คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9 การกลับมาของเธอคนนั้น
เสียงรถม้าที่กำลังเคลื่อนผ่านถนนหินในเมืองหลวงหลักแห่งจักรวรรดิอันเกรียงไกรอย่างเฟย์ติสนั้นดังสนั่นไปทั่วทุกสารทิศเยี่ยงกองทัพ ฝีเท้าดังกระทบกันเป็นจังหวะของกีบเท้าพลม้าที่ผู้ได้อยู่ใกล้ต้องถอยห่างเพราะความหวั่นเกรง...ม้าพันธุ์ของดินแดนทางใต้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่และน่าเกรงขามกว่าม้าพันธุ์ของดินแดนทางเหนือมากนัก...รถม้าสีดำสนิทแกะสลักจากรากไม้ใหญ่ของต้นไม้พื้นเมืองดินแดนใต้ลงไปนั้นบ่งบอกถึงเอกลัษณ์ของผู้มาในครานี้....
ธงประจำตัวสีม่วงครามหม่นลายอสรพิษแห่งราชวงศ์สายตรงโบกสะบัด...ม้าใหญ่สีดำที่ดูน่าเกรงกลัวนั้นถูกประดับเกราะเยี่ยงม้าศึกมากกว่าม้างาน
นายทหารที่ติดตามมาด้วยนั้นรูปลักษณ์แตกแยกจากคนทวีปนี้อย่างสิ้นเชิง....ไม่มีเสียงเพลงบรรเลง
ไม่มีคำโห่ร้องยินดี มีเพียงความอึมครึมชวนน่าอึดอัดนี้ที่ผู้คนต่างปิดปากเงียบด้วยความกลัว
‘ขบวนเสด็จของเจ้าหญิงเอลลิโอร่า เดอ
เฟย์ติสนั้นแตกต่างจากราชวงศ์คนอื่นมากนัก...กล่าวกันว่า นางได้รับการสืบทอดตรามาจากจักรพรรดิที่เจ็ดผู้เป็นปู่ตามสายเลือดเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องเชื้อสายทั้งหมด
ธงลายอสรพิษบนผืนผ้าสีม่วงครามหม่นก็เป็นสัญลักษณ์ของตราประจำตนนั้นอย่างชัดเจน...สถานะของนางจึงค่อนข้างน่าเกรงขามเมื่อเทียบกับบรรดาพี่น้องคนอื่นๆ...’
ซึ่งตัวของเอลลิโอร่าที่นั่งอยู่ในรถม้าก็หาได้แยแสต่อความหวั่นเกรงของประชาชนไม่
มือกร้านเพียงเท้าคางใบหน้าของตนข้างกระจกรถม้าพลางกวาดสายตามองดูผู้คนราวฝูงแมลง...เธอรู้ดีว่าตราประจำตนในราชวงศ์ของตัวเองนั้นมีค่ามากมายเพียงใด...คงต้องกล่าวสรรเสริญและขอบคุณคาเอลรอสผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดที่อดีตเคยสร้างวีรกรรมคุณความดีให้แก่จักรวรรดิเฟย์ติสมหาศาล...จึงทำให้ตราประจำตนของเขาน่าเกรงขามและต้องแสดงความเคารพถึงห้าส่วน
และผลประโยชน์นี้ก็ตกลงมาที่เอลลิโอร่าผู้เป็นคนสืบทอดตราเพียงหนึ่งเดียวต่อจากเขาอย่างไม่ต้องสงสัย...
จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพี่ชายผู้เย่อหยิ่งของเธอนั้นจะแสนริษยาโอหัง...คาเอลรอสไม่ใช่ปู่ที่รักหลานเท่ากันนัก
ความลำเอียงของเขานั้นชัดเจนตั้งแต่แรก...แม้ในคราแรกที่เกิดมาของอันวาร์ผู้เป็นพี่ชาย
เขาก็ไม่เคยส่งของขวัญหรือเข้าร่วมงานยินดีแก่พระเอกตัวน้อยเลยสักครั้ง...และไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงน้องชายของเธอ
คาเอลรอสแทบไม่มองถึงการมีอยู่ของโลริสด้วยซ้ำ
ซึ่งนับเป็นเรื่องเพียงไม่กี่เรื่องที่เอลลิโอร่ารู้สึกมีชัยเหนือกว่าผู้อื่นจริงๆ...เพราะสถานะของคาเอลรอสนั้นเปรียบดั่งวีรบุรุษหรือตำนานแห่งมนุษย์
ผู้คนต่างสรรเสริญ เด็กชายทั่วทั้งแดนเหนือต่างฝันอยากเป็นเยี่ยงเขา...
