คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่7 ทุกคนล้วนมีบาป
ยามรุ่งสางแรกของอรุณวันใหม่ คล้ายวันนี้เป็นวันที่อากาศไม่ดีเท่าไหร่นัก
ท้องฟ้ามืดมัวกว่าปกติบดบังแสงตะวันให้ลับท้องฟ้าไป
ทำให้เด็กหญิงและเด็กหนุ่มบนเตียงใหญ่ยิ่งซุกตัวลงที่ผ้าห่มผืนหนาและหัวชนกันโดยไม่ยอมตื่น
หากแต่เมื่อสุดท้ายแล้วก็เป็นมัวเรลล์ที่ตื่นขึ้นมาก่อนเพราะว่าเธอนั้นได้หลับไปมากแล้ว
ก่อนที่จะนอนหลับร่วมกับจอมมารหนุ่ม เธอเองก็นอนมาทั้งวันไม่น้อยแล้ว...ร่างเล็กของเด็กหญิงในวัยสิบสองปีโดดลงจากเตียงเบาๆ
พลางยกมือบางขึ้นมาขยี้ตาอย่างเกียจคร้าน
ก่อนสองขาก้าวเดินไปยังตู้เก็บของหลังใหญ่
มัวเรลล์ลากเก้าอี้มาเป็นฐานของตนอย่างคุ้นชิน
เมื่อร่างกายของเธอนั้นเป็นเพียงแค่เด็ก
ทำให้ระดับความสูงของเธอในตอนนี้ยากที่จะหยิบจับของในตู้สูงนี้ได้ตามใจชอบ
ดวงตาสีอรุณกวาดสายตาไปยังของในตู้อย่างเรียบเฉย...ซึ่งของภายในตู้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จอมมารหนุ่มผู้นี้มอบให้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะขนมหรือใบชา ตลอดจนทุกสิ่งที่เจ้าหญิงเจ้าชายเขามีกัน...
มัวเรลล์ไม่เคยเอ่ยขอ...หากแต่เป็นเขาที่มอบทุกอย่างให้โดยที่เธอไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยอะไร
ซึ่งมันก็ทำให้เธอรับรู้ว่าตัวตนที่ดูแข็งกระด้างของจอมมารผู้นี้ ไม่ได้เลวร้ายตามที่บทเกมส์แสดงให้เห็น...ไม่เลย
แต่ก็อาจเป็นเพราะเธอคือเจ้าหญิงต้องสาป...การกระทำของจอมมารผู้นี้จึงปฏิบัติต่อเธอแตกต่างจากคนอื่น
แม้กำลังครุ่นคิดอยู่หากแต่นิ้วมือเล็กก็ลากนิ้วเพื่อเลือกดูของไปเรื่อยๆจนหยุดอยู่ที่กล่องชาที่ต้องการ
คิ้วของเด็กหญิงที่ขมวดปมอยู่คลายลงในทันทีราวกับคิดเรื่องใหญ่
ทั้งที่แท้จริงแล้วเด็กหญิงเพียงแค่กำลังหาชามาชงให้แก่จอมมารผู้นอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้าอยู่
ชาเอิร์ลเกรย์กับคุกกี้แล้วกัน....ความจริงแล้วจอมมารหนุ่มอย่างเคียร์เนย์เป็นคนง่ายๆ
เขาไม่ใช่คนที่เลือกกินเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นพวกทานอะไรก็ได้คล้ายไม่เกี่ยงรสชาติหรือวัตถุดิบ
ราวกับเป็นการกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกินอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นก็ทำให้มัวเรลล์ลำบากไม่น้อยที่จะสังเกตว่าเขาชอบอะไรจริงๆ
มือเล็กเอื้อมไปหยิบหินพลังเวทย์ความร้อนจากในตู้ติดมาด้วย
ก่อนจะจัดเตรียมถ้วยน้ำชาและกาน้ำชา จานใบเล็กถูกวางลงเพื่อใส่คุกกี้
หลังจากนั้นเด็กหญิงจึงชงชาต่ออย่างเงียบๆท่ามกลางความเงียบสงบในยามเช้าที่มืดมัวนี้
และเพียงไม่นานจอมมารหนุ่มก็ตื่นขึ้น
ด้วยท่าทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและสังเกตเห็นว่าเด็กหญิงบนเตียงข้างกายหายไปหากแต่เขาก็ไม่ได้โวยวายอะไร
“ขอบใจนะ เรย์”
ราวกับรู้ดีอยู่แล้วว่าเด็กหญิงต้องไปทำอะไรบางอย่างให้ตนหลังตื่นมาอยู่แล้ว
เคียร์เนย์เอ่ยพลางหันไปมองถ้วยน้ำชาที่ถูกส่งมาพร้อมกับคุกกี้จานเล็ก
“อืม
วันนี้อากาศไม่ดี...เจ้าโดดอยู่ที่นี้ตามปกติก็ไม่มีใครว่าหรอก”
มัวเรลล์เอ่ยอย่างเรียบเฉยหากแต่ก็คล้ายเป็นการบอกอ้อมๆให้จอมมารหนุ่มหนุ่มหยุดพักที่นี้ในวันนี้
ซึ่งปกติแล้วเธอไม่เคยเอ่ยให้เขาโดดเรียนเลย
แต่บางครั้งที่เห็นจอมมารผู้นี้เหนื่อยล้ามากมายกลับมานั้น
เธอก็เป็นห่วงไม่น้อย...หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา เธอคงแย่...
เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอรู้จักบนโลกใบนี้....โลกที่เธอไม่รู้อะไรเลย...ถ้าเธอไม่ถูกล่าม
ถ้าไม่มีปราสาทสูง...และถ้าเธอไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้....ทุกอย่างคงดีกว่านี้
ดวงตาสีอรุณเงยมองไปยังนอกหน้าต่างที่ตนมักนอนอิงแอบเพื่อเฝ้ามองท้องฟ้าเสมอ...
เธอเบื่อหน่ายจนเคยคิดตายเพื่อหนีมัน...สิบสองปีที่เติบโตภายในกรงขังนี่
สิบสองปีที่ไม่เคยก้าวเดินแตะพื้นดิน
สิบสองปีที่ถูกลิดรอนอิสระไปอย่างไม่เป็นธรรม...
เธอสมควรถูกขังเป็นสัตว์เช่นนี้จนกว่าจะตายเหรอ?...บางทีเธอก็เข้าใจความรู้สึกของจอมมารอย่างเคียร์เนย์ที่อยากกำจัดมนุษย์เลย....พอเมื่อเป็นสถานะของสิ่งที่มนุษย์กลัวหรือรังเกียจราวกับไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน
เธอยังไม่ได้’ฆ่า’ใครตาย...ไม่สิ
ไม่เคยทำอะไรให้ใครเลยแท้ๆ...แต่ทำไมเธอถึงถูกตัดสินด้วยความคำทำนายโง่ๆนะ ความยุติธรรมที่มนุษย์ใช้ตัดสินกันนักหนา...มันไม่เคยยุติธรรมเมื่ออีกฝ่ายไม่ใช่พวกเขา
ก็เหมือนสัตว์ที่ไม่เคยถูกถามหาความยุติธรรมให้
เพราะเป็นเพียงสัตว์....ใช่ เป็นแค่สัตว์....
‘ไอ้สัตว์!
มึงมันเด็กไร้ประโยชน์จริงๆ! สั่งทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง
สมองน่ะมีไหม?! ถ้ากูไม่มีมึงป่านนี้คงสบายไปแล้ว! แม่มึงก็ดันโง่เสือกไม่ยอมทำแท้ง มาเป็นภาระกูอีก!’
คำพูดของผู้เป็นพ่อในอดีตนั้นยังคงเจ็บแสบมากมายจนมาถึงวันนี้...หากผู้คนในวังหลวงนี้กล่าวว่าจอมมารหนุ่มปากร้ายแล้ว
สำหรับเธอมันก็แค่การประชดประชันเล่นๆของเขาเท่านั้น...มันยังไม่ถึงครึ่งของผู้เป็นบิดาในอดีตชาติของเธอด้วยซ้ำ....
เลี้ยงเธออย่างหมา
ด่าอย่างสัตว์...ไม่เคยมีคำพูดหรือกระทำดีๆมอบให้เธอแม้จนวันเขาตาย...
และในตอนที่เขาตาย..เธอก็ยังคงจดจำได้ดี....
