คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่6 การนอนหลับ
สุดท้ายแล้วสิ่งที่คงเหลืออยู่คือภาพของสตรีผู้เป็นมารดากำลังเปลือยเปล่าบนเตียงและชุดสวมใส่ที่กองลงตามพื้นอย่างไม่เป็นระเบียบนัก
กลิ่นควันหลงของยาสูบนั้นยังคงอบอวลไปทั่วห้องของบุตรชายคนนี้ซึ่งนับว่าเป็นเอกลักษณ์ที่คนในวังหลวงไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวนัก
แสงไฟมืดสลัวดึงดูดความลึกลับและน่าพิศวงสมเป็นปราสาทของเจ้าชายลำดับที่สามที่ผู้คนต่างเกรงกลัวได้เป็นอย่างดี
ร่างสูงของเด็กชายที่สง่าผ่าเผยและแข็งแรงกว่าเด็กชายในวัยเดียวกันทั่วไปนั้นลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่แสดงท่าทีอิดออดใดๆ
เขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกจัดวางเตรียมไว้โดยคนรับใช้ด้วยความนิ่งเฉยราวกับไม่ใส่ใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“นี่มันเช้ามืดเองนะ...ลูกไม่นอนต่อก่อนเหรอ?”
เป็นหญิงสาวผู้เป็นมารดาเอ่ยถามหากแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาสนใจอะไร
นางหมดแรงไปกับการมีเพศสัมพันธ์ที่แสนหนักหน่วงกับบุตรชายเมื่อคืนแล้ว...ปฏิเสธไม่ได้ว่าบุตรชายของนางนั้นจะต้องเป็นชายที่หญิงสาวทุกคนต่างลุ่มหลงจนมิอาจหลุดพ้นจากห้วงภวังค์แห่งราคะได้อีกเลย
หากเพียงได้นอนกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียวก็จดจำไปจนยากที่จะลบเลือน
“ไม่
ผมมีธุระที่ต้องไปทำ...อย่าลืมเก็บเสื้อผ้าและก็หาข้ออ้างในการมานอนที่นี้แล้วกัน...หากพระบิดารู้คงเป็นเรื่องน่ารำคาญ”
เคียร์เนย์ที่แม้คราแรกจะไม่มีอารมณ์อะไรนัก
แต่เมื่อไหนๆสตรีผู้เป็นมารดาอยาก เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะสนองความใคร่ของตัวเองด้วย
“งั้นเหรอ...จะว่าไปสาวใช้ของลูกนี่หน้าตาดีใช้ได้เลยนะ
ว่างๆก็ส่งไปดูแลแม่บ้างสิ”
สตรีผู้เป็นมารดาเอ่ยอย่างเชื่องช้าหากแต่สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉาเมื่อนึกถึงเหล่าบรรดาสาวใช้ของบุตรชายที่เยาว์วัยกว่าตนและรูปโฉมงามไม่น้อยนัก
ดูก็รู้ว่าสาวใช้เหล่านั้นคงล้วนต่างผ่านมือของบุตรชายมาหมดแล้วทั้งสิ้น
“เห็นทีคงจะไม่ได้ หากส่งให้ท่านไป
มีหวังได้ร่างไร้วิญญาณกลับมา...ข้าขี้เกียจหาคนใช้ใหม่เสียด้วย”
เคียร์เนย์เอ่ยปัดคำขออันไร้เหตุผลของมารดาที่เพียงแค่อยากกำจัดหญิงสาวที่เขามีสัมพันธ์ด้วยไม่ต่างจากนาง
ความหึงหวงเกินมารดาและบุตรนั้นทำให้เคียร์เนย์รู้สึกรำคาญไม่มากก็น้อย
ผู้หญิงในสายตาของจอมมารหนุ่มไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าที่ระบายความใคร่
การสืบพันธุ์ หรือสิ่งน่ารำคาญ น้อยนักที่จะหาประโยชน์ได้
