คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่8 จุดเริ่มต้นของการเปลื่ยนแปลง
หลายวันถัดจากวันที่ท้องฟ้าอันแสนมืดครึ้มนั้นหาใช่ท้องฟ้าที่สดใส
เป็นเพียงผืนฟ้าที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยเหมันต์กับความมืดมนราวกับก่อนพายุโหม
มือบางที่ถูกฉุดรั้งโดยโซ่ตรวนนั้นยื่นออกไปนอกหน้าต่างเพื่อไขว่คว้าหิมะที่โปรยปรายลงมา
พลางนึกเสียดายที่ตนไม่อาจสัมผัสมันอย่างที่เคยชอบเหมือนวัยเด็กของอดีตชาติที่เนิ่นนานมาแล้วได้อีกครา
ความอาลัยอาวรณ์ที่เกิดขึ้นนั้นบ่งบอกถึงความเป็นจริงที่ว่า
เธอยังคงต้องการอิสระหาใช่ความชินชา
หนังสือมากมายที่จอมมารอย่างเคียร์เนย์ยัดเยียดให้ล้วนถูกอ่านวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเธอเข้าใจและจดจำมันได้ดีอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งทำได้
แม้จะไม่ถึงขนาดจอมมารผู้นั้นที่เก่งกาจเหนือใคร...หากแต่เธอก็มั่นใจว่าความพยายามของเธอย่อมไม่สูญเปล่ากว่าใคร
“รุ่งอรุณ ราชสีห์ ความบริสุทธิ์...สิ่งล้ำค่า”
มัวเรลล์เอ่ยถ้อยคำต่างๆขึ้นในภาษาหนึ่ง
ในขณะที่ดวงตาเหยียดมองไปยังท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
มือบางลูบคลำเรือนผมของตนก่อนจะเลื่อนไปยังดวงตาของตนอย่างช้าๆด้วยความไม่ใส่ใจ
ความจริงแล้วความหมายชื่อของเธอในภาษาของโลกจริงนั้นมันคือ‘ความมืด’ หากแต่ในโลกใบนี้กลับมีความหมายตรงกันข้ามและมากมายนัก มันเป็นภาษาเอลลอตินซึ่งเป็นรากฐานของภาษาวาสตินที่ใช้พูดในปัจจุบัน
เป็นจอมมารอย่างเคียร์เนย์ที่มอบชื่อนี้ให้กับเธอ...เพราะแต่เดิมเด็กที่ถูกทอดทิ้งและลืมเลือนอย่างเธอ
มีหรือจะมีชื่อ...
[เจ้านั้นส่องสว่างเหนือใครดั่ง’รุ่งอรุณ’....สง่างามและผ่าเผยเยี่ยง’ราชสีห์’ ความงดงามของเจ้าคือ’ความบริสุทธิ์’อันแท้จริง...และ’สิ่งล้ำค่า’สำหรับข้า...มัวเรลล์]
เขาเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะทำได้
มือหนาถือกระจกใบใหญ่ตรงหน้าเธอราวกับตั้งใจให้เธอได้เห็นรูปลักษณ์ของตนเองที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน
เพราะตั้งแต่ถูกคุมขังมานั้นไม่เคยมีกระจกเงาให้เธอได้ส่อง
มีเพียงกระจกหน้าต่างที่สะท้อนบางๆแต่ไม่ชัดนัก
เธอที่ในตอนนั้นอายุได้หกปี....พึ่งเคยเห็นใบหน้าของตัวเองเป็นครั้งแรก...
ในชาติก่อนเธอนั้นไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยอะไรมากนัก
จัดว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาที่ค่อนข้างหน้าคมไปเสียหน่อย
จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจผู้คนแม้แต่น้อย แต่ก็ยกเว้น’ชายคนนั้น’ล่ะนะ....