แม้แต่ผู้เป็นพระเอกของเรื่องราวทั้งหมดอย่างอันวาร์ก็มีความฝันเยี่ยงเด็กชายแดนเหนือธรรมดาทั่วไป...ทว่าคล้ายโชคชะตาเล่นตลกเมื่อคาเอลรอสผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดที่เขาหวังเทิดทูนนักหนานั้นไม่ได้โปรดปรานเขาอย่างชัดเจน...
มันอาจเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันมาบรรจบกันของสายเลือดชาวแดนเหนือผู้เย่อหยิ่งกับชาวแดนใต้ผู้ยึดมั่น...ความชาตินิยมของคนสองดินแดนนี้สูงเสียดฟ้านัก...อคติทางเชื้อชาตินั้นยากเกินกว่าจะแก้ไข
ทว่าเอลลิโอร่าก็ไม่ได้ซึ้งอะไรกับความเป็นชาติเท่าไหร่นัก...อันตัวเธอผู้ถูกเนรเทศจากดินแดนทางเหนือซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิดในวัยเพียงหกปี...ไม่ได้มีช่วงเวลาที่จะจดจำวัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งภาษาแม่ของตนนัก...และความลำบากกับการดิ้นรนในดินแดนทางใต้ก็มิได้หล่อหลอมให้เธอต้องสู้เพื่อใครนอกจากตนเอง...
ดวงตาอสรพิษหมางเมินต่อสายตาผู้คน...มือกร้านข้างหนึ่งปัดผ้าม่านสีหม่นลงเพื่อปิดวิสัยทัศน์ให้สบายตา
ก่อนเหยียดร่างกายอย่างเกียจคร้าน ประสานมือทั้งสองไว้ที่หน้าขาและตัดสินใจงีบหลับลงในช่วงเวลาที่เงียบสงบในตอนนี้
.
.
.
“องค์หญิงเอลลิโอร่า เดอ เฟย์ติส เสด็จถึง ณ
พระราชวังอาเฟนนอลแล้วพะยะค่ะ!”
เสียงประกาศกึกก้องถึงการมาของบุคคลผู้หนึ่งนั้นสร้างความหวาดหวั่นให้แก่ผู้คนที่ได้ยินอย่างยิ่งยวด
ข้ารับใช้บริพารตลอดจนขุนนางน้อยใหญ่โดยรอบนิ่งเงียบราวกับต้องมนต์สะกดหรือแท้จริงอาจเป็นคำสาปกัน
ทว่าที่พวกเขาแน่รู้คือเสียงเท้าของกองพลทหารม้าแห่งเนย์ติสที่เลื่องชื่อ...ซึ่งมีเพียงคนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่บัญชามันได้...
และเพียงไม่นานเท้าบางที่สวมใส่รองเท้าเยี่ยงคนแดนใต้จึงก้าวลงมาจากรถม้า
ปรากฏร่างของเด็กหญิงผู้มีรูปลักษณ์สุขุมนิ่งสงบชวนให้รู้สึกน่าหวาดระแวง เสื้อผ้านั้นไซร้เป็นชนเผ่าที่แปลกแยก
แต่ผู้คนกลับไม่ปฏิเสธว่าเมื่อคนสวมใส่นั้นคือนางกลับช่างดูสง่างามและลึกลับจนมองข้ามความอคติของชาตินิยมไป
แผ่นหลังยืดตรงผ่าเผยสมทายาทชนชั้นปกครองและเหยียดสายตามองผู้คนอย่างลุ่มลึกคล้ายสอดส่องเข้าไปในเบื้องลึกของสันดานมนุษย์ที่พบเห็น...
“น้อมรอรับเสด็จกลับสู่จักรวรรดิเฟย์ติสอันยิ่งใหญ่นี้พะยะค่ะ...องค์หญิงเอลลิโอร่า”
เป็นพ่อบ้านแก่ผู้หนึ่งที่เดินก้าวหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางตามมารยาทของผู้รับใช้
พร้อมผืนผ้าเสื้อคลุมสีดำสนิทและรองเท้าหนังตามการแต่งกายของชาวเฟย์ติสที่นำมา
“อืม...”