“เรย์ เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าสายตาเจ้าน่ากลัวมากเลยนะ
ข้าล่ะกลัวจนสั่นเทาไม่หยุดเลย”
เป็นเคียร์เนย์เอ่ยหยอกล้อเด็กหญิงเมื่อเห็นว่าดวงตาสีอรุณคู่นั้นหยุดนิ่งและฉายแววตาที่สามารถฆ่าคนได้ด้วยแรงเกลียดชัง...บางทีเขาก็คิดว่าอะไรที่ทำให้เด็กหญิงที่เติบโตขึ้นมาในกรงขังนี้เพียงผู้เดียวถึงขนาดไม่รู้ภาษาที่จะพูดสามารถมีดวงตาที่มืดมนเช่นนี้ได้
มือหนาเอื้อมไปดึงร่างบางให้ขึ้นมานั่งบนเตียงข้างๆตนพลางใช้มือดันหัวของเด็กหญิงให้อิงไหล่เขา
ก่อนสัมผัสดวงตาของเด็กหญิงพลางลูบลงให้เธอหลับตา
“เคียร์เจ้าเคยฆ่าคนไหม?”
มัวเรลล์ไม่ได้ปัดมือที่กุมปิดดวงตาของเธออยู่...หากแต่ยกมือกุมมือหนานั้นเบาๆ
เธอเคยสงสัยว่าเด็กชายคนๆหนึ่งอย่างเคียร์เนย์
หากเขาต้องก้าวเดินสู่ฐานะจอมมารแล้ว...เขาได้ฆ่าคนรึเปล่า? เขาทำชั่วเลวทรามอย่างไม่น่าให้อภัยเฉกเช่นความชั่วร้ายที่เขาจะเป็นรึเปล่า?
มัวเรลล์ที่มองลงมาจากกรอบสี่เหลี่ยมเสมอ...มองมันดั่งเป็นโลกเกมส์
‘ชีวิต’จึงเป็นสิ่งที่ห่างไกลจากความคิดเธอมากมายนัก
พวกเขา...ไม่เว้นแม้แต่ เคียร์เนย์...ก็เป็นเพียงเอไอไร้ชีวิตในดวงตาคู่นี้
ต่อให้พวกเขาตาย...เธอก็ไม่เคยใส่ใจ...ก็แค่รีเซ็ตมัน
ชีวิตในโลกเกมส์นี้จึงดูไม่มีค่าอะไรสำหรับเธอ...
แต่นี่คือชีวิตจริง...หากเธอตาย หากเขาตาย...ทุกอย่างจะดำเนินตามเกมส์
ไม่ปุ่มรีเซ็ต ไม่มีจุดเซฟกลับไป
น่ากลัว....ทุกอย่างดูน่ากลัวไปหมด...
“ถามอะไรแบบนั้น...คนปกติที่ไหนเขาฆ่าคนกัน”
เคียร์เนย์เอ่ยตอบด้วยความเอ็นดู
รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้น
ก่อนจะปล่อยมือที่กุมดวงตาสีอรุณคู่นั้นและกุมศีรษะของนางให้มาอยู่ที่อกตนแทน
มัวเรลล์ก้มหน้าลงซบอกของเด็กหนุ่มอย่างว่าง่าย
ทำให้ไม่มีใครเห็นดวงตาของเธอในตอนนี้ แม้กระทั่งจอมมารหนุ่ม...
ดวงตาสีอรุณนั้นว่างเปล่า...มันว่างเปล่าอย่างชัดเจน
กลวงลึกลงไปนั้นมีเพียงตะกอนของความหม่นหมองที่คล้ายจมลงสู่เบื้องลึกในจิตใจของเด็กหญิง
อา...เขาโกหกเธอ...
คำพูดที่แสนปลิ้นปล้อน...เขาเอ่ยว่าคนปกติไม่ฆ่าคน
แต่ไม่เอ่ยถึงตัวเอง...การไม่พูดก็นับเป็นการโกหกที่จะปกปิดความจริง มัวเรลล์ไม่เอ่ยคำทักท้วงใดๆออกไป
เธอที่อยู่กับเขามาเนิ่นนาน มีหรือที่จะไม่รู้ว่าดวงตาสีเลือดคู่นั้นจอมปลอมแค่ไหน...
เอาเถอะ...จอมมารก็ยังคงเป็นจอมมารล่ะนะ...
.
.
.
