คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่8 การตกลง
เป็นม้วนกระดาษที่คลี่ออกมาเพื่อจดสัญญาและเนื้อหาที่ตกลงตามคำสัตย์...น้ำหมึกจากปลายปากกาขนนกซึมลงเป็นลวดลายภาษาชนเผ่าที่คุ้นตา...ดวงตาอสรพิษจับจ้องมันโดยไม่กระพริบเพื่อป้องกันผู้เขียนบิดเบือนข้อตกลงและมือหนาที่หยาบกร้านของชายที่มีอายุมากกว่านั้นตวัดปลายเส้นจนบรรจบในท้ายสุด
ก่อนเขียนเส้นตัดจบคล้ายเป็นจุดสิ้นสุดประโยค ไวยากรณ์ของภาษาฮันเรย์นั้นซับซ้อน
การวางคำในแต่ละรูปประโยคจึงต้องระมัดระวังให้ดีหนำซ้ำคำศัพท์ภาษานี้ในบางคราก็เปลี่ยนรูปเปลี่ยนความหมายได้
จึงไม่แปลกที่เอลลิโอร่าจึงพินิจพิจารณาเนื้อหาในสัญญาอย่างถี่ถ้วน...แม้เธอจะรู้ภาษาฮันเรย์อย่างเชี่ยวชาญจนแทบไม่เหลือเค้าสำเนียงคนต่างถิ่นหรือลายมือที่แปลกแยก
ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากให้สู้กับชาวเผ่าฮันเรย์โดยกำเนิดแล้วย่อมเป็นภาษาที่สมบูรณ์พร้อมกว่าเธอจริงๆ
อีกทั้งคนตรงหน้าของเธอก็ชาญฉลาดเป็นกรด...อาจเป็นไปได้ที่จะถูกหลอกหรือตลบหลัง
เพราะอย่างไรเสียปู่ผู้นี้ก็ไม่เคยเผยความคิดใดออกมา
นับเป็นคนที่อ่านออกยากที่สุดในบรรดามนุษย์ที่เธอเคยเจอมา
“ข้าไม่คิดว่าข้อตกลงผลประโยชน์นี้จะทำให้ท่านพอใจได้นะ....ท่านปู่”
เอลลิโอร่าเอ่ยตามความคิดของตนเองตรงๆ
ยามเมื่อนึกถึงสินบนที่ชายตรงหน้าต้องการ...เขาสามารถเรียนร้องหรือหาประโยชน์จากตรงนี้ได้มากกว่านี้แท้ๆ
ข้อตกลงสัญญาในกระดาษนี้กล่าวถึงสามอย่างที่เธอจะต้องทำหรือมอบให้แก่เขา
หนึ่งคือรายได้ส่วนหนึ่งของการค้าโดยประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์นั้นจะถูกเก็บเข้ากองเงินของชนเผ่าฮันเรย์
โดยแบ่งจ่ายเป็นเงินตราและปัจจัยสี่ที่เอาไว้รองรับคนในชนเผ่าเช่นเครื่องนุ่งห่มกับยาเป็นต้น สองคือ กำหนดช่วงระยะเวลาฤดูการล่าเพื่อการค้า
หากเป็นฤดูผสมพันธุ์ของสัตว์และอสุราหรือช่วงรอยต่อการรอเติบโตของมัน จะไม่มีการล่าเพื่อการค้าขึ้นเพื่อป้องกันจำนวนสัตว์หรืออสุราที่น้อยลงกว่าปกติในธรรมชาติ
อย่างที่สามคือ
ห้ามเปิดเผยการค้านี้หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องแก่ผู้คนในดินแดนทางใต้อย่างเด็ดขาด
โดยเฉพาะชนเผ่าอื่นๆ
เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นที่หากรับรู้ว่าเธอหาผลประโยชน์จากดินแดนนี้และชนเผ่าฮันเรย์ก็มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยก็อาจสร้างความไม่พอใจระหว่างชนเผ่าให้เป็นได้
ซึ่งข้อตกลงทั้งหมดนี้เอลลิโอร่าแทบไม่ได้รับผลกระทบหนักใดๆเลยด้วยซ้ำ...
