ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แด่เธอผู้เป็นสตรีของจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่6 การนอนหลับ

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 63


      

    สุดท้ายแล้วสิ่งที่คงเหลืออยู่คือภาพของสตรีผู้เป็นมารดากำลังเปลือยเปล่าบนเตียงและชุดสวมใส่ที่กองลงตามพื้นอย่างไม่เป็นระเบียบนัก กลิ่นควันหลงของยาสูบนั้นยังคงอบอวลไปทั่วห้องของบุตรชายคนนี้ซึ่งนับว่าเป็นเอกลักษณ์ที่คนในวังหลวงไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวนัก แสงไฟมืดสลัวดึงดูดความลึกลับและน่าพิศวงสมเป็นปราสาทของเจ้าชายลำดับที่สามที่ผู้คนต่างเกรงกลัวได้เป็นอย่างดี

     

    ร่างสูงของเด็กชายที่สง่าผ่าเผยและแข็งแรงกว่าเด็กชายในวัยเดียวกันทั่วไปนั้นลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่แสดงท่าทีอิดออดใดๆ เขาสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกจัดวางเตรียมไว้โดยคนรับใช้ด้วยความนิ่งเฉยราวกับไม่ใส่ใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

     

    นี่มันเช้ามืดเองนะ...ลูกไม่นอนต่อก่อนเหรอ?”

    เป็นหญิงสาวผู้เป็นมารดาเอ่ยถามหากแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาสนใจอะไร นางหมดแรงไปกับการมีเพศสัมพันธ์ที่แสนหนักหน่วงกับบุตรชายเมื่อคืนแล้ว...ปฏิเสธไม่ได้ว่าบุตรชายของนางนั้นจะต้องเป็นชายที่หญิงสาวทุกคนต่างลุ่มหลงจนมิอาจหลุดพ้นจากห้วงภวังค์แห่งราคะได้อีกเลย หากเพียงได้นอนกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียวก็จดจำไปจนยากที่จะลบเลือน

     

    ไม่ ผมมีธุระที่ต้องไปทำ...อย่าลืมเก็บเสื้อผ้าและก็หาข้ออ้างในการมานอนที่นี้แล้วกัน...หากพระบิดารู้คงเป็นเรื่องน่ารำคาญ

    เคียร์เนย์ที่แม้คราแรกจะไม่มีอารมณ์อะไรนัก แต่เมื่อไหนๆสตรีผู้เป็นมารดาอยาก เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะสนองความใคร่ของตัวเองด้วย

     

    งั้นเหรอ...จะว่าไปสาวใช้ของลูกนี่หน้าตาดีใช้ได้เลยนะ ว่างๆก็ส่งไปดูแลแม่บ้างสิ

    สตรีผู้เป็นมารดาเอ่ยอย่างเชื่องช้าหากแต่สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉาเมื่อนึกถึงเหล่าบรรดาสาวใช้ของบุตรชายที่เยาว์วัยกว่าตนและรูปโฉมงามไม่น้อยนัก ดูก็รู้ว่าสาวใช้เหล่านั้นคงล้วนต่างผ่านมือของบุตรชายมาหมดแล้วทั้งสิ้น

     

    เห็นทีคงจะไม่ได้ หากส่งให้ท่านไป มีหวังได้ร่างไร้วิญญาณกลับมา...ข้าขี้เกียจหาคนใช้ใหม่เสียด้วย

    เคียร์เนย์เอ่ยปัดคำขออันไร้เหตุผลของมารดาที่เพียงแค่อยากกำจัดหญิงสาวที่เขามีสัมพันธ์ด้วยไม่ต่างจากนาง ความหึงหวงเกินมารดาและบุตรนั้นทำให้เคียร์เนย์รู้สึกรำคาญไม่มากก็น้อย

     

    ผู้หญิงในสายตาของจอมมารหนุ่มไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าที่ระบายความใคร่ การสืบพันธุ์ หรือสิ่งน่ารำคาญ น้อยนักที่จะหาประโยชน์ได้ การเหยียดหยามและดูแคลนนั้นฝังรากลึกอยู่ในตัวเขาอย่างชัดเจน...หากแต่ก็ยังมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขายังมิได้ลิ้มลอง...เด็กหญิงเพียงคนเดียวที่เขาจะทะนุถนอมนางและมอบความโปรดปรานให้อย่างไร้เงื่อนไขใดๆ...นางจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขายกเว้นความดูแคลนและความเกลียดชังต่อทุกสิ่ง

