คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9 เจอตัว
ความจริงแล้วพิมพิลาไลยไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนฉลาด
นางเพียงมีประสบการณ์ต่างๆและความรู้ในอดีตชาติเท่านั้น มิได้เป็นอย่างกำเนิดเหมือนขุนช้าง
และการเดินป่าก็เกินมือนางในร่างเด็กอายุห้าขวบ...
หากนางโตกกว่านี้หน่อยก็คงไม่ใช่ปัญหาในการพึ่งพาตัวเอง ร่างเด็กนั้นอ่อนแอและเหนื่อยง่าย....
แต่หากไปบอกผู้ใหญ่แผนที่คิดไว้คราแรกก็คงถูกจับได้....ไม่น่าเปลี่ยนใจเลยจริงๆ
คิดแล้วเด็กหญิงได้แต่ถอนหายใจเบาๆในความลังเลของตน
ถ้ามารดาของเด็กนั่นไม่มาร้องไห้ให้เธอฟัง...เธอคงสบายใจและปล่อยให้เด็กนั่นตายไปในป่าเสียแล้ว
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไง?”
เป็นขุนช้างที่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงกำลังเหม่อลอย
เขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่านางคิดจะทำอะไรอยู่กัน...
“ไปเก็บหินมาเยอะๆแล้วก็กิ่งไม้ด้วยก็ดี...”
พิมพิลาไลยที่ถูกเอ่ยถามได้สติ จึงเอ่ยตอบและสั่งเด็กชายในคราเดียวกัน
จากนั้นนางจึงเดินไปเก็บหินข้างทางเช่นกัน
ทิ้งขุนช้างที่สงสัยใคร่รู้ว่าจะเก็บมันไปทำอะไร
แต่สุดท้ายเด็กชายก็ยอมไปเก็บให้
พิมพิลาไลยที่เห็นว่าเด็กชายและตนเก็บได้มาเยอะพอสมควรแล้ว
จึงบอกให้เด็กชายถือให้ดีห้ามเททิ้งเป็นอันขาด จากนั้นจึงเดินเข้าป่าอย่างช้าๆ
ป่าในสมัยอดีตช่างแตกต่างจากป่าในโลกที่นางจากมาอย่างเห็นได้ชัด
มันอุดมสมบูรณ์กว่ามากมายนัก ไม่มีการตัดหรือเผาเพื่อสร้างที่ให้นายทุนแต่อย่างใด
ซึ่งพิมพิลาไลยไม่ได้รู้สึกชื่นชมกับความอุดมสมบูรณ์นี้นักเท่าไหร่....เธอกังวลเสียมากกว่า
หากป่านี้อุดมสมบูรณ์ไม่แปลกนักที่สัตว์ป่าจะอยู่อาศัยกัน
ซึ่งมันก็คงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นักสำหรับมนุษย์ที่จะเดินเข้าไปในป่า
หนำซ้ำตัวนางเองก็ยังเป็นเด็กเสียด้วย...
หากมีสัตว์ร้ายเข้ามา ก็คงวิ่งไม่ทัน....จะกลับดีกว่าไหมนะ?
เมื่อลองคิดถึงชีวิตตัวเองแล้วก็ไม่คุ้มค่านักที่จะเสี่ยงกับแค่เด็กคนเดียวที่นางต้องการให้ตายอยู่แล้วเสียด้วย
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว...กลับกันเถอะ มันไม่ปลอดภัยนักสำหรับเด็กอย่างพวกเรา”
“เจ้าพึ่งคิดได้เหรอ? ความจริงแล้วเราต้องไปแจ้งผู้ใหญ่ให้ช่วยกันหาต่างหากล่ะ”
ขุนช้างไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กหญิงผู้นี้พึ่งคิดได้หรือว่าในป่านั้นอันตรายสำหรับเด็ก
นางวางแผนฆ่าคนได้ แต่กลับพึ่งมาคิดว่าป่าอันตราย...
“ไม่ต้องแจ้ง...ก็กลับไปเฉยๆเสียอย่างนี้แหละ”
พิมพิลาไลยเอ่ยหน้าตายอย่างหน้าตาเฉย ถ้าแจ้งก็โดนดุสิ
ก็ปล่อยเด็กนั่นให้หลงป่าทั้งอย่างนั้นไปตามความต้องการเดิม
นางเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่นะ...หากแต่เด็กนั่นไม่ใช่ลูกนาง หนำซ้ำยังเป็นตัวละครที่จะฆ่านางในอนาคต...นางไม่เอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงหรอก...
