ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่ครานี้เป็นสตรีสองใจนามว่านางวันทอง

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่12 ท่าเรือ

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 63


      

    ตรงหน้าของพิมพิลาไลยคือสตรีรูปงามโฉมอรชรทะมัดทะแมง....ใบหน้างามคมชวนให้ดูเป็นหญิงมั่นและแข็งกร้าวต่างจากหญิงคนรวยทั่วไป เรือนผมยาวพอดีสีน้ำตาลออกน้ำผึ้งโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่นับว่าน่าดึงดูด ดวงตาสีน้ำผึ้งสดเป็นเอกลักษณ์ส่องประกายความไม่พอใจเท่าไหร่นัก....แม้นางจะไม่เหมือนสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่สตรีตรงหน้าก็คือมารดาของนาง...

     

    นางศรีประจัน มารดาผู้ถ่ายทอดนิสัยอันแข็งกร้าวให้แก่นางวันทองถึงสิบส่วนของเรื่องราวทั้งหมดในวรรณคดี

     

    ลืมข้าไปแล้วล่ะสิ! สองพ่อลูก

    น้ำเสียงกระแทกกระทั้นส่งผ่านมาโดยไม่ปกปิด พร้อมสายตาหงุดหงิดจับจ้องมาที่นางและบิดา พลางกระทืบเท้าเล็กน้อยแสดงความไม่พอใจ

     

    พิมพิลาไลยและพันศรโยธามองหน้ากันก่อนจะแยกตัวตามแผนที่ทำกันมา

     

    ไม่ใช่นะ ข้าแค่ออกไปทำธุระกับลูก ไม่ได้ลืมเจ้าเสียหน่อย

    พันศรโยธาเดินเข้าไปโอบกอดภรรยาของตนอย่างเอาใจ ที่ดูก็รู้ว่าคงทำบ่อยครั้งจนชำนาญเพราะโดนภรรยาของตนงอนบ่อยเสียเป็นกิจวัตร

     

    ใช่ค่ะ หนูกับท่านพ่อคิดถึงท่านแม่มากๆเลยนะคะ

    พิมพิลาไลยสวมบทเป็นเด็กซื่อบอกความเท็จหน้าตาย พลางแอบส่งสายตาให้บิดาอย่างรวดเร็วว่า ไปง้อมารดาเร็วเข้าซะ มิเช่นนั้นคืนนี้บ้านแตกแน่

     

    นางศรีประจันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรสำหรับพิมพิลาไลย นางเพียงแค่ไม่ถูกด้วยเฉยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเกลียดชังอะไรในตัวมารดาผู้นี้

     

    ทำมาเป็นพูดดี...คงไม่ได้ไปหาอีนางขายตัวที่ไหนแล้วเอาลูกไปด้วยหรอกนะ!”

    เป็นนางศรีประจันที่เอ่ยต่อว่าทั้งสองด้วยความหวาดระแวง เพราะฐานะแต่ดั้งเดิมของนางคือแม่ค้าตลาด การได้แต่งงานกับเศรษฐีพ่อค้าใหญ่เช่นพันศรโยธาย่อมไม่ต่างอะไรจากสำนวนที่ว่าหนูตกถังข้าวสาร ทำให้ผู้คนมากมายต่างติฉินนินทาเสมอและแรงกดดันมากมายนั้นย่อมส่งผลถึงจิตใจ

     

    เพราะตัวของพันศรโยธาเองก็เป็นหนุ่มรูปงามนักผู้หนึ่งหนำซ้ำยังเป็นเศรษฐี มีหรือที่หญิงอื่นจะไม่คิดจับสามีนาง ด้วยฐานะที่ต่างกันและเป็นแม่สามีที่กดดันนางอยู่เสมอ จึงไม่แปลกเลยที่นางศรีประจันจะหวาดระแวงและหวงแหนพันศรโยธาเช่นนี้ เพราะนางหวาดกลัวที่จะโดนทิ้งมากนัก...

     

    ใจเย็นเสียหน่อย...ศรีประจัน พี่มิเคยแลหญิงใดนอกจากเจ้ากับบุตร เดินทางครานี้ก็เป็นเพียงบ้านของขุนศรีวิชัยเท่านั้น อย่าน้อยใจไปเถิดหนา...วันนี้ข้าว่างแล้ว ประเดี๋ยวจะดูแลเจ้าเอง...

    พันศรโยธาเอ่ยตอบกลับอย่างนิ่มนวลพลางโอบมือบางของภรรยาผู้โกรธาให้นิ่งสงบลงด้วยความใจเย็น ก่อนเอื้อมกระซิบคำหวานส่อให้ไปคุยกันที่ห้องเรือนของตนต่อเสียดีกว่า

     

    การกระทำเช่นนี้มีหรือที่สตรีใดจะไม่อ่อนระทวย แม้แต่สตรีผู้แข็งกร้าวเช่นนางศรีประจันก็ยังอ่อนลงถึงหกส่วน ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ น้อยนักที่จะได้เจอสามีผู้เอาใจหรือปฏิบัติต่อภรรยาอย่างนุ่มนวลและให้เกียรติ์เช่นนี้ หากเป็นครอบครัวปกติ นางศรีประจันย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการบ่นพันศรโยธาได้โดยที่ฝ่ายสามีไม่ตอบโต้หรอก หนำซ้ำความปากจัดของผู้เป็นมารดา หากได้สามีที่ไม่ใช่พันศรโยธาอาจมีการทะเลาะตบตีกันไม่น้อยแล้ว

