ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แด่เธอผู้เป็นสตรีของจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่7 ทุกคนล้วนมีบาป

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 63


      

    ยามรุ่งสางแรกของอรุณวันใหม่ คล้ายวันนี้เป็นวันที่อากาศไม่ดีเท่าไหร่นัก ท้องฟ้ามืดมัวกว่าปกติบดบังแสงตะวันให้ลับท้องฟ้าไป ทำให้เด็กหญิงและเด็กหนุ่มบนเตียงใหญ่ยิ่งซุกตัวลงที่ผ้าห่มผืนหนาและหัวชนกันโดยไม่ยอมตื่น

     

    หากแต่เมื่อสุดท้ายแล้วก็เป็นมัวเรลล์ที่ตื่นขึ้นมาก่อนเพราะว่าเธอนั้นได้หลับไปมากแล้ว ก่อนที่จะนอนหลับร่วมกับจอมมารหนุ่ม เธอเองก็นอนมาทั้งวันไม่น้อยแล้ว...ร่างเล็กของเด็กหญิงในวัยสิบสองปีโดดลงจากเตียงเบาๆ พลางยกมือบางขึ้นมาขยี้ตาอย่างเกียจคร้าน ก่อนสองขาก้าวเดินไปยังตู้เก็บของหลังใหญ่

     

    มัวเรลล์ลากเก้าอี้มาเป็นฐานของตนอย่างคุ้นชิน เมื่อร่างกายของเธอนั้นเป็นเพียงแค่เด็ก ทำให้ระดับความสูงของเธอในตอนนี้ยากที่จะหยิบจับของในตู้สูงนี้ได้ตามใจชอบ

     

    ดวงตาสีอรุณกวาดสายตาไปยังของในตู้อย่างเรียบเฉย...ซึ่งของภายในตู้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จอมมารหนุ่มผู้นี้มอบให้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะขนมหรือใบชา ตลอดจนทุกสิ่งที่เจ้าหญิงเจ้าชายเขามีกัน...

     

    มัวเรลล์ไม่เคยเอ่ยขอ...หากแต่เป็นเขาที่มอบทุกอย่างให้โดยที่เธอไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยอะไร ซึ่งมันก็ทำให้เธอรับรู้ว่าตัวตนที่ดูแข็งกระด้างของจอมมารผู้นี้ ไม่ได้เลวร้ายตามที่บทเกมส์แสดงให้เห็น...ไม่เลย

     

    แต่ก็อาจเป็นเพราะเธอคือเจ้าหญิงต้องสาป...การกระทำของจอมมารผู้นี้จึงปฏิบัติต่อเธอแตกต่างจากคนอื่น

     

    แม้กำลังครุ่นคิดอยู่หากแต่นิ้วมือเล็กก็ลากนิ้วเพื่อเลือกดูของไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่กล่องชาที่ต้องการ คิ้วของเด็กหญิงที่ขมวดปมอยู่คลายลงในทันทีราวกับคิดเรื่องใหญ่ ทั้งที่แท้จริงแล้วเด็กหญิงเพียงแค่กำลังหาชามาชงให้แก่จอมมารผู้นอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าอยู่

     

    ชาเอิร์ลเกรย์กับคุกกี้แล้วกัน....ความจริงแล้วจอมมารหนุ่มอย่างเคียร์เนย์เป็นคนง่ายๆ เขาไม่ใช่คนที่เลือกกินเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นพวกทานอะไรก็ได้คล้ายไม่เกี่ยงรสชาติหรือวัตถุดิบ ราวกับเป็นการกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกินอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นก็ทำให้มัวเรลล์ลำบากไม่น้อยที่จะสังเกตว่าเขาชอบอะไรจริงๆ

     

    มือเล็กเอื้อมไปหยิบหินพลังเวทย์ความร้อนจากในตู้ติดมาด้วย ก่อนจะจัดเตรียมถ้วยน้ำชาและกาน้ำชา จานใบเล็กถูกวางลงเพื่อใส่คุกกี้ หลังจากนั้นเด็กหญิงจึงชงชาต่ออย่างเงียบๆท่ามกลางความเงียบสงบในยามเช้าที่มืดมัวนี้

     

    และเพียงไม่นานจอมมารหนุ่มก็ตื่นขึ้น ด้วยท่าทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและสังเกตเห็นว่าเด็กหญิงบนเตียงข้างกายหายไปหากแต่เขาก็ไม่ได้โวยวายอะไร