หากแต่ตรงหน้าของเธอคือเด็กผู้หญิงรูปงามเหนือบรรยาย...เป็นความงามล้ำที่เกินจะหาสิ่งใดเทียบ
สวยกว่าเธอในชาติที่แล้วไม่รู้กี่ล้านเท่า...ซึ่งมันไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย
เพราะไม่มีทางที่คนธรรมดาอย่างเธอในชาติที่แล้วจะมีดวงตาแบบนี้ เรือนผมเช่นนี้
ใบหน้าสวยๆก็ไม่เคยมี...
‘นี่....เธอจริงๆเหรอ?’
เมื่อนึกถึงตัวเธอในอดีตที่ประหลาดใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองในชาตินี้ก็อดไม่ได้ที่จะขบขัน
เพราะแม้กระทั่งตอนนี้มันก็ดูเป็นอะไรที่เกินจริงสำหรับเธออยู่ดี....บางทีรูปลักษณ์นี้ก็คงเป็นสิ่งที่จอมมารหลงใหลที่สุดด้วยเช่นกัน
เพราะเขาไม่เคยเลยที่จะตีหรือหยิกเธอด้วยซ้ำ ราวกับทะนุถนอมร่างกายของเธอก็ไม่ปาน
ซึ่งความโปรดปรานนี้ก็ดูลึกซึ้งจนบางครั้งก็เกินขอบเขต’พี่น้องครึ่งสายเลือด’ไป...เธอยังคงไม่ลืมว่าอย่างน้อยเธอและเคียร์เนย์ก็ยังคงมีบิดาคนเดียวกัน
แม้จะไม่ใช่มารดาคนเดียวกันก็ตาม
ในบทเกมส์กล่าวว่าจอมมารผู้นี้โปรดปรานเจ้าหญิงต้องสาปมากที่สุด
หากแต่ก็ไม่เคยเอ่ยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกินเลยถึงขั้นไหน
หากจะบอกว่าเป็นคนรัก...ก็นับว่าแปลกประหลาดไม่น้อย
เพราะทั้งคู่ต่างเป็นพี่น้องต่างมารดากัน
เนื้อหาของจอมมารและเจ้าหญิงต้องสาปไม่ได้ถูกกล่าวถึงมากนัก
หนำซ้ำหน้าตาของเจ้าหญิงต้องสาปนั้นก็ไม่เคยปรากฏอยู่บนเกมส์เลยสักครั้งแม้หลังจากชนะจอมมารแล้วก็ตาม...
มีหลายอย่างที่ดูคลุมเครือและลึกลับในโลกเกมส์แห่งนี้...ราวกับผู้สร้างเกมส์ไม่ได้นำเสนอมันทั้งหมด
แต่ว่าเนื้อเรื่อง ไม่สิ...ชีวิตของเธอกับจอมมารในช่วงเวลาวัยเยาว์นี้มันจะเป็นเช่นไรนะ?
.
.
.
‘คาริน่า’ไม่เคยรู้สึกหน้าชาเท่านี้มาก่อน
แม้แต่พระสวามีของนางยังต้องยอมนางถึงหกส่วน
หากแต่กลับเป็นบุตรชายที่ตนคลอดเองกับตัวที่เหยียดหยามนางราวกับผู้หญิงขายตัว
นางเป็นถึงเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งจากทวีปมืดและพระสนมลำดับที่สี่ในกษัตริย์คาเทียสที่สิบแห่งวาสติน
ร้อยทั้งร้อยย่อมไม่มีใครกล้ากระทำเหยียดหยามกับนาง!
หากแต่เป็นบุตรชายของนางเองที่ไม่เห็นหัวนาง...ปฏิเสธไม่ได้ว่านางนั้นเป็นสตรีที่เลวผู้หนึ่ง
แต่เพราะด้วยฐานะและอำนาจจึงไม่มีใครกล้าต่อว่าและผู้คนย่อมปิดหูปิดตา
ไม่เว้นแม้กระทั่งกษัตริย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางก็ตาม
หลักความคิดพื้นฐานและมุมมองของคนทวีปมืดนั้นแตกต่างจากคนบนผืนทวีปหลักและโดยเฉพาะกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างวาสติน
หากผู้คนที่นี้เชื่อว่าการทำดีหรือปล่อยวางคือสิ่งที่ดีงามที่ควรใฝ่หา
แต่ผู้คนในทวีปมืดจะเชื่อว่าการเติมเต็มกิเลสหรือทำความต้องการของตัวเองโดยไม่สนว่าเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวต่างหากคือสิ่งที่ควรใฝ่หา
พวกเขาไม่รู้จักบาปหรือนรก...
