คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่7 ใจเขาใจเรา
ชีวิตนี้เกิดมาก็ไม่เสียใจที่จะทำบาปหากมันทำให้นางได้อยู่ต่อ...แม้อาจจะรู้สึกผิดหรือถูกหลอกหลอนกับสิ่งที่ทำลงไปภายหลัง
แต่มันก็คุ้มค่านักกับชีวิตใหม่นี้
การได้เกิดมาในครอบครัวที่ดีเช่นนี้ไม่ได้มีง่ายๆ
ในอดีตชาตินางเฝ้ารอมันแต่กลับไม่เคยได้รับ...เพราะฉะนั้นนางจึงต้องการที่จะอยู่กับครอบครัวนี้ให้ยาวนานที่สุด....ได้รับความรักจากบิดา
ได้การดูแลเอาใจใส่ที่ไม่ขาด มันดีล้นสำหรับนางอย่างมากมาย
และหากมันต้องจบลงตามบทประพันธ์...นางก็ไม่ลังเลที่จะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน...ไม่ว่าวิธีใดก็ตาม
ดวงตาสีพิศวงยิ่งหนาวเย็นขึ้นไปอีก...แม้นางจะตายลงตั้งแต่อายุยังน้อย...แต่สิ่งที่นางพบเจอมานั้นก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ไม่แพ้ผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย
การถูกละเลยตั้งแต่เด็กทำให้นางต้องพึ่งตัวเอง ไม่มีพ่อแม่คอยให้เกาะดั่งเป็นเสาหลักมีเพียงเงามืดจากทางเดินของพวกเขาที่ไกลออกไปจากนาง...นางทำได้เพียงยืนท่ามกลางเงามืดนั้นเพียงลำพัง
ต่อให้ร้องไห้สักเท่าใดหรืองอแงมากแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่หันกลับมา...
‘หนูพิม....หนูร้องไห้ทำไมลูก?
ลูกเจ็บเหรอคะ?...มาสิ บิดาจะปลอบเจ้าเอง’
ในคราแรกที่เกิดใหม่นางยังคงปรับตัวกับที่นี้ไม่ได้และยังคงไม่สามารถลืมเลือนสิ่งที่ผ่านมาได้
บ่อยครั้งที่นางจะฝันร้าย ฝันถึงอดีตที่ไม่สามารถกลับไปได้ มันทำให้นางคิดถึงและหวาดกลัวในเวลาเดียวกันจนเผลอร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัว...
และพันศรโยธาผู้เป็นบิดาที่คราแรกนางไม่ได้คาดหวังนั้น...กลับเป็นคนแรกที่ปลอบโยนนาง...ฝ่ามือหนาที่ลูบหัวนางอย่างอบอุ่นนั้นยังคงจดจำได้ดี...
เขาเป็นพ่อที่ดี....นั่นคือสิ่งที่นางได้รับรู้แม้หัวใจจะตายด้านไปเสีย
ประกายความอบอุ่นของเขาสาดส่องเข้ามาในดวงตาปลาตายของนางคล้ายแสงแรกในชีวิตที่มืดมนนี้
“บิดาเจ้ารับรู้หรือไม่ที่บุตรสาวของตนเป็นคนวิกลจริตเช่นนี้?”
ขุนช้างเอ่ยถามอย่างรังเกียจ ความจริงแล้วเขานั้นก็รู้จักกับบิดาของนางมาตั้งแต่จำความเนื่องจากพันศรโยธานั้นมักแวะเวียนมาหาบิดาของเขาบ่อยครั้ง
ซึ่งบิดาของเด็กหญิงในหัวเขานั้นแตกต่างจากเด็กหญิงตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง
พันศรโยธาเป็นคนที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้าเสมอ เขามีบรรยากาศอบอุ่นที่ชวนทำให้ผู้คนเข้าหาและการกระทำของเขาก็ล้วนเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างแท้จริง
เป็นบุรุษที่เขารู้สึกเคารพนัก
หากแต่เด็กหญิงตรงหน้าแม้จะมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับพันศรโยธาผู้เป็นบิดาแต่กลับจิตใจหยาบกระด้างและเกินเยียวยา
เขาไม่คิดว่าพันศรโยธาจะเลี้ยงดูนางให้เป็นเช่นนี้ได้ หรือจะเป็นแม่นางศรีประจันกันที่เลี้ยงดูเด็กหญิงผู้นี้ให้เป็นเช่นนี้?...ไม่หรอก ไม่มีทาง
แม้แม่นางศรีประจันจะเป็นคนหยาบคายและหยาบกระด้างไปเสียหน่อยแต่นางก็ไม่ถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ได้ลง...
“ไม่รู้...บิดาของข้านั้นมีค่าและดีเกินกว่าจะมารับรู้เรื่องพวกนี้...เขาแตกต่างจากตัวข้า...ย่อมไม่มีทางให้เขาได้เห็นด้านเช่นนี้ของข้า”
พิมพิลาไลยกล่าวอย่างราบเรียบพลางโคลงหัวอย่างไม่ใส่ใจนัก นางไม่มีวันยอมให้เขาได้รับรู้ว่าถึงตัวตนที่แท้จริงของตน....หากเขารับรู้
ความรักที่มอบให้อาจเปลี่ยนไป...และนางไม่ต้องการเช่นนั้น
นางจะยังคงแสดงเป็นเด็กที่ดีของบิดาต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะตายลงอีกครา...
พิมพิลาไลยรู้สึกว่าตัวเองนั้นยืดเยื้อที่จะสนทนากับเด็กชายผู้นี้มากเกินไป
นางจึงคิดจะเดินจากไปเพื่อยุติบทสนทนาที่ชวนน่าปวดหัวนี้....
