ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่เป็นอัลฟ่าหญิงเพียงหนึ่งเดียวในโลกนิยายBL

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9 การกลับมาของเธอคนนั้น

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 63


      

    เสียงรถม้าที่กำลังเคลื่อนผ่านถนนหินในเมืองหลวงหลักแห่งจักรวรรดิอันเกรียงไกรอย่างเฟย์ติสนั้นดังสนั่นไปทั่วทุกสารทิศเยี่ยงกองทัพ ฝีเท้าดังกระทบกันเป็นจังหวะของกีบเท้าพลม้าที่ผู้ได้อยู่ใกล้ต้องถอยห่างเพราะความหวั่นเกรง...ม้าพันธุ์ของดินแดนทางใต้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่และน่าเกรงขามกว่าม้าพันธุ์ของดินแดนทางเหนือมากนัก...รถม้าสีดำสนิทแกะสลักจากรากไม้ใหญ่ของต้นไม้พื้นเมืองดินแดนใต้ลงไปนั้นบ่งบอกถึงเอกลัษณ์ของผู้มาในครานี้....

     

    ธงประจำตัวสีม่วงครามหม่นลายอสรพิษแห่งราชวงศ์สายตรงโบกสะบัด...ม้าใหญ่สีดำที่ดูน่าเกรงกลัวนั้นถูกประดับเกราะเยี่ยงม้าศึกมากกว่าม้างาน นายทหารที่ติดตามมาด้วยนั้นรูปลักษณ์แตกแยกจากคนทวีปนี้อย่างสิ้นเชิง....ไม่มีเสียงเพลงบรรเลง ไม่มีคำโห่ร้องยินดี มีเพียงความอึมครึมชวนน่าอึดอัดนี้ที่ผู้คนต่างปิดปากเงียบด้วยความกลัว

     

    ขบวนเสด็จของเจ้าหญิงเอลลิโอร่า เดอ เฟย์ติสนั้นแตกต่างจากราชวงศ์คนอื่นมากนัก...กล่าวกันว่า นางได้รับการสืบทอดตรามาจากจักรพรรดิที่เจ็ดผู้เป็นปู่ตามสายเลือดเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องเชื้อสายทั้งหมด ธงลายอสรพิษบนผืนผ้าสีม่วงครามหม่นก็เป็นสัญลักษณ์ของตราประจำตนนั้นอย่างชัดเจน...สถานะของนางจึงค่อนข้างน่าเกรงขามเมื่อเทียบกับบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ...

     

    ซึ่งตัวของเอลลิโอร่าที่นั่งอยู่ในรถม้าก็หาได้แยแสต่อความหวั่นเกรงของประชาชนไม่ มือกร้านเพียงเท้าคางใบหน้าของตนข้างกระจกรถม้าพลางกวาดสายตามองดูผู้คนราวฝูงแมลง...เธอรู้ดีว่าตราประจำตนในราชวงศ์ของตัวเองนั้นมีค่ามากมายเพียงใด...คงต้องกล่าวสรรเสริญและขอบคุณคาเอลรอสผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดที่อดีตเคยสร้างวีรกรรมคุณความดีให้แก่จักรวรรดิเฟย์ติสมหาศาล...จึงทำให้ตราประจำตนของเขาน่าเกรงขามและต้องแสดงความเคารพถึงห้าส่วน และผลประโยชน์นี้ก็ตกลงมาที่เอลลิโอร่าผู้เป็นคนสืบทอดตราเพียงหนึ่งเดียวต่อจากเขาอย่างไม่ต้องสงสัย...

     

    จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพี่ชายผู้เย่อหยิ่งของเธอนั้นจะแสนริษยาโอหัง...คาเอลรอสไม่ใช่ปู่ที่รักหลานเท่ากันนัก ความลำเอียงของเขานั้นชัดเจนตั้งแต่แรก...แม้ในคราแรกที่เกิดมาของอันวาร์ผู้เป็นพี่ชาย เขาก็ไม่เคยส่งของขวัญหรือเข้าร่วมงานยินดีแก่พระเอกตัวน้อยเลยสักครั้ง...และไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงน้องชายของเธอ คาเอลรอสแทบไม่มองถึงการมีอยู่ของโลริสด้วยซ้ำ

     

    ซึ่งนับเป็นเรื่องเพียงไม่กี่เรื่องที่เอลลิโอร่ารู้สึกมีชัยเหนือกว่าผู้อื่นจริงๆ...เพราะสถานะของคาเอลรอสนั้นเปรียบดั่งวีรบุรุษหรือตำนานแห่งมนุษย์ ผู้คนต่างสรรเสริญ เด็กชายทั่วทั้งแดนเหนือต่างฝันอยากเป็นเยี่ยงเขา...