     

    หากผู้เป็นมารดาคือไฟ บิดาผู้นี้ย่อมเป็นน้ำที่นิ่งสงบอย่างแน่นอน พิมพิลาไลยนับถือในความใจเย็นและวุฒิภาวะของพันศรโยธาอยู่เสมอ... ไม่ว่าผู้คนจะเป็นเช่นไร จะเป็นพันศรโยธาที่เปิดรับและเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย  นางไม่เคยเห็นบุรุษใดที่ทำตัวคล้ายกลมกลืนและอยู่ร่วมต่อทุกคนได้ราวกับเป็นธรรมชาติเท่าบิดาในชาตินี้อีกแล้ว 

     

    บางทีพิมพิลาไลยก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้นักว่าในหัวของผู้เป็นบิดาจะมองผู้คนเป็นเช่นไรกันแน่? นางไม่เคยสามารถเข้าใจความคิดของเขาได้อย่างแท้จริงเลยสักครั้ง....

     

    มันเป็นความชื่นชมและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน...

     

    แม้จะนึกคิดอยู่นั้นพิมพิลาไลยก็โบกมือให้กับมารดาที่ดูเหมือนจะถูกบิดาล่อซื้อได้สำเร็จเสียแล้ว พลางมองภาพของมารดาที่ถูกบิดาโอบกอดและพาเดินไปยังห้องเรือนของตนด้วยความง่ายดายให้ลับสายตาไป...ทว่าก่อนจางหายไปในสายตาของนาง บิดาคนดีก็ไม่วายเหลือบดวงตาสีพิศวงไม่ต่างกันมามองนางและส่งยิ้มให้ จากนั้นจึงขยับปากเอ่ยอย่างไร้เสียงไปตามสายลมว่า

     

    วันนี้พ่อไม่มีเวลาเล่นด้วยนะคะของ้อมารดาก่อน

     

    ซึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นและพิมพิลาไลยเองก็ไม่ใช่คนงี่เง่า นางจึงเพียงทำท่ามือส่งสัญญาณบอกไปว่า เชิญจัดการให้เสร็จสิ้นเสียเถอะ....ประเดี๋ยวคืนนี้นางจะนอนแต่หัวค่ำให้เลย...

     

    และสุดท้ายแล้วในรุ่งเช้าต่อมาความเงียบสงบก็กลับคืนมาสู่เรือนพ่อค้าใหญ่เช่นพันศรโยธา ทำเอาบ่าวไพร่หลายคนล้วนสรรเสริญในความสามารถของผู้เป็นนายที่สามารถทำให้นายหญิงสงบลงได้ นับว่าวิเศษยิ่ง! เพราะหากผู้เป็นนายเหนืออย่างพันศรโยธาไม่ทำ ผู้รับกรรมคงไม่แคล้วเป็นชั้นผู้น้อยเช่นพวกมัน

     

    ใครๆก็รู้ดีว่านายหญิงแห่งเรือนพ่อค้าใหญ่นี้นั้นปากจัดและมือหนักเพียงใด...ย่อมไม่มีคนโง่เขลาพอกล้าพิสูจน์

     

    .

    .

    .

     

    วันนี้เราไปท่าเรือกันนะคะ

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พิมพิลาไลยต้องออกจากบ้านอย่างงุนงง เพราะอยู่ๆผู้เป็นบิดาก็เอ่ยปากให้ไปดูงานกับตนเสียอย่างนั้น ซึ่งเด็กหญิงผู้ติดพ่อยิ่งอย่างนางนั้นก็ไม่มีทางเอ่ยปฏิเสธอยู่แล้ว...

     

    การเดินทางที่แม้ยาวนานและไม่ได้สะดวกสบาย หากแต่มีบิดาคอยประคบประหงมตลอดทางนั้นจึงไม่ได้สร้างความเหนื่อยล้าหรือความลำบากให้แก่เด็กหญิงเลยแม้แต่น้อย บ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยก็แทบไม่ต้องดูแลคุณหนูของตน เพราะผู้เป็นนายเหนือดันแย่งหน้าที่และดูเหมือนจะทำได้ดีกว่าบ่าวไพร่จริงๆอย่างพวกมันเสียอีก เกิดมาครานี้พวกมันก็พึ่งได้เห็นว่าลูกรักจริงๆมันเป็นอย่างไร

     

    อีกสักครู่ก็คงใกล้ถึงท่าเรือแล้ว...ใส่ผ้าคลุมเสียเถอะ ข้างนอกแดดร้อนนัก

    พันศรโยธาเอ่ยกับบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง มือหนาเอื้อมหยิบผ้าสีครามมาคลุมหัวให้อย่างเบามือจากนั้นจึงทัดเรือนผมยาวด้านหน้าของเด็กหญิงไม่ให้นางรู้สึกเกะกะ...

     

    บ่าวไพร่ที่ได้ยินและเห็นการกระทำของนายเหนือก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวดและสายตาประท้วงเล็กน้อย ภายนอกแทบไม่มีแดดเลยด้วยซ้ำ ดูก็รู้ว่านายเหนือของพวกมันแค่หวงบุตรสาว! ออกมาข้างนอกก็ไม่ยอมให้ใครเห็นหน้าเสียแล้ว ดูท่าอนาคตของชายผู้จะมาเป็นสามีของคุณหนูย่อมยากลำบากนัก

     

    หากท่านพ่อต้องการเช่นนั้น...