การเหยียดหยามและดูแคลนนั้นฝังรากลึกอยู่ในตัวเขาอย่างชัดเจน...หากแต่ก็ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขายังมิได้ลิ้มลอง...เด็กหญิงเพียงคนเดียวที่เขาจะทะนุถนอมนางและมอบความโปรดปรานให้อย่างไร้เงื่อนไขใดๆ...นางจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขายกเว้นความดูแคลนและความเกลียดชังต่อทุกสิ่ง
“แล้วลูกจะไปทำธุระที่ไหนกันแน่?...หรือลูกจะไปหาอีเด็กต้องสาปนั่นอีกแล้ว”
คล้ายเป็นความไม่พอใจที่ส่งผ่านน้ำเสียงของสตรีผู้เป็นมารดา
ร่างอรชรลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางที่แข็งกร้าว ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปยังบุตรชายของตนด้วยความไม่พอใจ
หากแต่เพียงเสี้ยววิที่หญิงสาวแสดงความไม่พอใจและเอ่ยคำกล่าวนั้นออกมา
มือหนาของจอมมารหนุ่มก็กระชากใบหน้างามของผู้เป็นมารดามาบีบอย่างรุนแรง
“ข้าจะไปไหนหรือทำอะไรมันก็เรื่องของข้า...แล้วก็อย่าเรียกนางว่าอีเด็กต้องสาปนั่นอีก
ประเดี๋ยวหน้าสวยๆของท่านจะได้ใช้ในงาน...โสเภณี”
เคียร์เนย์ยื่นใบหน้าให้ใกล้ชิดกับผู้เป็นมารดาพลางเอ่ยกระซิบข้างหูของนางด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง
หากแต่น้ำเสียงกลับเย็นเฉียบ ดวงตาสีเลือดประกายแสงบ่งบอกความเอาจริงที่สามารถทำกับผู้ให้กำเนิดได้อย่างง่ายดายและไม่รู้สึกอะไร
เขาดูแลนางมาตั้งแต่เล็ก...ไม่เคยเรียกนางว่าอีเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ถ้อยคำหยาบคายใดๆล้วนไม่เคยใช้กับนางด้วยซ้ำไป เขาทะนุถนอมของเขามาอย่างถึงที่สุด
แล้วสตรีหน้าไม่อายผู้นี้เป็นใครถึงกล้าเรียกนางเช่นนั้นกัน
เป็นมารดาหรือ?...ในสายตาของเขาก็ไม่ต่างจากโสเภณีในร่างหญิงชนชั้นสูงที่วิ่งหาผู้ชายอย่างหน้าไม่อายเท่านั้น
ซึ่งก็นับว่าเป็นความจริงที่จอมมารผู้นี้ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะปล่อยมารดาให้ถูกย่ำยีในฐานะโสเภณีหรือฆ่านางด้วยสองมือคู่นี้
สายสัมพันธ์แม่ลูกที่บิดเบี้ยวสร้างความผิดหวังให้แก่เขาเนิ่นนานจนไร้สิ้นศรัทธา
“ข้าเป็นแม่เจ้านะ! เคียร์เนย์!”
สตรีผู้เป็นมารดาเอ่ยด้วยความไม่พอใจยิ่งขึ้นไปอีก
เล็บยาวพยายามจิกมือหนาที่บีบใบหน้าของตนอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายเพราะความเจ็บปวด
ดวงตาสีดำฉายแววความหวาดกลัวต่อบุตรชายขึ้นมาอย่างชัดเจน
หากเปรียบความรู้สึกของมารดาผู้นี้ที่มีต่อเขาแล้ว...นางคงลุ่มหลงและหลงใหลเขาในรูปโฉมราคะและความสามารถโดดเด่นพร้อมในสิ่งที่บุรุษควรมี
หากแต่ในขณะเดียวกันความหวาดกลัวที่มีต่อเขาก็ยังคงฝังรากลึกเช่นกัน
กลัวแต่ก็ยังใจกล้ามาสนองความใคร่ของตนเพราะไม่อาจยับยั้งใจในกิเลศและความพิศวาสได้...ไม่ให้เรียกว่าโง่เขลาแล้วจะเรียกว่าอะไรกัน...