     

    แม้แต่ผู้เป็นพระเอกของเรื่องราวทั้งหมดอย่างอันวาร์ก็มีความฝันเยี่ยงเด็กชายแดนเหนือธรรมดาทั่วไป...ทว่าคล้ายโชคชะตาเล่นตลกเมื่อคาเอลรอสผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดที่เขาหวังเทิดทูนนักหนานั้นไม่ได้โปรดปรานเขาอย่างชัดเจน...

     

    มันอาจเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันมาบรรจบกันของสายเลือดชาวแดนเหนือผู้เย่อหยิ่งกับชาวแดนใต้ผู้ยึดมั่น...ความชาตินิยมของคนสองดินแดนนี้สูงเสียดฟ้านัก...อคติทางเชื้อชาตินั้นยากเกินกว่าจะแก้ไข

     

    ทว่าเอลลิโอร่าก็ไม่ได้ซึ้งอะไรกับความเป็นชาติเท่าไหร่นัก...อันตัวเธอผู้ถูกเนรเทศจากดินแดนทางเหนือซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิดในวัยเพียงหกปี...ไม่ได้มีช่วงเวลาที่จะจดจำวัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งภาษาแม่ของตนนัก...และความลำบากกับการดิ้นรนในดินแดนทางใต้ก็มิได้หล่อหลอมให้เธอต้องสู้เพื่อใครนอกจากตนเอง...

     

    ดวงตาอสรพิษหมางเมินต่อสายตาผู้คน...มือกร้านข้างหนึ่งปัดผ้าม่านสีหม่นลงเพื่อปิดวิสัยทัศน์ให้สบายตา ก่อนเหยียดร่างกายอย่างเกียจคร้าน ประสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าขาและตัดสินใจงีบหลับลงในช่วงเวลาที่เงียบสงบในตอนนี้

     

    .

    .

    .

     

    องค์หญิงเอลลิโอร่า เดอ เฟย์ติส เสด็จถึง ณ พระราชวังอาเฟนนอลแล้วพะยะค่ะ!”

     

    เสียงประกาศกึกก้องถึงการมาของบุคคลผู้หนึ่งนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้แก่ผู้คนที่ได้ยินอย่างยิ่งยวด ข้ารับใช้บริพารตลอดจนขุนนางน้อยใหญ่โดยรอบนิ่งเงียบราวกับต้องมนต์สะกดหรือแท้จริงอาจเป็นคำสาปกัน ทว่าที่พวกเขาแน่รู้คือเสียงเท้าของกองพลทหารม้าแห่งเนย์ติสที่เลื่องชื่อ...ซึ่งมีเพียงคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่บัญชามันได้...

     

    และเพียงไม่นานเท้าบางที่สวมใส่รองเท้าเยี่ยงคนแดนใต้จึงก้าวลงมาจากรถม้า ปรากฏร่างของเด็กหญิงผู้มีรูปลักษณ์สุขุมนิ่งสงบชวนให้รู้สึกน่าหวาดระแวง เสื้อผ้านั้นไซร้เป็นชนเผ่าที่แปลกแยก แต่ผู้คนกลับไม่ปฏิเสธว่าเมื่อคนสวมใส่นั้นคือนางกลับช่างดูสง่างามและลึกลับจนมองข้ามความอคติของชาตินิยมไป แผ่นหลังยืดตรงผ่าเผยสมทายาทชนชั้นปกครองและเหยียดสายตามองผู้คนอย่างลุ่มลึกคล้ายสอดส่องเข้าไปในเบื้องลึกของสันดานมนุษย์ที่พบเห็น...