“เขาคนนั้นหายตัวไปไหนของเขากันนะ? ทั้งๆที่เราได้ยินมาว่าเมื่อวานเขามาเรียนที่สำนักอยู่เลย…”
เป็นเสียงหวานสมหญิงงามชั้นสูงโดยแท้ที่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ
เป็นความนุ่มนวลหาใช่ความแข็งกระด้างหรือสงบนิ่งเกินไป
เพียงได้ฟังน้ำสียงนี้ก็สามารถรับรู้ได้ถึงการถูกขัดเกลามาเป็นอย่างดีของสตรีผู้นี้
รูปลักษณ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
นางย่อมเป็นโฉมงามผู้โดดเด่นคนหนึ่งในสังคมชั้นสูงนี้
เรือนผมสีทองอร่ามเข้มดุจทองคำแท้นั้นเรืองรองภายใต้ความหรูหรา
ดวงตาสีฟ้าอ่อนเจือปนครามนั้นดูสูงค่ายิ่ง
ใบหน้างามสมพิมพ์นิยมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างวาสติน
ท่าทางและกิริยาอ่อนช้อยและเป็นระเบียบสมการฝึกฝน
ไม่ว่าผู้ใดได้จับจ้องย่อมรับรู้ได้ในทันทีว่านางคือสตรีชนชั้นสูงอย่างแท้จริง
‘ฟิเลน่า เดอ ฟัวส์’
นางคือบุตรีคนแรกและบุตรคนสุดท้องของอาร์ชดยุกฟาคอส
เดอ ฟัวส์ ชายผู้เป็นน้องชายต่างมารดาของกษัตริย์เอลริสที่เก้า...บิดาของกษัตริย์คาเทียสแห่งวาสติน
หรือก็คือเขามีศักดิ์เป็นอาของกษัตริย์คาเทียสที่สิบในปัจจุบัน
แต่เดิมอาร์ชดยุกฟาคอสเป็นเจ้าชายองค์ท้ายๆ
จึงมีอายุห่างจากกษัตริย์เอลริสค่อนข้างมาก
วัยของเขาจึงห่างจากกษัตริย์คาเทียสผู้เป็นหลานเพียงสิบปีเท่านั้น
หนำซ้ำเมื่อครั้นแต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งมิลล์เทนก็ประสบปัญหาในการมีบุตรมากนัก...ดังนั้นนางที่เป็นบุตรคนสุดท้องจึงเป็นดั่งบุตรหัวแก้วหัวแหวนของอาร์ชดยุกฟาคอส
ฟิเลน่าแม้จะมีพี่ชายหนึ่งคนผู้เป็นถึงคนสนิทของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งแห่งวาสติน
หากแต่สถานะของเธอกลับไม่ได้วางตัวให้หมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งหรือลำดับที่สองตามสมควรในฐานะหรือความใกล้ชิดของครอบครัวต่อบุคคลในราชวงศ์
หากแต่เป็นเจ้าชายลำดับที่สามอย่างเคียร์เนย์
ลอเรน วาสติน ที่นางถูกวางตัวให้หมั้นหมายด้วย...
นับเป็นความไม่เข้ากันที่ผู้คนคัดค้าน...มันไม่มีความเหมาะสมเลยเมื่อ
สตรีชนชั้นสูงผู้มีสายเลือดสูงศักดิ์แสนเพียบพร้อมจะต้องคู่กับเจ้าชายผู้ชั่วร้ายและลึกลับยากเข้าถึงเช่นเจ้าชายลำดับที่สามอย่างเคียร์เนย์
หากแต่ใครจะรู้ความจริงที่ว่า
เป็นเด็กหญิงเองต่างหากที่ประสงค์ในเจ้าชายผู้แตกแยกคนนี้....ถึงขนาดเมินเฉยต่อความเหมาะสมที่ว่านางต้องหมั้นหมายกับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งหรือสอง
อาร์ชดยุกฟาคอสผู้ตามใจบุตรียิ่งแม้จะกระด้างกระเดื่องใจที่บุตรีแสนรักปักใจในเจ้าชายที่ดูไร้อนาคตคนนี้จนเรียกร้องให้ตนได้หมั้นหมาย
แทนที่จะเลือกเจ้าชายผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์มากที่สุดแท้ๆ
ซึ่งในความโชคร้ายสำหรับอาร์ชดยุกฟาคอสนั้นก็ยังมีความโชคดีอยู่...เมื่อเจ้าชายลำดับสามผู้เกเรเป็นคนเอ่ยปฏิเสธที่จะหมั้นหมายด้วยตัวเอง
แต่น่าเศร้านักเมื่อความดื้อดึงของบุตรีมีมากมายนัก
แม้ตนจะไม่ได้รับการหมั้นหมายเพราะถูกปฏิเสธ
หากแต่ก็เรียกร้องจนกษัตริย์คาเทียสต้องให้นางเป็น...ว่าที่คนที่จะถูกวางตัวเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายลำดับสามแทน...