    พิมพิลาไลยไม่ปฏิเสธความหวงแหนของผู้เป็นบิดาแต่อย่างใด เพียงเมินเฉยต่อความมากเกินของเขาเพราะเห็นเป็นเรื่องปล่อยผ่านได้ การมีบิดาที่โปรดปรานตนย่อมดีกว่ามีบิดาที่ชิงชังตนอยู่แล้ว....

     

    พันศรโยธายกยิ้มให้กับบุตรสาวของตนที่แม้จะนิ่งสงบจนดูไร้ชีวา หากแต่ก็ยังตามใจตนผู้เป็นบิดาเสียยิ่งกว่าใคร มันเป็นความรู้สึกพิเศษไม่น้อยที่ตนได้รับความพิเศษเพียงหนึ่งเดียวของเด็กคนนี้ต่างจากคนอื่น...สำหรับพันศรโยธาแล้วเขาปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความดีเสมอ ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้มีความต่างกันสำหรับเขา แต่ไม่ใช่กับบุตรสาวผู้นี้ นางนิ่งเฉยต่อทุกสิ่ง มารดา บ่าวไพร่หรือแม้แต่ผู้คนมากมายย่อมล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของเด็กคนนี้...แต่นางกลับยอมรับเขา เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่นางยอมอ่อนข้อให้...

     

    เขาที่เพียงทำดีต่อผู้คนทั้งหลาย...ไม่นานนักพวกมันก็ล้วนเปิดใจให้ เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์ ผู้หนึ่งจริงใจ ผู้หนึ่งหวังผลประโยชน์...มีผู้คนมากมายและหลากหลายในสังคมนี้ แต่ทุกอย่างล้วนไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เขาจะได้รับจากพวกมัน

     

    เอาล่ะ ดูเหมือนจะถึงเสียแล้ว...มาเถิด เดี๋ยวพ่อจะอุ้มเจ้าเอง

    พันศรโยธาห่วงนักว่าขาเล็กๆของบุตรสาวจะต้องปวดเมื่อยหากเมื่อเดินลงท่าเรือใหญ่ที่กว้างขวางและมันก็ปลอดภัยกว่าเมื่อนางอยู่ในโอบกอดของเขา การลักพาตัวเด็กไปขายเป็นทาสนั้นเกิดขึ้นทุกที่ หนำซ้ำบุตรสาวของเขาก็งดงามยิ่งนัก มีหรือจะไม่สะดุดตาใคร...

     

    พิมพิลาไลยที่ถูกบิดาอุ้มหรือบริการมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อผู้เป็นบิดาพายมือทั้งสองข้างเข้ามาโอบกอดและยกนางขึ้นจึงไม่ได้แสดงทีท่ารำคาญใจแต่อย่างใด

     

    นั่นแหละ เด็กดีของพ่อ

     

    .

    .

    .

     

    ไกลสายตาออกไปคือแม่น้ำที่กว้างใหญ่และเรือสินค้ามากมายที่ล่องลอยอยู่กลางลำน้ำอันแสนวุ่นวายนี้...เพียงเหลือบมองรองลงมาคือท่าเรือและผู้คนที่หลากหลาย สินค้านับไม่ถ้วนล้วนถูกส่งมาที่นี้ เสียงนำเสนอค้าขายดังขึ้นอยู่ตลอดเวลาและสิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือตลาดลงสินค้าที่ตั้งอยู่ที่ท่าเรือแห่งนี้

     

    จะบอกว่าที่นี้เป็นประเทศไทยหรือสยามในอดีตก็คงไม่ถูกต้องนัก พิมพิลาไลยตระหนักถึงความแตกต่างของโลกนี้ได้ตั้งแต่เห็นรูปแผนที่ภูมิประเทศแล้ว มันไม่ได้มีลักษณะเหมือนโลกก่อนที่วรรณคดีนี้อ้างอิงเท่าไหร่นัก ดังนั้นดินแดนอื่นทั้งหลายก็คงแปลกไปไม่ต่างกัน....ที่นี้ไม่ใช่โลกเดิมที่นางรู้จักดีอย่างแน่นอน

     

    ผ้าแพรผืนเหล่านั้นล้วนมาจากดินแดนตะวันออกกลาง เนื้อผ้าเบาและนุ่มนวลกว่าดินแดนของเรามากนัก แต่ราคาของมันย่อมแพงกว่าเช่นกัน ส่วนมากจะขายออกก็กับพวกมีเงินขึ้นไปเท่านั้น ลูกค้าหลักจึงเป็นขุนนางและพวกเชื้อพระวงศ์....ส่วนจานกระเบื้องที่แต่งแต้มด้วยลวดลายละเอียดนั้นมาจากดินแดนหยาง เพราะราคาไม่แพงมากนักสามัญชนจับต้องได้ จึงเป็นที่นิยมในช่วงแรกเริ่ม...ทว่าเมื่อพ่อค้าทั้งหลายเห็นว่าขายดีจึงแย่งขนส่งกันมา นานวันสินค้าจึงมากเกินจนเกลื่อนกลาด ราคาสินค้าของมันจึงตกลงไปมากนัก....

