ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แด่เธอผู้เป็นสตรีของจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่8 จุดเริ่มต้นของการเปลื่ยนแปลง

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 63


      

    หลายวันถัดจากวันที่ท้องฟ้าอันแสนมืดครึ้มนั้นหาใช่ท้องฟ้าที่สดใส เป็นเพียงผืนฟ้าที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยเหมันต์กับความมืดมนราวกับก่อนพายุโหม มือบางที่ถูกฉุดรั้งโดยโซ่ตรวนนั้นยื่นออกไปนอกหน้าต่างเพื่อไขว่คว้าหิมะที่โปรยปรายลงมา พลางนึกเสียดายที่ตนไม่อาจสัมผัสมันอย่างที่เคยชอบเหมือนวัยเด็กของอดีตชาติที่เนิ่นนานมาแล้วได้อีกครา

     

    ความอาลัยอาวรณ์ที่เกิดขึ้นนั้นบ่งบอกถึงความเป็นจริงที่ว่า เธอยังคงต้องการอิสระหาใช่ความชินชา

     

    หนังสือมากมายที่จอมมารอย่างเคียร์เนย์ยัดเยียดให้ล้วนถูกอ่านวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเธอเข้าใจและจดจำมันได้ดีอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งทำได้ แม้จะไม่ถึงขนาดจอมมารผู้นั้นที่เก่งกาจเหนือใคร...หากแต่เธอก็มั่นใจว่าความพยายามของเธอย่อมไม่สูญเปล่ากว่าใคร

     

    รุ่งอรุณ ราชสีห์ ความบริสุทธิ์...สิ่งล้ำค่า

     

    มัวเรลล์เอ่ยถ้อยคำต่างๆขึ้นในภาษาหนึ่ง ในขณะที่ดวงตาเหยียดมองไปยังท้องฟ้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ มือบางลูบคลำเรือนผมของตนก่อนจะเลื่อนไปยังดวงตาของตนอย่างช้าๆด้วยความไม่ใส่ใจ

     

    ความจริงแล้วความหมายชื่อของเธอในภาษาของโลกจริงนั้นมันคือความมืด หากแต่ในโลกใบนี้กลับมีความหมายตรงกันข้ามและมากมายนัก มันเป็นภาษาเอลลอตินซึ่งเป็นรากฐานของภาษาวาสตินที่ใช้พูดในปัจจุบัน เป็นจอมมารอย่างเคียร์เนย์ที่มอบชื่อนี้ให้กับเธอ...เพราะแต่เดิมเด็กที่ถูกทอดทิ้งและลืมเลือนอย่างเธอ มีหรือจะมีชื่อ...

     

    [เจ้านั้นส่องสว่างเหนือใครดั่งรุ่งอรุณ....สง่างามและผ่าเผยเยี่ยงราชสีห์ ความงดงามของเจ้าคือความบริสุทธิ์อันแท้จริง...และสิ่งล้ำค่าสำหรับข้า...มัวเรลล์]

     

    เขาเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่คนๆหนึ่งจะทำได้ มือหนาถือกระจกใบใหญ่ตรงหน้าเธอราวกับตั้งใจให้เธอได้เห็นรูปลักษณ์ของตนเองที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อน เพราะตั้งแต่ถูกคุมขังมานั้นไม่เคยมีกระจกเงาให้เธอได้ส่อง มีเพียงกระจกหน้าต่างที่สะท้อนบางๆแต่ไม่ชัดนัก

     

    เธอที่ในตอนนั้นอายุได้หกปี....พึ่งเคยเห็นใบหน้าของตัวเองเป็นครั้งแรก...

     

    ในชาติก่อนเธอนั้นไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยอะไรมากนัก จัดว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาที่ค่อนข้างหน้าคมไปเสียหน่อย จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจผู้คนแม้แต่น้อย แต่ก็ยกเว้นชายคนนั้นล่ะนะ....