     

    แล้วลูกจะไปทำธุระที่ไหนกันแน่?...หรือลูกจะไปหาอีเด็กต้องสาปนั่นอีกแล้ว

    คล้ายเป็นความไม่พอใจที่ส่งผ่านน้ำเสียงของสตรีผู้เป็นมารดา ร่างอรชรลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางที่แข็งกร้าว ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องไปยังบุตรชายของตนด้วยความไม่พอใจ

     

    หากแต่เพียงเสี้ยววิที่หญิงสาวแสดงความไม่พอใจและเอ่ยคำกล่าวนั้นออกมา มือหนาของจอมมารหนุ่มก็กระชากใบหน้างามของผู้เป็นมารดามาบีบอย่างรุนแรง

     

    ข้าจะไปไหนหรือทำอะไรมันก็เรื่องของข้า...แล้วก็อย่าเรียกนางว่าอีเด็กต้องสาปนั่นอีก ประเดี๋ยวหน้าสวยๆของท่านจะได้ใช้ในงาน...โสเภณี

    เคียร์เนย์ยื่นใบหน้าให้ใกล้ชิดกับผู้เป็นมารดาพลางเอ่ยกระซิบข้างหูของนางด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง หากแต่น้ำเสียงกลับเย็นเฉียบ ดวงตาสีเลือดประกายแสงบ่งบอกความเอาจริงที่สามารถทำกับผู้ให้กำเนิดได้อย่างง่ายดายและไม่รู้สึกอะไร

     

    เขาดูแลนางมาตั้งแต่เล็ก...ไม่เคยเรียกนางว่าอีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้อยคำหยาบคายใดๆล้วนไม่เคยใช้กับนางด้วยซ้ำไป เขาทะนุถนอมของเขามาอย่างถึงที่สุด แล้วสตรีหน้าไม่อายผู้นี้เป็นใครถึงกล้าเรียกนางเช่นนั้นกัน

     

    เป็นมารดาหรือ?...ในสายตาของเขาก็ไม่ต่างจากโสเภณีในร่างหญิงชนชั้นสูงที่วิ่งหาผู้ชายอย่างหน้าไม่อายเท่านั้น

     

    ซึ่งก็นับว่าเป็นความจริงที่จอมมารผู้นี้ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะปล่อยมารดาให้ถูกย่ำยีในฐานะโสเภณีหรือฆ่านางด้วยสองมือคู่นี้ สายสัมพันธ์แม่ลูกที่บิดเบี้ยวสร้างความผิดหวังให้แก่เขาเนิ่นนานจนไร้สิ้นศรัทธา

     

    ข้าเป็นแม่เจ้านะ! เคียร์เนย์!”

    สตรีผู้เป็นมารดาเอ่ยด้วยความไม่พอใจยิ่งขึ้นไปอีก  เล็บยาวพยายามจิกมือหนาที่บีบใบหน้าของตนอยู่อย่างเอาเป็นเอาตายเพราะความเจ็บปวด ดวงตาสีดำฉายแววความหวาดกลัวต่อบุตรชายขึ้นมาอย่างชัดเจน

     

    หากเปรียบความรู้สึกของมารดาผู้นี้ที่มีต่อเขาแล้ว...นางคงลุ่มหลงและหลงใหลเขาในรูปโฉมราคะและความสามารถโดดเด่นพร้อมในสิ่งที่บุรุษควรมี หากแต่ในขณะเดียวกันความหวาดกลัวที่มีต่อเขาก็ยังคงฝังรากลึกเช่นกัน

     

    กลัวแต่ก็ยังใจกล้ามาสนองความใคร่ของตนเพราะไม่อาจยับยั้งใจในกิเลศและความพิศวาสได้...ไม่ให้เรียกว่าโง่เขลาแล้วจะเรียกว่าอะไรกัน...