ทว่าก็ไม่มีคำตอบใดๆจากชายผู้เป็นใหญ่คนนี้
มีเพียงดวงตาอสรพิษที่เป็นต้นกำเนิดเท่านั้นที่ทอดสายตามองเธอจากเบื้องบนเป็นคำตอบ....เขามองเธอคล้ายเห็นเป็นงูแรกเกิดที่พยายามล่าเหยื่อมากมายเพื่อเป็นใหญ่ในดงป่านี้
ทำให้เด็กหญิงเข้าใจแล้วว่าเขาแค่ให้เธอติดสินบนเป็นพิธีเท่านั้น
บางทีเส้นทางหรืออำนาจของเธอที่พยายามสร้างก็คงเป็นเพียงเศษหนูเมื่ออยู่ในสายตาความยิ่งใหญ่และมั่นคั่งของปู่ผู้นี้
“เจ้าน่ะเหมือนข้าอย่างยิ่งยวด...เอลลิ”
คาเอลรอสเอ่ยกับหลานสาวคนโปรดของตนอย่างเอ็นดู
มือหนาเอื้อมมาสัมผัสใบหน้าที่แม้ไม่เรียบเนียนมากมายเหมือนเจ้าหญิงเจ้าชายปกติอันเนื่องจากสภาพความเป็นอยู่เยี่ยงชนเผ่า...ทว่าก็ไม่ได้หยาบกร้านเช่นกัน
นิ้วสากเกลี่ยแก้มของเด็กหญิงอย่างคุ้นชินด้วยความพึงใจ
เขาผู้เป็นใหญ่ไม่คิดจะเอาอะไรกับหลานสาวเช่นนางอยู่แล้ว
ทว่าก็ต้องให้นางเรียนรู้ในวิธีที่ควรจะเป็นเช่นกัน
จึงนับว่าการติดสินบนครั้งนี้ของเอลลิโอร่าก็ไม่ต่างอะไรจากยื่นลูกอมให้ญาติผู้ใหญ่เลยแม้แต่น้อย
ผลประโยชน์ที่นางมอบให้ไม่ได้มากมายอะไรสำหรับคาเอลรอสที่มีฐานะเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่เลยด้วยซ้ำ
การกระทำของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากการสั่งสอนและส่งเสริมนางทางอ้อมๆต่างหาก
“หากให้เทียบกับประวัติของท่านแล้ว
ข้าคงอ่อนด้อยกว่าถึงเท่าตัวนัก...”
เอลลิโอร่าโคลงศีรษะของตนเบาๆยามเมื่อนึกถึงบทความของนักประพันธ์ชาวเฟย์ติสผู้หนึ่งที่เขียนหนังสือชีวประวัติของจักรพรรดิที่เจ็ดอย่างคาเอลรอส
หากจำไม่ผิดคงเป็นหนังสือชื่อเรื่องว่า’จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งสงคราม’
ซึ่งค่อนข้างมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้างอันเนื่องจากนักประพันธ์คนนี้เป็นผู้จบจาก’สถานบันการศึกษาโรงเรียนเตรียมทหารฮาร์ดแซน’ อันเป็นสถานที่ศึกษาของคาเอลรอสเมื่อครั้งเป็นเจ้าชายที่ถูกส่งไปจักรวรรดิเฟย์ติสและหนำซ้ำยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นอีกต่างหาก
ดังนั้นข้อมูลที่ได้จึงมีความน่าเชื่อถือกว่าบุคคลที่แทบไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของคาเอลรอสมาเขียน
ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็อาจไม่ได้ถูกต้องนัก
เพราะอย่างไรเสียผู้เขียนก็มิได้สนิทสนมกับชายผู้เป็นปู่ของเธออีกทั้งยังเป็นการมองจากภายนอกมาเสียด้วย
“มันก็แค่เศษกระดาษ”
คาเอลรอสเอ่ยตอบหลานสาวของตนอย่างไม่แยแส
ยามเมื่อนึกถึงหนังสือไร้สาระที่เขียนประวัติของตนออกมาให้ใครต่อใครอ่านโดยไม่รู้เรื่องความเป็นจริงของเขาแม้แต่น้อย
นับเป็นหนังสือที่น่าตลกดี
“แต่พวกเขาก็สรรเสริญท่านไม่น้อยเลยนิ...”