     

    หากแต่ตรงหน้าของเธอคือเด็กผู้หญิงรูปงามเหนือบรรยาย...เป็นความงามล้ำที่เกินจะหาสิ่งใดเทียบ สวยกว่าเธอในชาติที่แล้วไม่รู้กี่ล้านเท่า...ซึ่งมันไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย เพราะไม่มีทางที่คนธรรมดาอย่างเธอในชาติที่แล้วจะมีดวงตาแบบนี้ เรือนผมเช่นนี้ ใบหน้าสวยๆก็ไม่เคยมี...

     

    นี่....เธอจริงๆเหรอ?’

     

    เมื่อนึกถึงตัวเธอในอดีตที่ประหลาดใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองในชาตินี้ก็อดไม่ได้ที่จะขบขัน เพราะแม้กระทั่งตอนนี้มันก็ดูเป็นอะไรที่เกินจริงสำหรับเธออยู่ดี....บางทีรูปลักษณ์นี้ก็คงเป็นสิ่งที่จอมมารหลงใหลที่สุดด้วยเช่นกัน เพราะเขาไม่เคยเลยที่จะตีหรือหยิกเธอด้วยซ้ำ ราวกับทะนุถนอมร่างกายของเธอก็ไม่ปาน

     

    ซึ่งความโปรดปรานนี้ก็ดูลึกซึ้งจนบางครั้งก็เกินขอบเขตพี่น้องครึ่งสายเลือดไป...เธอยังคงไม่ลืมว่าอย่างน้อยเธอและเคียร์เนย์ก็ยังคงมีบิดาคนเดียวกัน แม้จะไม่ใช่มารดาคนเดียวกันก็ตาม

     

    ในบทเกมส์กล่าวว่าจอมมารผู้นี้โปรดปรานเจ้าหญิงต้องสาปมากที่สุด หากแต่ก็ไม่เคยเอ่ยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เกินเลยถึงขั้นไหน หากจะบอกว่าเป็นคนรัก...ก็นับว่าแปลกประหลาดไม่น้อย เพราะทั้งคู่ต่างเป็นพี่น้องต่างมารดากัน

     

    เนื้อหาของจอมมารและเจ้าหญิงต้องสาปไม่ได้ถูกกล่าวถึงมากนัก หนำซ้ำหน้าตาของเจ้าหญิงต้องสาปนั้นก็ไม่เคยปรากฏอยู่บนเกมส์เลยสักครั้งแม้หลังจากชนะจอมมารแล้วก็ตาม...

     

    มีหลายอย่างที่ดูคลุมเครือและลึกลับในโลกเกมส์แห่งนี้...ราวกับผู้สร้างเกมส์ไม่ได้นำเสนอมันทั้งหมด

     

    แต่ว่าเนื้อเรื่อง ไม่สิ...ชีวิตของเธอกับจอมมารในช่วงเวลาวัยเยาว์นี้มันจะเป็นเช่นไรนะ?

     

    .

    .

    .

     

    คาริน่าไม่เคยรู้สึกหน้าชาเท่านี้มาก่อน แม้แต่พระสวามีของนางยังต้องยอมนางถึงหกส่วน หากแต่กลับเป็นบุตรชายที่ตนคลอดเองกับตัวที่เหยียดหยามนางราวกับผู้หญิงขายตัว นางเป็นถึงเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งจากทวีปมืดและพระสนมลำดับที่สี่ในกษัตริย์คาเทียสที่สิบแห่งวาสติน

     

    ร้อยทั้งร้อยย่อมไม่มีใครกล้ากระทำเหยียดหยามกับนาง!

     

    หากแต่เป็นบุตรชายของนางเองที่ไม่เห็นหัวนาง...ปฏิเสธไม่ได้ว่านางนั้นเป็นสตรีที่เลวผู้หนึ่ง แต่เพราะด้วยฐานะและอำนาจจึงไม่มีใครกล้าต่อว่าและผู้คนย่อมปิดหูปิดตา ไม่เว้นแม้กระทั่งกษัตริย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางก็ตาม

     

    หลักความคิดพื้นฐานและมุมมองของคนทวีปมืดนั้นแตกต่างจากคนบนผืนทวีปหลักและโดยเฉพาะกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างวาสติน

     

    หากผู้คนที่นี้เชื่อว่าการทำดีหรือปล่อยวางคือสิ่งที่ดีงามที่ควรใฝ่หา แต่ผู้คนในทวีปมืดจะเชื่อว่าการเติมเต็มกิเลสหรือทำความต้องการของตัวเองโดยไม่สนว่าเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวต่างหากคือสิ่งที่ควรใฝ่หา พวกเขาไม่รู้จักบาปหรือนรก...