เอลลิโอร่าไม่แสดงสีหน้ายินดีหรือยินร้ายอะไร...เพียงขานรับในลำคอก่อนยื่นแขนของตนไปรับเสื้อคลุมสีดำสนิทให้เข้าแขน
แล้วจึงปล่อยให้ชายแก่จัดแจงสวมใส่ชุดให้ตนเองตามระเบียบ
รองเท้าที่เคยสวมใส่มาโดยตลอดถูกถอดออก...และต่อเติมเข้าไปด้วยรองเท้าหนังตามประสาชนชั้นสูงในเฟย์ติส
เสื้อคลุมที่สวมทับนั้นปกปิดความเป็นชนเผ่าลงถึงห้าส่วน...เครื่องประดับที่ติดตัวมาถูกปลดออกเหลือทิ้งไว้เพียงต่างหูข้างเดียวอันเป็นพู่ไหมสีแดง...ไม่ให้เหลือเค้าความเป็นฮันเรย์หรือเนย์ยีร์ที่เธอเติบโตมา...
เมื่อเหยียบย่างสู่จักรวรรดิเฟย์ติส
สถานะของเธอจึงไม่ใช่ผู้เติบโตมาเยี่ยงชนเผ่า หากแต่เป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ผู้เกียงไกร...ภาพลักษณ์และการกระทำของเธอจึงถูกบีบให้อยู่ในจักรวรรดินิยม
“รายงานต่อองค์จักรพรรดิเสียว่าข้าจะไปเข้าเฝ้าพระองค์ยามพลบค่ำคืนนี้....มิจำเป็นต้องเรียกหาโดยเร็ววันนัก”
เอลลิโอร่าเอ่ยกับพ่อบ้านแก่ด้วยภาษาเฟย์ติสที่ร่ำเรียนมาไม่ขาด
เธอยังคงมีงานค้างที่ต้องสะสางเมื่อมาจักรวรรดิเฟย์ติสมากมาย
จึงมิได้ใส่ใจว่าพระบิดาผู้ลำเอียงจะเรียกหาตนอย่างเร่งด่วนหรือไม่
“พะยะค่ะ”
พ่อบ้านแก่มิใช่คนไม่รู้ความ
เขาอยู่มาครึ่งชีวิตของมนุษย์สามัญชนแล้ว จึงเล็งเห็นว่าเจ้าหญิงผู้นี้ต่อให้ไม่เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิในกาลปัจจุบัน
ทว่าก็มีบารมีเก่าจากจักรพรรดิองค์ก่อนสืบทอดมา หนำซ้ำยังมีทีท่าขยายอำนาจในอนาคตจนอาจเป็นม้ามืดท่ามกลางการเมืองได้
ไม่แปลกเลยที่พ่อบ้านแก่จึงคิดนอบน้อมไว้แต่เนิ่นๆ
แต่น่าเสียดายนักที่ตาคนไม่อาจมองเท่ากันได้...นอกจากพ่อบ้านแก่แล้ว
ผู้คนโดยรอบมิได้มองเจ้าหญิงผู้นี้ไปในทางที่ดีเท่าไหร่นัก มันคือความหวั่นเกรงและการเหยียดหยามในเวลาเดียวกัน...ถึงรูปลักษณ์และการเติบโตมาในดินแดนด้อยพัฒนา
‘มนุษย์ขี้ดิน’ ‘พวกขี้โคลน’
’คนป่า’ ’ไร้อารยะธรรม’ ’ไม่มีการศึกษา’ ’พวกหัวรุนแรง’ ‘ป่าเถื่อน’ ‘สัตว์เดินสองขา’ ‘สีอุดจาระ’ ‘พวกผิดชาติ’ ‘ชนชั้นต่ำ’----คำทั้งหลายเหล่านี้ล้วนต่างเป็นคำเรียกนินทาเอลลิโอร่าอยู่เบื้องหลัง...
การเหยียดหยามทางเชื้อชาติและสีผิวในโลกแห่งนี้นั้นไม่ได้สวยงามเท่าไหร่นัก....
.
.
.