“มารดา?...น่าขัน
มีมารดาที่ไหนนอนกับบุตรของตนกัน”
และยังไม่นับว่ามีมารดาที่ไหนเคยเกือบฆ่าบุตรของตัวเองโดยความตั้งใจเพราะความหวาดกลัวของตนเป็นใหญ่กัน
คิดแล้วก็ชวนหัวเราะอย่างน่าขบขันจริงๆ....
มันจะมีใครสักคนรักเขาบ้างไหม?
.
.
.
“ดูสิ
ท่านพี่เคียร์เนย์มาเรียนด้วยล่ะ...”
“หายากนัก…ปกติเขามักโดดเรียนเสมอเลย
ท่านอาจารย์แทบเกลียดขี้หน้าเขาจะตาย”
“นึกไงถึงมาเรียนกัน...คงไม่มาสร้างความวุ่นวายให้พวกเราหรอกใช่ไหม”
เป็นคำกล่าวมากมายจากเหล่าเจ้าชายที่เอ่ยออกมายามเมื่อเห็นเจ้าชายลำดับที่สามผู้เลื่องชื่อปรากฏตัวที่สำนักเรียน
ท่าทางที่นิ่งสงบและความสง่าที่แผ่ออกมานั้นบ่งบอกถึงความต่างชั้นของเจ้าชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะเหนือเจ้าชายทุกคนได้อย่างชัดเจน
เขาที่เพียงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำสนิทไร้ซึ่งลวดลายปักเย็บใดๆและเครื่องเพชรประดับที่เจ้าชายทุกคนสวมใส่แสดงฐานะนั้นกลับดูสูงส่งและสูงศักดิ์กว่าเจ้าชายทุกคนที่นี้มากมายนัก...เป็นบารมี
ไม่สิ เป็นรัศมีของผู้อยู่เหนือคนโดยกำเนิด
หาใช่สิ่งที่แม้แต่เจ้าชายทั้งหลายจะมีกันได้
ความอิจฉาปรากฏขึ้นกลางใจของเหล่าเจ้าชายหลายส่วน
ในขณะที่ความชมเชยเพียงเล็กน้อยยังไม่จางหายไปสักทีเดียว...
“ไม่คิดเลยว่าน้องสามจะมาเรียนด้วย
นับว่าช่างน่าประหลาดใจจริงๆ...นึกว่าเจ้าจะเกเรจนกู่ไม่กลับแล้วเสียอีก”
เป็นน้ำเสียงทุ้มเย็นที่ดูอ่อนโยนและนิ่งสงบเอ่ยขึ้นท่ามกลางความน่าอึดอัดนี้
ซึ่งเอกลักษณ์ในน้ำเสียงที่ชวนให้คนคล้อยตามได้อย่างราวกับต้องมนต์สะกดนั้นเป็นเอกเพียงหนึ่งในราชวงศ์วาสติน
เจ้าชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์วาสติน
ผู้ประสูติในพระสนมลำดับที่หนึ่ง เฟรดริก ลอเรน วาสติน
รูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มที่อายุราวยี่สิบปี แก่กว่าเจ้าชายลำดับสามอย่างเคียร์เนย์เพียงสองปี
ใบหน้าหล่อเหลาสมเป็นเจ้าชายชั้นผู้ดี หากแต่เมื่อเทียบกับผู้ชายด้วยกันแล้วกลับถูกเรียกว่างดงามเสียจะถูกกว่า
ดวงตาสีฟ้าอ่อนออกเขียวมรตจางๆนั้นแผ่ถึงความสงบนิ่งดุจน้ำกลางไผ่
เรือนผมยาวมัดรวบหลวมๆสีเหลืองทองอ่อนคล้ายฟางข้าวนั้นดูคล้ายแพรไหมชั้นดี
รอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่ใบหน้านั้นยังชัดเจนราวกับไม่มีวันหลุด
นับเป็นอีกคนที่น่ารำคาญสำหรับเคียร์เนย์อย่างยิ่งยวด
“พูดเช่นนั้นข้าเสียใจนะ
พี่สอง...’น้องรัก’ของท่านอุตส่าห์มาเรียนเพราะอยากเจอหน้าท่านแท้ๆเลยนะ”
เคียร์เนย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ยียวน
พลางวางระเบิดเล็กน้อยให้กับเจ้าชายผู้พี่ที่ชอบแสร้งตนว่าเป็นคนดีและเอ่ยแซะเขา
ซึ่งเขาก็รับรู้ดีว่าพี่ชายผู้นี้ริษยาเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...