ความใจอ่อนที่มีต่อนางทองประศรีนั้นย่อมสู้ความรักชีวิตของตัวนางเองมิได้หรอก...
“ถ้าเจ้าไม่บอก งั้นข้าจะไปบอกเอง....”
ขุนช้างเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ เขาไม่ได้บ้าอย่างนางที่จะเห็นชีวิตหนึ่งหายไปเพราะไม่ยอมให้บิดาดุหรอกนะ...ตรรกะของเด็กหญิงตรงหน้าคงไม่ต่างอะไรจากคนบ้าเท่าไหร่นัก
ไร้สาระยิ่งนัก
เขาวางหินและกิ่งไม้ทั้งหมดลงก่อนหันหลังและเตรียมจะก้าวเดินจากไป แต่เมื่อขุนช้างก้าวเดินไปได้เพียงไม่ไกลนัก
เขาก็ถูกหินก้อนหนึ่งปาใส่อย่างแรงจนทำให้เขาตกใจและทันใดนั้นก็มีแรงกดหนึ่งที่กดร่างของเขาให้นอนลงไปกับพื้นดิน....
และขุนช้างก็พบว่าเป็นเด็กหญิงที่กดร่างของเขาอยู่ด้านบน....ในมือของนางถือหินก้อนใหญ่ที่นางเก็บมา...และสายตาของนางน่ากลัว...
ขุนช้างสัมผัสได้ว่าเด็กหญิงตรงหน้าน่ากลัวราวกับ....นางกำลังจะฆ่าเขา.....
“อย่าสร้างปัญหาให้ข้านักจะได้ไหม...ข้าไม่อยากทำบาปถึงสองคราหรอกนะ”
เป็นนางที่เอ่ยออกมากับเขาเสียงเย็น....
“เจ้านั่นแหละที่สร้างปัญหา เป็นบ้ารึอย่างไร ที่จะฆ่าผู้อื่นง่ายๆเช่นนี้”
ขุนช้างเหลืออดกับเด็กหญิงตรงหน้า เป็นนางต่างหากที่สร้างปัญหามิใช่เขา
คิดแล้วก็พยายามดิ้นหากแต่เด็กหญิงตรงหน้ากับกดร่างของเขาแรงกว่าเดิม
“ถ้ามันจะฆ่าเจ้าในอนาคต เจ้าจะปล่อยให้มันมาฆ่าอย่างนั้นเหรอ?”
พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่เอ่ยถามเสียงเย็น เธอไม่ได้บ้า แต่เด็กนั่นหลงป่าเองและเธอก็แค่ไม่ช่วยเหลือเขา....
เหตุใดจึงกล่าวว่านางกลายเป็นผู้กระทำผิดหมดซะล่ะ...
“มันอาจจะเป็นแค่ความเฟ้อฝันของเจ้าก็ได้ หรือต่อให้มันเป็นจริง
แต่เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลยนะ”
ขุนช้างเอ่ยกับเด็กหญิง
เขาไม่หรอกว่านางรับรู้เรื่องเช่นนั้นมาอย่างไร
แต่สิ่งที่นางทำก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้นัก
“ไม่ใช่ตัวเองก็พูดง่ายสิ คุณพ่อพระ”
พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะประชดเด็กชายตรงหน้า หากมีคนชักปืนออกมา
นางจะต้องอยู่นิ่งรอให้มันยิงเข้าหัวตัวเองหรืออย่างไร นางเพียงถอนหายใจเบาๆก่อนพูดเสียงเย็นว่า
“เจ้ารู้หรือไม่ แม้ข้าจะเป็นเด็กแรงจึงน้อยนัก ตีเจ้าก็คงไม่เจ็บเจียนตาย....หากแต่ถ้าใช้แรงเอาก้อนหินทุบหน้าเจ้า...ก็คงไม่แน่”
ความจริงที่นางไม่อยากบอกเพราะกลัวถูกบิดาดุนั้นเป็นเรื่องจริง...หากแต่อีกความจริงหนึ่งคือความกลัวขุนไกรพลพ่ายผู้เป็นบิดาของเด็กนั่นจะโกรธนางเช่นกัน...และนางก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรกับนาง
แม้นางจะเป็นบุตรของสหายตนก็ตาม...เพราะสิ่งที่นางทำก็ไม่ต่างอะไรจากทำให้ชีวิตบุตรชายเขาตกอยู่ในอันตราย...
