คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่5 ชีวิตของเด็กหญิง
ดวงตาอสรพิษลืมตาตื่นขึ้นหลังจากนอนหลับพักผ่อนไปได้สักระยะ
ภาพที่ปรากฏในสายตาแรกคือหลังคาสูงที่ว่างเปล่า...มือกร้านยกขึ้นมาขยี้ใบหน้าของตนเพื่อไล่ความง่วงอย่างแรงโดยไม่ใส่ใจสภาพผิวของตัวเองนัก
ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง ทิ้งผ้าห่มเอาไว้โดยไม่คิดพับ แล้วเดินพร้อมถกแขนเสื้อยาวของตนไปล้างหน้าที่มุมเก็บน้ำ
ระหว่างนั้นก็คล้ายคิดแผนตารางชีวิตของตนไปพลางๆและหยิบผ้ามาเช็ดใบหน้าของตนอย่างลวกๆ
แล้วจึงเดินไปเตรียมอาหารในห้องครัวของตน
ซึ่งภายในห้องครัวนั้นก็ไม่ได้สวยงามอะไรนัก เพราะบางครั้งมันก็เป็นห้องเชือดสัตว์ที่ล่าแต่ยังไม่ตายด้วยบางครั้ง
คราบเลือดของพวกมันแม้ทำความสะอาดก็ไม่ได้จางหายไป
อีกทั้งกลิ่นเนื้อดิบและตากแห้งก็ไม่ได้น่าหอมอะไรขนาดนั้น
โชคยังดีที่มีสมุนไพรเอาไว้ปรุงอาหารจึงลดทอนกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
เอลลิโอร่านั่งย่อตัวลงที่หน้าเตาไฟขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่...หยิบตะบันไฟไม้ในกระเป๋าของตนขึ้นมาจุดไฟในเตา
ความจริงแล้วผู้คนในชนเผ่าส่วนมากจุดไฟจากการปั่นไม้หรือเคาะหินสร้างความร้อนให้เสียดสีกัน
ซึ่งเป็นเธอที่เห็นว่าตะบันไฟไม้นั้นอำนวยความสะดวกในการจุดไฟได้ดีกว่าวิธีที่เป็นอยู่ของชนเผ่าจึงนำมาจากจักรวรรดิเฟย์ติส
แม้ตนจะไม่ชอบที่นั่นซะเท่าไหร่นัก
ทว่าก็ต้องยอมรับว่าดินแดนบ้านเกิดของตนนั้นพัฒนากว่าดินแดนทางใต้อยู่ดี
ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดเหยียดว่าผู้คนชนเผ่านั้นล้าหลัง
มือกร้านหยิบยกแผ่นเหล็กขนาดใหญ่ที่เรียบตรงรูปทรงสี่เหลี่ยมจากชั้นเก็บ
แล้วนำมันมาวางที่เตาไฟหลังก่อเสร็จ จากนั้นจึงเดินไปหยิบเนื้อจากกล่องไม้ที่ถูกผ้าพันเอาไว้มากมายอีกทบเพื่อกันช่องว่างของรูไม้ไม่ให้อากาศหรือแมลงเข้าไปได้
ซึ่งผ้านั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดงบางส่วนจากเลือดของก้อนเนื้อสัตว์ที่เก็บสดๆบ้าง
เนื่องจากอาลีนมีสุขภาพที่ไม่ดีนัก
ดังนั้นหน้าที่ในการล่าหรือการทำอาหาร ตลอดจนกระทั่งทุกอย่างโดยส่วนทั้งหมด
จึงเป็นเอลลิโอร่าที่ทำทั้งหมดเอง...ซึ่งมันก็ค่อนข้างเหนื่อยไม่น้อยสำหรับในร่างของเด็กวัยเพียงสิบสองปี
ความจริงแล้วผู้คนในชนเผ่าฮันเรย์ต่างก็ค่อนข้างเป็นห่วงเธอมากมายนัก...เพราะอายุของเธอในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กทารกสำหรับโลกนี้
มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองได้หนำซ้ำยังต้องดูแลอีกคนไปด้วยในสายตาของพวกเขา
ทว่ากาลเวลาก็ได้พิสูจน์ให้เห็น...จนพวกเขาปล่อยเธอไปเอง
พอรู้ตัวอีกทีดวงตาอสรพิษของเธอก็ยังคงจับจ้องไปยังกองไฟในเตา....บางทีความลำบากก็ทำให้เธอนึกคิดอะไรอยู่เสมอ จากนั้นจึงหยิบไขมันสัตว์และเนื้อลงแผ่นเหล็กอย่างเงียบๆ