     

    น้อมรอรับเสด็จกลับสู่จักรวรรดิเฟย์ติสอันยิ่งใหญ่นี้พะยะค่ะ...องค์หญิงเอลลิโอร่า

    เป็นพ่อบ้านแก่ผู้หนึ่งที่เดินก้าวหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางตามมารยาทของผู้รับใช้ พร้อมผืนผ้าเสื้อคลุมสีดำสนิทและรองเท้าหนังตามการแต่งกายของชาวเฟย์ติสที่นำมา

     

    อืม...

    เอลลิโอร่าไม่แสดงสีหน้ายินดีหรือยินร้ายอะไร...เพียงขานรับในลำคอก่อนยื่นแขนของตนไปรับเสื้อคลุมสีดำสนิทให้เข้าแขน แล้วจึงปล่อยให้ชายแก่จัดแจงสวมใส่ชุดให้ตนเองตามระเบียบ

     

    รองเท้าที่เคยสวมใส่มาโดยตลอดถูกถอดออก...และต่อเติมเข้าไปด้วยรองเท้าหนังตามประสาชนชั้นสูงในเฟย์ติส เสื้อคลุมที่สวมทับนั้นปกปิดความเป็นชนเผ่าลงถึงห้าส่วน...เครื่องประดับที่ติดตัวมาถูกปลดออกเหลือทิ้งไว้เพียงต่างหูข้างเดียวอันเป็นพู่ไหมสีแดง...ไม่ให้เหลือเค้าความเป็นฮันเรย์หรือเนย์ยีร์ที่เธอเติบโตมา...

     

    เมื่อเหยียบย่างสู่จักรวรรดิเฟย์ติส สถานะของเธอจึงไม่ใช่ผู้เติบโตมาเยี่ยงชนเผ่า หากแต่เป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ผู้เกียงไกร...ภาพลักษณ์และการกระทำของเธอจึงถูกบีบให้อยู่ในจักรวรรดินิยม

     

    รายงานต่อองค์จักรพรรดิเสียว่าข้าจะไปเข้าเฝ้าพระองค์ยามพลบค่ำคืนนี้....มิจำเป็นต้องเรียกหาโดยเร็ววันนัก

    เอลลิโอร่าเอ่ยกับพ่อบ้านแก่ด้วยภาษาเฟย์ติสที่ร่ำเรียนมาไม่ขาด เธอยังคงมีงานค้างที่ต้องสะสางเมื่อมาจักรวรรดิเฟย์ติสมากมาย จึงมิได้ใส่ใจว่าพระบิดาผู้ลำเอียงจะเรียกหาตนอย่างเร่งด่วนหรือไม่

     

    พะยะค่ะ

    พ่อบ้านแก่มิใช่คนไม่รู้ความ เขาอยู่มาครึ่งชีวิตของมนุษย์สามัญชนแล้ว จึงเล็งเห็นว่าเจ้าหญิงผู้นี้ต่อให้ไม่เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิในกาลปัจจุบัน ทว่าก็มีบารมีเก่าจากจักรพรรดิองค์ก่อนสืบทอดมา หนำซ้ำยังมีทีท่าขยายอำนาจในอนาคตจนอาจเป็นม้ามืดท่ามกลางการเมืองได้ ไม่แปลกเลยที่พ่อบ้านแก่จึงคิดนอบน้อมไว้แต่เนิ่นๆ

     

    แต่น่าเสียดายนักที่ตาคนไม่อาจมองเท่ากันได้...นอกจากพ่อบ้านแก่แล้ว ผู้คนโดยรอบมิได้มองเจ้าหญิงผู้นี้ไปในทางที่ดีเท่าไหร่นัก มันคือความหวั่นเกรงและการเหยียดหยามในเวลาเดียวกัน...ถึงรูปลักษณ์และการเติบโตมาในดินแดนด้อยพัฒนา

     

    มนุษย์ขี้ดิน’ ‘พวกขี้โคลน’ ’คนป่า’ ’ไร้อารยะธรรม’ ’ไม่มีการศึกษา’ ’พวกหัวรุนแรง’ ‘ป่าเถื่อน สัตว์เดินสองขา สีอุดจาระ พวกผิดชาติ ชนชั้นต่ำ----คำทั้งหลายเหล่านี้ล้วนต่างเป็นคำเรียกนินทาเอลลิโอร่าอยู่เบื้องหลัง...

     

    การเหยียดหยามทางเชื้อชาติและสีผิวในโลกแห่งนี้นั้นไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นัก....