“น้องรักอย่างนั้นเหรอ?....หมายความว่าไง ท่านพี่เฟรดริกสนิทกับท่านพี่เคียร์เนย์เหรอ”
“รู้ทั้งรู้ว่าไม่น่าไปยุ่งกับท่านพี่เกเรคนนั้นแท้ๆ
เขาคิดอะไรอยู่กัน?”
“หรือว่าบางทีท่านพี่เฟรดริกอาจจะคอยให้ท้ายท่านพี่เคียร์เนย์ก็ได้
แย่จริงๆ”
สังคมที่เรียกว่าเชื้อพระวงศ์นั้นสามารถตีไข่ใส่ความคนได้อย่างง่ายดายต่อให้ไม่เป็นเรื่องจริงก็ตาม
เพียงเพื่อกดภาพลักษณ์ของคนอื่นที่ไม่ใช่ตนให้ต่ำลง
“พูดเรื่องอะไรกัน น้องสาม....แม้จะไม่ได้สนิทกับเจ้ามากมายนัก
แต่ข้าก็เพียงแค่อยากให้เจ้าสนใจการเรียนตามประสาพี่ชายที่ดี ไม่สิ...’พี่น้องที่ดี’เท่านั้นเอง...และพี่เองก็คิดว่าพี่น้องทุกคนก็คงคิดเช่นนั้นใช่หรือไม่?”
เจ้าชายเฟรดริกที่แม้จะเสียท่าให้น้องชายต่างมารดาเล็กน้อย
ก็เอ่ยกู้คืนภาพลักษณ์กลับมาได้อย่างทันท่วงทีหนำซ้ำยังเอ่ยลากเหล่าบรรดาเจ้าชายทั้งหมดให้ตกอยู่สถานการณ์ไม่ต่างจากตน
“เออ...ใช่...ใช่แล้วครับ
ข้าน่ะอยากให้ท่านพี่เคียร์เนย์มาเรียนบ่อยๆอยู่แล้วครับ”
“นั่นสิ...เป็นพี่น้องกันก็ต้องช่วยสนับสนุนกันอยู่แล้ว”
“อย่างไงซะพวกเราก็อยากให้ท่านพี่เคียร์เนย์ตั้งใจเรียนตามประสาน้องที่ห่วงพี่อยู่แล้วล่ะครับ”
หากตอบว่าไม่
ทั้งที่รูปความกลายเป็นเจ้าชายลำดับที่สองกำลังหวังดีต่อเจ้าชายลำดับสามผู้เกเรในฐานะพี่ชายปกติทั่วไปแล้ว
ภาพลักษณ์ของเหล่าเจ้าชายที่นี้ก็คงดูจิตใจคับแคบนัก
เคียร์เนย์ที่ได้เห็นความสามารถกิ้งก่าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน
โยนขี้กันไปกันมา ช่างเป็นละครลิงที่ดูกี่ทีก็ยังคงน่าตลกจริงๆ
“แหมๆ ข้าล่ะรู้สึกดีใจจริงๆ
ที่เห็นพี่น้องทั้งหลายพยายามทำดี’เอาหน้า’กันเก่งเช่นนี้ แต่เอาเถอะ...น่าเสียดายนัก ที่ข้าคงต้องไปแล้ว
อาจารย์มิคโรเรียกข้ามาพบวันนี้...”
เคียร์เนย์ผู้เดิมทีนั้นหาได้ใส่ใจกับการมาเรียนไม่
มีหรือที่เขาจะโผล่มาที่สำนักเรียนด้วยเหตุผลตามประสาเด็กดี
แต่การได้แวะมาเห็นความวุ่นวายของเหล่าบรรดาเจ้าชายนั้นนับเป็นแค่การอยากเล่นสนุกเล็กๆน้อยๆของจอมมารหนุ่มผู้นี้เท่านั้นเอง
.
.
.
“มาช้าเสียจริง...มัวเล่นละครปาหี่อะไรอยู่กัน
เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างมากมายหรืออย่างไรกัน?”