จากนั้นจึงค่อยปรุงสมุนไพรลงไปเพื่อดับคาว เพียงไม่นานอาหารที่เธอทำก็เสร็จดี
เด็กหญิงจึงไปหยิบจานดินเผามาใส่เนื้อและสมุนไพรบางส่วน
ก่อนดับเตาไฟลงและหยิบจานนั้นเดินไปห้องของแม่เลี้ยงหนุ่มอย่างเคยชิน
มือข้างที่ว่างปัดผ้าม่านกั้นห้องออก
เมื่อเห็นว่าคนในห้องกำลังพักผ่อนอยู่จึงยิ่งทำตัวเงียบ
ก่อนเดินไปวางจานอาหารที่โต๊ะข้างๆของเขาแทนแล้วจึงออกมา
เอลลิโอร่าหยิบเนื้อแห้งที่เอามาจากห้องครัวตอนทำอาหารมาเคี้ยวอย่างไม่ใส่ใจพร้อมเดินกินออกไปข้างนอกบ้านของตนและเมื่ออยู่ข้างนอกแล้วนั้นก็พบว่ามันยังคงเป็นเวลากลางคืน...ซึ่งมันก็เป็นความตั้งใจของเธอเอง
เด็กหญิงใช้เวลาในการนอนเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น
วันหนึ่งของโลกนี้มีระยะเวลาที่ยาวนานกว่าวันหนึ่งของโลกก่อนนัก
โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืนที่ดูเหมือนจะยาวนานกว่ากลางวันทำให้เวลาการนอนหลับของผู้คนที่นี้เฉลี่ยคือสิบสองชั่วโมง...
ซึ่งเอลลิโอร่าเล็งเห็นค่าความคิดต่อระยะเวลาของผู้คนที่นี้ที่ทำอะไรก็ไม่ได้เร่งรีบเท่าโลกก่อนของเธอเพราะพวกเขามีเวลามากมาย
ทว่าไม่ใช่สำหรับเธอ....มันคือเวลาที่เหลือเฟือ
มือกร้านหยิบคันธนูและหอกที่วางเตรียมไว้ข้างนอกขึ้นมา
ก่อนเดินไปทุ่งกว้างที่ระยะห่างจากที่ตั้งชนเผ่าไม่ใกล้ไม่ไกลเพียงคนเดียวเงียบๆ
พลางกินเนื้อแห้งที่เป็นข้าวมื้อของตนไปด้วยจนหมดระหว่างทาง...ใช้เวลาอยู่สักพักจึงถึงจุดที่ห่างจากที่อยู่ของผู้คนในชนเผ่าพอสมควรตามที่ต้องการ
ดวงตาอสรพิษสาดส่องสิ่งมีชีวิตในระยะโดยรอบและพบว่ามันไม่เป็นอันตรายต่อตนมาก
จึงตัดสินใจหยุดอยู่ที่นี้
ก่อนที่เธอจะยกคันศรขึ้นมาและเล็งไปยังสัตว์ที่ตัวเล็กที่สุด...
สายธนูถูกปล่อยออก...ด้วยแรงส่วนหนึ่งของเธอ
ลูกศรทวนกระแสลมอีกครั้ง...หากแต่ไม่เข้าเป้า เพราะสัตว์ตัวเล็กนั้นไหวตัวทันจึงหลบหนีอย่างว่องไวอีกทั้งขนาดตัวที่เล็กจึงยากต่อการยิง
“เจ้ารู้ตัวไหมว่า
ความสามารถของเจ้านั้นอ่อนด้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น....นักล่าเด็กในชนเผ่าที่เริ่มฝึกล่า
ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็สามารถใช้ธนูล่าอสุราขนาดกลางได้แล้ว ทว่าเจ้าใช้เวลาถึงสามเดือนกว่าจะยิงมันได้...”
คำกล่าวของผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดในอดีตยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเธอ...ยามเมื่อจับธนูฝึกเป็นเริ่มแรก
มันทำให้เธอเข้าใจได้อย่างยิ่งยวดว่าตนนั้นไม่ใช่อัจฉริยะ...และไม่แม้แต่จะมีพรสวรรค์ดั่งเช่นคนทั่วไป
พระเจ้าประทานพรให้กับผู้คนมากมาย...แต่ไม่ใช่เธอ
มือกร้านยังคงหยิบลูกธนูลูกถัดไปขึ้นมา...ก่อนหมายคันศรไปยังเหยื่อตัวเล็กที่ยากเล็งอีกครั้ง
ดวงตาอสรพิษหรี่มองมันเพื่อคาดเดาทิศหนี ก่อนปล่อยมือต่อไป หากลูกศรแรกไม่สำเร็จ...ก็ต้องเป็นลูกศรที่สอง...และหากลูกศรที่สองไม่สำเร็จ
ก็ต้องเป็นลูกศรที่สาม...เธอจะยิงมันไปเรื่อยๆจนกว่าจะสำเร็จ...