     

    มารดา?...น่าขัน มีมารดาที่ไหนนอนกับบุตรของตนกัน

     

    และยังไม่นับว่ามีมารดาที่ไหนเคยเกือบฆ่าบุตรของตัวเองโดยความตั้งใจเพราะความหวาดกลัวของตนเป็นใหญ่กัน

     

    คิดแล้วก็ชวนหัวเราะอย่างน่าขบขันจริงๆ....

     

    มันจะมีใครสักคนรักเขาบ้างไหม?

     

    .

    .

    .

     

    ดูสิ ท่านพี่เคียร์เนย์มาเรียนด้วยล่ะ...

    หายากนักปกติเขามักโดดเรียนเสมอเลย ท่านอาจารย์แทบเกลียดขี้หน้าเขาจะตาย

    นึกไงถึงมาเรียนกัน...คงไม่มาสร้างความวุ่นวายให้พวกเราหรอกใช่ไหม

     

    เป็นคำกล่าวมากมายจากเหล่าเจ้าชายที่เอ่ยออกมายามเมื่อเห็นเจ้าชายลำดับที่สามผู้เลื่องชื่อปรากฏตัวที่สำนักเรียน ท่าทางที่นิ่งสงบและความสง่าที่แผ่ออกมานั้นบ่งบอกถึงความต่างชั้นของเจ้าชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะเหนือเจ้าชายทุกคนได้อย่างชัดเจน

     

    เขาที่เพียงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีดำสนิทไร้ซึ่งลวดลายปักเย็บใดๆและเครื่องเพชรประดับที่เจ้าชายทุกคนสวมใส่แสดงฐานะนั้นกลับดูสูงส่งและสูงศักดิ์กว่าเจ้าชายทุกคนที่นี้มากมายนัก...เป็นบารมี ไม่สิ เป็นรัศมีของผู้อยู่เหนือคนโดยกำเนิด หาใช่สิ่งที่แม้แต่เจ้าชายทั้งหลายจะมีกันได้

     

    ความอิจฉาปรากฏขึ้นกลางใจของเหล่าเจ้าชายหลายส่วน ในขณะที่ความชมเชยเพียงเล็กน้อยยังไม่จางหายไปสักทีเดียว...

     

    ไม่คิดเลยว่าน้องสามจะมาเรียนด้วย นับว่าช่างน่าประหลาดใจจริงๆ...นึกว่าเจ้าจะเกเรจนกู่ไม่กลับแล้วเสียอีก

    เป็นน้ำเสียงทุ้มเย็นที่ดูอ่อนโยนและนิ่งสงบเอ่ยขึ้นท่ามกลางความน่าอึดอัดนี้ ซึ่งเอกลักษณ์ในน้ำเสียงที่ชวนให้คนคล้อยตามได้อย่างราวกับต้องมนต์สะกดนั้นเป็นเอกเพียงหนึ่งในราชวงศ์วาสติน

     

    เจ้าชายลำดับที่สองแห่งราชวงศ์วาสติน ผู้ประสูติในพระสนมลำดับที่หนึ่ง เฟรดริก ลอเรน วาสติน

     

    รูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มที่อายุราวยี่สิบปี แก่กว่าเจ้าชายลำดับสามอย่างเคียร์เนย์เพียงสองปี ใบหน้าหล่อเหลาสมเป็นเจ้าชายชั้นผู้ดี หากแต่เมื่อเทียบกับผู้ชายด้วยกันแล้วกลับถูกเรียกว่างดงามเสียจะถูกกว่า ดวงตาสีฟ้าอ่อนออกเขียวมรตจางๆนั้นแผ่ถึงความสงบนิ่งดุจน้ำกลางไผ่ เรือนผมยาวมัดรวบหลวมๆสีเหลืองทองอ่อนคล้ายฟางข้าวนั้นดูคล้ายแพรไหมชั้นดี รอยยิ้มอ่อนโยนประดับที่ใบหน้านั้นยังชัดเจนราวกับไม่มีวันหลุด

     

    นับเป็นอีกคนที่น่ารำคาญสำหรับเคียร์เนย์อย่างยิ่งยวด

     

    พูดเช่นนั้นข้าเสียใจนะ พี่สอง...น้องรักของท่านอุตส่าห์มาเรียนเพราะอยากเจอหน้าท่านแท้ๆเลยนะ

    เคียร์เนย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ยียวน พลางวางระเบิดเล็กน้อยให้กับเจ้าชายผู้พี่ที่ชอบแสร้งตนว่าเป็นคนดีและเอ่ยแซะเขา ซึ่งเขาก็รับรู้ดีว่าพี่ชายผู้นี้ริษยาเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...