แต่ดั้งแต่เดิมแล้วพระราชวังอาเฟนนอลมิได้เป็นสถานที่สวยงามหรือยิ่งใหญ่อะไรนัก
รูปลักษณ์ของมันคล้ายถอดแบบมาจากพระราชวังวินด์เซอร์ของอังกฤษถึงแปดส่วน ทว่าก็ดูเก่าแก่กว่ามากอันเนื่องมาจากไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีจนกำแพงหรือเสาหินนั้นไซร้กลายเป็นสีหม่นดำดูน่าเกลียด
กระจกบางส่วนชำรุดแตกกระจาย กำแพงสูงที่ควรเป็นปราการก็สึกหรอ โชคดีที่โครงสร้างสถาปัตยกรรมแข็งแรงพอ
จึงทำให้อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าไม่พังทลายลงมาในเร็ววัน
แน่นอนว่าผู้อาศัยอยู่อย่างเอลลิโอร่าก็มิใช่คนเรื่องมาก
แม้ที่พำนักที่พระบิดาทรงประทานให้จะคล้ายปราสาทผีสิงก็ตาม...สำหรับเธอแล้วถ้ามีที่ซุกหัวนอนก็ไม่เกี่ยงอะไร
ดวงตาอสรพิษกวาดสายตามองดูเอกสารในมืออย่างใจเย็น
ร่างบางของเด็กหญิงในวัยเพียงสิบสองปีพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน
มือข้างหนึ่งเท้าคางใบหน้าด้วยความเคร่งขรึม ในขณะที่อีกมือนั้นกำลังเขียนงานในหน้ากระดาษต่อไปเรื่อยๆ...
จริงอยู่ที่ว่าธุรกิจการค้าชิ้นส่วนของอสุราและสัตว์ในดินแดนทางใต้นั้นสร้างเงินให้แก่เธอมหาศาล
ทว่าก็มิอาจเรียกว่ายั่งยืนพอให้เธอมั่นใจว่าเส้นทางการค้านี้จะซื้อขายได้ดีตลอดไป
ดังนั้นเงินเก็บจากการค้าชิ้นส่วนอสุราและสัตว์ในคราเริ่มแรกจึงปันผลซื้อที่ดินในเมืองหลวงเพื่อสร้างโรงแรมแห่งหนึ่ง
แม้จุดประสงค์หลักคือใต้ล่างที่เป็นบ่อนการพนันก็ตาม...ซ่องโสเภณีในสถานที่ใกล้เคียงก็ถูกครอบครองโดยเธอเพื่อเป็นผลประโยชน์ต่อยอด
แม้โดยรวมแล้วธุรกิจของเธอจะเป็นรูปแบบสีเทาที่มิได้ถูกกฎหมาย หากแต่เพราะความล้าช้าของยุคสมัยจึงยังไม่มีการตัดสินว่ามันผิดกฎหมายเช่นกัน...
ซึ่งคนอย่างเอลลิโอร่านั้นก็หาได้ใส่ใจต่อศีลธรรมมนุษย์ไม่...ยังคงมีแนวคิดที่จะหาผลประโยชน์ต่อไป...
“ติดต่อฟราดาเจียซะ...ข้ามีงานให้มันเป็นนายหน้าไปซื้อทาสจากตลาดใต้ดินใหญ่ในลูแวส
รายละเอียดสินค้าอยู่ในเอกสารซองนี้...บอกค่าตอบแทนตามสัญญาเดิม แต่ครานี้สามารถหักค่าหัวคิวรายบุคคลได้ราวสามร้อยฟาว์....ส่วนสมาคมพ่อค้าใหญ่ให้ปล่อยไปก่อน
ยังไม่ถึงกำหนดนัดประชุมการค้า...อย่างมากก็ทำได้แค่ส่งจดหมายมาเรียกร้องเท่านั้น...แล้วบ่อนพนันใต้ดินกับซ่องโสเภณี
พรุ่งนี้ข้าจะลงไปตรวจดูเอง...มิต้องส่งคนไป”
เอลลิโอร่าเอ่ยสั่งงานกับคนสนิทอย่างวาคินรีส์ที่ยืนรอรับคำสั่งอยู่อย่างรวบรัด
พลางตรวจบัญชีการเงินของธุรกิจทั้งหลาย บ้างเห็นว่าค่าอุปกรณ์บางอย่างเกินจริงก็คิ้วขมวดแล้วจึงวงปากกาดำเพื่อนำไปตรวจสอบกับราคาตลาดอีกที
“แล้วงบประมาณส่วนกลางของกองพลทหารม้าเนย์ติสที่ถูกองค์จักพรรดิตัดค่าเสบียงไปจะทำอย่างไร?”
