คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4 คาดหวัง
ไม่รู้ว่านานเท่าใดแล้ว
หากแต่แสงแดดในยามเช้าถูกย้อมมาเป็นยามบ่าย
ทำให้แสงแดดที่ตกกระทบลงมาค่อนข้างเจิดจ้ากว่าเดิม ซึ่งทางด้านพิมพิลาไลยก็ไม่ได้รู้สึกร้อนอะไรนักเพราะตนเองหลบอยู่ในเรือนอยู่แล้ว
หนังสือจินดามณีที่นางอ้อนวอนขอบิดาให้ซื้อให้นั้นใกล้จบเต็มทน
ความจริงแล้วไม่ใช่นางอ่านหนังสือไม่ออก
นางมาจากยุคปัจจุบันที่ทุกคนต่างได้รับการศึกษากันทั้งนั้น
แม้ตัวนางจะเกเรแต่ก็ไม่เคยผลการเรียนตกหรือไม่สนใจเกรดเลย
เพราะกลัวว่าพ่อแม่ในชาติก่อนจะรู้ว่าตนเหลวแหลกแค่ไหนหากพวกเขารับรู้ใบเกรด
จึงนับว่านางค่อนข้างแตกต่างจากเพื่อนเกเรในกลุ่มอยู่ไม่น้อย
ที่แม้จะไปแอบหนีไปเที่ยวก็ยังอุตส่าห์แชทถามเพื่อนร่วมห้องว่ามีงานอะไรไหม
คิดแล้วก็นึกขำตัวเอง....ถ้าตั้งใจเรียนตั้งแต่แรกก็จบแล้ว...น่าสมเพชสิ้นดี
“คุณหนูขอรับ...ท่านพลายแก้วกำลังเดินลงไปจากเรือนแล้วขอรับ
จะให้บ่าวหยุดเขาดีหรือไม่?”
บ่าวที่คอยเฝ้ามองดูแลเด็กทั้งสามอยู่ห่างๆตามคำสั่งของผู้เป็นบิดาของเด็กหญิงนั้นคลานเข้ามากระซิบเบาๆ
เมื่อเด็กชายอีกคนกำลังคิดจะออกไปข้างนอกโดยที่ยังไม่ได้รับขอการอนุญาตจากเจ้าบ้าน
“ปล่อยเขาไป...”
พิมพิลาไลยเหลือบมองบ่าวชายที่อายุมากกว่าตนอยู่หลายปีอย่างเงียบๆก่อนจะกวาดสายตาไปที่ประตูที่พลายแก้วออกไปไม่นานมานี่โดยไม่ทำอะไร
เขาจะไปทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของนาง...
“แต่ว่าหากท่านพลายแก้วเป็นอะไรขึ้นมา...ท่านพันศรโยธาจะลำบากเอานะขอรับ…”
บ่าวชายได้แต่เอ่ยด้วยความนอบน้อมกับเด็กหญิง
แต่ไหนแต่ไรแล้วที่คุณหนูของเขาไม่เคยแม้แต่จะใส่ใจผู้อื่น....แม้กระทั่งมารดาผู้ให้กำเนิดก็ยังไม่เคยจะแสดงทีท่ารักใคร่แต่อย่างใด
คงมีเพียงท่านพันศรโยธาเท่านั้นที่คุณหนูยังพอแสดงความรู้สึกนึกคิดอยู่บ้าง....
ซึ่งสำหรับพิมพิลาไลยแล้วมันคือเรื่องจริงไม่ผิดเพี้ยน
นางไม่ได้มีความทรงจำอะไรดีเกี่ยวกับครอบครัวนัก
หนำซ้ำคนที่ฆ่าเธอทางอ้อมในชาติก่อนก็เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องนับถือหรือเชิดชูเอาไว้
นางไม่เชื่อในศาสนา....นางไม่เชื่อในความดี...นางเชื่อเพียงสัจธรรมของโลกเท่านั้น....
แม้พ่อแม่ในชาตินี้จะไม่ได้ย่ำแย่เหมือนชาติก่อน
แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะสร้างกำแพงขึ้นมา...ไม่มีใครรู้ว่าผู้คนจะทำร้ายตัวเราเองเมื่อใดแม้จะร่วมสายเลือดก็ตามที...