คราแรกก็คิดว่าจะคุยกันรู้เรื่องหน่อย...หากแต่ขุนช้างก็ยังคงซื่อตรงนัก....ซึ่งมันสร้างปัญหาให้กับนาง
หากจะโทษใครล่ะก็ ก็คงต้องโทษความซื่อตรงของเขาที่ไม่ยอมยืดหยุ่นล่ะนะ...
ว่าแล้วมือเล็กก็ง้างหินในมือเพื่อเตรียมทุบหัวของเด็กชาย
นางไม่กล้าฆ่าคน....เพราะฉะนั้นก็คงทำให้แค่หัวแตกไม่ก็บาดเจ็บสาหัสแล้วจึงลากเอาไปทิ้งในป่าไม่ลึกแต่ก็ไม่ใกล้ดีกว่า
อา...ขอโทษนะ แต่เพื่อความอยู่รอดของนาง...
“ถ้าเจ้าฆ่าข้า ทุกคนจะเห็นถึงความผิดปกติ!
หากพ่อของข้าหาข้าไม่พบ เขาย่อมมุ่งความสงสัยมาที่เจ้า!”
ขุนช้างที่เกิดมาชาติยังไม่เคยถูกเด็กหญิงคนไหนกล้าพอที่นั่งทับตัวเองและเอ่ยจะฆ่าตนอย่างตรงไปตรงมาเยี่ยงคนโรคจิตนั้นพยายามผลักร่างของเด็กหญิงให้ออกไปและใช้มืออีกข้างจับมือของเด็กหญิงที่กำหินเอาไว้
เด็กหญิงผู้นี้เหมือนผีบ้า เดี๋ยวยอมพูดคุยกับเขา เดี๋ยวจะฆ่าเขาในตอนนี้อีก...เดาความคิดของนางไม่ออกเลยจริงๆ
“เดี๋ยวลากเจ้าไปทิ้งในป่า
สักพักก็ค่อยไปบอกผู้ใหญ่ว่าเจ้าไปตามเด็กนั่นในป่า
แล้วข้ากลับขึ้นเรือนก็คงไม่สาย”
พิมพิลาไลยกล่าว เดี๋ยวให้คนรับใช้ช่วยเป็นพยานปลอมๆให้ก็คงได้...
“แล้วเจ้าจะฆ่าข้าเพราะอะไรกัน?!
ข้ายังไม่เข้าใจตรรกะเจ้าเลยด้วยซ้ำ!”
ขุนช้างเอ่ยถามหวังยื้อเวลาพลางคิดหาทางรอด
เด็กหญิงตราหน้าเขาบ้าเกินกว่าจะพูดด้วยเหตุผลเสียแล้ว
“เพราะการที่เจ้าปากเปราะ....มันจะสร้างปัญหาให้กับข้าในตอนนี้และที่สำคัญอาจสร้างปัญหาให้ข้าในอนาคตเช่นกัน”
พิมพิลาไลยเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย
ในขณะที่พยายามสู้แรงของเด็กชายด้วยเช่นกัน
“งั้นข้าจะไม่กล่าว!”
ขุนช้างพยายามเอาตัวรอดในตอนนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“แล้วข้าจะเชื่อได้อย่างไร สู้ให้ข้าฆ่าเจ้าตายจะมั่นใจได้ดีเสียกว่าอีก”
พิมพิลาไลยค่อนข้างเป็นคนหวาดระแวง หากมีโอกาสเกิดขึ้นแม้เพียงน้อยนิดสำหรับนางก็ยังคงเป็นเรื่องน่าหวาดกลัวอยู่ดี
“งั้นมาสาบานกัน!”
เมื่อเห็นท่าทีไม่เชื่อใจของเด็กหญิงตรงหน้า
ขุนช้างไม่สามารถหาทางออกอื่นได้นอกเหนือเสียจากคำสาบาน ซึ่งเมื่อเด็กหญิงได้ฟัง
นางหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไร้สาระ คิดว่าข้างมงายรึอย่างไร”
พิมพิลาไลยไม่คิดว่าการสาบานตนจะเป็นเรื่องที่สามารถทำให้นางเชื่อถือได้เท่าไหร่นัก...ขนาดคนที่สัญญานักสัญญาหนาว่าจะอยู่กับนางในตอนลำบากยังจากไปอย่างง่ายดาย
“งมงาย?...เจ้าเห็นว่าการที่ข้าสาบานอะไรสักอย่างเป็นเรื่องไร้สาระอย่างนั้นเหรอ?”