     

    หลักความคิดและความเชื่อพื้นฐานก็ต่างกันแล้ว....ดินแดนหลักต้องการให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างสันติและปรองดองจึงสร้างความเชื่อและปลูกฝังความคิดเช่นนั้นขึ้นมาเนิ่นนานเพื่อชาติ แต่สำหรับดินแดนมืดแล้วมันคือดินแดนที่เต็มไปด้วยความลึกลับและความอันตราย ผู้คนที่นั่นล้วนแข่งขันและต่อสู้กันตั้งแต่เกิดจนตาย พวกเขาไม่ได้สนการทำดีเพื่อความกลมเกลียวหรือรวมเป็นหนึ่งเดียวเหมือนดินแดนอื่น หากแต่เป็นผลประโยชน์ของตัวเองต่างหากที่พวกเขาสนใจ ผู้คนชิงดีชิงเด่นกันไม่รู้จักจบสิ้น

     

    เป็นสังคมที่โสมมของแท้ หากบอกว่าสังคมของชนชั้นสูงนั้นสกปรกแล้ว สังคมของคนในทวีปมืดย่อมเข้มข้นกว่าหลายเท่า

     

    ผู้คนในทวีปมืดคือผู้คนในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งโดยพระผู้สร้าง ไม่มีแสงสว่างสาดส่องไปยังที่นั่น มีเพียงความมืดมิดและแสงจากดวงจันทร์สามดวงแห่งไกอาเท่านั้น พืชผลไม่อาจสามารถปลูกได้อย่างดินแดนทั่วไป สิ่งมีชีวิตที่นั่นล้วนอันตรายและดุร้ายกว่าสิ่งมีชีวิตบนผืนทวีปหลักนัก...ไม่แปลกเลยที่สภาพแวดล้อมที่นั่นจะสร้างผู้คนให้เห็นแก่ตัวเพื่อความอยู่รอดของตนเอง กลไกของมนุษย์ย่อมปรับเปลี่ยนไปตามที่ๆตนอยู่

     

    ซึ่งคาริน่าผู้เป็นเจ้าหญิงจากทวีปมืดมีหรือจะไม่ได้นิสัยดั้งเดิมพื้นฐานของทวีปตัวเองมา หากแต่ก็ถูกขัดเกลาตามประสาเกิดในชนชั้นสูงให้ดูเบาลง

     

    ดินแดนทวีปหลักนั้นสงบสุขมากมายนักสำหรับคาริน่า โดยเฉพาะดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างวาสตินยิ่งไม่ต้องพูดถึง...เจ้าหญิงผู้อยู่ในดินแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยพิษภัยจากทุกสิ่งไม่อาจชินใจกับที่แห่งนี้ได้เท่าไหร่นัก...

     

    ผู้คนที่นี้ต่างจากนาง พวกเขาหักห้ามกิเลสของตนราวกับเป็นสิ่งต้องห้ามและมองดูนางราวกับคนบาป ซึ่งมันก็ช่างดูน่าขำนัก มองนางราวกับหญิงชั่ว...แต่ในใจลึกๆของพวกมันก็อยากทำไม่ต่างกัน

     

    เพราะอย่างไงพวกเราก็คือ มนุษย์....ไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากกิเลสได้หรอก....