     

    น้องรักอย่างนั้นเหรอ?....หมายความว่าไง ท่านพี่เฟรดริกสนิทกับท่านพี่เคียร์เนย์เหรอ

    รู้ทั้งรู้ว่าไม่น่าไปยุ่งกับท่านพี่เกเรคนนั้นแท้ๆ เขาคิดอะไรอยู่กัน?”

    หรือว่าบางทีท่านพี่เฟรดริกอาจจะคอยให้ท้ายท่านพี่เคียร์เนย์ก็ได้ แย่จริงๆ

     

    สังคมที่เรียกว่าเชื้อพระวงศ์นั้นสามารถตีไข่ใส่ความคนได้อย่างง่ายดายต่อให้ไม่เป็นเรื่องจริงก็ตาม เพียงเพื่อกดภาพลักษณ์ของคนอื่นที่ไม่ใช่ตนให้ต่ำลง

     

    พูดเรื่องอะไรกัน น้องสาม....แม้จะไม่ได้สนิทกับเจ้ามากมายนัก แต่ข้าก็เพียงแค่อยากให้เจ้าสนใจการเรียนตามประสาพี่ชายที่ดี ไม่สิ...พี่น้องที่ดีเท่านั้นเอง...และพี่เองก็คิดว่าพี่น้องทุกคนก็คงคิดเช่นนั้นใช่หรือไม่?”

    เจ้าชายเฟรดริกที่แม้จะเสียท่าให้น้องชายต่างมารดาเล็กน้อย ก็เอ่ยกู้คืนภาพลักษณ์กลับมาได้อย่างทันท่วงทีหนำซ้ำยังเอ่ยลากเหล่าบรรดาเจ้าชายทั้งหมดให้ตกอยู่สถานการณ์ไม่ต่างจากตน

     

    เออ...ใช่...ใช่แล้วครับ ข้าน่ะอยากให้ท่านพี่เคียร์เนย์มาเรียนบ่อยๆอยู่แล้วครับ

    นั่นสิ...เป็นพี่น้องกันก็ต้องช่วยสนับสนุนกันอยู่แล้ว

    อย่างไงซะพวกเราก็อยากให้ท่านพี่เคียร์เนย์ตั้งใจเรียนตามประสาน้องที่ห่วงพี่อยู่แล้วล่ะครับ

     

    หากตอบว่าไม่ ทั้งที่รูปความกลายเป็นเจ้าชายลำดับที่สองกำลังหวังดีต่อเจ้าชายลำดับสามผู้เกเรในฐานะพี่ชายปกติทั่วไปแล้ว ภาพลักษณ์ของเหล่าเจ้าชายที่นี้ก็คงดูจิตใจคับแคบนัก

     

    เคียร์เนย์ที่ได้เห็นความสามารถกิ้งก่าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วนั้นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน โยนขี้กันไปกันมา ช่างเป็นละครลิงที่ดูกี่ทีก็ยังคงน่าตลกจริงๆ

     

    แหมๆ ข้าล่ะรู้สึกดีใจจริงๆ ที่เห็นพี่น้องทั้งหลายพยายามทำดีเอาหน้ากันเก่งเช่นนี้ แต่เอาเถอะ...น่าเสียดายนัก ที่ข้าคงต้องไปแล้ว อาจารย์มิคโรเรียกข้ามาพบวันนี้...

    เคียร์เนย์ผู้เดิมทีนั้นหาได้ใส่ใจกับการมาเรียนไม่ มีหรือที่เขาจะโผล่มาที่สำนักเรียนด้วยเหตุผลตามประสาเด็กดี

     

    แต่การได้แวะมาเห็นความวุ่นวายของเหล่าบรรดาเจ้าชายนั้นนับเป็นแค่การอยากเล่นสนุกเล็กๆน้อยๆของจอมมารหนุ่มผู้นี้เท่านั้นเอง

     

    .

    .

    .

     

    มาช้าเสียจริง...มัวเล่นละครปาหี่อะไรอยู่กัน เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างมากมายหรืออย่างไรกัน?”