ขุนช้างใช้โอกาสจังหวะที่เด็กหญิงเผลอตัว บิดข้อมือของนางที่ถือก้อนหินอยู่อย่างสุดแรงเท่าที่มี
ทำให้ก้อนหินที่เด็กหญิงจับอยู่นั้นหล่นลงไปกับพื้น...จากนั้นขุนช้างจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นฝ่ายกดร่างของเด็กหญิงไว้แทน
แม้เขาจะไม่แข็งแรงเพราะเป็นเด็กขี้โรค หากแต่เมื่อเทียบกับแรงของเด็กหญิงแล้วเขาที่เป็นผู้ชายย่อมมากกว่าอยู่แล้ว
พิมพิลาไลยที่ดันประมาทเพราะคิดว่าเด็กชายตรงหน้าขี้โรคจึงไม่มีแรงมากนัก
แต่นางกลับลืมตระหนักไปว่าเขาก็ยังเป็นเด็กผู้ชายและโตกว่านางหนึ่งปี....อา บัดซบ
ทำไมนางถึงไม่ทำอะไรให้รอบคอบกว่านี้นะ น่าจะทุบหัวไปตั้งแต่คราแรกแล้ว
“หยุดบ้าได้แล้ว! เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกคิดเองเออเองแบบนี้
ไม่มีใครจะมาฆ่าเจ้าหรอก ถ้ามันจะมาฆ่าเจ้าจริงมันก็คงจะมาฆ่าเจ้าเพราะเจ้าเป็นบ้าฆ่าคนไม่เลือกเช่นนี้!”
ขุนช้างอยากจะเขกหัวของนางสักทีให้เด็กหญิงผู้นี้คิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง
แต่เมื่อมองลงไปที่เด็กหญิงใต้ร่าง เขาก็หยุดชะงัก...
ดวงตาของเด็กหญิงผู้นี้เต็มไปด้วยล่อกแล่กคล้ายคนประสาทเสีย
ราวกับหวาดกลัวอย่างมากมาย มากมายเสียจนขุนช้างไม่คิดว่านางจะกลัวเขา หากแต่เหมือนนางกำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่...
ขุนช้างเพียงถอนหายใจกับท่าทางราวกับคนวิกลจริตของเด็กหญิง
คราแรกคิดจะสั่งสอนและจะนำความไปให้ผู้ใหญ่ลงโทษนางให้หลาบจํา
ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางในตอนนี้ก็คงต้องปลอบเสียก่อน
ไม่งั้นคงเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกรอบอีก
ถึงแม้จะคิดเช่นนั้นมือของเด็กชายก็ยังไม่ปล่อยมือของเด็กหญิงหนำซ้ำยังบีบแน่นกว่าเดิม
ช่วยไม่ได้...เขายังคงหวาดระแวงนางอยู่ดี หากหลุดขึ้นมา อาจเอาหินฟาดเขาอีกก็ได้
“เอาล่ะใจเย็นๆก่อน ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน....ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าอย่างแน่นอน”
ขุนช้างเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนคล้ายเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
ทางด้านพิมพิลาไลยที่ได้ยินไม่กล่าวตอบอะไร
สนใจแต่พยายามดิ้นหนีให้หลุดจากเด็กชาย
และเมื่อขุนช้างเห็นว่าเด็กหญิงไม่สนใจคำพูดของตนเลยพยายามแต่หาทางหลุด
จึงเกิดความโกรธขึ้นมาไม่มากก็น้อย เขาจะถูกนางฆ่าตาย...ดีแค่ไหนที่เขาไม่ทำนางคืน
แต่นี่ก็ดันไม่สนใจฟังคำเจรจาของเขาอีก
เด็กนี่เหลือเกินไปแล้ว....เกินเยียวยาแล้ว...พ่อพันศรโยธาเลี้ยงให้โตมาได้อย่างไรกัน!
“ถ้าเจ้ายังไม่หยุด...ข้าจะเอาก้อนหินทุบเจ้าแบบเดียวกับที่เจ้าทำกับข้า”
ขุนช้างเอ่ยเสียงเย็น....พลางหยิบก้อนหินใกล้มือขึ้นมาขู่...
เด็กหญิงตรงหน้าหยุดชะงักในทันที...แต่ไม่นานนางก็เริ่มไม่ต่างจากเดิม...คล้ายคนวิกลจริต....
“ถ้าเจ้าทำ...ข้าจะร้อง...ทุกคนจะได้ยิน ใช่
ถ้าเจ้าทำ...”