นับเป็นตำแหน่งที่ดูเลื่อนลอยยิ่ง...เพียงคู่หมั้นก็ไม่ได้เป็น
หนำซ้ำยังเป็นว่าที่ของคนที่ถูกวางตัวอีก
เรียกได้ว่าขุนนางหรือผู้คนในสังคมชั้นสูงที่เห็นก็รับรู้กันเป็นนัยๆว่า
เจ้าชายลำดับสามไม่เอานาง จึงต้องมีสถานะเช่นนี้
โชคยังดีที่เรื่องของการร้องขอการหมั้นหมายของนางถูกปกปิดไว้
มิเช่นนั้นคงเป็นเรื่องงามหน้าให้อับอาย
ที่บุตรีขอฝ่ายชายหมั้นแต่เขาไม่รับก็ยังดึงดันยัดเยียดให้...จนสุดท้ายต้องได้ตำแหน่งนี้มา
ผู้คนทั้งหลายต่างเข้าใจผิดคิดว่าบุตรีแห่งอาร์ชดยุกฟาคอสนั้นโชคร้ายที่ถูกวางตัวให้คู่กับเจ้าชายลำดับสามเพราะความต้องการของผู้เป็นบิดาอย่างอาร์ชดยุกฟาคอสที่ต้องการประกาศตนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางราชวงศ์
เพราะเลือกเจ้าชายผู้ถูกกษัตริย์คาเทียสเกลียดชังอย่างเจ้าชายลำดับสาม
เขาย่อมถูกกีดกันจากบัลลังก์อย่างชัดเจน
ซึ่งนั่นก็เป็นข้ออ้างที่น่าตลก...อำนาจหรือ
จะมีใครไม่ต้องการ หากแต่เพราะความต้องการของบุตรีที่รักยิ่งชีพ อาร์ชดยุกฟาคอสจึงยอมปิดหูปิดตา...อย่างน้อยบุตรชายคนโตของเขาก็ได้เป็นคนสนิทของเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง
ก็ยังพอมีอะไรทำเนา...
“ต้องขออภัยด้วยค่ะ...เจ้าชายเคียร์เนย์ทรงหายตัวไปหลังจากกลับมาจากสำนักเรียนตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ...”
เป็นข้ารับใช้สาวของเจ้าชายลำดับที่สามผู้เป็นคนที่เธอหมายปองเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่สำรวม
“เช่นนั้นเหรอ...ขอบคุณที่บอกนะคะ”
ฟิเลน่าที่แม้ได้ยินว่าว่าที่คู่หมั้นของตนหายตัวไป
ก็ไม่ได้แสดงทีท่าหงุดหงิดอะไร
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าชายลำดับที่สามนั้นลึกลับเพียงใด
น้อยคนนักที่จะพบเขาหากใม่ใช่ความต้องการของเขาเอง จึงเพียงตอบรับอย่างเรียบเฉยหนำซ้ำยังถ่อมเนื้อถ่อมตนเอ่ยขอบคุณบ่าวไพร่โดยไม่ถือตัว
กล่าวกันว่าท่านหญิงฟิเลน่านั้นคือสตรีผู้สมบูรณ์พร้อมไปด้วยมารยาทและการศึกษา
นางถูกสรรเสริญว่าเป็นหญิงงามที่สมบูรณ์พร้อมกว่าสตรีในรุ่นนี้อย่างแท้จริง
จึงไม่แปลกที่สายตาของผู้คนที่มองมายังนางจะต่างแสดงความเสียดาย...เมื่อโฉมงามที่เพียบพร้อมดันไปอยู่คู่กับเจ้าชายผู้เลวร้าย
ผู้คนต่างสงสารนาง
ในสายตาของพวกเขาต่างมองว่าท่านหญิงผู้โชคร้ายคนนี้มักค่อยตามหาว่าที่คู่หมั้นของตนอยู่เสมอ
บางครั้งก็ค่อยไถ่ถามความเป็นอยู่ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงต่อเจ้าชายลำดับที่สาม
ขนมนมเนยต่างๆหรือแม้กระทั่งของขวัญดีๆล้วนถูกส่งให้แก่เจ้าชายผู้เกเรคนนี้
นางนับเป็นคู่หมั้นที่ดีอย่างแท้จริง!