     

    ขอบใจนะ เรย์

    ราวกับรู้ดีอยู่แล้วว่าเด็กหญิงต้องไปทำอะไรบางอย่างให้ตนหลังตื่นมาอยู่แล้ว เคียร์เนย์เอ่ยพลางหันไปมองถ้วยน้ำชาที่ถูกส่งมาพร้อมกับคุกกี้จานเล็ก

     

    อืม วันนี้อากาศไม่ดี...เจ้าโดดอยู่ที่นี้ตามปกติก็ไม่มีใครว่าหรอก

    มัวเรลล์เอ่ยอย่างเรียบเฉยหากแต่ก็คล้ายเป็นการบอกอ้อมๆให้จอมมารหนุ่มหนุ่มหยุดพักที่นี้ในวันนี้ ซึ่งปกติแล้วเธอไม่เคยเอ่ยให้เขาโดดเรียนเลย แต่บางครั้งที่เห็นจอมมารผู้นี้เหนื่อยล้ามากมายกลับมานั้น เธอก็เป็นห่วงไม่น้อย...หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา เธอคงแย่...

     

    เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอรู้จักบนโลกใบนี้....โลกที่เธอไม่รู้อะไรเลย...ถ้าเธอไม่ถูกล่าม ถ้าไม่มีปราสาทสูง...และถ้าเธอไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้....ทุกอย่างคงดีกว่านี้

     

    ดวงตาสีอรุณเงยมองไปยังนอกหน้าต่างที่ตนมักนอนอิงแอบเพื่อเฝ้ามองท้องฟ้าเสมอ...

     

    เธอเบื่อหน่ายจนเคยคิดตายเพื่อหนีมัน...สิบสองปีที่เติบโตภายในกรงขังนี่ สิบสองปีที่ไม่เคยก้าวเดินแตะพื้นดิน สิบสองปีที่ถูกลิดรอนอิสระไปอย่างไม่เป็นธรรม...

     

    เธอสมควรถูกขังเป็นสัตว์เช่นนี้จนกว่าจะตายเหรอ?...บางทีเธอก็เข้าใจความรู้สึกของจอมมารอย่างเคียร์เนย์ที่อยากกำจัดมนุษย์เลย....พอเมื่อเป็นสถานะของสิ่งที่มนุษย์กลัวหรือรังเกียจราวกับไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน เธอยังไม่ได้ฆ่าใครตาย...ไม่สิ ไม่เคยทำอะไรให้ใครเลยแท้ๆ...แต่ทำไมเธอถึงถูกตัดสินด้วยความคำทำนายโง่ๆนะ ความยุติธรรมที่มนุษย์ใช้ตัดสินกันนักหนา...มันไม่เคยยุติธรรมเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่พวกเขา

     

    ก็เหมือนสัตว์ที่ไม่เคยถูกถามหาความยุติธรรมให้ เพราะเป็นเพียงสัตว์....ใช่ เป็นแค่สัตว์....

     

    ไอ้สัตว์! มึงมันเด็กไร้ประโยชน์จริงๆ! สั่งทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง สมองน่ะมีไหม?! ถ้ากูไม่มีมึงป่านนี้คงสบายไปแล้ว! แม่มึงก็ดันโง่เสือกไม่ยอมทำแท้ง มาเป็นภาระกูอีก!’

     

    คำพูดของผู้เป็นพ่อในอดีตนั้นยังคงเจ็บแสบมากมายจนมาถึงวันนี้...หากผู้คนในวังหลวงนี้กล่าวว่าจอมมารหนุ่มปากร้ายแล้ว สำหรับเธอมันก็แค่การประชดประชันเล่นๆของเขาเท่านั้น...มันยังไม่ถึงครึ่งของผู้เป็นบิดาในอดีตชาติของเธอด้วยซ้ำ....

     

    เลี้ยงเธออย่างหมา ด่าอย่างสัตว์...ไม่เคยมีคำพูดหรือกระทำดีๆมอบให้เธอแม้จนวันเขาตาย...

     

    และในตอนที่เขาตาย..เธอก็ยังคงจดจำได้ดี....