    เพียงเปิดประตูเข้ามา น้ำเสียงของชายแก่ที่แอบแฝงความหงุดหงิดและความไม่พอใจเอาไว้ก็เอ่ยแซะขึ้นในทันท่วงทีเมื่อเห็นใบหน้าของลูกศิษย์แสนน่าตายที่ดูเหมือนจะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรแม้ตนจะปล่อยให้อาจารย์อย่างเขารอนานก็ตาม

     

    เขาผู้เป็นถึงอาจารย์ใหญ่แห่งราชสำนักราชวงศ์วาสติน...ผู้สั่งสอนศาสตร์วิชาความรู้ให้แก่เหล่าทายาทกษัตริย์มาหลายชั่วรุ่นอายุคน แม้แต่กษัตริย์คาเทียสก็ยังต้องเคารพเขาอยู่ถึงสามส่วน

     

    หากแต่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่กลับไร้ซึ่งความเคารพต่อเขาอย่างยิ่งยวด...ในบรรดาลูกศิษย์ที่สั่งสอนมาทั้งหมดล้วนเป็นเด็กนี่ที่หยิ่งยโสและแข็งกระด้างเป็นที่สุด

     

    แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นมันที่ได้ชื่อว่าสมบูรณ์พร้อมที่สุดในบรรดาเจ้าชายทั้งมวล...เป็นอัจฉริยะเหนืออัจฉริยะ ดั่งผู้นำเหนือชนชั้นปกครอง เป็นผู้กำเนิดมาเพื่ออยู่เหนือผู้คนโดยธรรมชาติ...

     

    นี่แหละ...ชนชั้นปกครองที่แท้จริง หาใช่สิ่งแต่งแต้มตามสายเลือดหรือยศถาบรรดาศักดิ์ที่ผู้คนครอบครองได้

     

    เอาน่า ข้ามาช้าเพราะอยากให้ท่านมีเวลาพักผ่อนไง! ช่างไม่เข้าใจความหวังดีของลูกศิษย์ที่แสนดีคนนี้เลยนะ อาจารย์ที่เคารพรัก

    เคียร์เนย์ที่ความจริงแล้วตั้งใจปล่อยให้ชายแก่รอตนเนิ่นนานนั้นหาได้มีความรู้สึกผิดใดๆ หนำซ้ำยังสนุกใจอีกต่างหากที่เห็นความเดือดดาลของปราชญ์ชราคนนี้

     

    กวนประสาท...ไร้สัมมาคารวะ

    มิคโรหรือชายแก่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์แห่งวาสติน หนึ่งในสิบสองจอมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เลิกคาดหวังความประพฤติดีของเด็กหนุ่มตรงหน้า เมื่อพบว่าตนนั้นสูญสิ้นหนทางที่จะทำให้เด็กหนุ่มผู้หยิ่งยโสทำตัวดีเฉกเช่นคนอื่นๆ

     

    ท่านเองก็เป็นผู้ใหญ่อายุต้องมากมายแล้ว อย่าถือตนมากให้มากความสิ อีกอย่างข้าอุตส่าห์มาพบท่าน...ต้องก้มหัวขอบคุณข้าสิ...ถึงจะถูก’”

    คำกล่าวประโยคหลังของเจ้าชายหนุ่มผู้แปลกแยกนั้นแสดงถึงความหยิ่งยโสอย่างชัดเจน รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างอย่างยียวนและดวงตาสีเลือดทอแสงประกายความเย้ยหยันราวกับกำลังรอดูจอมปราชญ์ตรงหน้าให้ก้มหัวแทบเท้าเขา

     

    มิคโรได้แต่กำฝ่ามือที่เหี่ยวย่นเล็กน้อย...หากแต่ก็ไม่ได้ชรามากมายไปตามวัยที่ล่วงเลยไปแน่นด้วยความคับแค้นใจ เขาผู้เป็นถึงจอมปราชญ์ อายุยืนยาวนับร้อยกว่าปี สั่งสอนวีรชนมาแล้วก็เคย...แต่ไอ้เด็กไร้มารยาทนี่กลับกล้าดีอยากให้เขาก้มหัวให้

     