     

    .

    .

    .

     

    แต่ดั้งแต่เดิมแล้วพระราชวังอาเฟนนอลมิได้เป็นสถานที่สวยงามหรือยิ่งใหญ่อะไรนัก รูปลักษณ์ของมันคล้ายถอดแบบมาจากพระราชวังวินด์เซอร์ของอังกฤษถึงแปดส่วน ทว่าก็ดูเก่าแก่กว่ามากอันเนื่องมาจากไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีจนกำแพงหรือเสาหินนั้นไซร้กลายเป็นสีหม่นดำดูน่าเกลียด กระจกบางส่วนชำรุดแตกกระจาย กำแพงสูงที่ควรเป็นปราการก็สึกหรอ โชคดีที่โครงสร้างสถาปัตยกรรมแข็งแรงพอ จึงทำให้อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าไม่พังทลายลงมาในเร็ววัน

     

    แน่นอนว่าผู้อาศัยอยู่อย่างเอลลิโอร่าก็มิใช่คนเรื่องมาก แม้ที่พำนักที่พระบิดาทรงประทานให้จะคล้ายปราสาทผีสิงก็ตาม...สำหรับเธอแล้วถ้ามีที่ซุกหัวนอนก็ไม่เกี่ยงอะไร

     

    ดวงตาอสรพิษกวาดสายตามองดูเอกสารในมืออย่างใจเย็น ร่างบางของเด็กหญิงในวัยเพียงสิบสองปีพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งเท้าคางใบหน้าด้วยความเคร่งขรึม ในขณะที่อีกมือนั้นกำลังเขียนงานในหน้ากระดาษต่อไปเรื่อยๆ...

     

    จริงอยู่ที่ว่าธุรกิจการค้าชิ้นส่วนของอสุราและสัตว์ในดินแดนทางใต้นั้นสร้างเงินให้แก่เธอมหาศาล ทว่าก็มิอาจเรียกว่ายั่งยืนพอให้เธอมั่นใจว่าเส้นทางการค้านี้จะซื้อขายได้ดีตลอดไป ดังนั้นเงินเก็บจากการค้าชิ้นส่วนอสุราและสัตว์ในคราเริ่มแรกจึงปันผลซื้อที่ดินในเมืองหลวงเพื่อสร้างโรงแรมแห่งหนึ่ง แม้จุดประสงค์หลักคือใต้ล่างที่เป็นบ่อนการพนันก็ตาม...ซ่องโสเภณีในสถานที่ใกล้เคียงก็ถูกครอบครองโดยเธอเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่อยอด แม้โดยรวมแล้วธุรกิจของเธอจะเป็นรูปแบบสีเทาที่มิได้ถูกกฎหมาย หากแต่เพราะความล้าช้าของยุคสมัยจึงยังไม่มีการตัดสินว่ามันผิดกฎหมายเช่นกัน...

     

    ซึ่งคนอย่างเอลลิโอร่านั้นก็หาได้ใส่ใจต่อศีลธรรมมนุษย์ไม่...ยังคงมีแนวคิดที่จะหาผลประโยชน์ต่อไป...

     

    ติดต่อฟราดาเจียซะ...ข้ามีงานให้มันเป็นนายหน้าไปซื้อทาสจากตลาดใต้ดินใหญ่ในลูแวส รายละเอียดสินค้าอยู่ในเอกสารซองนี้...บอกค่าตอบแทนตามสัญญาเดิม แต่ครานี้สามารถหักค่าหัวคิวรายบุคคลได้ราวสามร้อยฟาว์....ส่วนสมาคมพ่อค้าใหญ่ให้ปล่อยไปก่อน ยังไม่ถึงกำหนดนัดประชุมการค้า...อย่างมากก็ทำได้แค่ส่งจดหมายมาเรียกร้องเท่านั้น...แล้วบ่อนพนันใต้ดินกับซ่องโสเภณี พรุ่งนี้ข้าจะลงไปตรวจดูเอง...มิต้องส่งคนไป

    เอลลิโอร่าเอ่ยสั่งงานกับคนสนิทอย่างวาคินรีส์ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่อย่างรวบรัด พลางตรวจบัญชีการเงินของธุรกิจทั้งหลาย บ้างเห็นว่าค่าอุปกรณ์บางอย่างเกินจริงก็คิ้วขมวดแล้วจึงวงปากกาดำเพื่อนำไปตรวจสอบกับราคาตลาดอีกที

     

    แล้วงบประมาณส่วนกลางของกองพลทหารม้าเนย์ติสที่ถูกองค์จักพรรดิตัดค่าเสบียงไปจะทำอย่างไร?”