เมื่อไม่มีพรสวรรค์ เธอจึงใฝ่หาพรแสวง...ถึงแม้จะใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน
จะต้องเสียเวลามากกว่าพวกเขาไปมากเท่าใด เหนื่อยกว่าแค่ไหน...แต่หากผลลัพธ์ที่ได้คือ
การที่เธอสามารถทำเช่นพวกเขาได้...อยู่ในจุดเดียวกับพวกเขา...มันก็เป็นเรื่องคุ้มค่า
“หากพวกเขายิงธนูสิบลูก....ข้าจะยิงธนูร้อยลูก
หากพวกเขาจับทวนร้อยครั้ง ข้าจะจับทวนพันครั้ง”
นั่นคือคำตอบของเธอในอดีตที่เอ่ยตอบผู้เป็นปู่...หากไม่มีพรสวรรค์แล้ว
จึงต้องหยุดนิ่งหรือ...ไร้สาระ เธอนั้นแสนเกลียดชังความอ่อนด้อยในตัวเองอย่างสุดซึ้ง
ซึ่งมันก็กลายเป็นความหมกมุ่นของการกระทำอย่างชัดเจน
เอลลิโอร่าเลือกที่จะนอนเพียงสี่หรือหกชั่วโมงเพื่อทดแทนเป็นเวลาฝึกฝนและช่วงเวลาที่เธอควรเล่นเป็นเด็กๆก็ถูกปัดไปแทนการเรียนรู้อื่นๆ
เธอตัดสิ่งไร้สาระอันไม่ก่อเกิดผลประโยชน์ให้กับตัวเธอจนหมดสิ้น พยายามสร้างวินัยในตัวเองเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
เพื่อหวังพัฒนาตนให้สูงขึ้นไป...
ลูกธนูในมือกร้านยังคงถูกปล่อยออกไปเรื่อยๆ...จนสำเร็จผล
เธอเสียลูกธนูไปมากมายกับมัน...ทว่าก็ไม่ได้ใส่ใจนักและหันมองเป้าหมายอื่นต่อไป
จากนั้นจึงเริ่มยิงอีกครา...
ในท่ามกลางค่ำคืนของเธอนั้นก็ยังคงมีเพียงเสียงของลูกธนูที่ทวนกระแสแรงลมอยู่เป็นเพื่อนเท่านั้น...และมันจะเป็นเช่นนี้จนถึงรุ่งสาง
.
.
.
สุดท้ายก็เป็นเด็กหญิงที่กลับมาถึงชนเผ่าพร้อมกับศพของอสุราห้าตัว...ซากของมันล้นกระเป๋าเก็บ
จนเธอต้องหยิบมาถือเองหนึ่งตัว เสื้อที่หวังจะใส่ในวันนี้ทั้งวันเปื้อนเลือดของซากศพเนื้อที่ถือไปเสียแล้ว...ทว่าเอลลิโอร่าก็ไม่ได้ใส่ใจมันนัก
เธอเดินทางกลับบ้านของตนผ่านกระโจมและบ้านดินของผู้คนในชนเผ่าที่ยังคงหลับใหลอยู่
ผู้คนที่นี้ไม่ได้ตื่นสาย ทว่ามันเป็นเรื่องปกติของพวกเขา
เวลาตื่นของพวกชนเผ่าฮันเรย์คือตอนที่แสงจากดวงอาทิตย์นามว่า’คาซัส’ย้อมท้องฟ้าเป็นสีตะวันทั้งหมดและเมื่อฝูงไก่ป่า’เนียวโล’จากทุ่งกว้างฝั่งตะวันออกเริ่มร้องขันสามที
เพราะเชื่อว่าเป็นการเป่าประกาศวันใหม่จาก’มิเรียน’เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเพาะปลูก ซึ่งมันเป็นเวลามาตรฐานของพวกเขา
ทว่าไม่ใช่สำหรับเธออยู่ดี...