วาคินรีส์เอ่ยถามเพิ่มเติมเมื่อเห็นเอกสารบางส่วนที่ได้รับการรายงานมา
การกดดันทางอำนาจขององค์จักรพรรดิคาเดย์ยังคงเป็นสิ่งน่ารำคาญที่สร้างอุปสรรคให้แก่เอลลิโอร่ามาเสมอ...
“เช่นนั้นจงเขียนจดหมายอ้างขอเรียกงบประมาณค่าบำรุงกองทัพกับนายพลคอลแวนเพิ่มเติมแทนเสีย...เขารู้ดีว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ”
เอลลิโอร่าเลิกคิ้วเล็กน้อยกับการถูกตัดงบประมาณโดยมิใช่เหตุของพระบิดา
แม้ใจจะรู้ดีว่าเขาทำเพื่อลดทอนอำนาจทางการทหารของเธอก็ตาม...ทว่าหากกดดันโดยไร้ข้อเหตุผลที่เพียงพอ
สุดท้ายมันจะกลายเป็นประเด็นให้เธอโจมตีได้อย่างไม่ยากเย็นเลย...เพียงคิดแล้ว
ริมฝีปากที่มักแน่นิ่งสนิทก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความรื่นรมย์
“ยิ้มอะไรของเจ้ากัน...น่าขนลุกยิ่ง”
วาคินรีนส์ที่เห็นสหายสนิทมากพิษสงฉีกยิ้มราวกับคนจิตนั้นอดไม่ได้ที่จะฝันเห็นเค้าลางความชิบหายแก่ผู้อื่น...ในหัวของมันย่อมต้องกำลังหาทางสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองเป็นแน่แท้
“ไม่มีอะไร....ข้าเพียงคิดเรื่องตลกได้ก็เท่านั้น”
เอลลิโอร่าแสร้งเอ่ยปฏิเสธอย่างใจเย็น
ทั้งที่รู้ดีว่าสันดานตนนั้นมีหรือสหายสนิทอย่างวาคินรีนส์จะดูไม่ออก
ทว่าหากจะให้บอกว่าตนนั้นคิดแผนใส่ร้ายเบื้องสูงก็หาใช่เรื่องไม่
“เรื่องตลกของเจ้าคงเลวทรามตามความคิดกระมั้ง”
แม้จะถูกสหายสนิทเอ่ยแซะตามปกติ
ทว่าเจ้าตัวมีหรือจะรู้สึกเจ็บปวดอะไร
เอลลิโอร่าเพียงยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจพลางหันไปสนใจเอกสารในมือต่ออย่างอารมณ์ดี
“เอาเถิด.....กลับไปพักผ่อนซะ
วาคินรีนส์....เพราะพรุ่งนี้ข้ามีงานอีกมากให้เจ้าทำ”
ซึ่งวาคินรีนส์ที่ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเข้าใจและหันหลังเดินกลับห้องพักของตนอย่างว่าง่าย
เพราะเขาเป็นคนรู้จักหน้าที่การงานของตนดีพอ...ไม่มีความจำเป็นต้องกระทำตัวเกินเลยความต้องการของผู้เป็นนายหรือสหายสนิทหัวหมอคนนี้
และเมื่อร่างของเด็กชายข้างกายหายลับสายตาไปหลังประตูที่ปิดสนิท
เอลลิโอร่าจึงวางเอกสารลงบนโต๊ะพลางเอนตัวลงพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า
ใบหน้าเงยขึ้นมองเพดานที่ว่างเปล่าเพราะครุ่นคิดบางสิ่งอยู่...
ทว่าเพียงไม่นานนักก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยผู้หนึ่งแว่วมาตามสายลมเรียกสติของเอลลิโอร่าให้หลุดจากกรอบความคิด...เธอหยุดนิ่งชะงักไปชั่วครู่ด้วยความสงสัย....มีหนูไม่รู้ความหลงทางมาอย่างนั้นรึ? น่ารำคาญนัก...