มารดาของนางคือนางศรีประจัน...เป็นอดีตแม่ค้าขายของในตลาดมาก่อน
เป็นสตรีหน้าตางดงามถูกใจหนุ่มน้อยใหญ่ในตลาดเป็นอันมาก
เป็นสตรีปากจัดและค่อนข้างทื่อตรงตามประสาลูกชาวบ้าน พิมพิลาไลยไม่ได้รู้สึกเกลียดอะไรในตัวมารดาผู้นี้นัก
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบเช่นกัน
เพราะนางเป็นคนบังคับให้นางวันทองในเรื่องต้องแต่งงานกับขุนช้างเพียงเพราะสมบัติ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีนิสัยอย่างที่นางไม่ค่อยชอบนัก
ส่วนพันศรโยธาผู้เป็นบิดานั้นพิมพิลาไลยไม่ได้รู้สึกอคติกับเขามากเท่ามารดานักเพราะเขานั้นได้ตายตั้งแต่ที่นางวันทองยังเป็นเด็กแล้ว
หนำซ้ำเมื่อได้มาพบตัวจริงก็รู้สึกถูกชะตาด้วยอย่างน่าประหลาด เพราะอาจพันศรโยธานั้นเป็นคนฉลาดและสุภาพรู้จักพูดต่างจากนางศรีประจัน
ทำให้นางเห็นได้ถึงความต่างของวุฒิภาวะและความคิดของคนทั้งสองอย่างชัดเจน
ซึ่งแม้จะเกิดมาอยู่ในโลกนี้ได้ห้าปีแล้ว...นางก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายอย่างพันศรโยธาจึงตกลงปลงใจกับแม่นางศรีประจัน
ทั้งที่นิสัยไม่น่าเข้ากันได้นัก....
แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไรสำหรับนาง....
“หากพวกเขาจะกล่าวโทษบิดาข้า...ก็คงต้องกล่าวโทษเด็กชายผู้นั้นมากกว่าเสียที่ไม่รู้จักความเอง”
พิมพิลาไลยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หากจะบอกว่าพันศรโยธานั้นอาจถูกตำหนิที่ไม่ให้คนของตนดูแลบุตรชายเพื่อนให้ดีปล่อยให้เด็กไปเล่นที่ไหนก็ไม่รู้ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้
คงต้องโทษเด็กชายเองมากกว่าที่ไม่รู้จักความ ดื้อซนไปเล่นเสียเอง
“หากเจ้ากลัวความผิด...ข้าจะบอกเองว่าข้าใช้เจ้ามาช่วยจัดเรียงหนังสืออยู่จึงไม่เห็นว่าเด็กนั่นแอบหนีลงไปเล่น”
นางกล่าวต่อพลางเหลือบมองไปยังบ่าวชายอย่างเยือกเย็น
นางเองก็คงจะทิ้งความผิดไว้ให้กับคนรับใช้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก
การเกิดมาในฐานะชาวบ้านในโลกนี้อาจดูพื้นๆไม่มีอะไรนัก
หากแต่การเกิดมาเป็นบ่าวเป็นไพร่ในโลกนี้ลำบากยิ่งนัก
คนพวกนี้ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ในการตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
จะสังเกตได้จากการที่บ่าวผู้นี้คลานเข้ามาถามนางว่าควรทำเช่นไรดียามเมื่อเด็กชายกำลังจะออกไป
หากเป็นคนปกติก็คงเดินเข้าไปห้ามเด็กชายเสียแล้ว....แต่ไม่ใช่กับบ่าวกับไพร่
แม้จะไม่ใช่ลูกเจ้านาย แต่หากสถานะสูงกว่า
พวกเขาก็ไม่มีสิทธิเข้าไปทำอะไรได้หากไม่มีคนสถานะสูงกว่าอีกคนออกคำสั่ง
เป็นความลำบากอันแน่แท้....หากเข้าไปห้ามเด็กชายก็อาจถูกต่อว่าว่าไม่มีสิทธิ์
แต่หากปล่อยไปก็ถูกเจ้านายลงโทษภายหลังที่ไม่ยอมห้าม...