    เป็นพันศรโยธาที่เอ่ยสอนบุตรสาวตลอดทางเดินในตลาดท่าเรือ หากนางอยากดูสิ่งใดเป็นพิเศษ ผู้เป็นบิดาเช่นเขาล้วนก้าวเดินไปตามใจโดยไม่เกี่ยง หนำซ้ำสิ่งใดที่เขารับรู้ ย่อมถ่ายทอดให้นางโดยไม่ปิดบัง เขาอุ้มบุตรสาวอย่างหวงแหนทว่าก็ไม่เคยขัดที่นางจะเรียนรู้

     

    พิมพิลาไลยเองก็ไม่เคยปฏิเสธความรู้ที่บิดามอบให้ เผลอๆยังรู้สึกยินดีที่ได้รับมันเสียอีก...นางในชาติก่อนแหลกเหลวและโง่เขลาจนนาทีสุดท้ายของชีวิต จึงตระหนักถึงคุณค่าของความรู้อย่างยิ่งยวดและพยายามไขว่คว้ามัน ในชาตินี้ไม่มีใบเกรดใดที่บ่งบอกผลการเรียน ทว่าการนำไปใช้ได้ต่างหากที่บ่งบอกกว่า...

     

    เออ...นายท่านขอรับ บางทีคุณหนูอาจจะอยากไปดูเครื่องประดับสวยๆด้านนั้นก็ได้นะขอรับ

    บ่าวไพร่คนสนิทของพันศรโยธาเอ่ยกระซิบเสียงเบากับผู้เป็นนายอย่างเหงื่อตก มีบิดาที่ไหนพาเด็กอายุเพียงห้าปีเศษหนำซ้ำยังเป็นบุตรสาวมาดูงานกัน หากเป็นบุตรชายก็ยังพอทำเนา....แต่นายเหนือคิดกระไรพาคุณหนูมาสอนมาฟังเรื่องพวกนี้แทนที่จะได้เล่นเฉกเช่นเด็กทั่วไป

     

    พันศรโยธาเลิกคิ้วเล็กน้อยทว่าก็ไม่ได้ติเตียนคำแนะนำของบ่าวคนสนิทให้มันหวาดหวั่น ก่อนฉีกยิ้มบางให้แก่บุตรสาวในโอบกอดที่ตนอุ้มอย่างนิ่มนวลว่า

    ลูกไม่ชอบฟังพ่อสอนเหรอคะ?”

     

    ทำเอาพิมพิลาไลยอยากกรอกตาให้กับบิดาผู้เป็นเลิศของตน นางคอยประจบให้เขาสอนอยู่บ่อยครั้ง หนังสือใดอยากอ่านก็ออดอ้อนให้ได้มา พออยากรู้สิ่งใดที่นอกเหนือก็ล้วนขออาจารย์จากเขาทั้งสิ้น....ทั้งหมดนี้มีหรือที่เธอจะไม่ชอบ รู้คำตอบอยู่แล้วแท้ๆ....

     

    ลูกย่อมชอบฟังสิ่งที่ท่านพ่อสั่งสอนทั้งสิ้นเจ้าค่ะ...."

    พิมพิลาไลยตอบไปตามจริงโดยไม่ใส่ใจนัก ที่บิดาเอ่ยถามทั้งที่รู้ดีนั้นก็คงไม่แคล้วอยากให้บุตรสาวเอ่ยถึงตนด้วยปากตัวเอง สร้างความดีความชอบว่าเป็นบิดาที่เข้าใจบุตรของตนยิ่งกว่าใคร

     

    เจ้าคงได้ยินแล้วกระมั้ง...

    เป็นพันศรโยธาที่กล่าวลอยๆด้วยรอยยิ้มบางประดับอยู่กับบ่าวคนสนิทของตนคล้ายพูดเสริม แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าบ่าวคนนั้นเบาๆ นับเป็นคนที่แม้จะแซะคนก็ยังคงประดับรอยยิ้มไว้บนใบหน้าอย่างแท้จริง

     

    แต่เอาเถิด พวกเจ้าไปเตรียมซื้อสินค้าในแผ่นกระดาษนี้เสีย...ประเดี๋ยวข้าจะพาลูกไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย

     

    พันศรโยธากล่าวงานกับคนของตนก่อนหันไปมองสินค้าอีกมากที่ถูกขนลงจากเรือใหญ่ พวกมันล้วนเป็นผ้าชั้นดีจากแดนตะวันออกกลางที่สูงลิ่ว พลางคิดจะซื้อมันให้แก่บุตรสาวของตนได้สวมใส่ แม้ปกติแล้วเนื้อผ้าที่ตนซื้อให้แก่นางสวมใส่ตลอดมาจะคุณภาพดีไม่น้อยเลยก็ตาม หากแต่ขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมคงต้องการสวมใส่ชุดใหม่ๆเป็นรื่นเริงนัก

     

    ลูกอยากได้ชุดใหม่ไหมคะ?”