     

    เรย์ เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าสายตาเจ้าน่ากลัวมากเลยนะ ข้าล่ะกลัวจนสั่นเทาไม่หยุดเลย

    เป็นเคียร์เนย์เอ่ยหยอกล้อเด็กหญิงเมื่อเห็นว่าดวงตาสีอรุณคู่นั้นหยุดนิ่งและฉายแววตาที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยแรงเกลียดชัง...บางทีเขาก็คิดว่าอะไรที่ทำให้เด็กหญิงที่เติบโตขึ้นมาในกรงขังนี้เพียงผู้เดียวถึงขนาดไม่รู้ภาษาที่จะพูดสามารถมีดวงตาที่มืดมนเช่นนี้ได้

     

    มือหนาเอื้อมไปดึงร่างบางให้ขึ้นมานั่งบนเตียงข้างๆตนพลางใช้มือดันหัวของเด็กหญิงให้อิงไหล่เขา ก่อนสัมผัสดวงตาของเด็กหญิงพลางลูบลงให้เธอหลับตา

     

    เคียร์เจ้าเคยฆ่าคนไหม?”

    มัวเรลล์ไม่ได้ปัดมือที่กุมปิดดวงตาของเธออยู่...หากแต่ยกมือกุมมือหนานั้นเบาๆ เธอเคยสงสัยว่าเด็กชายคนๆหนึ่งอย่างเคียร์เนย์ หากเขาต้องก้าวเดินสู่ฐานะจอมมารแล้ว...เขาได้ฆ่าคนรึเปล่า? เขาทำชั่วเลวทรามอย่างไม่น่าให้อภัยเฉกเช่นความชั่วร้ายที่เขาจะเป็นรึเปล่า?

     

    มัวเรลล์ที่มองลงมาจากกรอบสี่เหลี่ยมเสมอ...มองมันดั่งเป็นโลกเกมส์ ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากความคิดเธอมากมายนัก พวกเขา...ไม่เว้นแม้แต่ เคียร์เนย์...ก็เป็นเพียงเอไอไร้ชีวิตในดวงตาคู่นี้ ต่อให้พวกเขาตาย...เธอก็ไม่เคยใส่ใจ...ก็แค่รีเซ็ตมัน ชีวิตในโลกเกมส์นี้จึงดูไม่มีค่าอะไรสำหรับเธอ...

     

    แต่นี่คือชีวิตจริง...หากเธอตาย หากเขาตาย...ทุกอย่างจะดำเนินตามเกมส์ ไม่ปุ่มรีเซ็ต ไม่มีจุดเซฟกลับไป

     

    น่ากลัว....ทุกอย่างดูน่ากลัวไปหมด...

     

    ถามอะไรแบบนั้น...คนปกติที่ไหนเขาฆ่าคนกัน

    เคียร์เนย์เอ่ยตอบด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น ก่อนจะปล่อยมือที่กุมดวงตาสีอรุณคู่นั้นและกุมศีรษะของนางให้มาอยู่ที่อกตนแทน

     

    มัวเรลล์ก้มหน้าลงซบอกของเด็กหนุ่มอย่างว่าง่าย ทำให้ไม่มีใครเห็นดวงตาของเธอในตอนนี้ แม้กระทั่งจอมมารหนุ่ม...

     

    ดวงตาสีอรุณนั้นว่างเปล่า...มันว่างเปล่าอย่างชัดเจน กลวงลึกลงไปนั้นมีเพียงตะกอนของความหม่นหมองที่คล้ายจมลงสู่เบื้องลึกในจิตใจของเด็กหญิง

     

    อา...เขาโกหกเธอ...

     

    คำพูดที่แสนปลิ้นปล้อน...เขาเอ่ยว่าคนปกติไม่ฆ่าคน แต่ไม่เอ่ยถึงตัวเอง...การไม่พูดก็นับเป็นการโกหกที่จะปกปิดความจริง มัวเรลล์ไม่เอ่ยคำทักท้วงใดๆออกไป เธอที่อยู่กับเขามาเนิ่นนาน มีหรือที่จะไม่รู้ว่าดวงตาสีเลือดคู่นั้นจอมปลอมแค่ไหน...

     

    เอาเถอะ...จอมมารก็ยังคงเป็นจอมมารล่ะนะ...

     

    .

    .

    .