มันดูไร้เหตุผล....แต่ก็ไม่มีใครสนใจความเป็นไปของเหล่าคนสถานะนี้อยู่แล้ว
เปรียบดั่งวัวงานที่ไม่มีใครมานั่งถามความรู้สึกนึกคิดของมันหรอก
.
.
.
และก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างที่นางคาดคิดไว้....เด็กชายนามว่าขุนแผนหายตัวไปนานโขแล้วยังไม่กลับมา
ทำให้เหล่าพ่อพันศรโยธาที่พูดคุยกันเสร็จพากันตกใจและกระวนกระวายยิ่งนัก
โดยเฉพาะขุนไกรพลพ่ายผู้เป็นบิดาของเด็กชาย เขาตวาดใส่เหล่าข้าทาสบริวารด้วยความโกรธเกรี้ยว
ในขณะที่สหายพยายามคิดอย่างใจเย็น
“ข้าจำได้ว่า ข้าให้บ่าวชายผู้หนึ่งมาดูแลเด็กๆ...”
เป็นพันศรโยธาที่คิดได้
ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองบ่าวไพร่ชายที่ตนมอบหมายงานให้อย่างเยือกเย็นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชวนทำให้รู้สึกหวาดกลัวว่า
“เหตุใดจึงไม่คอยดูแลบุตรชายเพื่อนข้า...ปล่อยให้ไปเล่นเพียงลำพัง
รู้หรือไม่ว่าต่อให้เฆี่ยนเอ็งจนตายก็ยังไม่อาจสามารถชดใช้ได้...ไปลากครอบครัวมันมาด้วยเสีย”
อย่างที่บอกไป....เกิดเป็นบ่าวไพร่นั้นยากลำบากโดยแท้และน่าสงสารอย่างเหลือล้น....และสิ่งที่พันศรโยธาทำนั้นก็ไม่ได้แปลกอะไร...ซึ่งนางก็ไม่ได้ยอมรับอะไรหากแต่ก็ไม่ได้ต่อต้านเช่นกัน
อย่าลืมสิ...นี่มันโลกไหนและยุคสมัยใดกัน...
นางไม่สามารถใช้ความคิดในโลกปัจจุบันมาตัดสินการกระทำของพันศรโยธาว่าเป็นสิ่งที่ผิดได้
เพราะมันคือสิ่งปกติในโลกยุคสมัยนี้...
มุมมองความคิดและทัศนคตินั้นแปรผันไปตามกาลเวลายุคสมัยเสมอ...
“ช้าก่อนค่ะ...ท่านพ่อ...โปรดอย่าโทษบ่าวชายผู้นั้นเลยนะคะ...เป็นลูกเองที่ดื้อดึงให้เขามาช่วยจัดเรียงตำราให้เพราะมันเยอะมากมายนัก...ทำให้เขาไม่ว่างเฝ้าดูจนเผลอเปิดโอกาสให้’บุตรชายของเพื่อนท่านพ่อแอบหนีไปเล่นจนหลงทางเองเป็นแน่แท้ค่ะ’
พิมพิลาไลยเอ่ยพลางแสร้งทำตัวซื่อก่อนจะกระตุกแขนเสื้อของผู้เป็นบิดาเบาๆเรียกร้องความสนใจ
ก่อนจะแกล้งปั้นหน้าเศร้าพลางบอกว่า บ่าวชายผู้นั้นในขณะที่ช่วยเธอก็ยังหันไปมองเด็กชายที่เหลือเสมอ
แต่เพราะเด็กชายที่หนีเล่นผู้นั้นก็ใช้โอกาสที่บ่าวชายช่วยเธอไปหนีเล่น...