    พันศรโยธาเอ่ยถามบุตรในโอบกอดอย่างนิ่มนวลพลางชี้นิ้วไปยังสินค้าที่พึ่งลงจากเรือเพียงชั่วครู่ เพราะบุตรของตนไม่ใช่คนช่างพูด ดังนั้นบิดาเช่นเขาจึงต้องเป็นฝ่ายไถ่ถามเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บุตรสาวต้องการ หาใช่การยัดเหยียด

     

    พิมพิลาไลยเพียงส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ เสื้อผ้าของนางไม่เคยขาดเหลือ หนำซ้ำตัวนางเองก็ไม่ใช่คนชอบแต่งกายอะไร จึงเอ่ยปากขอบิดาเป็นอีกสิ่งแทนว่า

    ข้าอยากได้หนังสือเสียมากกว่า....ท่านพ่อ

     

    เมื่อได้ฟังบุตรสาวคนโปรดพูดเช่นนี้ พันศรโยธาก็อดไม่ได้ที่จะยกมือหนาขึ้นมาลูบหัวของนางอย่างรักใคร่และเอ็นดู การมีลูกใฝ่รู้ตั้งแต่วัยเยาว์นั้นนับว่าประเสริฐ หากแต่บิดาอย่างเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยไปเสียหมด....

     

    การใฝ่รู้นับเป็นเรื่องดี แต่ความรู้นั้นก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือเพียงที่เดียว...ออกไปเล่นบ้าง ใช้แรงเสียหน่อย พบคนให้มากมาย นั่นก็นับเป็นความรู้อย่างหนึ่ง...ความรู้การใช้ชีวิต

     

    เขาผู้เป็นบิดาไม่เคยหวงเงินตราที่จะซื้อสิ่งใดให้แก่บุตรสาว หนังสือเล่มใดที่นางอยากได้ ตำราใดที่นางอยากเรียน...พวกมันล้วนเป็นของนางทั้งสิ้น หากแต่ใจของผู้เป็นบิดาอย่างไรเสียก็คงไม่อาจให้บุตรสาวของตนเรียนรู้สิ่งต่างๆจากหน้ากระดาษที่เพียงเขียนหมึกเท่านั้นว่าเป็นคำตอบของความรู้ทั้งหมด ชีวิตยังมีอะไรอีกมากมายที่หนังสือใดตำราใดล้วนไม่อาจจดมันลงหน้ากระดาษได้หมดสิ้น

     

    เขาไม่อยากให้ชีวิตในวัยเยาว์ของนางหมดไปกับหน้ากระดาษจนหมดสิ้น...

     

    ลูกจะจดจำไว้ค่ะ....

    พิมพิลาไลยรู้ดีว่าการหมกมุ่นของตนนั้นทำให้บิดาเป็นห่วง แต่สุดท้ายเขาก็ตามใจนางทุกครั้งไป

     

    กลับไปประเดี๋ยวพ่อจะหาตำราจากพวกข้าหลวงที่รู้จักให้ วันนี้ก็จงเที่ยวเล่นเถิด...

    พันศรโยธานั้นแม้เอ่ยปากห้ามเป็นนัยๆ แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจบุตรสาวดั่งที่นางคาดอยู่เสมอ นับว่าเขาไม่เคยดุหรือติเตือนนางอย่างจริงจังเลยสักครั้ง จนทำให้เกิดความกังวลว่าการเลี้ยงลูกอย่างตามใจเช่นนี้ อาจทำให้นางกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจและไม่รู้ความ แต่ทว่าเมื่อบุตรสาวเติบโตมาความกังวลนั้นก็สูญหายไปสิ้น หนำซ้ำยังต้องคิดหนักแทนเสียมากกว่าเมื่อบุตรสาวโตเกินวัยและนิ่งสงบเกินไป

     

    อย่างน้อยถ้านางงอแงเสียหน่อย เอาแต่ใจและโวยวายเสียบ้าง...เขาก็คงเดาความคิดนางง่ายกว่านี้

     

    เขารักบุตรสาวของเขาอย่างแน่แท้...ทว่านี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบในตัวนางคือการไม่รู้ว่านางคิดอะไร สำหรับตัวเขาที่ทำดีกับผู้คนมากมาย เข้าหาพวกมันและปรับตัวกับพวกมัน ผลลัพธ์ที่ได้มันเป็นเรื่องปกติที่จะเข้าใจความคิดของพวกมันในระดับหนึ่งไม่มาก็น้อย ซึ่งมันทำให้เขาควบคุมทุกอย่างได้สะดวก...

     

    แต่ไม่ใช่กับบุตรสาวของตน  นอกเหนือจากความรักของบุตรที่มีต่อตนแล้ว ที่เหลือทุกอย่างล้วนดูคลุมเครือยิ่งนัก...เขาไม่ชอบอะไรที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของตนได้สักเท่าไหร่นัก...แต่อย่างไรเสีย เขาก็โปรดปรานบุตรคนนี้มากพอที่จะมองข้ามมันไป

     

    แม้จะครุ่นคิดอยู่ แต่เท้าของพันศรโยธาก็ยังคงก้าวเดินเพื่อพาบุตรสาวชมสิ่งต่างๆเรื่อยๆ หากบุตรสาวอยากดูสิ่งใดเป็นพิเศษก็พาก้าวเดินไปดู อยากได้สิ่งไหน ก็ซื้อมันอย่างง่ายดาย...

     

    จนกระทั่งผลไม้ต่างถิ่นสีแปลกตากลิ้งมากระทบเท้าของเขา...ดวงตาผู้เป็นต้นแบบสีพิศวงนั้นเลื่อนสายตามองไปยังต้นเหตุ...พบแรงงานชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่ทำงานผิดพลาดขนกล่องไม้บรรจุผลไม้เหล่านี้ล้มลงกับพื้น จนผลไม้เหล่านั้นเกลื่อนกลาด

     

    คล้ายพันศรโยธาหยุดนิ่งเพื่อชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเก็บผลไม้นั้นและก้าวเดินไปมอบให้แก่แรงงานชั้นผู้น้อยอย่างไม่นึกรังเกียจ...