    เร็วหน่อยสิ ข้าเองก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ...หากไม่รีบทำ ท่านก็คงต้องอดรับรู้เนื้อหากลสงครามแห่งเอลฟ์ยุคแรกเอานะ”

    เคียร์เนย์เอ่ยย้ำด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้างกว่าเดิมราวกับกำลังยียวนให้ชายแก่ตรงหน้าหมดหนทาง เพราะความทรงจำมากมายนั้นจึงทำให้จอมมารหนุ่มผู้นี้มีความรู้มากมายเกินกว่าชั่วอายุของมนุษย์หรือแม้แต่เอลฟ์และปีศาจจะค้นหาคำตอบและสะสมมันได้ ซึ่งความทรงจำสักสี่ห้าความทรงจำของเขานั้นครั้งหนึ่งเคยกำเนิดเป็นเอลฟ์ยุคแรกๆจากช่วงเวลาที่เนิ่นนานมากแล้ว เพราะฉะนั้นแค่ตำราเอลฟ์เล่มเก่าๆ จึงแปลออกได้อย่างไม่ยากเย็น

     

    สุดท้ายแล้วเป็นความเงียบที่ก่อเกิดขึ้นภายในห้อง ชายแก่อัดอั้นอารมณ์โกรธาของตนอย่างถึงขีดสุด ในขณะที่เด็กหนุ่มอย่างเคียร์เนย์กลับยืนยิ้มรอคำตอบด้วยความสุขใจ

     

    แกมันก็เป็นอย่างนี้ทุกที...เห็นแก่ตัวเอง

    มิคโรอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ...ทั้งๆที่มีสติปัญญามากมายขนาดนั้น...ความสามารถเองก็เป็นหนึ่ง...แต่เด็กชายผู้นี้กลับเมินเฉยที่จะนำความฉลาดและความสามารถนั้นมาพัฒนาอาณาจักร...ไม่สิ นำมาพัฒนาความรู้ของมนุษย์ชาติด้วยซ้ำไป

     

    พูดอะไรอย่างนั้นกัน...คนที่ได้หน้าที่สุดก็เป็นท่านมิใช่หรือ นักปราชญ์แห่งวาสติน

    เคียร์เนย์หาได้ทุกข์ร้อนกับคำกล่าวของชายแก่ไม่ หนำซ้ำยังรู้สึกขบขันจนหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ

     

    สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องของผลประโยชน์ หาได้เป็นเรื่องของส่วนร่วมหรือเพื่อมนุษยชาติอะไร

     

    ผลงานเอกยุคหลังอันเป็นที่สร้างชื่อให้แก่จอมปราชญ์แห่งวาสตินมาเรื่อยๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเขาที่แปลมันออกมาหรือประพันธ์ขึ้นเอง...ถ้าไม่มีเขามีหรือชายแก่ตรงหน้าจะได้รับการจดจำที่ยาวนาน

     

    ความจริงแล้วจอมปราชญ์ตรงหน้าหมดสิ้นผลงานมาตลอดในช่วงอายุหลังจากร้อยปี ไม่ช้าก็คงถูกหลงลืมและถูกจารึกลงบนเพียงหน้ากระดาษหนังสือเรียน ตำแหน่งหนึ่งในสิบสองจอมปราชญ์ก็คงกลายเป็นแค่อดีต

     

    ทุกอย่างล้วนมีค่าตอบแทนทั้งสิ้น....ท่านได้หน้า ข้าได้ผล จะมีสิ่งใดที่ท่านเรียกร้องจากข้าอีกกัน หากจะเรียกร้องหาความยุติธรรมในความคดโกง ก็คงเป็นเรื่องที่เขลายิ่ง

     

    เคียร์เนย์มอบชื่อเสียงและเกียรติยศที่ยังคงอยู่ให้แก่ชายชรา แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้คุมหางของชายผู้นี้เพื่อเป็นอำนาจทางหนึ่งของตน

     

    .

    .

    .

     

    เคียร์เนย์รู้ดีว่านิสัยของเขาจะถูกผู้คนเกลียดชัง ไม่มีความช่วยเหลือหรือมิตรภาพใดๆจะถูกส่งมา...เป็นความโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง...และเพราะเป็นเช่นนั้น เขาจึงต้องหาอำนาจ...เพื่อเป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่ตกลงมาและไม่ถูกผู้คนทำร้ายได้

     

    มันก็แค่สิ่งที่เขาทำเพื่อให้ตนเองยังยิ้มได้เฉกเช่นเดิม

     

    เคียร์…กลับมาแล้วเหรอ เหนื่อยรึเปล่า?”