หลักความคิดและความเชื่อพื้นฐานก็ต่างกันแล้ว....ดินแดนหลักต้องการให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติและปรองดองจึงสร้างความเชื่อและปลูกฝังความคิดเช่นนั้นขึ้นมาเนิ่นนานเพื่อชาติ
แต่สำหรับดินแดนมืดแล้วมันคือดินแดนที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความอันตราย
ผู้คนที่นั่นล้วนแข่งขันและต่อสู้กันตั้งแต่เกิดจนตาย พวกเขาไม่ได้สนการทำดีเพื่อความกลมเกลียวหรือรวมเป็นหนึ่งเดียวเหมือนดินแดนอื่น
หากแต่เป็นผลประโยชน์ของตัวเองต่างหากที่พวกเขาสนใจ
ผู้คนชิงดีชิงเด่นกันไม่รู้จักจบสิ้น
เป็นสังคมที่โสมมของแท้
หากบอกว่าสังคมของชนชั้นสูงนั้นสกปรกแล้ว
สังคมของคนในทวีปมืดย่อมเข้มข้นกว่าหลายเท่า
ผู้คนในทวีปมืดคือผู้คนในดินแดนที่ถูก’ทอดทิ้ง’โดยพระผู้สร้าง ไม่มีแสงสว่างสาดส่องไปยังที่นั่น
มีเพียงความมืดมิดและแสงจากดวงจันทร์สามดวงแห่งไกอาเท่านั้น
พืชผลไม่อาจสามารถปลูกได้อย่างดินแดนทั่วไป
สิ่งมีชีวิตที่นั่นล้วนอันตรายและดุร้ายกว่าสิ่งมีชีวิตบนผืนทวีปหลักนัก...ไม่แปลกเลยที่สภาพแวดล้อมที่นั่นจะสร้างผู้คนให้เห็นแก่ตัวเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
กลไกของมนุษย์ย่อมปรับเปลี่ยนไปตามที่ๆตนอยู่
ซึ่งคาริน่าผู้เป็นเจ้าหญิงจากทวีปมืดมีหรือจะไม่ได้นิสัยดั้งเดิมพื้นฐานของทวีปตัวเองมา
หากแต่ก็ถูกขัดเกลาตามประสาเกิดในชนชั้นสูงให้ดูเบาลง
ดินแดนทวีปหลักนั้นสงบสุขมากมายนักสำหรับคาริน่า
โดยเฉพาะดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างวาสตินยิ่งไม่ต้องพูดถึง...เจ้าหญิงผู้อยู่ในดินแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยพิษภัยจากทุกสิ่งไม่อาจชินใจกับที่แห่งนี้ได้เท่าไหร่นัก...
ผู้คนที่นี้ต่างจากนาง พวกเขาหักห้ามกิเลสของตนราวกับเป็นสิ่งต้องห้ามและมองดูนางราวกับคนบาป
ซึ่งมันก็ช่างดูน่าขำนัก มองนางราวกับหญิงชั่ว...แต่ในใจลึกๆของพวกมันก็อยากทำไม่ต่างกัน
เพราะอย่างไงพวกเราก็คือ
มนุษย์....ไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากกิเลสได้หรอก....