นางเอ่ยวนไปวนมา...ในขณะที่ดวงตายังคงล่อกแล่กไม่ต่างจากคนวิกลจริต...
สำหรับพิมพิลาไลยแล้ว...นางที่เผชิญความตายมาแล้วรอบหนึ่ง
การกลับไปอีกคราไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ....คล้ายยิ่งบีบคั้นนาง ภาพการตายในอดีตก็เข้ามารุมเล้าจนนางแทบอยากกรีดร้องออกมา...
อา...ไม่เอาแล้ว....ไม่อยากตาย.....ไม่เอา....
สุดท้ายเป็นขุนช้างที่ถอนหายใจอีกครา....ลูกสาวบ้านพันศรโยธาที่เขาเล่าลือว่าฉลาดนักหนานั้น....แท้จริงแล้วเป็นเด็กจิตไม่ปกติคนหนึ่งเท่านั้น....
เขาไม่รู้ว่านางเจอเรื่องอะไรหรือใครกันที่ทำนาง...แต่ทุกอย่างคงเลวร้ายมากนัก
เพราะมันสื่อผ่านดวงตาของเด็กหญิงผู้นี้หมดแล้ว...
ขุนช้างเองก็ไม่ได้มีครอบครัวที่อบอุ่นนัก แม้ภายนอกจะดูสมบูรณ์แบบ....แต่ภายในกลับร้าวฉานยิ่ง เขาเลยอาจพอสัมผัสได้ว่าเด็กนี่ก็คงเจอเรื่องแย่ๆมาไม่น้อย
“ค่อยๆฟังข้านะ...ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าและข้าจะไม่นำความนั้นไปบอกผู้ใหญ่....”
น้ำเสียงของขุนช้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลคล้ายพยายามกล่อมเด็กให้หยุดโวยวาย
แต่พิมพิลาไลยก็อาศัยจังหวะที่ขุนช้างพยายามใช้ไม้อ่อนกับนางดิ้นจนหลุดออกมาได้
แต่ครานี้เด็กหญิงกลับไม่ได้ทำอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย....ขุนช้างที่คราแรกตกใจและกังวลต้องรับมือกับเด็กหญิงอีกรอบแปลกใจ....
เป็นพิมพิลาไลยที่เหลือบมองเด็กชายอย่างชั่งใจก่อนจะหันมามองอย่างซื่อตรง
“หวังว่าเจ้าจะทำตามที่พูดนะ...”
เอาจริงๆแล้วถ้าหากเขาทุบหัวนางเมื่อกี้ก็ยังได้....แต่ขุนช้างกลับไม่ทำและพยายามสงบศึกกับนางอย่างใจเย็น
ซึ่งทำให้พิมพิลาไลยพยายามชั่งใจกับเด็กชายผู้นี้
นางไม่ได้เชื่อเขาหรอก....แต่ว่าหากจะพยายามฆ่าเขาในตอนนี้อยู่ดี
จะเป็นนางที่เสียเปรียบ....ไม่ว่าจะด้วยสภาพร่างกายหรือเวลา
ไหนจะอาจเกิดข้อสงสัยขึ้นมาอีกมากอีกหากทำตอนนี้
ทุกอย่างช่างน่าวุ่นวายจริงๆ...
สุดท้ายแล้วพิมพิลาไลยเพียงหยิบกระปุกยาขนาดเล็กขึ้นมาและนางก็กินยาที่ได้รับติดตัวมาหนึ่งเม็ดโดยไม่พูดอะไรเงียบๆ
แต่ก็เรียกสายตาของขุนช้างและความสงสัยของเขาได้เป็นอย่างดี....
“เจ้ากินอะไรไปน่ะ?”
เด็กหญิงที่ถูกถามเพียงเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ปฏิเสธคำถามของเด็กชายแต่อย่างใด
เพียงตอบกลับอย่างเรียบเฉย
“ยาพวกระงับประสาทน่ะ....เจ้าก็เห็นท่าทางเมื่อครู่แล้วไม่ใช่เหรอ....อย่างกับคนบ้าน่ะ”
ขุนช้างมองเด็กหญิงอย่างแปลกใจเล็กน้อยก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ...ดูเหมือนนางจะรู้ตัวสินะ...
ทางด้านพิมพิลาไลยที่เห็นสีหน้าของเด็กชายก็รับรู้ดีว่าเขาคิดอะไรอยู่
แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนัก
ดวงตาสีพิศวงเหลือบมองกระปุกยาในกำมือ...
