ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่ครานี้เป็นสตรีสองใจนามว่านางวันทอง

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่13 เสนออีกมุมหนึ่ง

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 63


    T
    B

      

    หลังเดินทางกลับจากท่าเรือใหญ่ได้ราวสามสี่วัน คล้ายเป็นเรื่องบังเอิญที่ทำให้นางต้องพบเจอกับเหล่าตัวละครหายนะอีกครั้งดั่งโชคชะตาพรมลิขิตน่าตายบันดาลให้เกิด...ดีจริงๆ เจอกันให้เอียนไปข้างหนึ่งเสีย นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งสามตัวละครในอดีตจึงสนิทกันได้ ในเมื่อพบหน้ากันบ่อยเช่นนี้หากไม่รู้จักเลยคงนับว่าน่าแปลก...

     

    พ่อรู้ว่าหนูไม่ชอบ...แต่ครั้งนี้ดูแลเด็กคนอื่นให้พ่อเสียหน่อยได้ไหมคะ? คนเก่ง

     

    เป็นคำขอของผู้เป็นบิดาที่แสดงสีหน้ารอยยิ้มประดับ ยามเมื่อรู้ว่าสหายสนิทของตนทั้งสองนั้นช่างมาเยี่ยมเยือนหรือทำธุระกันบ่อยนัก หนำซ้ำยังพกบุตรมาด้วยประหนึ่งยัดเหยียดให้สานสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างบุตรของตน

     

    และพิมพิลาไลยผู้ไม่อยากทำให้พ่อผิดหวังจึงได้ทำการมานั่งเฝ้าเด็กเงียบๆ

     

    มือเล็กเท้าคางใบหน้างามล้ำที่ฉายแววความเบื่อหน่าย ในขณะที่ดวงตาสีพิศวงเลื่อนจับจ้องไปยังเด็กชายที่เปี่ยมแรงดุจลูกพยัคฆ์เด็กที่วิ่งเล่นไปมากลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่นี้...คล้ายเหมือนพาสุนัขที่เลี้ยงไว้มาปล่อยวิ่งเล่น...

     

    พิมพิลาไลยที่ถูกผู้ใหญ่ไล่อ้อมๆให้ลงมาเล่นกลางทุ่งหญ้านั้นเพียงนั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อหลบบังเงาแดดที่สาดส่อง นางไม่ใคร่อยากจะทำอะไรที่สูญเสียเรี่ยวแรงเท่าไหร่นัก ส่วนขุนช้างที่โดนไล่มาไม่ต่างกันก็อาศัยร่มเงาต้นไม้ใหญ่นี้เช่นกันและหยิบยกตำราขึ้นมาอ่านอย่างเงียบๆตามวิสัย

     

    มีเพียงพลายแก้วเท่านั้นที่ออกไปวิ่งเล่นตามประสาเด็ก หนำซ้ำยังไม่มีทีท่าจะหมดแรง...สมเป็นเด็กชายที่จะเติบโตมาเป็นยอดทหาร...รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของเด็กชายนั้นช่างสว่างสดใสและเจิดจ้าดุจดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ ราวกับเป็นความใสซื่อและไม่รู้สาตามวัยที่ควรจะเป็นจริงๆ...

     

    ดูแล้วช่างน่าอิจฉา....บางทีหากนางไม่มีความทรงจำในชาติก่อนหลงเหลือ ก็คงเป็นเด็กธรรมดาที่ไม่ต้องพบเจอกับภาพหลอนในอดีตอีกแล้ว...

     

    ในอดีตนางเคยทำตัวเป็นตัวตลกของผู้คนและยิ้มแย้มตลอดเวลาราวคนบ้า เพื่อให้ผู้คนชอบนาง ให้เพื่อนฝูงอยู่ด้วยแล้วสนุกเพราะกลัวถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง จนสุดท้ายเมื่อตัวตายเพื่อนที่ตนพยายามเข้าหาก็ไม่เคยโผล่หน้ามาเลยสักครั้ง เพียงคิดแล้วก็ได้แต่สมเพชตัวเองที่ไปคาดหวังอะไรจากเพื่อนในสังคมเช่นนั้น

     

    บางครั้งการฝืนทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ...สักวันก็ย่อมเหนื่อยล้า และนางก็เช่นกัน...ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่แม้จะแสร้งยิ้มทีก็รู้สึกเหนื่อย คล้ายมุมปากของตนหนักจนบางทีการยิ้มนั้นดูก็รู้ว่าฝืนทำ...เพราะฉะนั้นพิมพิลาไลยจึงเลิกใส่ใจที่จะให้ผู้อื่นมองตนเช่นไร หากมีความสุขจริง นางก็คงยิ้มเอง...มิใช่ แสร้งทำไปตามคนอื่น

     

    วันนี้อากาศดีมากนัก เหตุใดพวกเจ้าจึงเอาแต่นั่งหลบใต้ต้นไม้เล่า?”