เด็กหญิงได้แต่ฉีกยิ้มบางขบขันในความน่าตลกของชาวเฟย์ติสที่เขียนยกยอจักรพรรดิที่เจ็ดอย่างคาเอลรอสเพราะเป็นผู้ล่าอาณานิคมให้แก่จักรวรรดิของตนมากมาย
ทำให้ช่วงนั้นทั้งทรัพยากรและแรงงานหรือพื้นที่เขตแดนต่างๆล้วนมหาศาลนัก
จนเรียกว่าในยุคสมัยนั้นจักรวรรดิเฟย์ติสเป็นผู้ร่ำรวยอย่างแท้จริง
ทำเอาถูกตั้งฉายาว่าเป็น’ดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน’เฉกเช่นอังกฤษที่เลื่องอำนาจ
ทว่าจักรพรรดิที่ชาวเหนือสรรเสริญกันนักหนากลับไม่ได้มีสายเลือดของดินแดนนี้แม้แต่น้อย...น่าขำดี
“แล้วอย่างไร”
ชายผู้เป็นใหญ่เอ่ยปัดคำสรรเสริญนั้นราวกับไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาตั้งแต่ต้นแล้ว
ดูท่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนนี้แท้จริงแล้วไม่แม้แต่จะแยแสประชาชนใต้ปกครองของเขาเท่าไหร่นักจริงๆ
รอยยิ้มบางที่ฉาบลงบนใบหน้าของชายผู้เป็นปู่นั้นไร้ซึ่งความแยแสและลึกล้ำ....เอลลิโอร่าปฏิเสธไม่ได้ว่าใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งกว่ามนุษย์คนใดทั้งมวลของชายผู้เป็นปู่คนนี้แท้จริงคืองูพิษร้ายเฉกเช่นซาตานในสวนอีเดนที่ล่อลวงอดัมกับอีฟให้ตกหลุมพรางถูกพระผู้เป็นเจ้าขับไล่อยู่เบื้องหลัง...
.
.
.
เอลลิโอร่าที่หลังจากพูดคุยธุระกับคาเอลรอสเสร็จสิ้น....ก็ก้าวเดินกลับบ้านของตนอย่างเรียบเฉยพลางครุ่นคิดถึงผลกระทบที่ตามมาภายหลังของข้อตกลงสัญญาที่ตนพึ่งทำไปกับปู่ของตนให้ถี่ถ้วน
มือกร้านปัดผ้าม่านกั้นประตูที่มีคราบเลือดติดอยู่บ้างหลังทำความสะอาดไปเมื่อวันก่อน
แล้วจึงนึกได้ว่าตนลืมบางสิ่งหลังกลับมาจากเฟย์ติสเสียได้
เอลลิโอร่าสบถคําหยาบเป็นภาษาชนเผ่าออกมาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นขยี้หัวของตนลวกๆ
ในหัวกล่าวด่าตัวเองที่สะเพร่า ยุ่งจนลืมไปเลยแฮะ...ไม่ได้เรื่องชะมัด
ว่าแล้วก็เดินไปหยิบสัมภาระเมื่อครั้งกลับจากเฟย์ติสและค้นมันอยู่นานสักพัก
จึงเจอกล่องหีบเก็บของที่ค่อนข้างดูมีราคาและปกปิดแน่นหนา ทว่าเอลลิโอร่าไม่ใส่ใจมันนัก
เอื้อมมือเปิดเอาสิ่งของภายในไปบางส่วนแล้วปิดฝามันก่อนลากไปจุดที่เห็นได้ง่ายๆ
จากนั้นก็เดินต่อไปยังห้องของแม่เลี้ยงคนงามโดยแสดงท่าทีอ่อนลงอยู่หลายส่วน
ดวงตาอสรพิษยามเมื่อเห็นภาพโฉมงามที่กำลังอ่านหนังสืออยู่เตียงด้วยรอยยิ้มบางก็อดไม่ได้ที่ผ่อนลงเข้าไปอีก
เอลลิโอร่าหยุดเดินที่จะเข้าไปและเพียงยืนดูชายหนุ่มบนเตียงตรงทางเข้าประตูก่อนเอนศีรษะพิงขอบประตูอย่างอ่อนล้า
หวังเฝ้าดูรอยยิ้มตรงหน้าให้ยาวนานที่สุดเท่าที่ทำได้
จนอาลีนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่สักพักรู้สึกตัวและหันไปมองดวงตาคู่คมที่จับจ้องตนไม่วาง
ทำเอาใบหน้าใต้ผ้าคลุมแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงบางๆเพราะความอาย เมื่อเห็นสายตาของคุณหนูที่ช่างเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้
แม้เอลลิโอร่าจะไม่ได้ดูดีตามแบบฉบับพิมพ์นิยมของชาวเฟย์ติสที่ต้องมีผิวขาวดั่งหิมะ
ร่างบางอ่อนช้อยหรือดวงตาสีบางและเรือนผมสีอ่อน ตามบทประพันธ์เรื่องความงามที่แท้จริงของชาวแดนเหนือโดยกวีเอกนิโคลัส
ทว่าคนหน้าตาดีอย่างไรก็คือคนหน้าตาดี ต่อให้ไม่ใช่ความงามในรูปธรรมของใคร
แต่ด้วยรูปลักษณ์ของเด็กหญิงตรงหน้าที่มากมายพอให้ผู้คนมองข้ามความงามในหัวของตนแล้ว...