บิดาของนางเห็นความผิดปกตินี้มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว...เขาพานางไปหาแม่หมอ
แต่สุดท้ายก็จบลงที่โรงพยาบาล...
ในโลกนี้ยุคสมัยที่นางอยู่นั้นปะปนไปด้วยสมัยอยุธยาบ้าง
กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นหรือสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนปลายบ้าง
ไม่มีหลักฐานยุคสมัยที่แน่นอน....ซึ่งก็คล้ายจะทำให้โชคดีนัก
นางได้รับยาตะวันตกมาเพราะว่าอาการของนางยังไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาแผนไทยหรือต่อให้รักษาแผนไทยก็คงไม่สำเร็จและถูกมองว่าผีเข้าสิงซะมากกว่า...
และความโชคดีของนางอีกคราคือบิดาของนางเป็นคนหัวสมัยใหม่...เขาเปิดใจกับยาตะวันตกและเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากมายกับยาราคาแพงนี้เพียงเพื่อให้นางกลับมาเป็นปกติ...
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ...สำหรับพ่อแล้วเงินทองพวกนั้นน่ะเทียบกับลูกไม่ได้หรอกนะ....เพื่อให้เจ้ากลับมายิ้มหรือเป็นเหมือนเด็กทั่วไป”
บิดาเอ่ยกับนางในวัยสามปี...เขากอดนางแน่นหลังฟังคำวินิจฉัย...การป่วยเป็นโรคทางจิตเช่นนี้สำหรับยุคสมัยนี้ที่ทัศนคติเรื่องทางจิตยังไม่เป็นที่เข้าใจเท่ายุคสมัยของนางย่อมถูกใครก็ตามที่รับรู้
นินทากันว่าเป็นคนบ้า....
มันเป็นเรื่องน่าอับอายไม่น้อย...แต่บิดาของนางก็ยังคงกอดนาง...
เขาจ่ายเงินปิดปากหมอที่ตรวจโรคและให้ยามาให้ปิดปากเงียบ...เพราะกังวลว่านางจะถูกนินทาและล้อเลียนจากทุกคน...
“ไม่เป็นไรลูก....ทุกอย่างจะไม่เป็นไร.....พ่อจะอยู่ข้างๆหนูเองนะ...”
เป็นมือของบิดาที่จับนางเอาไว้และจูงนางเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน....นางเงยหน้าเฝ้ามองรอยยิ้มนั้นตลอดทางจนถึงบ้าน....
“ข้าขอโทษที่คิดจะฆ่าเจ้า....”
ในระหว่างที่ความเงียบงันที่เกิดขึ้นระหว่างขุนช้างและพิมพิลาไลย
เป็นเด็กหญิงที่เอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเฉยโดยไม่เขินอายหรือละอายที่จะขอโทษเมื่อตนทำผิด
ขุนช้างที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ....ท่าทางของเด็กหญิงตรงหน้าสงบลงราวกับตุ๊กตาไร้ความรู้สึก....แตกต่างจากก่อนหน้านี้ชัดเจน....ราวกับการกระทำบ้าๆที่เกิดขึ้นเด็กหญิงตรงหน้าไม่มีทางทำลงไปได้แน่นอน...
ราวกับเป็นคนละคน....
“อืม...แต่เจ้าคงจะไม่ฆ่าข้าอีกหรอกนะ”
ขุนช้างกล่าวยอมรับคำขอโทษอย่างไม่คิดอะไร แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้ให้อภัยกับการกระทำของเด็กหญิงจริงๆ...แน่นอนสิ
คนที่จะฆ่าตัวเองเชียวนะ....ไม่มีทางยอมรับได้ง่ายๆหรอก
“ไม่หรอก...”
พิมพิลาไลยมีหรือจะดูไม่ออกว่าเด็กชายคิดอะไร สิ่งที่เขามีต่อนางคือความหวาดระแวง
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ....
สุดท้ายก็มีเพียงความเงียบงันที่เกิดขึ้นอีกครั้ง...เด็กหญิงไม่ได้สนใจขุนช้างอีกเลย
นางเพียงไปเก็บกิ่งไม้เงียบๆและก้อนหินเล็กๆต่อโดยไม่พูดอะไร
ซึ่งทำให้เด็กชายไม่เข้าใจสิ่งที่นางกระทำนัก
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ?”