เอลลิโอร่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งพัก
พลางก้าวเดินออกจากห้องทำงานของตนอย่างเรียบเฉย มือประสานไขว้หลังระหว่างก้าวเท้าและกวาดสายตามองดูสิ่งมีชีวิตที่หลุดเข้ามาในเขตของตนอย่างเคร่งครัด
เธอไม่ชอบสิ่งแปลกปลอมหรือการมีอะไรที่ไม่รู้จักเข้ามาในบริเวณของตัวเองนักตามนิสัยขี้หวาดระแวงที่เป็นอยู่
แน่นอนว่าพระราชวังอาเฟนนอลมิได้กว้างใหญ่อะไร
เพียงไม่นานก็พบต้นตอของเสียงร้องไห้ที่ตนรำคาญยิ่ง สองเท้าก้าวขาหยุดลง
ดวงตาอสรพิษหรี่ตามองดูเด็กชายตัวน้อยที่นั่งกอดขาของตนเป็นตัวกลมข้างเสาหินใหญ่ระหว่างทางเดินอย่างพินิจ
รูปลักษณ์ของเด็กชายผู้นี้มิได้หน้าตาดีจนชวนให้รู้สึกเอ็นดูแต่แรกพบ
ทว่าก็ไม่ได้หน้าตาแย่อะไรตามมาตรฐานคนทั่วไป เรือนผมสีทองอ่อนปล่อยยาวนั้นยุ่งเหยิงชวนให้รู้สึกเกะกะ
ดวงตาสีม่วงเข้มจนคล้ายผลองุ่นที่สุกงอมเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
ใบหน้าแม้มีเค้าโครงดีทว่าน่าเสียดายนักที่มันยับยู่ยีไปตามอารมณ์ของเจ้าตัว เครื่องแต่งกายประดับก็ดูเหมือนจะมีฐานะมั่งมีไม่น้อย....
เอลลิโอร่าไม่ใช่คนรักเด็ก....เธอเกลียดความน่ารำคาญแบบนี้ด้วยซ้ำไป...
“หยุดร้องไห้เสีย...”
คำกล่าวสั้นๆที่มิได้ใส่ใจความรู้สึกของเด็กน้อยเท่าไหร่นักเอ่ยขึ้นเพื่อหยุดความรำคาญของตนเอง
พลางใช้ความคิดที่ไร้สามัญสำนึกอย่างชั่งใจว่าจะทิ้งเด็กไว้ตรงไหนดี
“ข...ข้าขอโทษครับ....”
เด็กชายที่คราแรกคิดว่าสถานที่แห่งนี้ร้างผู้คนจึงถือวิสาสะเข้ามาแอบร้องไห้นั้นไม่คาดว่าจะมีคนอาศัยอยู่ที่นี้
เขารีบเช็ดน้ำตาของตนเองพลางพยายามยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวจากไป
และเมื่อเอลลิโอร่าได้เห็นใบหน้าโดยตรงของเด็กชายตัวน้อยก็ทำให้ดวงตาอสรพิษเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเล่ห์กลในนัยน์ตา รอยยิ้มอดไม่ได้ที่แสยะขึ้นมาอีกครา....ความบังเอิญช่างหอมหวานเสียจริง…
‘เลอามิน ฟัวน์
ฮาเกน’
ตัวร้ายของเรื่องราวความรักทั้งหมด...เด็กชายผู้จะเติบโตมาเป็น’คู่หมั้น’แสนเคร่งครัดในกฎระเบียบและลำดับชนชั้นของพระเอกอย่างอันวาร์
เขานั้นกำเนิดมาในตระกูลหนึ่งในสามมาร์ควิสใหญ่ผู้เฝ้าแดนตะวันตกซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็น’ผู้จัดระเบียบแห่งจักรวรรดิเฟย์ติส’
แต่เดิมแล้วบทบาทของเลอามินนั้นค่อนข้างเด่นชัดสมตัวร้าย
เขามีอายุน้อยกว่าพระเอกถึงหกปีอันเนื่องมาจากปัญหาด้านการมีทายาทสืบสกุลที่ช้าของตระกูลฮาเกน
จึงทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างช่วงวัยไม่น้อย อีกทั้งเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่างอันวาร์ก็ไม่ได้ชื่นชอบเด็ก
เขาคิดว่าเลอามินนั้นน่ารำคาญ...ทั้งที่อายุน้อยกว่าตนแต่กลับชอบมาสั่งสอนให้เขาอยู่ใต้กฎระเบียบหรือภาพลักษณ์ที่ดีของเชื้อพระวงศ์
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่พระเอกผู้ถือทิฐิสูงค้ำฟ้าจะไม่โปรดปรานเด็กคนนี้....