เมื่อถึงบ้านของตนแล้ว...มือกร้านที่เปื้อนเลือดก็ปัดผ้าม่านกั้นประตูทางเข้าบ้านอย่างระมัดระวังพลางคิดว่าจะกลับมาเช็ดล้างให้สะอาดอีกที
ก่อนเดินนำเอาซากเนื้อที่ขนมาทั้งหมดไปทิ้งไว้ในห้องครัว...ความจริงแล้วเสบียงอาหารของเอลลิโอร่าแทบไม่เคยขาดเหลือ
หนำซ้ำอาจเรียกว่าล้นครัวเลยก็ได้ เพราะเป็นผลพลอยได้จากการฝึกอย่างมากมาย
ยิ่งฝึกยิงฝึกล่ามาก สัตว์ที่ใช้ฝึกก็มากตาม...
ซึ่งโดยส่วนมากเสบียงครัวของเอลลิโอร่ามักเน้นไปที่ของสดมากกว่าจะเป็นเนื้อตากแห้ง
อันเนื่องมาจากเธอค่อนข้างห่วงในเรื่องสุขภาพของอาลีน วัฒนธรรมการกินของชาวเฟย์ติสนั้นค่อนข้างแตกต่างและผู้คนไม่กินอาหารที่ทำหยาบๆซะเท่าไหร่นัก
เพราะฉะนั้นเอลลิโอร่าจึงพยายามทำอาหารที่ผ่านการปรุงให้แก่แม่เลี้ยงหนุ่มของตนเพื่อให้เขารู้สึกเข้าปากได้ง่ายขึ้น
อีกทั้งโภชนาการก็คงดีกว่าอาหารตากแห้งที่ตนกิน ทว่าช่วงเวลาที่เธอต้องไปจักรวรรดิเฟย์ติสนั้น...ทำให้เธอต้องจำใจให้อาลีนกินเนื้อตากแห้งแทนเพราะเธอไม่อยู่
ซึ่งโชคดีที่อาลีนเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย
จึงไม่เกิดปัญหา....เอลลิโอร่าเพียงถอนหายใจเบาๆเมื่อนึกถึงคนที่ต้องดูแล
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันค่อนข้างเหนื่อยเพราะนอกจากต้องดูแลตัวเองในร่างเด็กที่แสนลำบากแล้วยังต้องดูแลคนป่วยอีก...มันไม่มีทางเรียกว่าสบายได้
ทว่าเธอก็จะไม่ทิ้งเขาอยู่ดี
และในระหว่างที่เอลลิโอร่ากำลังอยู่ในห้วงความคิดอยู่นั้น
เสียงของผ้าม่านที่ขยับตัวทำให้สัญชาตญาณของเธอรีบหันไปมอง...และพบว่าเป็นอาลีนที่พยุงตัวขึ้นมาเกาะขอบประตูหวังเดินมาหาเธอ...
“อาลีน!”
เอลลิโอร่าแทบอยากกุมขมับและโกรธแม่เลี้ยงคนงามของตนที่ฝืนร่างกายแสนอ่อนแอนั่นลุกจากเตียง
หากเขาล้มลงไปหรือเป็นอะไรขึ้นมาเธอคงเป็นบ้าตายอย่างแน่แท้
เด็กหญิงที่คราแรกจะตั้งใจเปลี่ยนเสื้อต่อเพราะคราบเลือดสกปรก...รีบเข้ามาพยุงตัวของแม่เลี้ยงหนุ่มโดยที่พยายามไม่ให้เลอะเสื้อของเขาไปด้วย
ก่อนที่ดวงตาอสรพิษจะส่งสายตาดุไปหาคนงามที่ไม่รู้จักห่วงตัวเองและเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเชิงสั่งการว่า
“ข้าบอกให้เจ้าพักผ่อนอยู่บนเตียงมิใช่รึ”
“ข้าขอโทษครับ...ข้าก็แค่อยากออกไปต้อนรับท่านบ้างเท่านั้น...”
อาลีนรู้สึกสลดเมื่อการกระทำของตนสร้างความไม่พอใจให้แก่คุณหนูของตน
เขาเพียงแค่อยากทำอะไรให้นางบ้างเท่านั้น...เท่าที่ขยะไร้ความสามารถของเขาจะทำได้...
เอลลิโอร่าที่เห็นสีหน้าอันเสียใจของแม่เลี้ยงคนโปรดก็พยายามคลายความโกรธ...ก่อนปรับแววตาให้อ่อนลงและพยุงร่างบางด้วยแรงที่เบาขึ้น
ทว่าก็ยังไม่วายเอ่ยดุอีกเล็กน้อยตามประสาคนดูแล
“ร่างกายอ่อนแอขนาดนี้...อย่าว่าแต่ออกมาต้อนรับเลย
ยืนเพียงชั่วครู่ก็ล้มแล้ว”
ทางด้านอาลีนที่ได้ยินก็ยิ่งรู้สึกผิดและตระหนักว่าตนเป็นตัวปัญหาให้คุณหนูของตัวเองไปอีก
คล้ายมีภูเขาทับลงที่หัวใจ...ก่อนคิดย้ำว่าจะไม่ทำอะไรเช่นนี้ให้นางลำบากอีก...