    เป็นเด็กชายที่วิ่งเล่นอยู่ชั่วครู่เดินตรงเข้ามาไถ่ถามเด็กทั้งสองที่คล้ายจะไม่สนใจเล่นอะไรเลยนัก เด็กหญิงเพียงนั่งนิ่งมองเขาวิ่งเล่น ส่วนเด็กชายก็อ่านตำราไม่สนใจใยดี ทั้งคู่ดูโตเป็นผู้ใหญ่กว่าเขาจริงๆ!

     

    พลายแก้วแต่เดิมเป็นเด็กร่าเริงเข้ากับผู้อื่นได้ง่ายดาย ครั้งเมื่อจากเมืองกาญจนบุรีมาก็มีเพื่อนฝูงมากมาย หากแต่เมื่อมาถึงเมืองใหม่ก็ไม่รู้จักใครนักและเด็กทั้งสองก็เป็นเด็กกลุ่มเดียวที่เขารู้จักและเห็นหน้าค่าตาแล้ว จึงอยากทำความรู้จักหมายสนิทสนมด้วย

     

    ทว่าน่าเสียดายนักที่เด็กทั้งสองใต้เงาไม้นั้นหาได้ต้องการสนิทสนมด้วย...มีเพียงความเงียบงันที่ปรากฏขึ้นเท่านั้น เด็กหญิงเมินเฉยต่อคำถามตน เด็กชายยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อไป...

     

    ทำให้พลายแก้วอึดอัดและเสียใจเล็กน้อย....พวกเขาเมินเฉยตนอย่างตั้งใจ

     

    เหตุใดพวกเจ้าไม่ตอบข้ากัน? ข้าเผลอทำอะไรไม่ดีกับพวกเจ้าหรือ?”

    เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองต่างไม่อยากยุ่งกับตน พลายแก้วจึงนึกถึงการกระทำของตนว่าเผลอทำร้ายหรือกระทำไม่ดีกับพวกเขาไว้หรือไม่ หากแต่ก็มีเพียงเรื่องหลงป่าในคราแรกเท่านั้น...พอนึกย้อนว่าทั้งสองออกตามหาตนก็รู้สึกผิด...

     

    ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพลายแก้ว...แต่เป็นทั้งพิมพิลาไลยและขุนช้างเองเสียมากกว่าที่ไม่อยากยุ่งกับใคร...

     

    เจ้าไม่ควรก่อกวนเวลาของผู้อื่น...

    เป็นขุนช้างที่เอ่ยเสียงดุขึ้น ในขณะที่ดวงตาเลื่อนจากตำรามามองเด็กชายที่ส่งเสียงรบกวนอย่างตำหนิ ท่าทางคล้ายพี่ชายที่สั่งสอนน้องชายเวลาทำผิดก็ไม่ปาน

     

    พิมพิลาไลยเพียงเหลือบมองขุนช้างที่เอ่ยปากดุพลายแก้วโดยไม่พูดอะไร พลางนึกคิดว่านิสัยของพลายแก้วในโลกนี้ดูจะใสซื่อและไม่ได้ฉลาดอะไรเท่าขุนช้างนัก แต่เมื่อลองมาคิดอีกที ก็เป็นพลายแก้วมิใช่หรือที่สมวัยแล้ว ไม่ใช่นางที่มีความทรงจำอดีตชาติ ไม่ใช่ขุนนางที่เฉลียวฉลาดจนโตเกินวัย...

     

    บางทีคนที่อันตรายกว่าขุนแผนในตอนนี้ คงเป็นขุนช้างแล้วกระมั้ง....

     

    เพียงแค่คิดดวงตาสีพิศวงอันไร้คลื่นก็ฉายแววหวาดระแวง...อะไรที่เป็นภัยแก่นางไม่ว่าจะมากหรือน้อย...ล้วนไม่ใช่สิ่งมองข้าม

     

    ดูเหมือนแววตาของพิมพิลาไลยจะจับจ้องและแสดงออกชัดเจนนัก จนเป็นฝ่ายขุนช้างที่ถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงยังคงจับจ้องตนเช่นนั้นจนไล่พลายแก้วไปวิ่งเล่นแล้ว นางก็ยังไม่รู้ตัว...