“ดูเหมือนจะชอบนักเขียนผู้นี้สินะ
คราวหลังไปเฟย์ติสข้าจะซื้อกลับมาฝากให้มาก”
เอลลิโอร่าเอ่ยกับแม่เลี้ยงคนงามของตน
พลางเดินเข้าไปนั่งบนเตียงด้วยก่อนเอื้อมมือสางเส้นผมยาวสีฟ้าอ่อนให้เรียบร้อย
จากนั้นจึงเหลือบมองหนังสือในมือบางเพื่อหาชื่อผู้แต่งหมายมั่นไว้ในใจ
เวลาซื้อจะได้มิพลาดอะไร
แต่ไหนแต่ไรแล้วที่แม่เลี้ยงคนงามของตนมีร่างกายไม่แข็งแรงนัก
ดังนั้นการออกไปเที่ยวข้างนอกจึงเป็นเรื่องมิควรเท่าไหร่
แต่ทว่าหากให้อยู่เพียงบนเตียงอย่างเดียวโดยไม่ทำอะไร
ก็กลัวว่าคนงามจะเหงาและเฉาเอา
เอลลิโอร่าจึงคอยหาสิ่งต่างๆมาอำนวยความสะดวกและสิ่งผ่อนใจให้แก่แม่เลี้ยงผู้นี้ประดุจลูกคุณหนูคุณชายผู้ร่ำรวยก็ไม่ปาน
จนบางครั้งก็สร้างความลำบากใจให้กับอาลีนเมื่อฐานะของตนเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้
แต่กลับถูกผู้เป็นนายเลี้ยงดูแลเสียยิ่งกว่าเจ้าหญิงในนิยายที่ตนชอบอ่านอีก
“ท่านเอลลิไม่ควรตามใจข้ามากขนาดนี้นะครับ...เดี๋ยวข้าได้กลายเป็นข้ารับใช้นิสัยเสียกันพอดี”
อาลีนเอ่ยประท้วงเล็กๆยามเมื่อจับจ้องสายตาที่คอยสังเกตตัวเองตลอดเวลา
และทุกครั้งที่นางกระทำก็ล้วนเป็นรายละเอียดที่ใส่ใจต่อเขายิ่ง
บางทีคุณหนูของเขาก็ไม่ควรทำอะไรเช่นนี้...นางเป็นเจ้าหญิงนะ
เหตุใดต้องมาลำบากหนำซ้ำยังต้องดูแลข้ารับใช้ไร้ประโยชน์เช่นเขาอีก...อาลีนได้แต่ตัดพ้อในใจ
ยามเมื่อนึกถึงองค์จักรพรรดิที่ทรงลำเอียงต่อเด็กหญิงตรงหน้าเขาเช่นนี้
“นิสัยเสียก็นิสัยเสียไปสิ...ข้ามีปัญญาเลี้ยงดูเจ้าอยู่แล้ว”
เอลลิโอร่าหาได้ใส่ใจคำกล่าวของแม่เลี้ยงคนงามไม่
เธอเอื้อมมือไปเปิดผ้าคลุมของเขาก่อนค่อยๆสอดมือลูบใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
นิ้วกร้านเกลี่ยแก้มเขาอย่างเอ็นดู
ความจริงแล้วการที่เอลลิโอร่าหาเงินจนหัวหมุนนั้นก็ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการสร้างฐานอำนาจเพียงอย่างเดียว
ทว่าก็เพื่อเอาไว้ใช้ดูแลแม่เลี้ยงคนงามของตนให้สุขสบายเฉกเช่นเจ้าหญิงตัวน้อยก็ไม่ปานด้วย
นับเป็นความต้องการส่วนตัวของเอลลิโอร่าเอง
เธอค่อนข้างพอใจเมื่อเห็นเขาใส่เสื้อผ้าชั้นดีหรือได้สิ่งดีๆ
“มันไม่เหมาะสมนะครับ ท่านเอลลิ...”