ขุนช้างเอ่ยถามพลางจ้องมองอย่างตาไม่วาง
เด็กหญิงเพียงตอบกลับอย่างเรียบเฉยโดยไม่แม้แต่จะหันหลังมาดูเด็กชายว่า
“ไปตามเด็กนั่นอีกครา
ถึงจะเสี่ยงแต่ข้าขี้เกียจมีปัญหากับพวกผู้ใหญ่...แต่หากไปไกลเกินไปหรือมีอะไรอันตรายเกิดขึ้น
ข้าก็จะหยุด...”
หากกลับไปเปล่าๆในเวลานี้ก็คงถูกสงสัย....นางดันเสียเวลาทะเลาะกับขุนช้างอย่างไม่รอบคอบเอง
และสุดท้ายก็เกิดความเงียบขึ้นมาอีกละรอบคล้ายพอเด็กหญิงตรงหน้าสงบลงนางก็ไม่ต่างอะไรจากตุ๊กตาไร้ชีวิต
ที่นิ่งเงียบและไม่สนใจสิ่งใดนัก....รวมถึงตัวเขาด้วย
“เจ้าป่วยเป็นบ้าอย่างนั้นรึ?”
ขุนช้างอดไม่ได้ที่ถามออกมาอย่างใคร่รู้....การที่เด็กหญิงผู้นิ่งเงียบไร้ความรู้สึกคนนี้เปลี่ยนไปราวกับผีบ้าเช่นนี้
มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับมัน....เพราะเขาไม่เคยเห็นคนที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและแตกต่างไปอย่างมากมายนัก
แตกต่างจนน่าหวาดกลัว....
พิมพิลาไลยที่ได้ยินคำถามเสียมารยาทแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธอะไรเพราะเข้าใจดีว่าขุนช้างแม้จะฉลาดแต่ก็ยังเด็ก
เขาคงยังไม่ถูกสอนเรื่องมารยาทที่เคร่งเท่าไหร่นัก
“ในมุมมองของคนที่นี้อาจเรียกเช่นนั้น....แต่สำหรับข้า...ข้าคิดว่าตนป่วยทางจิต”
นางรู้ตัวดีว่าอาการป่วยของตัวเองนั้นมีปัญหาอย่างหนัก...มันสร้างความเดือดร้อนให้กับนางเองและคนอื่นๆรอบข้างได้
เคยมีครั้งหนึ่งที่นางเผลอไปเห็นเลือดไก่ในโรงครัวของเรือน....นางเกิดสติแตก
เห็นภาพหลอนในอดีต...และพยายามทำร้ายคนครัว...จนสุดท้ายบิดาต้องมาเป็นผู้หยุดและรักษาข้ารับใช้เหล่านั้นก่อนปิดปากพวกมัน....
แม้นางจะได้รับยามา...แต่น่าเสียดายนัก
ที่คุณภาพและสรรพคุณของมันไม่ได้ดีเทียบเท่าจากยุคสมัยในโลกเก่าของนาง...ทำได้เพียงหยุดชั่วคราว...ไม่สามารถรักษาขาดได้แม้จะกินเป็นระยะก็ตาม
“อาการของมันเป็นอย่างไง?”
เด็กชายใคร่อยากรู้ว่าเด็กหญิงตรงหน้ารู้สึกเช่นไร...ปกติแล้วคนบ้าส่วนมากที่เขาเคยเห็นมักถูกชาวบ้านเขวี้ยงก้อนหินปาใส่อยู่เสมอบางคนก็ถูกกักขังเพราะกลัวจะสร้างปัญหา...เพราะเป็นพวกไม่ปกติ...
“บางครั้งก็เหมือนมีรังมดในหัว...ทุกอย่างวุ่นวาย....ปวดหัว....บางครั้งก็มีภาพในอดีตซ้อนขึ้นมามากมาย
มากมายเสียจนทุกอย่างน่ากลัว
น่ากลัวจนอยากกรีดร้องอยากพังทุกอย่างเผื่อมันจะหายไป...ทุกอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่ได้เลย....ข้าไม่รู้ว่าจะอธิบายมันเช่นไร...ทุกอย่างล้วนยุ่งเหยิง
ไม่มีผู้ใดอยากเป็นหรอก...ข้าเองก็เช่นกัน”
พิมพิลาไลยเอ่ยอย่างเรียบเฉยเช่นเคย หากแต่ดวงตาของนางกลับดำมืดหม่นขึ้น....แต่มันก็เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเช่นกัน...