    วาคินรีส์เอ่ยถามเพิ่มเติมเมื่อเห็นเอกสารบางส่วนที่ได้รับการรายงานมา การกดดันทางอำนาจขององค์จักรพรรดิคาเดย์ยังคงเป็นสิ่งน่ารำคาญที่สร้างอุปสรรคให้แก่เอลลิโอร่ามาเสมอ...

     

    เช่นนั้นจงเขียนจดหมายอ้างขอเรียกงบประมาณค่าบำรุงกองทัพกับนายพลคอลแวนเพิ่มเติมแทนเสีย...เขารู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ

    เอลลิโอร่าเลิกคิ้วเล็กน้อยกับการถูกตัดงบประมาณโดยมิใช่เหตุของพระบิดา แม้ใจจะรู้ดีว่าเขาทำเพื่อลดทอนอำนาจทางการทหารของเธอก็ตาม...ทว่าหากกดดันโดยไร้ข้อเหตุผลที่เพียงพอ สุดท้ายมันจะกลายเป็นประเด็นให้เธอโจมตีได้อย่างไม่ยากเย็นเลย...เพียงคิดแล้ว ริมฝีปากที่มักแน่นิ่งสนิทก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความรื่นรมย์

     

    ยิ้มอะไรของเจ้ากัน...น่าขนลุกยิ่ง

    วาคินรีนส์ที่เห็นสหายสนิทมากพิษสงฉีกยิ้มราวกับคนจิตนั้นอดไม่ได้ที่จะฝันเห็นเค้าลางความชิบหายแก่ผู้อื่น...ในหัวของมันย่อมต้องกำลังหาทางสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองเป็นแน่แท้

     

    ไม่มีอะไร....ข้าเพียงคิดเรื่องตลกได้ก็เท่านั้น

    เอลลิโอร่าแสร้งเอ่ยปฏิเสธอย่างใจเย็น ทั้งที่รู้ดีว่าสันดานตนนั้นมีหรือสหายสนิทอย่างวาคินรีนส์จะดูไม่ออก ทว่าหากจะให้บอกว่าตนนั้นคิดแผนใส่ร้ายเบื้องสูงก็หาใช่เรื่องไม่

     

    เรื่องตลกของเจ้าคงเลวทรามตามความคิดกระมั้ง

    แม้จะถูกสหายสนิทเอ่ยแซะตามปกติ ทว่าเจ้าตัวมีหรือจะรู้สึกเจ็บปวดอะไร เอลลิโอร่าเพียงยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจพลางหันไปสนใจเอกสารในมือต่ออย่างอารมณ์ดี

    เอาเถิด.....กลับไปพักผ่อนซะ วาคินรีนส์....เพราะพรุ่งนี้ข้ามีงานอีกมากให้เจ้าทำ

     

    ซึ่งวาคินรีนส์ที่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจและหันหลังเดินกลับห้องพักของตนอย่างว่าง่าย เพราะเขาเป็นคนรู้จักหน้าที่การงานของตนดีพอ...ไม่มีความจำเป็นต้องกระทำตัวเกินเลยความต้องการของผู้เป็นนายหรือสหายสนิทหัวหมอคนนี้

     

    และเมื่อร่างของเด็กชายข้างกายหายลับสายตาไปหลังประตูที่ปิดสนิท เอลลิโอร่าจึงวางเอกสารลงบนโต๊ะพลางเอนตัวลงพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ใบหน้าเงยขึ้นมองเพดานที่ว่างเปล่าเพราะครุ่นคิดบางสิ่งอยู่...

     

    ทว่าเพียงไม่นานนักก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยผู้หนึ่งแว่วมาตามสายลมเรียกสติของเอลลิโอร่าให้หลุดจากกรอบความคิด...เธอหยุดนิ่งชะงักไปชั่วครู่ด้วยความสงสัย....มีหนูไม่รู้ความหลงทางมาอย่างนั้นรึ? น่ารำคาญนัก...