      

    เขาคนนั้นหายตัวไปไหนของเขากันนะ? ทั้งๆที่เราได้ยินมาว่าเมื่อวานเขามาเรียนที่สำนักอยู่เลย…”

    เป็นเสียงหวานสมหญิงงามชั้นสูงโดยแท้ที่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ เป็นความนุ่มนวลหาใช่ความแข็งกระด้างหรือสงบนิ่งเกินไป เพียงได้ฟังน้ำสียงนี้ก็สามารถรับรู้ได้ถึงการถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดีของสตรีผู้นี้

     

    รูปลักษณ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางย่อมเป็นโฉมงามผู้โดดเด่นคนหนึ่งในสังคมชั้นสูงนี้ เรือนผมสีทองอร่ามเข้มดุจทองคำแท้นั้นเรืองรองภายใต้ความหรูหรา ดวงตาสีฟ้าอ่อนเจือปนครามนั้นดูสูงค่ายิ่ง ใบหน้างามสมพิมพ์นิยมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างวาสติน ท่าทางและกิริยาอ่อนช้อยและเป็นระเบียบสมการฝึกฝน ไม่ว่าผู้ใดได้จับจ้องย่อมรับรู้ได้ในทันทีว่านางคือสตรีชนชั้นสูงอย่างแท้จริง

     

    ฟิเลน่า เดอ ฟัวส์

     

    นางคือบุตรีคนแรกและบุตรคนสุดท้องของอาร์ชดยุกฟาคอส เดอ ฟัวส์ ชายผู้เป็นน้องชายต่างมารดาของกษัตริย์เอลริสที่เก้า...บิดาของกษัตริย์คาเทียสแห่งวาสติน หรือก็คือเขามีศักดิ์เป็นอาของกษัตริย์คาเทียสที่สิบในปัจจุบัน

     

    แต่เดิมอาร์ชดยุกฟาคอสเป็นเจ้าชายองค์ท้ายๆ จึงมีอายุห่างจากกษัตริย์เอลริสค่อนข้างมาก วัยของเขาจึงห่างจากกษัตริย์คาเทียสผู้เป็นหลานเพียงสิบปีเท่านั้น หนำซ้ำเมื่อครั้นแต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งมิลล์เทนก็ประสบปัญหาในการมีบุตรมากนัก...ดังนั้นนางที่เป็นบุตรคนสุดท้องจึงเป็นดั่งบุตรหัวแก้วหัวแหวนของอาร์ชดยุกฟาคอส

     

    ฟิเลน่าแม้จะมีพี่ชายหนึ่งคนผู้เป็นถึงคนสนิทของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งแห่งวาสติน หากแต่สถานะของเธอกลับไม่ได้วางตัวให้หมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งหรือลำดับที่สองตามสมควรในฐานะหรือความใกล้ชิดของครอบครัวต่อบุคคลในราชวงศ์

     

    หากแต่เป็นเจ้าชายลำดับที่สามอย่างเคียร์เนย์ ลอเรน วาสติน ที่นางถูกวางตัวให้หมั้นหมายด้วย...

     

    นับเป็นความไม่เข้ากันที่ผู้คนคัดค้าน...มันไม่มีความเหมาะสมเลยเมื่อ สตรีชนชั้นสูงผู้มีสายเลือดสูงศักดิ์แสนเพียบพร้อมจะต้องคู่กับเจ้าชายผู้ชั่วร้ายและลึกลับยากเข้าถึงเช่นเจ้าชายลำดับที่สามอย่างเคียร์เนย์

     

    หากแต่ใครจะรู้ความจริงที่ว่า เป็นเด็กหญิงเองต่างหากที่ประสงค์ในเจ้าชายผู้แตกแยกคนนี้....ถึงขนาดเมินเฉยต่อความเหมาะสมที่ว่านางต้องหมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งหรือสอง

     

    อาร์ชดยุกฟาคอสผู้ตามใจบุตรียิ่งแม้จะกระด้างกระเดื่องใจที่บุตรีแสนรักปักใจในเจ้าชายที่ดูไร้อนาคตคนนี้จนเรียกร้องให้ตนได้หมั้นหมาย แทนที่จะเลือกเจ้าชายผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์มากที่สุดแท้ๆ

     

    ซึ่งในความโชคร้ายสำหรับอาร์ชดยุกฟาคอสนั้นก็ยังมีความโชคดีอยู่...เมื่อเจ้าชายลำดับสามผู้เกเรเป็นคนเอ่ยปฏิเสธที่จะหมั้นหมายด้วยตัวเอง

     

    แต่น่าเศร้านักเมื่อความดื้อดึงของบุตรีมีมากมายนัก แม้ตนจะไม่ได้รับการหมั้นหมายเพราะถูกปฏิเสธ หากแต่ก็เรียกร้องจนกษัตริย์คาเทียสต้องให้นางเป็น...ว่าที่คนที่จะถูกวางตัวเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายลำดับสามแทน...