อาลีนเอ่ยแย้งเบาๆแม้จะรู้ดีว่าคุณหนูของตนก็คงไม่ใส่ใจ
ทว่าเมื่อเหลือบมองเห็นสายตาที่มองเขาอย่างเอ็นดูระหว่างพูดนั้นคล้ายศักดิ์ศรีผู้เป็นแม่เลี้ยงรู้สึกพ่ายแพ้ยับเยิน
แต่ก่อนเขาเลี้ยงดูนาง...เหตุไฉนตอนนี้เป็นนางที่เลี้ยงเขากัน...แล้วสายตาที่มองเขาเป็นเด็กน้อยอีก....
เมื่อสีหน้าของแม่เลี้ยงคนงามขึ้นสีเล็กน้อยเพราะความอาย
เสียงหัวเราะขบขันในลำคอของเด็กหญิงก็อดไม่ได้ที่จะดังขึ้นมาเบาๆ
ก่อนนึกขึ้นได้ถึงธุระของตน
จึงยกมือวางสิ่งของที่เอามาจากกล่องหีบนั้นไว้ที่มือของแม่เลี้ยงหนุ่ม
และเมื่อมือบางของอาลีนคลายออกก็พบว่ามันคือ
ศิลาสีขาวสะอาดจนโปร่งใสสามารถเห็นทะลุไปยังมือของเขาได้และขวดของเหลวขนาดเล็กที่ภายในบรรจุน้ำสีประหลาดเอาไว้...
“ศิลายาถ่ายโอนของพวกนักเล่นแร่แปรธาตุเบตติเหนือกับน้ำยาเวนก้าจากรากไม้พฤกษาทวีปเรเวนโดยเผ่าเอลฟ์ลักลอบน่ะ”
เอลลิโอร่าเอ่ยอธิบายแม่เลี้ยงหนุ่มที่กำลังทำหน้าสติหลุดไปชั่วขณะโดยไม่ใส่ใจ
พลางบอกให้เขาทานและดื่มมันทุกวันหลังจากนี้ตามที่เธอกำหนดเวลาไว้
และดูเหมือนอาลีนจะได้สติกลับมาแล้ว ระหว่างฟังคำอธิบายราวกับเป็นเรื่องปกติของเด็กหญิง
ก็ทำให้สีหน้าของเขายิ่งรู้สึกเหมือนทานยาขม...มือบางสั่นเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าสองสิ่งในมือของตนตอนนี้คืออะไร
กล่าวกันว่าผู้คิดค้นศาสตร์แปรธาตุขึ้นมาครั้งแรกก็คือกลุ่มชนเบตติเหนือ
ที่อาศัยอยู่ตามรอยเขตตะเข็บชายแดนอาณาจักรเบนติและทวีปเรเวนอันเป็นผืนดินของเผ่าเอลฟ์
ยากนักที่จะเข้าถึงกลุ่มชนนักเล่นแปรธาตุเริ่มแรกเหล่านี้เพราะมักอาศัยอยู่บนเทือกเขาหรือบริเวณความกดอากาศสูงไร้ผู้คนอาศัยอยู่
ซึ่งบริเวณเหล่านั้นก็เป็นแหล่งผลิตหินหรือแร่ชั้นดีสำหรับการแปรธาตุ
จึงไม่แปลกที่กลุ่มชนเหล่านั้นจึงตั้งถิ่นฐานที่นั่น
เพราะฉะนั้นการได้สินค้าจากกลุ่มชนเบตติเหนือนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากมากนักตั้งแต่ที่ตั้งของผู้ทำหรือนิสัยเอาแต่ใจเป็นหนึ่งที่เลื่องลือของกลุ่มคนเหล่านี้อีก
หากไม่โดนไล่สาปแช่งหรือวางอาถรรพ์ใส่ก็นับว่าบุญแล้ว
ส่วนน้ำยาเวนก้าจากรากไม้พฤกษาทวีปเรเวนนั้นแม้จะไม่ใช่สินค้าหายากมากมายอะไรทว่าราคาของมันกลับสูงเฉียดฟ้าจนแทบทำให้ผู้ครอบครองมันมีเพียงน้อยนิด