     

    เอลลิโอร่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งพัก พลางก้าวเดินออกจากห้องทำงานของตนอย่างเรียบเฉย มือประสานไขว้หลังระหว่างก้าวเท้าและกวาดสายตามองดูสิ่งมีชีวิตที่หลุดเข้ามาในเขตของตนอย่างเคร่งครัด เธอไม่ชอบสิ่งแปลกปลอมหรือการมีอะไรที่ไม่รู้จักเข้ามาในบริเวณของตัวเองนักตามนิสัยขี้หวาดระแวงที่เป็นอยู่

     

    แน่นอนว่าพระราชวังอาเฟนนอลมิได้กว้างใหญ่อะไร เพียงไม่นานก็พบต้นตอของเสียงร้องไห้ที่ตนรำคาญยิ่ง สองเท้าก้าวขาหยุดลง ดวงตาอสรพิษหรี่ตามองดูเด็กชายตัวน้อยที่นั่งกอดขาของตนเป็นตัวกลมข้างเสาหินใหญ่ระหว่างทางเดินอย่างพินิจ

     

    รูปลักษณ์ของเด็กชายผู้นี้มิได้หน้าตาดีจนชวนให้รู้สึกเอ็นดูแต่แรกพบ ทว่าก็ไม่ได้หน้าตาแย่อะไรตามมาตรฐานคนทั่วไป เรือนผมสีทองอ่อนปล่อยยาวนั้นยุ่งเหยิงชวนให้รู้สึกเกะกะ ดวงตาสีม่วงเข้มจนคล้ายผลองุ่นที่สุกงอมเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ใบหน้าแม้มีเค้าโครงดีทว่าน่าเสียดายนักที่มันยับยู่ยีไปตามอารมณ์ของเจ้าตัว เครื่องแต่งกายประดับก็ดูเหมือนจะมีฐานะมั่งมีไม่น้อย....

     

    เอลลิโอร่าไม่ใช่คนรักเด็ก....เธอเกลียดความน่ารำคาญแบบนี้ด้วยซ้ำไป...

     

    หยุดร้องไห้เสีย...

    คำกล่าวสั้นๆที่มิได้ใส่ใจความรู้สึกของเด็กน้อยเท่าไหร่นักเอ่ยขึ้นเพื่อหยุดความรำคาญของตนเอง พลางใช้ความคิดที่ไร้สามัญสำนึกอย่างชั่งใจว่าจะทิ้งเด็กไว้ตรงไหนดี

     

    ข...ข้าขอโทษครับ....

    เด็กชายที่คราแรกคิดว่าสถานที่แห่งนี้ร้างผู้คนจึงถือวิสาสะเข้ามาแอบร้องไห้นั้นไม่คาดว่าจะมีคนอาศัยอยู่ที่นี้ เขารีบเช็ดน้ำตาของตนเองพลางพยายามยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวจากไป

     

    และเมื่อเอลลิโอร่าได้เห็นใบหน้าโดยตรงของเด็กชายตัวน้อยก็ทำให้ดวงตาอสรพิษเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเล่ห์กลในนัยน์ตา รอยยิ้มอดไม่ได้ที่แสยะขึ้นมาอีกครา....ความบังเอิญช่างหอมหวานเสียจริง

     

    เลอามิน  ฟัวน์ ฮาเกน

     

    ตัวร้ายของเรื่องราวความรักทั้งหมด...เด็กชายผู้จะเติบโตมาเป็นคู่หมั้นแสนเคร่งครัดในกฎระเบียบและลำดับชนชั้นของพระเอกอย่างอันวาร์ เขานั้นกำเนิดมาในตระกูลหนึ่งในสามมาร์ควิสใหญ่ผู้เฝ้าแดนตะวันตกซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็นผู้จัดระเบียบแห่งจักรวรรดิเฟย์ติส

     

    แต่เดิมแล้วบทบาทของเลอามินนั้นค่อนข้างเด่นชัดสมตัวร้าย เขามีอายุน้อยกว่าพระเอกถึงหกปีอันเนื่องมาจากปัญหาด้านการมีทายาทสืบสกุลที่ช้าของตระกูลฮาเกน จึงทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างช่วงวัยไม่น้อย อีกทั้งเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่างอันวาร์ก็ไม่ได้ชื่นชอบเด็ก เขาคิดว่าเลอามินนั้นน่ารำคาญ...ทั้งที่อายุน้อยกว่าตนแต่กลับชอบมาสั่งสอนให้เขาอยู่ใต้กฎระเบียบหรือภาพลักษณ์ที่ดีของเชื้อพระวงศ์  

     

    ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พระเอกผู้ถือทิฐิสูงค้ำฟ้าจะไม่โปรดปรานเด็กคนนี้....