     

    นับเป็นตำแหน่งที่ดูเลื่อนลอยยิ่ง...เพียงคู่หมั้นก็ไม่ได้เป็น หนำซ้ำยังเป็นว่าที่ของคนที่ถูกวางตัวอีก เรียกได้ว่าขุนนางหรือผู้คนในสังคมชั้นสูงที่เห็นก็รับรู้กันเป็นนัยๆว่า เจ้าชายลำดับสามไม่เอานาง จึงต้องมีสถานะเช่นนี้

     

    โชคยังดีที่เรื่องของการร้องขอการหมั้นหมายของนางถูกปกปิดไว้ มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องงามหน้าให้อับอาย ที่บุตรีขอฝ่ายชายหมั้นแต่เขาไม่รับก็ยังดึงดันยัดเยียดให้...จนสุดท้ายต้องได้ตำแหน่งนี้มา ผู้คนทั้งหลายต่างเข้าใจผิดคิดว่าบุตรีแห่งอาร์ชดยุกฟาคอสนั้นโชคร้ายที่ถูกวางตัวให้คู่กับเจ้าชายลำดับสามเพราะความต้องการของผู้เป็นบิดาอย่างอาร์ชดยุกฟาคอสที่ต้องการประกาศตนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางราชวงศ์ เพราะเลือกเจ้าชายผู้ถูกกษัตริย์คาเทียสเกลียดชังอย่างเจ้าชายลำดับสาม เขาย่อมถูกกีดกันจากบัลลังก์อย่างชัดเจน

     

    ซึ่งนั่นก็เป็นข้ออ้างที่น่าตลก...อำนาจหรือ จะมีใครไม่ต้องการ หากแต่เพราะความต้องการของบุตรีที่รักยิ่งชีพ อาร์ชดยุกฟาคอสจึงยอมปิดหูปิดตา...อย่างน้อยบุตรชายคนโตของเขาก็ได้เป็นคนสนิทของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง ก็ยังพอมีอะไรทำเนา...

     

    ต้องขออภัยด้วยค่ะ...เจ้าชายเคียร์เนย์ทรงหายตัวไปหลังจากกลับมาจากสำนักเรียนตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ...

    เป็นข้ารับใช้สาวของเจ้าชายลำดับที่สามผู้เป็นคนที่เธอหมายปองเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่สำรวม

     

    เช่นนั้นเหรอ...ขอบคุณที่บอกนะคะ

    ฟิเลน่าที่แม้ได้ยินว่าว่าที่คู่หมั้นของตนหายตัวไป ก็ไม่ได้แสดงทีท่าหงุดหงิดอะไร เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าชายลำดับที่สามนั้นลึกลับเพียงใด น้อยคนนักที่จะพบเขาหากใม่ใช่ความต้องการของเขาเอง จึงเพียงตอบรับอย่างเรียบเฉยหนำซ้ำยังถ่อมเนื้อถ่อมตนเอ่ยขอบคุณบ่าวไพร่โดยไม่ถือตัว

     

    กล่าวกันว่าท่านหญิงฟิเลน่านั้นคือสตรีผู้สมบูรณ์พร้อมไปด้วยมารยาทและการศึกษา นางถูกสรรเสริญว่าเป็นหญิงงามที่สมบูรณ์พร้อมกว่าสตรีในรุ่นนี้อย่างแท้จริง

     

    จึงไม่แปลกที่สายตาของผู้คนที่มองมายังนางจะต่างแสดงความเสียดาย...เมื่อโฉมงามที่เพียบพร้อมดันไปอยู่คู่กับเจ้าชายผู้เลวร้าย ผู้คนต่างสงสารนาง ในสายตาของพวกเขาต่างมองว่าท่านหญิงผู้โชคร้ายคนนี้มักค่อยตามหาว่าที่คู่หมั้นของตนอยู่เสมอ บางครั้งก็ค่อยไถ่ถามความเป็นอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงต่อเจ้าชายลำดับที่สาม ขนมนมเนยต่างๆหรือแม้กระทั่งของขวัญดีๆล้วนถูกส่งให้แก่เจ้าชายผู้เกเรคนนี้