     

    ไม่มีใครทำอะไรเจ้าหรอก...เลิกคิดอะไรเออเองเสีย

    ขุนช้างเอ่ยกับเด็กหญิงโดยที่สายตาเลื่อนจับจ้องไปยังตำราต่อโดยไม่ใส่ใจ ดวงตาสีม่วงคู่งามคล้ายตกผลึกความคิดเกินวัยทำให้ดูมีวุฒิภาวะกว่าเด็กทั่วไปมากนัก...

     

    ชีวิตคนไม่มีอะไรมั่นคงเสมอไปหรอก

    พิมพิลาไลยเอ่ยตอบคำกล่าวของเด็กชายก่อนเลื่อนสายตาไปจับจ้องพลายแก้วที่วิ่งเล่นอยู่ต่อแทน...ปากบอกไม่ทำ อนาคตก็อาจทำเป็นได้...มันไม่มีอะไรมั่นคงเลย...

     

    ย่อมเป็นเช่นนั้น...แล้วทำไมเจ้าไม่ลองคิดอีกด้านหนึ่งบ้างเสียล่ะว่า หากชีวิตคนไม่มีอะไรมั่นคงแล้วล่ะก็ บางทีเจ้าก็อาจตายเพราะโรคร้ายก่อน? อุบัติเหตุก็มี หรือใครอื่นก็ได้ อย่าหมกมุ่นกับสิ่งหนึ่งให้มากจนเกินไป เพราะเด็กนั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าตายได้เพียงอย่างเดียวหรอกนะ

    ขุนช้างที่เกิดในโลกยุคที่ยังไม่พัฒนาเท่าโลกก่อนของพิมพิลาไลยนั้นแน่นอนว่ามันไม่มีอะไรอำนวยความสะดวกความปลอดภัยหรือการรักษาที่ดีนัก การตายด้วยโรคระบาดหรือตายเพราะอุติเหตุทางน้ำทางเรือหรือโจรปล้นดักฆ่าย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ...ทุกอย่างล้วนไม่มีปลอดภัยทั้งหมดอยู่แล้ว แต่นางกลับตัดสินว่าเด็กเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ฆ่านางตายได้ ก็นับว่าน่าขันนัก 

     

    พิมพิลาไลยที่ได้ฟังก็หยุดชะงัก ดวงตาสีพิศวงเบิกกว้างเล็กน้อย...อาจเป็นเพราะการตายของนางวันทองเป็นสิ่งที่ถูกเขียนขึ้นเป็นตัวอักษรชัดเจน นางจึงยึดติดกับมัน ทว่าพอได้ยินความคิดอีกมุมมองหนึ่งที่ขุนช้างเสนอมานั้นก็ทำให้นางฉุดคิดขึ้นมาบ้าง

     

    บางทีนางคงยึดติดกับบทประพันธ์มากเกินไป...ทั้งที่จริงแล้วมันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพราะมันคือชีวิตจริง

     

    แต่เอาเถิด...นางก็คงหวาดระแวงอยู่ดี...แม้จะได้ยินคำขุนช้างให้ผ่อนเบาขึ้นมาบ้างก็ตาม

     

    ภาพของเด็กชายที่วิ่งเล่นกลางทุ่งหญ้านั้นยังคงอยู่ในสายตาของนาง...ตรงหน้าของนางคือขุนแผนในอนาคต ทว่าตรงหน้าของเธอก็คือเด็กที่ไม่รู้เรื่องราวเช่นกัน...

     

    คล้ายศีลธรรมความคิดความเห็นแก่ตัวและความหวาดระแวงตีปนกันอยู่ในสมองของนาง...ใจหนึ่งก็ผ่อน ใจหนึ่งก็หวาดกลัวนัก คล้ายมีรังมดในหัวที่วิ่งอยู่ข้างในจนยุ่งเหยิง

     

    ซึ่งในระหว่างห้วงความคิดอยู่นั้นเป็นพลายแก้วที่วิ่งถลามาหานางและขุนช้างที่ต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง

     

    ใบหน้าของเด็กชายที่แม้จะวิ่งเล่นมาทว่าก็ไม่ได้แสดงสีหน้าเหน็ดเหนื่อยหันมาประดับรอยยิ้มฉีกกว้างให้แก่นางและขุนช้างอย่างจริงใจ มือทั้งสองของเขาโอบลูกมะม่วงหลายผลจนเกือบหล่นลงมา...ไปเอามาจากไหนกัน?