     

    ทำให้แรงงานหนุ่มน้อยผู้นั้นตกตะลึงไปชั่ววูบ ก่อนรีบกล่าวขอบคุณอย่างร้อนลน...ปกติแล้วไม่มีสามัญชนที่ไหนทำดีกับชนชั้นแรงงานอย่างมันนัก เพียงเข้าใกล้ก็รังเกียจแล้ว เพราะความสกปรกที่ได้รับจากงานหนักและเป็นพวกชนชั้นที่ดีกว่าบ่าวไพร่เพียงเล็กน้อยเอง

     

    ทว่ากลับมีชายหนุ่มรูปงามนักผู้หนึ่งที่ดูจากเครื่องแต่งกายและกริยาท่าทางที่สง่าก็รับรู้ได้ว่ามิใช่สามัญชนทั่วไป น่าจะเป็นคนรวยไม่ก็ขุนนางผู้หนึ่งก็เป็นได้...กลับช่วยเก็บของให้กับเขาและยื่นมือมาอย่างไม่รังเกียจ

     

    ผลไม้พวกนั้นมากมายจนล้นกล่องและสูงกว่าหัวเจ้า ลองใส่แต่พอดีเสียเถิดแล้วค่อยขนใหม่จนหมด ถึงช้าหน่อย แต่ย่อมดีกว่ารีบร้อนแล้วสินค้าจะเสียหายเพราะความเร่งรีบของเจ้า

     

    พันศรโยธาเอ่ยกับแรงงานผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรังเกียจ คล้ายเป็นความหวังดีจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก่อนเอ่ยกับบุตรสาวให้รอหน่อย และก้มเก็บผลไม้บางส่วนที่ตกพื้นให้อีก

     

    ข...ขอบพระคุณมากๆเลยขอรับ

    แรงงานหนุ่มน้อยผู้เกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยได้รับการกระทำดีๆจากผู้คนที่เหนือชนชั้นตนแทบทำตัวไม่ถูกนัก มันไม่เคยคิดว่านอกเหนือจากชนชั้นของพวกมันเองและเจ้านายเพียงคนเดียวของมันจะมีใครปฏิบัติกับมันดีด้วย

     

    ไม่เป็นไร ขยันทำงานนั้นดีแล้ว แต่ต้องประมาณตนเสียบ้างถึงจะถูก

    พันศรโยธาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นทุกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้ใครๆล้วนต่างเปิดใจกับมัน เมื่อสร้างความดีเสร็จแล้ว...จึงหันกลับไปอุ้มบุตรสาวของตนและก้าวเดินจากไป

     

    ทิ้งให้แรงงานหนุ่มน้อยมองภาพของเขาให้ขึ้นใจ พลางพึ่งตระหนักว่าชายหนุ่มผู้นั้นเป็นคนดีมีเมตตานัก ดวงตาสีพิศวงนั่นก็โดดเด่นด้วยเช่นกัน....

     

    ทำไมท่านถึงทำดีกับเขากันล่ะคะ?”

    พิมพิลาไลยเอ่ยปากถามผู้เป็นบิดา หลังภาพของแรงงานหนุ่มตัวน้อยลับสายตาไปแล้ว ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับพันศรโยธามา ทำให้นางแน่ใจในระดับหนึ่งว่า เขาไม่ได้มองทุกคนอย่างเท่าเทียม ก็เหมือนผู้คนบนโลกนี้ทั่วไปที่ถือชนชั้น...บ่าวไพร่ในเรือนเองก็ล้วนถูกปฏิบัติอย่างบ่าวไพร่ทั่วไป เขาเป็นเจ้านายที่ดีแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของชนชั้นอยู่ดี

     

    แต่การไปยื่นมือช่วยแรงงานที่ท่าทางสกปรกคนนั้นโดยไม่รังเกียจ มันผิดวิสัยคนทั่วไปในโลกใบนี้...

     

    แล้วการทำดีจำเป็นต้องมีเหตุผลหรือ

    พันศรโยธาที่ได้ยินคำถามของบุตรสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูนัก ดูท่านางคงสัมผัสได้ว่าที่เขาทำดีนั้นไม่ใช่เพราะเป็นคนดี....นับว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ สายเลือดของบ้านเขาช่างสร้างลูกหลานให้มีแนวความคิดไม่ต่างกันจริงๆ

     

    เมื่อเห็นผู้เป็นบิดาไม่ตอบดั่งเช่นที่ผ่านมา เด็กหญิงจึงเลิกสนใจเขาและหันมาซบไหล่แทนพลางกวาดสายตามองดูร้านค้าและสินค้าต่างๆผ่านด้านหลังของเขาแทน

     

    ท่านเคยมองผู้คนต่างกันบ้างหรือไม่คะ?”