     

    ซึ่งนิสัยหรือกระทั่งแนวคิดนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังบุตรชายที่แสนน่าหวาดระแวงของนาง สมสายเลือดของคนจากดินแดนทวีปมืดที่ไหลเวียนอยู่ในกาย

     

    ปฏิเสธไม่ได้ว่านางได้ทำเกินเลยกว่าสิ่งที่ควรจะเป็นไว้มากมายนัก...เพราะความเงียบเหงาและความเมินเฉยของชายผู้เป็นสามี ทำให้หัวใจของนางเปล่าเปลี่ยว หนำซ้ำนับวันรูปโฉมของบุตรชายก็ยิ่งหล่อเหลาทวีคูณราวกับเกิดมาเพื่อเป็นบาปของสตรี

     

    ด้วยฤทธิ์ยาที่นางเสพ ด้วยสุราที่นางดื่ม...และด้วยหัวใจที่ดำดิ่ง นางได้กระทำเกินเลยกับบุตรชายของตน ในตอนที่เขาอายุเพียงสิบสองปี...

     

    มนุษย์กับสัตว์มันแยกแยะได้ตรงความยั้บยั้งชั่งใจนะ...มารดา

     

    เป็นบุตรชายของนางที่เอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉยราวกับเย้ยหยันหลังจากหลับนอนกับนางครั้งแรก ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มนั้นไม่ได้แสดงความเสียใจหรือตัดพ้อเลยแม้แต่น้อย ราวกับเขารับรู้ดีว่ามันจะเกิดขึ้น

     

    หลังจากนั้นความสัมพันธ์ที่เกินเลยนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปจนมาถึงปัจจุบันและมันก็สร้างความร้าวฉานระหว่างคำว่ามารดาและบุตรจนหมดสิ้น

     

    เมื่อล้ำเส้นไปแล้ว นางมิอาจหันหลังกลับไปได้แล้ว....กลายเป็นความลุ่มหลงในกิเลสนี้อย่างไม่อาจหักห้าม

     

    และเมื่อบุตรชายเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นางก็พบว่าเขาเป็นชายที่น่าดึงดูดอย่างแท้จริง...ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือแม้กระทั่งความสามารถที่บุรุษทุกคนต่างต้องการไขว่คว้า

     

    จากตัณหากลายเป็นความหึงหวงของสตรี...

     

    ความจริงแล้วบุตรชายของนางมีสตรีมากมาย...หากแต่เขาก็ไม่เคยจริงจังกับใคร แม้กระทั่งนาง....และไม่เคยมีผู้ใดได้รับความจริงใจของเขา ไม่เลยสักคน...

     

    แต่อีเด็กต้องสาปนั่นกลับได้รับมัน...ทั้งๆที่มันไม่สมควรเกิดมา ไม่สมควรมีชีวิตอยู่แท้ๆ...

     

    คาริน่าไม่เคยพูดคุยหรือแม้แต่เห็นเด็กหญิงต้องสาปนั่นจริงๆ เป็นเพราะที่อยู่ของเด็กนั่นถูกเวทมนตร์ชั้นสูงมากมายผนึกเอาไว้ ราวกับคนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า...นักเวทย์ชั้นสูงของอาณาจักรและนักบวชศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนจักรนับหลายคนต่างใช้พลังเวทย์มากมายเพื่อสร้างอาคมนั้นขึ้น ไม่มีทางเลยที่จะเข้าไปได้....

     

    ทว่าบุตรชายของนางกลับช่างมีความสามารถที่จะดึงดันเข้าไปได้ นับว่าน่าตายยิ่ง...

     

    ในตอนที่เขาจะไปที่นั่นครั้งแรก ความสงสัยมากมายก็ผลุดขึ้นในหัวของนาง...เหตุใดจึงเขาจึงเลือกไปที่นั่นอย่างไม่ลังเลกัน? ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง? ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหรือรู้จักกันก่อนแท้ๆ? ราวกับเขารู้ดีว่าเขาต้องไปเจออะไรและต้องไปเจอมัน...เหมือนถูกกำหนดมา

     

    และหลังจากนั้นนางก็ได้เห็นในสิ่งที่น่าอิจฉาและริษยาที่สุด หลังจากบุตรชายได้ไปที่นั่น...ได้พบเด็กต้องสาปนั่น...นางก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของบุตรชายที่มีต่อเด็กนั่น

     

    เขาไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องราวระหว่างเขากับเด็กนั่นเท่าไหร่นักและไม่เคยบอกวิธีการเข้าไปในปราสาทนั่นราวกับหวงแหนนักหวงแหนหนา

     

    แต่ทว่ายามใดเมื่อเขาเอ่ยถึงเด็กนั่น มันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและนุ่มนวลที่นางไม่เคยได้รับ สายตาที่ไม่เคยจริงใจและเย้ยหยันต่อทุกสิ่งนั้นเป็นประกายราวกับเจอแสงสว่างในชีวิต

     

    บุตรชายของนางชอบของแปลกหรืออย่างไร...ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครอยากให้เด็กนั่นมีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ มันคือเด็กต้องสาปนะ...ซึ่งนางไม่ชอบมัน...

     

    การที่นังหนูฟิเลน่าเข้ามาเกาะแกะเขา นางก็ยิ่งไม่ชอบใจอยู่แล้ว...เพราะฉะนั้นมีหรือที่ชอบเด็กต้องสาปนั่นได้!

     

    .

    .

    .

     

    เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ เคียร์เนย์

    เป็นชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดนักบวชศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนจักรเอ่ยขึ้นด้วยความหวาดระแวง แม้เขาจะอายุมากกว่าเจ้าชายผู้เสเพลตรงหน้าถึงสิบปี หากแต่ก็ไม่เคยสามารถอ่านความคิดของเด็กหนุ่มผู้นี้ได้เลย

     

    ข้าต้องการความเปลี่ยนแปลงเพื่อนาง’”

    เคียร์เนย์เอ่ยอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างอย่างสุขใจพลางเหล่มองไปยังนอกหน้าต่างราวกับไม่ใส่ใจคู่สนทนาที่แม้จะเป็นถึงนักบวชศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่สามสิบเจ็ดแห่งศาสนจักร

     

    เปลี่ยนแปลง?...หมายความว่าอย่างไง?”

    อัลเรนหรือนักบวชศักดิ์สิทธิ์หนุ่มเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ บางครั้งเจ้าชายผู้นี้ก็มักทำเรื่องเล็กๆให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างง่ายดาย

     

    ซึ่งด้วยความสามารถและอำนาจมากมายที่เจ้าชายผู้นี้กุมเอาไว้เบื้องหลังนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ศาสนจักรส่งเขามาจับตามอง...เด็กหนุ่มผู้นี้สามารถก่อความวุ่นวายต่ออาณาจักรและศาสนจักรได้อย่างง่ายดายหากเขาคิดจะทำ...

     

    เปลี่ยนแปลงก็คือเปลี่ยนแปลง....ไม่ต้องห่วง มันถูกกำหนดมาอยู่แล้ว...ข้าไม่ได้บิดเบือนโชคชะตาในตอนนี้หรอกนะ

    เคียร์เนย์ตอบคำถามของนักบวชหนุ่มอย่างคลุมเครือ พลางนึกถึงใบหน้าอันบิดเบี้ยวของมารดาที่เต็มไปด้วยความริษยาต่อเด็กของเขาและผู้คนมากมายที่เริ่มรู้ถึงการมีอยู่และยุ่งเกี่ยวของเขาต่อปราสาทต้องห้ามที่นางอยู่นั่น...

     

    ความจริงแล้วเคียร์เนย์สามารถไปหานางโดยที่ไม่มีผู้ใดเห็นหรือแม้แต่รับรู้ได้อย่างง่ายดาย หากแต่เขากลับไม่ทำมัน...เพราะทุกอย่างต้องดำเนินไปตามที่เขาต้องการ...

     

    เรย์...เจ้าอาจจะต้องพบกับความเจ็บปวดเล็กน้อย...เพื่อแลกกับอิสรภาพของเจ้าที่เรียกร้องล่ะนะ...

     

    รอยยิ้มของเคียร์เนย์ฉีกกว้างจนแทบดูบิดเบี้ยว...ทำให้แม้แต่อัลเรนที่ได้เห็นต้องรู้สึกขนลุกและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน...

     

    อย่างไรเสีย...เขาก็คือ จอมมาร

     

    .

    .

    .



    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×