เพียงเปิดประตูเข้ามา น้ำเสียงของชายแก่ที่แอบแฝงความหงุดหงิดและความไม่พอใจเอาไว้ก็เอ่ยแซะขึ้นในทันท่วงทีเมื่อเห็นใบหน้าของลูกศิษย์แสนน่าตายที่ดูเหมือนจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรแม้ตนจะปล่อยให้อาจารย์อย่างเขารอนานก็ตาม
เขาผู้เป็นถึง’อาจารย์ใหญ่แห่งราชสำนักราชวงศ์วาสติน’...ผู้สั่งสอนศาสตร์วิชาความรู้ให้แก่เหล่าทายาทกษัตริย์มาหลายชั่วรุ่นอายุคน
แม้แต่กษัตริย์คาเทียสก็ยังต้องเคารพเขาอยู่ถึงสามส่วน
หากแต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่กลับไร้ซึ่งความเคารพต่อเขาอย่างยิ่งยวด...ในบรรดาลูกศิษย์ที่สั่งสอนมาทั้งหมดล้วนเป็นเด็กนี่ที่หยิ่งยโสและแข็งกระด้างเป็นที่สุด
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นมันที่ได้ชื่อว่า’สมบูรณ์พร้อมที่สุดในบรรดาเจ้าชายทั้งมวล’...เป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ ดั่งผู้นำเหนือชนชั้นปกครอง
เป็นผู้กำเนิดมาเพื่ออยู่เหนือผู้คนโดยธรรมชาติ...
นี่แหละ...ชนชั้นปกครองที่แท้จริง หาใช่สิ่งแต่งแต้มตามสายเลือดหรือยศถาบรรดาศักดิ์ที่ผู้คนครอบครองได้
“เอาน่า
ข้ามาช้าเพราะอยากให้ท่านมีเวลาพักผ่อนไง! ช่างไม่เข้าใจความหวังดีของลูกศิษย์ที่แสนดีคนนี้เลยนะ
อาจารย์ที่เคารพรัก”
เคียร์เนย์ที่ความจริงแล้วตั้งใจปล่อยให้ชายแก่รอตนเนิ่นนานนั้นหาได้มีความรู้สึกผิดใดๆ
หนำซ้ำยังสนุกใจอีกต่างหากที่เห็นความเดือดดาลของปราชญ์ชราคนนี้
“กวนประสาท...ไร้สัมมาคารวะ”
มิคโรหรือชายแก่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์แห่งวาสติน
หนึ่งในสิบสองจอมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เลิกคาดหวังความประพฤติดีของเด็กหนุ่มตรงหน้า
เมื่อพบว่าตนนั้นสูญสิ้นหนทางที่จะทำให้เด็กหนุ่มผู้หยิ่งยโสทำตัวดีเฉกเช่นคนอื่นๆ
“ท่านเองก็เป็นผู้ใหญ่อายุต้องมากมายแล้ว
อย่า’ถือตนมาก’ให้มากความสิ อีกอย่างข้าอุตส่าห์มาพบท่าน...’ต้องก้มหัวขอบคุณข้าสิ...ถึงจะถูก’”
คำกล่าวประโยคหลังของเจ้าชายหนุ่มผู้แปลกแยกนั้นแสดงถึงความหยิ่งยโสอย่างชัดเจน
รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างอย่างยียวนและดวงตาสีเลือดทอแสงประกายความเย้ยหยันราวกับกำลังรอดูจอมปราชญ์ตรงหน้าให้ก้มหัวแทบเท้าเขา
มิคโรได้แต่กำฝ่ามือที่เหี่ยวย่นเล็กน้อย...หากแต่ก็ไม่ได้ชรามากมายไปตามวัยที่ล่วงเลยไปแน่นด้วยความคับแค้นใจ
เขาผู้เป็นถึงจอมปราชญ์ อายุยืนยาวนับร้อยกว่าปี สั่งสอนวีรชนมาแล้วก็เคย...แต่ไอ้เด็กไร้มารยาทนี่กลับกล้าดีอยากให้เขาก้มหัวให้
“เร็วหน่อยสิ ข้าเองก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ...หากไม่รีบทำ
ท่านก็คงต้องอดรับรู้เนื้อหากลสงครามแห่งเอลฟ์ยุคแรกเอานะ”