     

    นางนับเป็นคู่หมั้นที่ดีอย่างแท้จริง! แต่เจ้าชายผู้เป็นคู่หมั้นอย่างเคียร์เนย์กลับไม่ใยดี ช่างเศร้าจริงๆ

     

    หากแต่ในความคิดของฟิเลน่านั้นกำลังสั่นระรัวอย่างแท้จริง ยิ่งชื่อเสียงในความดีงามของนางมีมากเท่าไหร่หรือผู้คนมากมายต่างพากันเห็นใจนางและยกยอนางว่าเป็นสตรีที่ดี อย่างน้อยเขาจะต้องเห็นว่าการได้นางมาเป็นคู่หมั้นนั้นเป็นเรื่องที่ควรยินดีด้วยซ้ำ

     

    ข้าไม่ชอบเจ้า เพราะฉะนั้นต่อให้มาเป็นว่าที่คู่หมั้นหรือคู่หมั้นของข้า ก็ล้วนไร้ประโยชน์

     

    นั่นเป็นคำกล่าวหนึ่งเมื่อครั้นอดีตของชายที่นางหลงรัก...ดวงตาสีเลือดคู่นั้นจับจ้องมายังที่นางราวกับเป็นของแถม รอยยิ้มฉีกกว้างราวกับเย้ยหยันดูแคลนนาง

     

    นางไม่เข้าใจว่าตนแย่หรืออย่างไร รูปโฉมของตนก็นับว่างามคนหนึ่ง วิชาความรู้หรือกิริยามารยาทก็ล้วนตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนทุกคนต่างชื่นชม เวทมนต์ในกายก็ไม่ด้อยไปกว่าเด็กชนชั้นสูงคนใด....แล้วทำไมเขาจึงไม่ชอบนางกัน....ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ?...ทำไม?...

     

    นางทำลายความคาดหวังของท่านพ่อ...ก็เพื่อจะได้เคียงคู่เขา

     

    นางเมินเฉยต่อความเสียใจของมารดา...ก็เพื่อจะได้เขาเป็นคนรัก

     

    นางทำร้ายความหวังดีของพี่ชาย...เพื่อจะได้สถานะข้างกายเขา

     

    นางทำผิดมากมายลงไปก็เพราะรักเขา...เหตุใดเขาจึงไม่หันมามองนางบ้างเลย...

     

    ภายใต้หน้ากากของท่านหญิงผู้สมบรูณ์แบบนั้นมีเพียงความแตกร้าวในใจและความสงสัยที่น่าชังต่อชายผู้ตนหลงใหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

     

    .

    .

    .

     

    ทุกคนล้วนมีบาป

     

    เคยมีชายผู้หนึ่งเอ่ยกับมัวเรลล์เมื่อครั้นในอดีตชาติที่เนิ่นนาน...และเธอก็ยังคงจดจำมันได้ดี ทั้งๆที่คำพูดนั้นช่างแสนธรรมดาและเรียบง่าย หากแต่เมื่อออกมาจากปากของผู้ชายคนนั้นแล้วมันกลับช่างดูหม่นหมองเสียจนฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเธอ

     

    ฉันไม่ได้บอกเพื่อให้เธอทำบาปเป็นเรื่องปกติเพราะเห็นว่าทุกคนมีบาปไม่ต่างกัน...แต่ฉันแค่อยากให้เธอตระหนักว่าอย่างน้อย ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวบนโลกที่ผิด...อย่ากดดันโลกทั้งใบมาที่ตัวเอง อย่าแบกรับความรู้สึกจนพังลงและอย่าตอกย้ำการกระทำที่เลวร้ายให้ลึกลง...----

     

    ในอดีตเมื่อครั้งยังเด็ก...แม้แม่ของเธอจะย้ายบ้านบ่อย หากแต่ก็มีที่ๆหนึ่งที่เธออยู่นานกว่าที่อื่นนัก เป็นเมืองเล็กๆในประเทศอเมริกา...และใกล้บ้านของเธอในช่วงเวลานั้นมีโบสถ์อยู่ไม่ไกล...

     

    เธอที่แม้เป็นคนไทยแต่ก็ไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอะไรเช่นมารดา เป็นเพียงศาสนาที่ติดตัวมาตามบัตรประชาชนเท่านั้นและยิ่งศาสนาอื่นย่อมไม่ต้องพูดถึง....เธอไร้สิ้นศรัทธาอย่างแท้จริง...