แต่ไม่ทันไรที่จะก้าวขาเดิน...เสียงจากเบื้องล่างก็เรียกร้องความสนใจของนางให้เหลือบไปมองอีกครา...
“ท่านพี่! ลูกของเราล่ะ!?...เจอพลายแก้วหรือไม่!?”
เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรที่เอ่ยร้องออกมาด้วยสีหน้าร้อนรน
นางวิ่งเข้ามาอย่างสุดแรงแม้จะไม่เร็วนักเพราะร่างกายบอบบางเช่นนั้นแต่ก็รับรู้ได้ว่านางใช้สุดแรงที่มีแล้ว
นั่นคงเป็น นางทองประศรี...มารดาของขุนแผน...
แต่เดิมนางทองประศรีนั้นเป็นข้าหลวงเก่ามาก่อน
ไม่แปลกใจนักที่นางจะมีรูปลักษณ์บอบบางแตกต่างจากหญิงสาวชาวบ้าน
เนื่องจากฐานะเริ่มต้นของนางก็เป็นหญิงสาวชั้นผู้ดี
ซึ่งนางทองประศรีนั้นแตกต่างจากนางศรีประจันผู้เป็นมารดาของเธออย่างชัดเจน...ไม่ว่าด้วยฐานะและนิสัยวุฒิภาวะความรู้ต่างๆ...
คิดแล้วก็อิจฉาอยู่ไม่น้อย....เพราะนางรู้สึกไม่ถูกโฉลกกับนางศรีประจันผู้เป็นมารดาในชาตินี้เท่าไหร่นัก
“ยังไม่เจอ....ข้าขอโทษ”
เป็นขุนไกรพลพ่ายที่เห็นภรรยารักของตนวิ่งเข้ามาจึงเดินเข้าไปกอดเพื่อปลอบโยน
“งั้นข้าจะไปหาด้วย!”
นางทองประศรีผู้เป็นมารดาของเด็กชายที่หายตัวไปมีหรือจะยอมอยู่เฉย
ทันทีที่นางได้ข่าว นางก็รีบขึ้นรถม้ามาหาสามีของตนทันทีเพื่อช่วยตามหาบุตรชาย
ซึ่งนางทองประศรีรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากบ่าวใช้แล้ว
นางไม่ได้เอ่ยต่อว่าพันศรโยธาที่เป็นเจ้าบ้านแต่อย่างใด
เพราะเข้าใจดีว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่นางเพียงต้องการช่วยตามหาลูกชายเช่นกัน
หัวอกคนเป็นแม่นั้นย่อมคิดถึงบุตรยิ่งกว่าสิ่งใด...
“แต่น้องไม่แข็งแรงนัก....ไม่ไหวหรอก
รออยู่นี้เสียดีกว่านะ เดี๋ยวพี่กับคนอื่นๆจะไปตามหาอีก”
ขุนไกรพลพ่ายเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ภรรยาของเขาร่างกายอ่อนแอนักหากเทียบกับหญิงชาวบ้าน
ตลอดมาเขาก็ไม่เคยใช้งานนางเลยแม้แต่น้อยเพราะกลัวนางเหนื่อย
แล้วจะนับประสาอะไรกับให้วิ่งไปที่ไหนก็รู้อีก
“น้องไม่เป็นไร...แต่น้องกลัวว่าลูกของพวกเราจะเป็นอะไรไปเหลือเกินท่านพี่!”
นางทองประศรีเอ่ยด้วยสีหน้าที่คล้ายจะร้องไห้ นางเลี้ยงเขามากับมือ...นางมีลูกชายเพียงคนเดียวนะ...
ทางด้านพิมพิลาไลยที่ได้เห็นและได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระทบไม่น้อย...จึงเลือกที่จะเบือนหนีและทำเป็นไม่ใส่ใจมันพลางแสร้งบ่นเบาๆว่า
“เสียงดังจริงๆ....”
ซึ่งแม้จะเบือนหนีหรือทำเป็นไม่ได้ยิน...เสียงของนางทองประศรีก็คล้ายยิ่งดังขึ้นในหัวของนาง...
หญิงสาวด้านล่างยังคงเอ่ยร้องเรียกลูกด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับน้ำตาน้อยๆชวนให้รู้สึกน่าสงสารจับใจ
พอรู้ตัวอีกทีดวงตาสีพิศวงของนางก็เผลอเหลือบไปมองอีกครา...
และฉับพลันภาพของตัวนางในอดีตชาติก็ซ่อนทับขึ้นมาราวกับเป็นภาพหลอน
ภาพของนางทองประศรีที่กำลังร้องไห้หาบุตรของตนนั้น....ไม่ต่างจากตัวนางที่กำลังดิ้นรนหนีและร้องไห้เพื่อรักษาชีวิตในท้องที่ห้องผ่านั่น...
ครั้งหนึ่งนางก็เคยอุ้มท้องชีวิตหนึ่งไว้....หากแต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่า...
มือเล็กเผลอกุมท้องของตัวเองโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับสายตาที่หม่นลงชัดเจน...คล้ายความรู้สึกผิดเริ่มหนักอึ้งขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ดวงตาสีพิศวงจึงหลับตาลงและลืมตาขึ้นมาอีกครา....มองภาพของหญิงสาวเบื้องล่างอย่างชั่งใจอีกครั้ง
ริมฝีปากของนางขบเข้าหากันอย่างหงุดหงิด
อา....ช่างน่ารำคาญจริงๆ...
.
.
.
ความคิดเห็น