เคียร์เนย์เอ่ยย้ำด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้างกว่าเดิมราวกับกำลังยียวนให้ชายแก่ตรงหน้าหมดหนทาง
เพราะความทรงจำมากมายนั้นจึงทำให้จอมมารหนุ่มผู้นี้มีความรู้มากมายเกินกว่าชั่วอายุของมนุษย์หรือแม้แต่เอลฟ์และปีศาจจะค้นหาคำตอบและสะสมมันได้
ซึ่งความทรงจำสักสี่ห้าความทรงจำของเขานั้นครั้งหนึ่งเคยกำเนิดเป็นเอลฟ์ยุคแรกๆจากช่วงเวลาที่เนิ่นนานมากแล้ว
เพราะฉะนั้นแค่ตำราเอลฟ์เล่มเก่าๆ จึงแปลออกได้อย่างไม่ยากเย็น
สุดท้ายแล้วเป็นความเงียบที่ก่อเกิดขึ้นภายในห้อง
ชายแก่อัดอั้นอารมณ์โกรธาของตนอย่างถึงขีดสุด
ในขณะที่เด็กหนุ่มอย่างเคียร์เนย์กลับยืนยิ้มรอคำตอบด้วยความสุขใจ
“แกมันก็เป็นอย่างนี้ทุกที...เห็นแก่ตัวเอง”
มิคโรอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ...ทั้งๆที่มีสติปัญญามากมายขนาดนั้น...ความสามารถเองก็เป็นหนึ่ง...แต่เด็กชายผู้นี้กลับเมินเฉยที่จะนำความฉลาดและความสามารถนั้นมาพัฒนาอาณาจักร...ไม่สิ
นำมาพัฒนาความรู้ของมนุษย์ชาติด้วยซ้ำไป
“พูดอะไรอย่างนั้นกัน...คนที่ได้หน้าที่สุดก็เป็นท่านมิใช่หรือ
นักปราชญ์แห่งวาสติน”
เคียร์เนย์หาได้ทุกข์ร้อนกับคำกล่าวของชายแก่ไม่
หนำซ้ำยังรู้สึกขบขันจนหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์
หาได้เป็นเรื่องของส่วนร่วมหรือเพื่อมนุษยชาติอะไร
ผลงานเอกยุคหลังอันเป็นที่สร้างชื่อให้แก่จอมปราชญ์แห่งวาสตินมาเรื่อยๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเขาที่แปลมันออกมาหรือประพันธ์ขึ้นเอง...ถ้าไม่มีเขามีหรือชายแก่ตรงหน้าจะได้รับการจดจำที่ยาวนาน
ความจริงแล้วจอมปราชญ์ตรงหน้าหมดสิ้นผลงานมาตลอดในช่วงอายุหลังจากร้อยปี
ไม่ช้าก็คงถูกหลงลืมและถูกจารึกลงบนเพียงหน้ากระดาษหนังสือเรียน ตำแหน่งหนึ่งในสิบสองจอมปราชญ์ก็คงกลายเป็นแค่อดีต
“ทุกอย่างล้วนมีค่าตอบแทนทั้งสิ้น....ท่านได้หน้า
ข้าได้ผล จะมีสิ่งใดที่ท่านเรียกร้องจากข้าอีกกัน หากจะเรียกร้องหาความยุติธรรมในความคดโกง
ก็คงเป็นเรื่องที่เขลายิ่ง”
เคียร์เนย์มอบชื่อเสียงและเกียรติยศที่ยังคงอยู่ให้แก่ชายชรา
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้คุมหางของชายผู้นี้เพื่อเป็นอำนาจทางหนึ่งของตน
.
.
.
เคียร์เนย์รู้ดีว่านิสัยของเขาจะถูกผู้คนเกลียดชัง
ไม่มีความช่วยเหลือหรือมิตรภาพใดๆจะถูกส่งมา...เป็นความโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง...และเพราะเป็นเช่นนั้น
เขาจึงต้องหาอำนาจ...เพื่อเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่ตกลงมาและไม่ถูกผู้คนทำร้ายได้
มันก็แค่สิ่งที่เขาทำเพื่อให้ตนเองยังยิ้มได้เฉกเช่นเดิม…
“เคียร์…กลับมาแล้วเหรอ
เหนื่อยรึเปล่า?”