    เป็นคำถามแผ่วเบาที่เอ่ยถามบิดาอย่างเลื่อนลอยแม้สายตาจะไม่ได้มองที่เขาก็ตาม พิมพิลาไลยรู้สึกได้ว่าบิดาไม่เคยปฏิบัติกับใครเป็นพิเศษ เขาทำดีกับทุกคนและด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงไม่ได้มีความพิเศษอะไร ไม่เว้นแม้แต่มารดาหรือนางเองก็ตาม

     

    พันศรโยธาหยุดนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถามของบุตรสาวในครานี้  ดวงตาสีพิศวงไม่แคล้วกันจับจ้องไปยังเด็กหญิงในโอบกอดอย่างลุ่มลึก บางทีบุตรสาวของเขาก็เหมือนเขามากเกินจริงๆนั่นแหละ....

     

    จงทำดีกับผู้คนให้มาก สวมหน้าให้มิด อย่าได้เผยความคิดออกมา....แล้วหาผลประโยชน์เป็นสิ่งตอบแทนเจ้า

    นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยอย่างเปิดเผยกับผู้อื่นที่ไม่ใช่ตน อาจเพราะนางคล้ายตน อาจเพราะนางเป็นบุตร จึงทำให้ช่องว่างที่เต็มไปด้วยสีดำยอมเปิดเผยออกมาได้อย่างน่าแปลก

     

    ให้อาหารกับหมา มีหรือหมาจะไม่เชื่องในสักวัน...

     

    พิมพิลาไลยที่เห็นบิดาเปรียบเทียบคนเป็นหมา ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าบิดาผู้นี้ก็คงไม่ต่างจากตน ไม่สิ...สมเป็นบิดาเธอจริงๆนั่นแหละ

     

    แต่ไม่ใช่หมาทุกตัวที่จะเป็นหมาดี...ย่อมมีหมาไม่รู้ความคิดแว้งกัด

    เด็กหญิงเอ่ยกับคำกล่าวของบิดา ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะรู้คุณ มันอาจใช้ความดีนั้นมาหาผลประโยชน์ก็ได้

     

    แน่นอน...ก็วางยาเบื่อมันเสีย

    พันศรโยธาเอ่ยอย่างนิ่งสงบ แม้ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม....เขาไม่ได้ชอบการทำดีและไม่เคยอยากทำมัน แต่เพราะหน้ากากคนดีนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะทำและหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อได้อย่างน่าประหลาดจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะทำ

     

    ท่านเคยจริงใจกับใครบ้าง...ท่านพ่อ

    พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง นางมิได้เอ่ยแซะ หากแต่เป็นความอยากรู้เท่านั้น อยากรู้เสียว่าความคิดอันแสนยากจะหยั่งถึงของบิดาจะออกมาเป็นเช่นไร

     

    แต่สุดท้ายก็มีเพียงรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเสมอเท่านั้นที่เป็นคำตอบ...ทำให้เด็กหญิงตระหนักได้ว่าบิดาของตนช่างลึกลับซับซ้อนและน่ากลัวเกินไป....

     

    น่าสงสารท่านแม่จริงๆ

    แม้จะไม่ถูกกับมารดา ทว่าก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตร่วมเรือนกันมา...หากมารดารับรู้ว่าชายที่ตนหลับนอนด้วยกันทุกวันไร้ใจเพียงใด คงอกแตกตายกระมั้ง...

     

    อย่าพูดเช่นนั้นสิ...มารดาเจ้าเป็นหญิงที่บิดาเลือกดีแล้ว นางค่อนข้างซื่อตรงดีนัก ไม่มีความรู้มากมาย ไร้เล่ห์เหลี่ยม โกรธเช่นไรแสดงเช่นนั้น เจ้าไม่คิดว่านางดูออกง่ายและง่ายควบคุมบ้างเหรอ

    พันศรโยธาเอ่ยกับบุตรสาวของตนราวกับเป็นเรื่องปกติ รอยยิ้มบนใบหน้าก็มิเคยจางหาย แม้ภรรยาของตนจะค่อนข้างแข็งกระด้างไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา หากเทียบกับหญิงสาวที่มารดาของเขาพยายามยัดเหยียดมาให้ในครั้งอดีต พวกนางล้วนเสแสร้งเก่งและฉลาดคิดดี...ซึ่งเขาไม่ชอบเท่าไหร่นัก ถึงจะรับมือไม่ยากอะไรสำหรับเขา หากแต่ก็เป็นเรื่องน่ารำคาญ...ดังนั้นคนที่ดูออกง่ายๆเช่นนางศรีประจันจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดี เขาไม่ได้ต้องการสตรีฉลาดหรือมีความสามารถ เพราะหากเขาต้องการสิ่งใดก็ล้วนทำเอง...

     

    ก็จริง...

    พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับความจริงข้อนี้ มารดาของนางเป็นหญิงชาวบ้าน ดังนั้นพื้นฐานการศึกษาและเล่ห์กลย่อมไม่มากเท่าชนชั้นพ่อค้าหรือขุนนาง...

     

    อย่าให้มารดาเจ้ารู้เชียว ไม่งั้นเราสองพ่อลูกได้โดนด่าจนหูชาเป็นแน่แท้

    เป็นคำกล่าวชวนติดตลกของผู้เป็นบิดาที่เอ่ยต่อ จากนั้นจึงก้าวเดินไปต่อหลังหยุดนิ่งเพื่อพูดคุยมาชั่วครู่

     

    มีเพียงความเงียบที่คงอยู่ตลอดระยะทางเดินที่ก้าวไป ไม่ใช่เพราะนางและเขามองหน้ากันไม่ติด แต่เป็นเพียงความเงียบที่เกิดจากการมัวครุ่นคิดของทั้งสองฝ่าย

     

    และเพียงก้าวไปต่อไม่กี่ก้าว...ภาพของท่าเรือและลำน้ำก็ปรากฏขึ้นชัดเจนในสายตาของเด็กหญิง

     

    มันทั้งยิ่งใหญ่และแปลกตาสำหรับนาง...