ซึ่งนิสัยหรือกระทั่งแนวคิดนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังบุตรชายที่แสนน่าหวาดระแวงของนาง
สมสายเลือดของคนจากดินแดนทวีปมืดที่ไหลเวียนอยู่ในกาย
ปฏิเสธไม่ได้ว่านางได้ทำเกินเลยกว่าสิ่งที่ควรจะเป็นไว้มากมายนัก...เพราะความเงียบเหงาและความเมินเฉยของชายผู้เป็นสามี
ทำให้หัวใจของนางเปล่าเปลี่ยว หนำซ้ำนับวันรูปโฉมของบุตรชายก็ยิ่งหล่อเหลาทวีคูณราวกับเกิดมาเพื่อเป็นบาปของสตรี
ด้วยฤทธิ์ยาที่นางเสพ
ด้วยสุราที่นางดื่ม...และด้วยหัวใจที่ดำดิ่ง นางได้กระทำเกินเลยกับบุตรชายของตน ในตอนที่เขาอายุเพียงสิบสองปี...
‘มนุษย์กับสัตว์มันแยกแยะได้ตรงความยั้บยั้งชั่งใจนะ...มารดา’
เป็นบุตรชายของนางที่เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉยราวกับเย้ยหยันหลังจากหลับนอนกับนางครั้งแรก
ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มนั้นไม่ได้แสดงความเสียใจหรือตัดพ้อเลยแม้แต่น้อย
ราวกับเขารับรู้ดีว่ามันจะเกิดขึ้น
หลังจากนั้นความสัมพันธ์ที่เกินเลยนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปจนมาถึงปัจจุบันและมันก็สร้างความร้าวฉานระหว่างคำว่ามารดาและบุตรจนหมดสิ้น
เมื่อล้ำเส้นไปแล้ว
นางมิอาจหันหลังกลับไปได้แล้ว....กลายเป็นความลุ่มหลงในกิเลสนี้อย่างไม่อาจหักห้าม
และเมื่อบุตรชายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
นางก็พบว่าเขาเป็นชายที่น่าดึงดูดอย่างแท้จริง...ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือแม้กระทั่งความสามารถที่บุรุษทุกคนต่างต้องการไขว่คว้า
จากตัณหากลายเป็นความหึงหวงของสตรี...
ความจริงแล้วบุตรชายของนางมีสตรีมากมาย...หากแต่เขาก็ไม่เคยจริงจังกับใคร
แม้กระทั่งนาง....และไม่เคยมีผู้ใดได้รับความจริงใจของเขา ไม่เลยสักคน...
แต่’อีเด็กต้องสาปนั่น’กลับได้รับมัน...ทั้งๆที่มันไม่สมควรเกิดมา ไม่สมควรมีชีวิตอยู่แท้ๆ...
คาริน่าไม่เคยพูดคุยหรือแม้แต่เห็นเด็กหญิงต้องสาปนั่นจริงๆ
เป็นเพราะที่อยู่ของเด็กนั่นถูกเวทมนตร์ชั้นสูงมากมายผนึกเอาไว้ ราวกับคนในห้ามออก
คนนอกห้ามเข้า...นักเวทย์ชั้นสูงของอาณาจักรและนักบวชศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนจักรนับหลายคนต่างใช้พลังเวทย์มากมายเพื่อสร้างอาคมนั้นขึ้น
ไม่มีทางเลยที่จะเข้าไปได้....
ทว่าบุตรชายของนางกลับช่างมีความสามารถที่จะดึงดันเข้าไปได้
นับว่าน่าตายยิ่ง...
ในตอนที่เขาจะไปที่นั่นครั้งแรก ความสงสัยมากมายก็ผลุดขึ้นในหัวของนาง...เหตุใดจึงเขาจึงเลือกไปที่นั่นอย่างไม่ลังเลกัน?
ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง? ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหรือรู้จักกันก่อนแท้ๆ?