เป็นน้ำเสียงคุ้นที่เอ่ยขึ้นกับจอมมารหนุ่ม
ท่าทางที่ดูงัวเงียจากการพึ่งตื่นนอนนั้นเป็นภาพที่เห็นจนชินตาเสมอของเขา สร้างความผ่อนคลายและความอบอุ่นให้กับเคียร์เนย์ได้อย่างน่าแปลกประหลาด
เขาไม่เคยเลยที่จะได้อยู่ในสถานที่หรือผู้คนที่รู้สึกปลอดภัยเลยสักครั้ง...หากแต่เด็กหญิงตรงหน้ากลับทำให้เขารู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก...มันทำให้เขารู้สึกขอบคุณ
ท่ามกลางความเหนื่อยล้าที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความโสมม...เขาได้รู้สึกแล้ว...ความปลอดภัยและความสุขอันเรียบง่ายในชีวิต
ไม่ต้องฝืนทนยิ้มตลอดไป ไม่ต้องทำตัวร้ายกาจชั่วชีวิต หรือแหลกเหลวในสายตาใคร
“อืม วันนี้ข้าเหนื่อย...ขอนอนที่นี้นะ”
เคียร์เนย์เลี่ยงหนีความวุ่นวายในชีวิตเพื่อมาหาเด็กหญิง...เขาทิ้งตัวลงที่เตียงนอนของนางอย่างอ่อนล้า
ใบหน้าที่มักประดับยิ้มยียวนกลายเป็นความนิ่งเฉยต่อทุกสิ่ง
ดวงตาคล้ายจะปิดลงทีละนิด
มัวเรลล์ที่อยู่บนเตียงอยู่แล้วไม่ปฏิเสธอะไร
ยิ่งเห็นท่าทางที่เหนื่อยล้าของเด็กหนุ่ม ก็ทำให้เด็กหญิงคอยดูแลเขาอย่างดีเสียอีก
มือบางทั้งสองพยายามดึงร่างสูงของเด็กหนุ่มให้นอนบนเตียงดีๆและจัดหัวของเขาให้ตรงหมอนเพื่อนอนสบายๆ
ก่อนคลุมผ้าห่มผืนหนาให้แก่จอมมารหนุ่มอย่างเงียบๆ....พลางเฝ้ามองเขาหลับ
และเมื่อเห็นจอมมารหนุ่มหลับเป็นตายแล้ว
เด็กหญิงก็มุดตัวเข้าที่เตียงนอนและผ้าห่มเตรียมจะนอนต่อข้างๆด้วยเช่นกัน
มือเล็กใต้ผ้าห่มเลื่อนมากุมมือหนาที่หยาบกระด้างของเด็กหนุ่ม...ใบหน้างามล้ำเลื่อนขยับมาใกล้เขา
ก่อนอิงหน้าผากของตนให้ชนกับเด็กหนุ่ม จมูกของเธอและเขาเกลี่ยชนกัน
ซึ่งเพียงไม่นาน....เด็กหญิงก็หลับไป
ในขณะที่ดวงตาสีเลือดลืมตาขึ้นมามองดูภาพและความอบอุ่นที่เกิดขึ้น...เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
น่าเอ็นดูจริงๆ...คงมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่ทำกับเขาเช่นนี้...หาใช่ความหวาดกลัว
แต่เป็นความเป็นห่วง
หากเขาอยู่ใกล้นาง
หากใช้เวลาทั้งชีวิตกับนาง...เขาจะมีความสุขจนต้องตายลงหรือเปล่านะ?
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี....
ดวงตาสีเลือดปิดลงอีกครั้งก่อนที่ลมหายใจนั้นจะคงที่
บ่งบอกถึงความเงียบสงบที่จอมมารผู้นี้ไม่เคยแม้แต่จะได้รับจากสถานที่ที่เรียกว่าบ้านของตนหรือคนที่เรียกว่าครอบครัว
.
.
.
ความคิดเห็น