แต่เจ้าชายผู้เป็นคู่หมั้นอย่างเคียร์เนย์กลับไม่ใยดี ช่างเศร้าจริงๆ
หากแต่ในความคิดของฟิเลน่านั้นกำลังสั่นระรัวอย่างแท้จริง
ยิ่งชื่อเสียงในความดีงามของนางมีมากเท่าไหร่หรือผู้คนมากมายต่างพากันเห็นใจนางและยกยอนางว่าเป็นสตรีที่ดี
อย่างน้อยเขาจะต้องเห็นว่าการได้นางมาเป็นคู่หมั้นนั้นเป็นเรื่องที่ควรยินดีด้วยซ้ำ
“ข้าไม่ชอบเจ้า เพราะฉะนั้นต่อให้มาเป็นว่าที่คู่หมั้นหรือคู่หมั้นของข้า
ก็ล้วนไร้ประโยชน์”
นั่นเป็นคำกล่าวหนึ่งเมื่อครั้นอดีตของชายที่นางหลงรัก...ดวงตาสีเลือดคู่นั้นจับจ้องมายังที่นางราวกับเป็นของแถม
รอยยิ้มฉีกกว้างราวกับเย้ยหยันดูแคลนนาง
นางไม่เข้าใจว่าตนแย่หรืออย่างไร
รูปโฉมของตนก็นับว่างามคนหนึ่ง วิชาความรู้หรือกิริยามารยาทก็ล้วนตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนทุกคนต่างชื่นชม
เวทมนต์ในกายก็ไม่ด้อยไปกว่าเด็กชนชั้นสูงคนใด....แล้วทำไมเขาจึงไม่ชอบนางกัน....ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ?
ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ?
ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ? ทำไมล่ะ?
ทำไมล่ะ?...ทำไม?...
นางทำลายความคาดหวังของท่านพ่อ...ก็เพื่อจะได้เคียงคู่เขา
นางเมินเฉยต่อความเสียใจของมารดา...ก็เพื่อจะได้เขาเป็นคนรัก
นางทำร้ายความหวังดีของพี่ชาย...เพื่อจะได้สถานะข้างกายเขา
นางทำผิดมากมายลงไปก็เพราะรักเขา...เหตุใดเขาจึงไม่หันมามองนางบ้างเลย...
ภายใต้หน้ากากของท่านหญิงผู้สมบรูณ์แบบนั้นมีเพียงความแตกร้าวในใจและความสงสัยที่น่าชังต่อชายผู้ตนหลงใหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
.
.
.
“ทุกคนล้วนมีบาป”
เคยมีชายผู้หนึ่งเอ่ยกับมัวเรลล์เมื่อครั้นในอดีตชาติที่เนิ่นนาน...และเธอก็ยังคงจดจำมันได้ดี
ทั้งๆที่คำพูดนั้นช่างแสนธรรมดาและเรียบง่าย หากแต่เมื่อออกมาจากปากของผู้ชายคนนั้นแล้วมันกลับช่างดูหม่นหมองเสียจนฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเธอ
“ฉันไม่ได้บอกเพื่อให้เธอทำบาปเป็นเรื่องปกติเพราะเห็นว่าทุกคนมีบาปไม่ต่างกัน...แต่ฉันแค่อยากให้เธอตระหนักว่าอย่างน้อย
ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวบนโลกที่ผิด...อย่ากดดันโลกทั้งใบมาที่ตัวเอง อย่าแบกรับความรู้สึกจนพังลงและอย่าตอกย้ำการกระทำที่เลวร้ายให้ลึกลง...----“
ในอดีตเมื่อครั้งยังเด็ก...แม้แม่ของเธอจะย้ายบ้านบ่อย
หากแต่ก็มีที่ๆหนึ่งที่เธออยู่นานกว่าที่อื่นนัก เป็นเมืองเล็กๆในประเทศอเมริกา...และใกล้บ้านของเธอในช่วงเวลานั้นมีโบสถ์อยู่ไม่ไกล...
เธอที่แม้เป็นคนไทยแต่ก็ไม่ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอะไรเช่นมารดา
เป็นเพียงศาสนาที่ติดตัวมาตามบัตรประชาชนเท่านั้นและยิ่งศาสนาอื่นย่อมไม่ต้องพูดถึง....เธอไร้สิ้นศรัทธาอย่างแท้จริง...