     

    ซึ่งเอลลิโอร่าก็ไม่ได้เกลียดอะไรในตัวร้ายผู้นี้ ประวัติของเขาค่อนข้างน่าสงสารและลำบากเมื่อเทียบกับตัวละครทั้งหลายแล้ว เพราะตามเนื้อเรื่องที่บรรยายชีวประวัติของเลอามินนั้นเป็นเรื่องที่น่าหดหู่สำหรับสภาพแวดล้อมที่เด็กคนหนึ่งเติบโตมา...

     

    ความคาดหวังของตระกูลฮาเกนที่อยากได้บุตรชายที่เป็นอัลฟ่าถูกเด็กน้อยเลอามินทำลายลง เมื่อเขากำเนิดมาเป็นโอเมก้า บิดามารดานั้นแสนช้ำใจทว่าก็เล็งเห็นประโยชน์จากบุตรตนอยู่จึงเก็บไว้ ซึ่งประโยชน์นั้นก็ไม่ได้ห่างไกลอะไรจากตำแหน่งคู่หมั้นของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งซึ่งมีโอกาสเข้าใกล้บัลลังก์มากที่สุด

     

    อนิจจา...การเลี้ยงดูบุตรด้วยผลประโยชน์นั้นไม่ใช่ความรัก กฎระเบียบที่เข้มงวดจนเกินเลยศีลธรรมความเป็นมนุษย์ของตระกูลฮาเกนนั้นกำลังทำลายเลอามิน...ร่องรอยของการถูกทุบตีและแส้หนังเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความผิดพลาดที่เด็กชายตัวน้อยผู้นี้ทำไม่ได้...ถ้อยคำเย็นชาและสายตาดูถูกจากครอบครัวทำให้เขาไม่เหลือใคร

     

    สุดท้ายแล้วความรุนแรงและความวิกลจริตในกฎระเบียบของตระกูลฮาเกนจะหล่อหลอมเขาให้กลายเป็นตัวร้ายที่สมบูรณ์แบบในอนาคต...ใช่...สมบูรณ์แบบเสียจนทำให้ความรักของพระเอกและนายเอกไม่สามารถหาความผิดของเขามาโจมตีเพื่อปลดตำแหน่งคู่หมั้นได้ เพราะเขาคือคนที่ไม่เคยทำผิดกฎระเบียบเลยในสงครามการเมืองและความรักของนิยายเรื่องนี้

     

    แต่อย่างไงซะ นี่ก็คือนิยายน้ำเน่า....ความรักจึงชนะเหตุผลหรือความถูกต้องที่ควรเป็น...

     

    พ...พวกขี้โคลน....?”

    ฝั่งของเลอามินที่ลุกขึ้นยืนแล้วจึงได้เห็นรูปลักษณ์ของผู้เอ่ยทักตนอย่างชัดเจนนั้นทำให้เขาตกใจและถอยห่างเล็กน้อย เพราะเด็กชายตัวน้อยเองก็ถูกปลูกฝังเรื่องเชื้อชาติที่เข้มงวด....

     

    เสียมารยาท...ข้านั้นมีสัญชาติเฟย์ติสโดยกำเนิด...มีมารดาและบิดาเป็นชาวเฟย์ติสเช่นกัน

    เอลลิโอร่าคิ้วขมวดเล็กน้อยกับคำเหยียดเชื้อชาติและสีผิวของเด็กชาย  ทว่าก็ไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเคืองอะไรเพียงใจเย็นเอ่ยตอบกลับ พลางโยนผ้าผืนหนึ่งที่มักพกติดตัวไว้เสมอเพื่อเช็ดเลือดให้แก่เลอามิน

     

    หากรังเกียจก็มิต้องใช้...อยู่ที่เจ้าเลือก...

     


    .

    .

    .

     

    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×