและเมื่อทันทีที่เข้าไป
เขาก็จะกลายเป็นผู้ละเมิดข้อห้ามด้วยเช่นกัน....
ร้อยทั้งร้อยอะไรที่ไม่ควรยุ่งต่อให้มีผู้คนเข้าไปเกี่ยวข้อง
มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะต้องไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
เฟรดริกผู้เติบโตในสังคมที่ขึ้นชื่อว่าราชวงศ์และเป็นพี่ชายคนรองในวังหลวงแห่งนี้ย่อมรู้ดีว่าที่ใดที่ตนควรอยู่และสิ่งใดที่ตนควรกระทำและไม่ล้ำเส้นซึ่งกันและกัน
ดวงตาสีฟ้าอ่อนออกเขียวมรกตจางๆอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าชายลำดับที่สองนั้นเลื่อนสายตาของตนกวาดมองดูเหล่าบรรดาน้องชายน้องสาวที่แววตาของพวกเขากำลังฉายแววความสงสัยในข่าวลือนั้นอย่างปิดไม่มิด
ซึ่งเขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าความสงสัยนั้นกำลังทำให้เกิดปัญหาในอีกไม่ช้า...เพราะหากแค่สงสัยอย่างเดียวก็คงดีไป
แต่หากสงสัยและก้าวเดินไปพิสูจน์นั้นคงเกิดขึ้นแน่ แววตาของทุกคนบ่งบอกมัน....
ทุกอย่างกำลังเดินไปตามเกมส์ของน้องชายลำดับสามของเขา...มันคิดจะทำอะไรกันแน่?
.
.
.
ความคิดเห็น