     

    เป็นน้ำเสียงคุ้นที่เอ่ยขึ้นกับจอมมารหนุ่ม ท่าทางที่ดูงัวเงียจากการพึ่งตื่นนอนนั้นเป็นภาพที่เห็นจนชินตาเสมอของเขา สร้างความผ่อนคลายและความอบอุ่นให้กับเคียร์เนย์ได้อย่างน่าแปลกประหลาด

     

    เขาไม่เคยเลยที่จะได้อยู่ในสถานที่หรือผู้คนที่รู้สึกปลอดภัยเลยสักครั้ง...หากแต่เด็กหญิงตรงหน้ากลับทำให้เขารู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก...มันทำให้เขารู้สึกขอบคุณ

     

    ท่ามกลางความเหนื่อยล้าที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความโสมม...เขาได้รู้สึกแล้ว...ความปลอดภัยและความสุขอันเรียบง่ายในชีวิต ไม่ต้องฝืนทนยิ้มตลอดไป ไม่ต้องทำตัวร้ายกาจชั่วชีวิต หรือแหลกเหลวในสายตาใคร

     

    อืม วันนี้ข้าเหนื่อย...ขอนอนที่นี้นะ

    เคียร์เนย์เลี่ยงหนีความวุ่นวายในชีวิตเพื่อมาหาเด็กหญิง...เขาทิ้งตัวลงที่เตียงนอนของนางอย่างอ่อนล้า ใบหน้าที่มักประดับยิ้มยียวนกลายเป็นความนิ่งเฉยต่อทุกสิ่ง ดวงตาคล้ายจะปิดลงทีละนิด

     

    มัวเรลล์ที่อยู่บนเตียงอยู่แล้วไม่ปฏิเสธอะไร ยิ่งเห็นท่าทางที่เหนื่อยล้าของเด็กหนุ่ม ก็ทำให้เด็กหญิงคอยดูแลเขาอย่างดีเสียอีก

     

    มือบางทั้งสองพยายามดึงร่างสูงของเด็กหนุ่มให้นอนบนเตียงดีๆและจัดหัวของเขาให้ตรงหมอนเพื่อนอนสบายๆ ก่อนคลุมผ้าห่มผืนหนาให้แก่จอมมารหนุ่มอย่างเงียบๆ....พลางเฝ้ามองเขาหลับ

     

    และเมื่อเห็นจอมมารหนุ่มหลับเป็นตายแล้ว เด็กหญิงก็มุดตัวเข้าที่เตียงนอนและผ้าห่มเตรียมจะนอนต่อข้างๆด้วยเช่นกัน

     

    มือเล็กใต้ผ้าห่มเลื่อนมากุมมือหนาที่หยาบกระด้างของเด็กหนุ่ม...ใบหน้างามล้ำเลื่อนขยับมาใกล้เขา ก่อนอิงหน้าผากของตนให้ชนกับเด็กหนุ่ม จมูกของเธอและเขาเกลี่ยชนกัน

     

    ซึ่งเพียงไม่นาน....เด็กหญิงก็หลับไป

     

    ในขณะที่ดวงตาสีเลือดลืมตาขึ้นมามองดูภาพและความอบอุ่นที่เกิดขึ้น...เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา น่าเอ็นดูจริงๆ...คงมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่ทำกับเขาเช่นนี้...หาใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความเป็นห่วง

     

    หากเขาอยู่ใกล้นาง หากใช้เวลาทั้งชีวิตกับนาง...เขาจะมีความสุขจนต้องตายลงหรือเปล่านะ?

     

    แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดี....

     

    ดวงตาสีเลือดปิดลงอีกครั้งก่อนที่ลมหายใจนั้นจะคงที่ บ่งบอกถึงความเงียบสงบที่จอมมารผู้นี้ไม่เคยแม้แต่จะได้รับจากสถานที่ที่เรียกว่าบ้านของตนหรือคนที่เรียกว่าครอบครัว

     

    .

    .

    .



    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×