อีกทั้งยังเป็นสินค้าที่ชาวเอลฟ์สงวนสิทธิ์ในการผลิตแต่เพียงชาติพันธุ์เดียว
ดังนั้นจึงมีราคาของการขนส่งและภาษีสินค้าต่างดินแดนผืนทวีปเพิ่มเข้าไปอีก...เพราะฉะนั้นโดยส่วนมากจึงเป็นพ่อค้าเศรษฐีผู้ร่ำรวยในระดับใหญ่หรือขุนนางผู้ทรงอำนาจและองค์กษัตริย์เท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าถึงสินค้าเช่นนี้
หากจะตีค่าของมันให้ง่ายต่อความเข้าใจ...สองสิ่งในมือของอาลีนนี้สามารถซื้อขายดินแดนขนาดกลางค่อนไปใหญ่ได้อย่างสบายๆ
“ท...ท่านเอลลิ นี่มันไม่ใช่ของที่หากันได้ง่ายๆเลยไม่ใช่เหรอครับ
ได้โปรดอย่าเอามาใช้กับผมเลยครับ...มันไม่คุ้มค่าเลยสักนิด”
อาลีนไม่อาจรู้ว่าทั้งชีวิตนี้ของตนจะสามารถจ่ายราคาของสองสิ่งในมือนี้ได้หมดหรือไม่...ความทุ่มเทของเด็กหญิงผู้เป็นนายนั้นช่างมากมายเกินบรรยาย
“อะไรคือไม่คุ้มค่าอย่างที่เจ้าคิด…แล้วคำว่าคุ้มค่าผู้ใดเป็นคนตัดสินกัน?”
เอลลิโอร่าตอบกลับแม่เลี้ยงคนงามอย่างไม่ใส่ใจ
พร้อมทั้งลุกยืนขึ้นหันหลังเพื่อก้าวเดินออกไปจากห้องหลังเสร็จธุระ
เพราะเกรงว่าหากอยู่ต่อก็คงโดนอาลีนบ่นจนหูชาเป็นแน่เสีย
.
.
.
“ยังคงทำอะไรที่เสียเวลาไร้ประโยชน์เช่นเคยนะ...สหายของข้า”
เป็นน้ำเสียงหนึ่งของเด็กชายในวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับเอลลิโอร่าเอ่ยขึ้น
แม้ลักษณะของเสียงจะชวนเป็นมิตรและน่าฟัง
ทว่าประโยคคำพูดและความคิดของผู้กล่าวนั้นกลับไม่ได้เป็นมิตรอะไรมากมายขนาดนั้น
ซึ่งตัวของเอลลิโอร่าเองก็ตระหนักดี
“เสร่อเรื่องคนอื่น....”
เอลลิโอร่าเอ่ยตอบกลับเด็กชายโดยไม่ได้รักษาความสุภาพของภาษา
คำหยาบในภาษาชนเผ่าพูดออกมาโดยไม่ปิดบัง
เพราะอย่างไรเสียต่อให้แม่เลี้ยงคนงามมาได้ยินเข้าก็คงฟังไม่ออกจึงไม่ใช่ปัญหา
ซึ่งแต่เดิมแล้วเอลลิโอร่าไม่ได้เติบโตในวังหลวงที่กล่าวกันว่าเคร่งครัดเรื่องการศึกษาตามแบบฉบับชนชั้นสูงเฉกเช่นทายาทกษัตริย์คนอื่นๆ
เธอเติบโตในชนเผ่าที่ห่างไกลความเจริญ ผู้คนเป็นเพียงชนชั้นกลางทั่วไป ดังนั้นการพูดจาหรือการใช้คำหยาบคายตามประสาชาวบ้านทั่วไปจึงเป็นสิ่งที่เธอซึมซับมามากกว่ามารยาทผู้ดีในฐานะเจ้าหญิง
“ไม่มีคนสติดีที่ไหนผลาญเงินของตนไปกับข้ารับใช้ที่ใกล้ตาย...”