     

    หากแต่เป็นเพราะอะไรไม่รู้ บาทหลวงที่โบสถ์นั้นกลับเข้ามาตีสนิทกับเธอและเอ็นดูเธอราวกับเด็กที่ดีมากมายนัก เธอไม่เคยแม้แต่จะกล่าวหรือทำอะไรให้เขาด้วยซ้ำ...

     

    เธอเป็นคนจีนเหรอ? หายากนะเนี่ย เมืองนี้ไม่ค่อยมีคนเอเชียอยู่เท่าไหร่ เธอน่ะเด่นมากๆเลยนะ

     

    เขาเป็นบาทหลวงหนุ่มที่ท่าทางไม่น่ามาทำงานอะไรแบบนี้ รูปร่างและหน้าตานั้นสมเป็นชาวนอร์ดิก เรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้านั้นสวยงามจนเธออิจฉา เขาใส่กรอบแว่นสี่เหลี่ยมท่าทางเทอะทะ จนทำให้เขาดูคล้ายคนซุ่มซ่ามและไม่น่าพึ่งพาเท่าไหร่นัก...

     

    เธอในคราแรกเมินเฉยต่อบาทหลวงผู้นี้....ด้วยจิตใจที่ปิดตายจากอดีตที่ยากแก้ไข

     

    ฉันชื่อ ----- ยินดีที่รู้จักนะ คุณหนูตัวน้อย...เธอชื่ออะไรล่ะ?”

    บาทหลวงหนุ่มเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรและอ่อนโยน แสงสว่างพร่ามัวที่ดวงตาสีดำคู่นี้ จนทำให้เธอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเด็กหลายๆคนที่มาโบสถ์จึงชอบเขา

     

    สุดท้ายแล้วอาจเป็นเพราะแท้จริงแล้วจิตใจของเธอยังคงต้องการแสงสว่างหรือบาทหลวงที่อ่อนโยนกับเธอเกินไปจนทำให้เด็กหญิงวัยเพียงสิบสองปีเปิดใจหลังจากปิดตายไปนาน

     

    ชื่อของฉันเหรอ...---- เป็นคนไทย ไม่ใช่คนจีน...

    เธอตอบกลับพลางจับจ้องไปยังดวงตาภายใต้กรอบแว่นคู่นั้น มันยังคงส่องประกายความอ่อนโยนลงมาที่เธอ บางทีการที่เขาเป็นบาทหลวง จริงๆแล้วก็ดูเหมาะสมดี...เธอไม่เคยเห็นใครอ่อนโยนเท่าเขามาก่อน

     

    อย่างนั้นเหรอ ขอโทษที่เข้าใจผิด....เป็นชื่อที่เพราะดีนะ

    เขาเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้มที่ส่องสว่างราวกับพ่อพระผู้มาโปรด ช่างเป็นคนที่ดูขาวบริสุทธิ์อย่างแท้จริง จนเธอคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนดีอย่างแท้จริงเป็นแน่...

     

    หากแต่ความจริงนั้นช่างน่าตลก...เธอในตอนวัยเด็กนั้นหารู้ไม่ว่า...เขานั่นแหละคือจุดเริ่มต้นหนึ่งของอีกความผิดที่ยากจะให้อภัยของเธอ...กลายเป็นบาปอันทับถมลงไป

     

    เอาล่ะ...มาสารภาพบาปกันนะ ----

     

    รอยยิ้มที่เป็นมิตรและดวงตาที่แสนอ่อนโยนนั่นลึกลงไปคือความกระหายต่อบาปที่ไม่มีที่สิ้นสุด

     

    .

    .

    .



    ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มีคำหยาบคายแทรกเข้ามา ความจริงในนิยายของไรท์เป็นไปได้จะพยายามไม่ใช่คำหยาบ แต่เนื่องจากต้องการสื่อช่วงอดีตของน้องเรย์ว่าผ่านความรุนแรงมาค่อยข้างหนัก ประวัติชีวิตน้องเขาก็ดารค์ไม่แพ้พี่จอมมารเลยค่ะ555

     

    ปล.ต้องขอโทษสำหรับใครที่ไม่โอเคกับคำหยาบคายจริงๆนะคะ ส่วนตัวสัญญาว่าจะไม่ใส่คำหยาบพร่ำเพรื่อเด็ดขาดค่ะ

     

    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×