ซึ่งเอลลิโอร่าก็ไม่ได้เกลียดอะไรในตัวร้ายผู้นี้
ประวัติของเขาค่อนข้างน่าสงสารและลำบากเมื่อเทียบกับตัวละครทั้งหลายแล้ว เพราะตามเนื้อเรื่องที่บรรยายชีวประวัติของเลอามินนั้นเป็นเรื่องที่น่าหดหู่สำหรับสภาพแวดล้อมที่เด็กคนหนึ่งเติบโตมา...
ความคาดหวังของตระกูลฮาเกนที่อยากได้บุตรชายที่เป็นอัลฟ่าถูกเด็กน้อยเลอามินทำลายลง
เมื่อเขากำเนิดมาเป็น’โอเมก้า’ บิดามารดานั้นแสนช้ำใจทว่าก็เล็งเห็นประโยชน์จากบุตรตนอยู่จึงเก็บไว้
ซึ่งประโยชน์นั้นก็ไม่ได้ห่างไกลอะไรจากตำแหน่ง’คู่หมั้นของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง’ซึ่งมีโอกาสเข้าใกล้บัลลังก์มากที่สุด
อนิจจา...การเลี้ยงดูบุตรด้วยผลประโยชน์นั้นไม่ใช่ความรัก
กฎระเบียบที่เข้มงวดจนเกินเลยศีลธรรมความเป็นมนุษย์ของตระกูลฮาเกนนั้นกำลังทำลายเลอามิน...ร่องรอยของการถูกทุบตีและแส้หนังเป็นสิ่งตอกย้ำถึงความผิดพลาดที่เด็กชายตัวน้อยผู้นี้ทำไม่ได้...ถ้อยคำเย็นชาและสายตาดูถูกจากครอบครัวทำให้เขาไม่เหลือใคร
สุดท้ายแล้วความรุนแรงและความวิกลจริตในกฎระเบียบของตระกูลฮาเกนจะหล่อหลอมเขาให้กลายเป็นตัวร้ายที่สมบูรณ์แบบในอนาคต...ใช่...สมบูรณ์แบบเสียจนทำให้ความรักของพระเอกและนายเอกไม่สามารถหาความผิดของเขามาโจมตีเพื่อปลดตำแหน่งคู่หมั้นได้
เพราะเขาคือคนที่ไม่เคยทำผิดกฎระเบียบเลยในสงครามการเมืองและความรักของนิยายเรื่องนี้
แต่อย่างไงซะ
นี่ก็คือนิยายน้ำเน่า....ความรักจึงชนะเหตุผลหรือความถูกต้องที่ควรเป็น...
“พ...พวกขี้โคลน....?”
ฝั่งของเลอามินที่ลุกขึ้นยืนแล้วจึงได้เห็นรูปลักษณ์ของผู้เอ่ยทักตนอย่างชัดเจนนั้นทำให้เขาตกใจและถอยห่างเล็กน้อย
เพราะเด็กชายตัวน้อยเองก็ถูกปลูกฝังเรื่องเชื้อชาติที่เข้มงวด....
“เสียมารยาท...ข้านั้นมีสัญชาติเฟย์ติสโดยกำเนิด...มีมารดาและบิดาเป็นชาวเฟย์ติสเช่นกัน”
เอลลิโอร่าคิ้วขมวดเล็กน้อยกับคำเหยียดเชื้อชาติและสีผิวของเด็กชาย
ทว่าก็ไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเคืองอะไรเพียงใจเย็นเอ่ยตอบกลับ
พลางโยนผ้าผืนหนึ่งที่มักพกติดตัวไว้เสมอเพื่อเช็ดเลือดให้แก่เลอามิน
“หากรังเกียจก็มิต้องใช้...อยู่ที่เจ้าเลือก...”
.
.
.
ความคิดเห็น