หากแต่เป็นเพราะอะไรไม่รู้
บาทหลวงที่โบสถ์นั้นกลับเข้ามาตีสนิทกับเธอและเอ็นดูเธอราวกับเด็กที่ดีมากมายนัก
เธอไม่เคยแม้แต่จะกล่าวหรือทำอะไรให้เขาด้วยซ้ำ...
“เธอเป็นคนจีนเหรอ? หายากนะเนี่ย เมืองนี้ไม่ค่อยมีคนเอเชียอยู่เท่าไหร่ เธอน่ะเด่นมากๆเลยนะ”
เขาเป็นบาทหลวงหนุ่มที่ท่าทางไม่น่ามาทำงานอะไรแบบนี้
รูปร่างและหน้าตานั้นสมเป็นชาวนอร์ดิก เรือนผมสีทองและดวงตาสีฟ้านั้นสวยงามจนเธออิจฉา
เขาใส่กรอบแว่นสี่เหลี่ยมท่าทางเทอะทะ จนทำให้เขาดูคล้ายคนซุ่มซ่ามและไม่น่าพึ่งพาเท่าไหร่นัก...
เธอในคราแรกเมินเฉยต่อบาทหลวงผู้นี้....ด้วยจิตใจที่ปิดตายจากอดีตที่ยากแก้ไข
“ฉันชื่อ ----- ยินดีที่รู้จักนะ
คุณหนูตัวน้อย...เธอชื่ออะไรล่ะ?”
บาทหลวงหนุ่มเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรและอ่อนโยน
แสงสว่างพร่ามัวที่ดวงตาสีดำคู่นี้ จนทำให้เธอเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเด็กหลายๆคนที่มาโบสถ์จึงชอบเขา
สุดท้ายแล้วอาจเป็นเพราะแท้จริงแล้วจิตใจของเธอยังคงต้องการแสงสว่างหรือบาทหลวงที่อ่อนโยนกับเธอเกินไปจนทำให้เด็กหญิงวัยเพียงสิบสองปีเปิดใจหลังจากปิดตายไปนาน
“ชื่อของฉันเหรอ...---- เป็นคนไทย
ไม่ใช่คนจีน...”
เธอตอบกลับพลางจับจ้องไปยังดวงตาภายใต้กรอบแว่นคู่นั้น
มันยังคงส่องประกายความอ่อนโยนลงมาที่เธอ บางทีการที่เขาเป็นบาทหลวง จริงๆแล้วก็ดูเหมาะสมดี...เธอไม่เคยเห็นใครอ่อนโยนเท่าเขามาก่อน
“อย่างนั้นเหรอ
ขอโทษที่เข้าใจผิด....เป็นชื่อที่เพราะดีนะ”
เขาเอ่ยกับเธอด้วยรอยยิ้มที่ส่องสว่างราวกับพ่อพระผู้มาโปรด
ช่างเป็นคนที่ดูขาวบริสุทธิ์อย่างแท้จริง จนเธอคิดว่าเขาจะต้องเป็นคนดีอย่างแท้จริงเป็นแน่...
หากแต่ความจริงนั้นช่างน่าตลก...เธอในตอนวัยเด็กนั้นหารู้ไม่ว่า...เขานั่นแหละคือจุดเริ่มต้นหนึ่งของอีกความผิดที่ยากจะให้อภัยของเธอ...กลายเป็นบาปอันทับถมลงไป
“เอาล่ะ...มาสารภาพบาปกันนะ ----“
รอยยิ้มที่เป็นมิตรและดวงตาที่แสนอ่อนโยนนั่นลึกลงไปคือความกระหายต่อบาปที่ไม่มีที่สิ้นสุด
.
.
.
ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มีคำหยาบคายแทรกเข้ามา
ความจริงในนิยายของไรท์เป็นไปได้จะพยายามไม่ใช่คำหยาบ
แต่เนื่องจากต้องการสื่อช่วงอดีตของน้องเรย์ว่าผ่านความรุนแรงมาค่อยข้างหนัก
ประวัติชีวิตน้องเขาก็ดารค์ไม่แพ้พี่จอมมารเลยค่ะ555
ปล.ต้องขอโทษสำหรับใครที่ไม่โอเคกับคำหยาบคายจริงๆนะคะ
ส่วนตัวสัญญาว่าจะไม่ใส่คำหยาบพร่ำเพรื่อเด็ดขาดค่ะ
ความคิดเห็น