ยังคงเป็นเด็กชายคนเดิมที่เอ่ยตอบกลับอย่างเรียบเฉยและตรงไปตรงมา
เขาออกมาจากเงามืดที่ซ่อนกายตนเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่คุ้นชินตาในความทรงจำของเอลลิโอร่า
ใบหน้าคมที่แม้จะไม่ได้หล่อเหลามากมายเทียบเท่าคาเอลรอสหรือบรรดาตัวละครเอกในเรื่องราว
ทว่าก็ดูดีมากพอที่จะเรียกว่าหนุ่มรูปงามได้
เรือนผมสีส้มออกหม่นคล้ายผลส้มชวนให้รู้สึกผ่อนคลายและดวงตาสีชาอันนุ่มนวลและคลุมเครือนั้นเป็นที่น่าจดจำสำหรับผู้คนมากมาย
ผิวสีแทนที่ดูเหมือนจะเบาบางกว่าผู้คนในชนเผ่าเล็กน้อยก็ทำให้รู้ว่าเขานั้นเป็นลูกผสมระหว่างชนเผ่า
“หากคนของข้าจะตายหรือใกล้ตายก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า...กล่าวเรื่องงานได้แล้ว”
เอลลิโอร่าไม่ปฏิเสธคำกล่าวของเด็กชาย
อีกทั้งก็ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองในคำพูดที่ไม่ดีของเขาเพราะอย่างไรเสียมันก็คือความจริง
ทว่าหากปล่อยให้เด็กชายตรงหน้าพูดเรื่องไร้สาระต่อไป ก็คงไม่ได้งาน
“อืม...ตอนนี้จักรวรรดิเฟย์ติสเริ่มมีการลงคะแนนเสียงจากรัฐสภาในการปรับกฎหมายการใช้ทาสให้ง่ายขึ้น...โดยยกเลิกข้อกำหนดการตรวจรายได้ที่มากเพียงพอต่อการใช้จ่ายและเลี้ยงดูทาส
ดังนั้นคาดว่าในอนาคตจะมีประชาชนชนชั้นกลางถือครองทาสเพิ่มขึ้นและอัตราความเป็นอยู่ของทาสที่แย่ลง...โอกาสที่ลูกผสมหรือมีเชื้อสายจากดินแดนทางใต้ที่หลงเหลืออยู่ในจักรวรรดิเฟย์ติสถูกลักพาตัวหรือจับไปเป็นทาสมากขึ้นกว่าเดิม....”
เป็นเด็กชายที่เอ่ยรายงานสายข่าวความเปลี่ยนแปลงในจักรวรรดิเฟย์ติสในช่วงเวลาที่เอลลิโอร่าไม่อยู่
การหาข้อมูลจากดินแดนทางเหนือในดินแดนทางใต้นั้นไม่ง่าย จึงจำเป็นต้องใช้คนที่วางใจได้ในการสืบค้น
ซึ่งก็เป็นเด็กชายผู้นี้ที่เธอไว้ใจพอระดับหนึ่ง
“แล้วพวกขุนนางฝ่ายซ้ายและขุนนางฝ่ายขวาลงความเห็นว่าอย่างไร?...เพราะอย่างไรเสียพวกวางตัวเป็นกลางก็คงไหลตัวเป็นน้ำตามเสียงข้างมากเหมือนเคย”
เอลลิโอร่าเอ่ยถามรายละเอียดย่อยของรายงาน
เพื่อประเมินความคิดของเหล่าขุนนางในสภาต่อหัวข้อครั้งนี้
“ขุนนางฝ่ายขวาเห็นด้วยทั้งหมด
พวกเขาสนับสนุนนโยบายนี้ตั้งแต่เริ่มร่างฎีกาเสนอจักรพรรดิ์ให้ลงปรมาภิไธยแล้ว...ส่วนขุนนางฝ่ายซ้ายแม้จะไม่เห็นด้วยเล็กน้อย
แต่ทว่าส่วนใหญ่ก็ยอมรับข้อเสนอนี้เพราะให้เหตุผลว่าเล็งเห็นการพัฒนาที่ดินและแรงงานโดยใช้ทาส”
เด็กชายเอ่ยตอบโดยภาพรวม
ก่อนอธิบายเสริมถึงรายชื่อของขุนนางที่เลือกไม่ลงคะแนนเสียงในนโยบายนี้เผื่อเด็กหญิงสนใจ
“ขอบใจ...หลังจากนี้คงต้องจัดหาคนที่ร่างกายแข็งแรงมาจำนวนหนึ่งล่ะนะ...หากคาดการณ์ไม่ผิด
สิ่งที่ขายได้ดีคงเป็นทาสใช้แรงงาน...เพราะการเปิดตลาดทาสให้ง่ายขึ้นเช่นนี้
ชนชั้นกลางที่ทำภาคการเกษตรคงอยากลดต้นทุนจากการจ้างคนเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เป็นทาสเสียมากกว่า”
เอลลิโอร่าพยักหน้าพลางเอ่ยความคิดการหากำไรจากนโยบายนี้...
“ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้...เจ้าจะค้าอะไรผิดกฎหมายหรือกระทำชั่วช้าอะไร
ข้าไม่เคยขัดขวางเจ้า...แต่เจ้าคิดจะขายพี่น้องร่วมแผนดินของเจ้าหรือ พวกเขาต่างเป็นลูกหลานเนย์ยีร์ทั้งสิ้น...อย่าถลําลึกให้มาก
เอลลิโอร่า”
เด็กชายเอ่ยแย้งความคิดของเด็กหญิงในทันทีด้วยความไม่พอใจ...ก่อนที่สนธิสัญญาอาณาเขตเนย์ติสจะลงนาม
การเข้าออกดินแดนทางใต้ในสมัยอดีตจึงยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ดังนั้นจึงไม่แปลกหากจะมีผู้คนดินแดนทางใต้บางส่วนหลงเหลืออยู่นอกดินแดนอื่น
เพราะการเข้ามาหาผลประโยชน์ของชาวแดนเหนือก็มิใช่เพียงทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียว
ทรัพยากรมนุษย์เองก็เป็นสิ่งต้องตาต้องใจเช่นกัน...การแอบลักลอบลักพาตัวผู้คนในดินแดนทางใต้ไปเป็นแรงงานหรือทาส
ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการร่างสนธิสัญญาอาณาเขตขึ้นมาเพื่อป้องกันการรุนรานจากชาวแดนเหนือ..
เอลลิโอร่าที่ถูกกล่าวว่าโดยเด็กชายนั้นนิ่งชะงักไปชั่วขณะ...บางทีเธอก็อาจล้ำเส้นเกินไปจริงๆนั่นแหละ
แต่ศีลธรรมในโลกก่อนไม่อาจใช้กับเธอในตอนนี้ได้เท่าเงินตราหรืออำนาจ....เธอทิ้งมันลงไปกับพื้นทรายที่แรกเดินเสียแล้ว
“โทษที...ข้าคงคิดอะไรที่มันเกินไปจริงๆอย่างที่เจ้าว่า...เช่นนั้นหากไม่มีเชื้อสายเนย์ยีร์
ก็ไม่มีปัญหาสินะ”
“บางทีข้าก็เคยแอบคิดนะว่าเจ้าคงสามารถขายข้าได้ง่ายดายหากแลกกับผลประโยชน์”
เด็กชายอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซะเด็กหญิงตรงหน้า
เพราะความคิดของนางช่างเลือดเย็นเสียจริงๆ ขายคนร่วมแผ่นดินไม่ได้ก็ขายคนนอกแทน
สุดท้ายก็ยังคงจะหาผลประโยชน์อยู่ดี
“สบายใจได้ ข้าไม่ขายสหายของตัวเองหรอก....’วาคินรีส์’”
เอลลิโอร่าตอบกลับคำเอ่ยแซะของเด็กชายอย่างสบายๆ
แม้เธอจะเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือไม่ดีนัก
ทว่าหากนับใครเป็นสหายในครั้งหนึ่งของชีวิตแล้ว
เธอจะตอบแทนเขาด้วยมิตรภาพและจ่ายเขาด้วยจริงใจ
“อย่าเรียกข้าด้วยด้วยนามนั้น...เอลลิโอร่า”
เด็กชายหรือวาคินรีส์ตามนามที่เด็กหญิงเอ่ยท่าทางไม่ชอบใจที่นางเรียกอดีตนามของตนเท่าไหร่นัก
.
.
.
ความคิดเห็น