ราวกับเขารู้ดีว่าเขาต้องไปเจออะไรและต้องไปเจอมัน...เหมือนถูกกำหนดมา
และหลังจากนั้นนางก็ได้เห็นในสิ่งที่น่าอิจฉาและริษยาที่สุด
หลังจากบุตรชายได้ไปที่นั่น...ได้พบเด็กต้องสาปนั่น...นางก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของบุตรชายที่มีต่อเด็กนั่น
เขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องราวระหว่างเขากับเด็กนั่นเท่าไหร่นักและไม่เคยบอกวิธีการเข้าไปในปราสาทนั่นราวกับหวงแหนนักหวงแหนหนา
แต่ทว่ายามใดเมื่อเขาเอ่ยถึงเด็กนั่น มันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวลที่นางไม่เคยได้รับ
สายตาที่ไม่เคยจริงใจและเย้ยหยันต่อทุกสิ่งนั้นเป็นประกายราวกับเจอแสงสว่างในชีวิต
บุตรชายของนางชอบของแปลกหรืออย่างไร...ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครอยากให้เด็กนั่นมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ
มันคือเด็กต้องสาปนะ...ซึ่งนางไม่ชอบมัน...
การที่นังหนูฟิเลน่าเข้ามาเกาะแกะเขา นางก็ยิ่งไม่ชอบใจอยู่แล้ว...เพราะฉะนั้นมีหรือที่ชอบเด็กต้องสาปนั่นได้!
.
.
.
“เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
เคียร์เนย์”
เป็นชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดนักบวชศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนจักรเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดระแวง
แม้เขาจะอายุมากกว่าเจ้าชายผู้เสเพลตรงหน้าถึงสิบปี
หากแต่ก็ไม่เคยสามารถอ่านความคิดของเด็กหนุ่มผู้นี้ได้เลย
“ข้าต้องการความเปลี่ยนแปลงเพื่อ’นาง’”
เคียร์เนย์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างอย่างสุขใจพลางเหล่มองไปยังนอกหน้าต่างราวกับไม่ใส่ใจคู่สนทนาที่แม้จะเป็นถึงนักบวชศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามสิบเจ็ดแห่งศาสนจักร
“เปลี่ยนแปลง?...หมายความว่าอย่างไง?”
‘อัลเรน’หรือนักบวชศักดิ์สิทธิ์หนุ่มเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ
บางครั้งเจ้าชายผู้นี้ก็มักทำเรื่องเล็กๆให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
ซึ่งด้วยความสามารถและอำนาจมากมายที่เจ้าชายผู้นี้กุมเอาไว้เบื้องหลังนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ศาสนจักรส่งเขามาจับตามอง...เด็กหนุ่มผู้นี้สามารถก่อความวุ่นวายต่ออาณาจักรและศาสนจักรได้อย่างง่ายดายหากเขาคิดจะทำ...
“เปลี่ยนแปลงก็คือเปลี่ยนแปลง....ไม่ต้องห่วง
มันถูกกำหนดมาอยู่แล้ว...ข้าไม่ได้บิดเบือนโชคชะตาในตอนนี้หรอกนะ”
เคียร์เนย์ตอบคำถามของนักบวชหนุ่มอย่างคลุมเครือ
พลางนึกถึงใบหน้าอันบิดเบี้ยวของมารดาที่เต็มไปด้วยความริษยาต่อเด็กของเขาและผู้คนมากมายที่เริ่มรู้ถึงการมีอยู่และยุ่งเกี่ยวของเขาต่อปราสาทต้องห้ามที่นางอยู่นั่น...
ความจริงแล้วเคียร์เนย์สามารถไปหานางโดยที่ไม่มีผู้ใดเห็นหรือแม้แต่รับรู้ได้อย่างง่ายดาย
หากแต่เขากลับไม่ทำมัน...เพราะทุกอย่างต้องดำเนินไปตามที่เขาต้องการ...
เรย์...เจ้าอาจจะต้องพบกับความเจ็บปวดเล็กน้อย...เพื่อแลกกับอิสรภาพของเจ้าที่เรียกร้องล่ะนะ...
รอยยิ้มของเคียร์เนย์ฉีกกว้างจนแทบดูบิดเบี้ยว...ทำให้แม้แต่อัลเรนที่ได้เห็นต้องรู้สึกขนลุกและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน...
อย่างไรเสีย...เขาก็คือ จอมมาร
.
.
.
ความคิดเห็น