พิมพิลาไลยรู้ดีว่าการเป็นผู้ป่วยทางจิตในโลกนี้....ก็ไม่ต่างอะไรจากสิ่งประหลาดไม่ก็ตัวตลก
อย่างนางที่โชคดีเกิดมามีครอบครัวฐานะดีหน่อย อย่างมากสุดก็ถูกล้อเลียนไม่ก็นินทาเพราะยังมีครอบครัวคุ้มกะลาหัว
แต่หากเป็นคนบ้า ที่ไม่ได้เงินทองหรือฐานะอะไร เป็นสามัญชน เป็นบ่าวไพร่...ย่อมได้รับการปฏิบัติไปอีกฐานะหนึ่ง
บางคนอาจแกล้งพวกเขาเหล่านั้นเหมือนเป็นตัวตลกโดยไม่สนว่าสิ่งที่แกล้งลงไปนั้นหนักหนาแค่ไหนเพราะเห็นเป็นคนบ้าสติไม่ดี
จึงคงไม่รู้อะไร....บางคนรังเกียจ บางคนไม่ชอบทั้งที่ยังไม่ทำอะไรให้...
สุดท้ายแล้วเป็นบิดาที่ปิดปากคนทั้งหลายที่รู้เรื่องอาการป่วยของนางเพราะกังวลถึงการโจมตีทางสังคมของผู้คนที่รับรู้
และแน่นอนว่าผู้ที่รับรู้อาการป่วยของนางย่อมมี...มารดาผู้ให้กำเนิดในชาตินี้ด้วย...
หากแต่มารดาของนางไม่เหมือนบิดา...นางก็เหมือนคนอื่นๆ....
สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมาคือสายตาที่มองนางราวกับตัวประหลาด
ไม่สิ....มันเป็นสายตาที่รับไม่ได้ที่ตนมีบุตรเป็นคนบ้า...เมื่อเห็นสายตานั้นเพียงครั้งแรกพิมพิลาไลยก็ตระหนักได้ในทันทีว่าสตรีผู้เป็นมารดาในชาตินี้ไม่ใช่ที่พึ่งของตนเช่นบิดา
ความสัมพันธ์ของพิมพิลาไลยกับมารดาจึงหมางเมิน
แต่เดิมคล้ายมารดาก็ไม่ค่อยพอใจนางอยู่แล้วเพราะหลังจากที่นางเกิดมาก็แย่งความสนใจจากบิดาไป...หนำซ้ำบางครั้งในสมัยก่อนนางเคยเอ่ยปากตักเตือนคำพูดของมารดาที่หยาบคายตามประสาหญิงชาวบ้านทำให้มารดาขัดใจ...มีหลายอย่างที่นางและมารดาไม่สามารถเข้ากันได้...
“อา...เลิกสนใจเรื่องไร้สาระได้แล้ว ออกไปตามหาเด็กนั่นได้แล้ว”
พิมพิลาไลยเอ่ยพลางเบือนหน้าหนี นางไม่ต้องการเห็นสายตาของขุนช้างที่มองนางด้วยความสังเวชหรือแม้แต่สงสาร
แต่ทว่าสิ่งต่อมาที่ทำให้พิมพิลาไลยและขุนช้างที่บรรยากาศอึมครึมอยู่นั้นต้องตกตะลึงอย่างมากมายนัก...
“ตามหาใครนะ?”
“ก็ตามหาพลายแก้วไง”
พิมพิลาไลยตอบกลับ
ก็มีคนหายตัวไปแค่คนเดียว...จะให้หาใครล่ะ...
“หาข้าอย่างนั้นเหรอ?”
และเพียงสิ้นประโยค
ก็ทำให้พิมพิลาไลยและขุนช้างแทบหันคอกลับไปมองด้านหลังจากต้นเสียง
ซึ่งเจ้าของเสียงนั้น ก็เป็นเด็กชายที่ผู้คนทั้งหลายตามหาอยู่อย่างวุ่นวาย....ทว่าเด็กชายผู้นี้กลับทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ราวกับเป็นเรื่องปกติ หนำซ้ำยังมาทำสีหน้าสงสัยว่านางและขุนช้างมาตามหาตัวเองทำไม
“พลายแก้ว!!!”
สุดท้ายเป็นเสียงตกใจของพิมพิลาไลยและขุนช้างที่เรียกผู้ใหญ่ให้มาเจอในภายหลังจนได้....
.
.
.
ขอย้ำอีกรอบนะคะว่าตัวเอกไม่ใช่คนดีและก็ไม่สมบูรณ์แบบด้วย
น้องเขา’ป่วยทางจิต’นะคะ
เพราะฉะนั้นความคิดบางอย่างก็เลยเป็นแง่ลบหรือไม่ปกติสักเท่าไหร่
ความคิดเห็น