     

    คือข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้พวกเจ้ารำคาญใจนะ ข...ข้าแค่อยากคุยกับพวกเจ้า แล้วก็เอามะม่วงมาแบ่งด้วย

    เป็นพลายแก้วที่เอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่รอยยิ้มนั้นยังคงประดับ หากแต่แววตาก็สั่นไหวเล็กน้อยเพราะกลัวเด็กทั้งสองปฏิเสธอีก

     

    พิมพิลาไลยหรี่ตามองเด็กชายผู้ช่างสรรหาวิธีมาตีสนิทกับใครๆอย่างพลายแก้วอยู่ชั่วครู่ คล้ายจู่ๆคำกล่าวของขุนช้างที่พึ่งเอ่ยไปได้ไม่นานก็ผลุดขึ้นมาในสมองอย่างน่าแปลก แม้เพียงชั่ววูบก็ตาม...

     

    ส่วนขุนช้างเพียงถอนหายใจอีกคราและวางตำราในมือลง ทว่าครานี้ก็ไม่ได้เอ่ยดุอะไรแล้ว เพราะเห็นท่าทางที่อยากสนิทสนมของเด็กชายที่ดูจริงใจและเขาก็คร้านจะบ่นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเสียแล้ว...

     

    ทว่าไม่ทันที่จะทำอะไรต่อ เป็นขุนช้างที่หยุดชะงักเล็กน้อยเมื่อเขาได้ยินคำกล่าวลอยๆของเด็กหญิงข้างกายที่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบาบาง หากแต่ก็พอได้ยิน...

     

    เราจะพิจารณาคำกล่าวของเจ้าบางส่วน...ขอบคุณมากนะ

     

    ขุนช้างหันกลับไปมองเด็กหญิงราวกับไม่คาดคิดว่านางจะยอมรับคำกล่าวของเขาแม้เพียงบางส่วนก็ตามและเอ่ยเช่นนี้ ทว่าก็ไม่ได้เชื่อใจว่านางจะยอมรับจริงๆทั้งหมดหรอก เพราะคนที่คิดจะฆ่าผู้อื่นได้เพียงครั้งแรกพบ มีหรือจะเชื่อถือได้?...

     

    แต่เมื่อหันไปสบดวงตาไร้คลื่นนั้น ก็รับรู้ได้ว่านางยอมรับบางส่วน....แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็มีค่าให้เห็นผลบ้าง เพราะดวงตาที่เต็มไปด้วยความประสงค์ร้ายต่อเขาหรือเด็กนั่น เบาบางลง..ถึงไม่มากก็ตาม

     

    ดูเหมือนก็ไม่ใช่บัวที่อยู่โคลนตมซะทีเดียวสินะ...ขุนช้างรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เด็กหญิงเปิดใจยอมรับง่ายดาย แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้รู้ว่านางมิได้ปิดกั้นความคิดเห็นของผู้อื่น...น่าแปลกประหลาด คล้ายจะเป็นคนปิดตัว แต่กลับดูเปิดรับอะไรง่ายนัก ดูแล้วคงไม่ใช่พวกถือทิฐิมากมายดั่งที่คิด...

     

    อืม ข้าก็ดีใจที่เจ้าเปิดใจยอมรับบ้างนะ...

     

    ขุนช้างไม่คิดเอ่ยว่านางน่าประหลาดหรือไม่เป็นอย่างที่คิด เพียงคนหนึ่งยอมเปิดรับบางสิ่งก็ดีแล้วจึงเอ่ยดีด้วย

     

    พิมพิลาไลยไม่เอ่ยอะไรตอบเพียงหันกลับไปมองพลายแก้วอย่างเงียบๆต่อคล้ายชั่งใจ...

     

    .

    .

    .

     

    ตัวเอกของเรื่องไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบนะคะ ตอนตายในชาติก่อนก็ไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่อะไรด้วยบวกกับสังคมที่อยู่ไม่ได้ดี ทำให้มุมมองหลายๆอย่างคับแคบ แต่น้องจะเติบโตและก็เรียนรู้ค่ะ ไม่มากก็น้อย(?)...ถึงโตไปจะไม่ถึงคนดีก็เถอะ555 แต่ก็จะเป็นคนที่พัฒนาตัวเองดีขึ้นกว่าเก่าแน่นอนค่ะ(?)

     

    ปล.หลังจากนี้มิตรภาพของเด็กทั้งสามจะค่อยๆเบ่งบานแล้วค่ะ!




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×