     

    ภาพของแม่น้ำที่กว้างใหญ่กว่าแม่น้ำที่ใดที่เธอเคยเจอช่างดูน่าขนลุกในความไพศาลของมัน เรือลำใหญ่ที่สูงเหนือหัวของนางไปมากมายเท่าใดก็ไม่รู้กำลังล่องลอยอยู่ดุจดั่งเจ้าพระยาแห่งลุ่มน้ำนี้ ผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติกำลังขนสิ่งต่างๆลงจากเรือ บ้างเป็นพ่อค้า บ้างเป็นนักเดินเรือ หรือแรงงาน...

     

    แสงแดดสาดส่องตกกระทบลงที่ผู้คนที่แข็งขันเหล่านั้น เรือทั้งมวลและคลื่นน้ำที่สั่นกระเพื่อม มันยิ่งขับความงามตรงหน้าให้เฉิดฉายและสุกสกาว ดั่งภาพของหนังภาพยนตร์ย้อนยุคที่แสนสะกดตา

     

    นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมันจึงตราตรึงใจของบิดาได้....เพราะนางเองก็เช่นกัน...

     

    ชีวิตในอดีตชาติมีเพียงบ้านและตึกสูงที่รายล้อม ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงปูนไม้ที่มนุษย์สร้างเพื่ออยู่ ไม่มีอะไรพิเศษในสายตาของนาง ทว่านี่คือธรรมชาติและวิถีของมนุษย์ในยุคที่ไร้สิ้นเทคโนโลยี...ธรรมชาติที่กว้างใหญ่ได้สะกดสายตาของนางเสียแล้ว

     

    ท่านพ่อ...สักวันข้าอยากจะล่องเรือในที่กว้างใหญ่เช่นพวกเขา...ไม่สิ หากท่านทำมันสำเร็จก่อนช่วยพาข้าไปด้วยนะคะ....

     

    พิมพิลาไลยเอ่ยขึ้นแม้ดวงตาของตนยังคงจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้าโดยไม่วางตา...

     

    พันศรโยธาที่คล้ายเห็นภาพของบุตรสาวในยามนี้ทับซ้อนภาพของตนในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัยนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันและขนลุกเล็กน้อย ดูเหมือนความฝันของเขาจะไม่ได้มีเพียงเขาผู้เดียวแล้ว...ผู้ร่วมเดินทางที่เข้ามาแต่งเติมฝันของเขานั้นคงเป็นบุตรสาวเข้ามาเพิ่ม

     

    ซึ่งเขาก็ไม่ได้เกลียดอะไร...บางทีอาจรู้สึกยินดีด้วยซ้ำไป

     

    แน่นอน...

    พันศรโยธาเอ่ยตอบรับคำของบุตรสาว พลางคิดอยากเห็นแสงประกายในดวงตาที่ไร้คลื่นของนาง มือหนาเอื้อมไปสัมผัสผ้าคลุมสีครามที่ตนคลุมให้แก่เด็กหญิงและยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อหวังเห็นใบหน้าและดวงตาในตอนนี้ของนาง

     

    และเมื่อได้เห็นสีหน้าของบุตรสาวของตน จึงรีบเลื่อนมือปิดผ้าคลุมในทันที ไม่ใช่เพราะผิดหวังหรือนางไม่แสดงสีหน้า หากแต่เพราะนางแสดงสีหน้านั้นจึงทำให้เขาหวงแหนยิ่ง มิอยากให้ผู้ใดได้เห็นแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

     

    อา...หากโตไปมีเด็กหนุ่มคนใดมาขอนาง เขาคงเรียกค่าสินสอดมากมายจนพวกมันจ่ายไม่ไหวอย่างแน่แท้

     

    บางทีคำตอบที่เจ้าถามว่าข้าเคยจริงใจกับผู้ใด...ย่อมควรเป็นเจ้าที่รู้ดีที่สุดนะ ลูกรัก

     

    เป็นคำกล่าวของพันศรโยธาที่เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอยพลางมองภาพเบื้องหน้าไปพร้อมกับบุตรสาว เขาไม่ใช่คนดี ไม่เคยเลย...หากแต่ก็ไม่ได้ไร้ใจ...

     

    เขาเลี้ยงดูนางมากับมือ เลือดเนื้อก็เป็นของเขา...มีหรือเขาจะไม่รักนาง นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาเชียวนะ

     

    .

    .

    .

     

    ถ้าพิมพ์ผิดหรือบางจุดงงๆก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ พอดีตอนเขียนยังไม่ได้นอนมาวันหนึ่งเลยค่ะ555

     

    ปล.เรือคุณพ่อแรงมาก แต่ลงไม่ได้555เพราะบาปหนามากกกก-----โดนยมบาลทิ่มตูดแน่ค่ะ

    ปล.ที่สอง เรื่องนี้ดองเก่งอยู่นะคะ เผื่อใจไว้ได้เลยค่ะ555------




    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×