คล้ายจะบอกว่าหากโทษบ่าวผู้นั้น...ก็คงต้องโทษเธอ....ซึ่งก็ไม่มีใครคิดจะกล้าโทษเด็กผู้หญิงตัวน้อยหรอก
และคำพูดของเด็กน้อยที่ดูใสซื่อมีหรือที่คนคิดว่าจะโกหกและยิ่งกับพันศรโยธาผู้รักบุตรยิ่งกว่าอะไรนั้นย่อมเชื่อโดยแทบไม่ไตร่ตรองใดๆ
ซึ่งสำหรับพิมพิลาไลยแล้วนั้นแม้จะเป็นเรื่องดี
ที่มีบิดารักตนปานนี้ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้...แต่หากมองในมุมหนึ่งก็น่าเป็นห่วงนัก
บิดาที่ทำทุกอย่างเพื่อบุตรของตนโดยไม่สนอะไรนั้นอาจจะสร้างปัญหาภายหลังก็เป็นได้
“ลูกขอโทษที่เอาแต่ใจจนทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ค่ะ...ท่านพ่อ”
เด็กหญิงก้มหน้าของตัวเองราวกับรู้สึกผิด
ทำเอาผู้ได้เห็นต่างพากันสงสาร...จะมีคนเลวร้ายที่ไหนกล้าต่อว่าเด็กน้อยที่เพียงแค่อยากจัดเรียงหนังสือเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นอุบัติเหตุ...
ด้วยเหตุนี้....สุดท้ายแล้วจึงพากันช่วยออกตามหาเด็กชายโดยไม่กล่าวว่าเธอเลย
เหล่าผู้ใหญ่ได้พากันเดินออกตามหาไปหมดสิ้น
ทิ้งไว้เหลือเพียงนางกับเด็กชายอีกคนและบ่าวหญิงกับบ่าวเด็กที่มีอยู่น้อยนิดปลายเรือน
พิมพิลาไลยเพียงนั่งเท้าคางจากหน้าต่างไม้ของเรือนห้องเหลือบสายตามองดูเหล่าผู้คนที่กำลังออกตามหาเด็กชายอยู่อย่างร้อนรน
ใบหน้าที่คราแรกแสดงว่าเศร้าสร้อยนั้นแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเรียบเฉยอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาสีพิศวงมองดูผู้คนเหล่านั้นไม่ต่างจากแมลงที่กำลังบินวุ่นวาย
ความจริงแล้วพิมพิลาไลยรับรู้ว่าเด็กชายอยู่ไหน
แต่นางก็ไม่คิดจะเอ่ยบอกพวกเขา....
ไม่รู้เพราะว่าโชคดีหรืออย่างไรที่ช่างประจวบเหมาะเหลือเกินที่หน้าต่างข้างนางนั้นสามารถมองออกไปเห็นภายนอกของเรือนได้กว้างนัก
ใกล้บ้านของนางนั้นมีป่าใหญ่...แต่ก็ถูกล้อมเชือกปักเพราะอันตรายและลึกมากนักอาจทำให้คนหลงได้....
แต่เด็กนั่นก็ยังเข้าไป...ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของนางสักหน่อย
หากแต่เป็นเด็กชายเองเสียมากกว่าที่รนหาที่ตาย...
พิมพิลาไลยไม่ได้ใจแข็งพอจะฆ่าคนด้วยมือตัวเองได้...นางก็เป็นเหมือนคนปกติ...ไม่มีคนปกติที่ไหนสามารถฆ่าคนได้ลงคอ
ศีลธรรม...บุญบาป...ความรู้สึกผิด...มีหลายอย่างมากมายที่ทำให้นางไม่กล้าที่จะฆ่าคน
ซึ่งเหตุผลเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป
หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นางเองก็ไม่ใช่คนดี....
ขุนแผนคือคนที่จะฆ่านางวันทองในอนาคต....เขาจะเป็นคนฆ่านาง....มีหรือที่นางจะปล่อยให้เขามาฆ่านางได้
แม้จะยังไม่เกิด แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องรอให้เกิดเช่นกัน...
การตายในชาติหนึ่งก็เพียงพอแล้ว...เพียงพอที่จะทำให้นางตระหนักถึงชีวิต
นางรักชีวิตตัวเอง....รักมากมายนัก
เพราะฉะนั้นนางคาดหวังว่าเขาจะตายเพราะสัตว์ป่าหรือไม่ก็หาไม่เจอตลอดไปในป่านั่น...
.
.
.
ตัวเอกของเรื่องไม่ใช่คนดีนะคะ
เป็นตัวละครเทาๆที่ก็มีด้านความคิดและการกระทำที่ไม่ดีเหมือนกันจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตและพบเจอมา
ความคิดเห็น