หลังจากพยุงร่างบางที่แสนอ่อนแอของแม่เลี้ยงหนุ่มลงถึงเตียงและจัดผ้าให้เขานอนลงเรียบร้อยแล้ว
เอลลิโอร่าจึงสำรวจว่าเขาเปื้อนคราบเลือดจากเธอหรือไม่
เมื่อมองดูแล้วไม่พบความสกปรกบนผ้าและตัวของเขาจึงสบายใจเหลือบสายตาไปมองจานอาหารบนโต๊ะเพื่อตรวจดูต่อว่าได้ทานอาหารรึยัง
“วันนี้กินหมดสินะ...เก่งมาก”
เอลลิโอร่าที่คราแรกรู้สึกหงุดหงิดกับการที่แม่เลี้ยงหนุ่มทำตัวสร้างความลำบากให้แก่เธอโดยไม่จำเป็นนั้นยิ้มบางออกมาเมื่อพบว่าจานอาหารที่ตนทำว่างเปล่า
มือกร้านข้างที่ไร้เปื้อนเลือดจึงเอื้อมไปลูบหัวของคนงามเพื่อชื่นชมเบาๆ
เมื่อสติอารมณ์ของตนอ่อนลง
เอลลิโอร่าจึงหยิบจานบนโต๊ะเพื่อไปทำความสะอาดและเตรียมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่ดุอะไรแม่เลี้ยงหนุ่มอีก
ความจริงแล้วเธอแทบไม่อยากดุหรือเอ่ยอะไรรุนแรงกับอาลีนด้วยซ้ำ...หากเขาไม่ดื้อซนโดยไม่ห่วงร่างกายตัวเอง
และคล้ายเหมือนเอลลิโอร่ารับรู้ความคิดของแม่เลี้ยงหนุ่ม....จึงหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตู
ก่อนหันมาเหลือบมองคนบนเตียงและพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลทว่าก็มั่นคงในเวลาเดียวกันว่า
“อย่าห่วงเลยต่อให้เจ้าทำอะไรไม่ได้เลย ข้าก็ไม่มีวันทิ้งเจ้า...ตั้งแต่ตอนนั้นก็หกปีแล้ว....มีวันใดบ้างหรือที่ข้าปล่อยมือเจ้า....เชื่อใจในตัวข้าเสียหน่อยเถิด
อาลีน”
อาลีนที่ได้ยินก็รู้สึกสะอึกไปบ้าง
เพราะความจริงแล้วที่ตนฝืนทำอะไรก็เป็นเพราะว่ากลัวตัวเองจะไร้ประโยชน์ต่อนางจนหมดสิ้น
ทว่าเพียงแค่ออกมาต้อนรับก็ยังทำไม่ได้...นับว่าน่าละอายอย่างแท้จริง มันคือความรู้สึกผิดและสมเพชตนเองที่ไม่อาจสามารถทำอะไรได้
ต้องพึ่งพาผู้เป็นนายของตนทั้งที่เป็นข้ารับใช้
หนำซ้ำนางยังอายุเพียงแค่สิบสองปี....มันไม่ใช่เรื่องที่เด็กยังนางต้องมาแบกรับเรื่องลำบากพวกนี้หรือเขาที่เป็นภาระก็ตาม...ไม่เลย
พอรู้ตัวอีกที...ร่างของเด็กหญิงก็ได้หายลับสายตาจากประตูไปเสียแล้ว
ทิ้งไว้เพียงชายผู้อ่อนแอบนเตียงเพียงลำพัง...
.
.
.
หลังจากจัดการธุระในบ้านเสร็จสิ้นดีแล้ว....เอลลิโอร่าที่เปลี่ยนชุดแล้วนั้นก็เดินออกจากบ้านอีกครั้ง
ซึ่งมันก็ตรงเวลาที่พวกคนในชนเผ่าฮันเรย์ตื่นมาสักพักแล้ว...ดังนั้นในตอนนี้จึงมีผู้คนออกมาเผ่นพ่านตามประสาช่วงเวลายามเช้า
ดวงตาอสรพิษกวาดมองพวกเขาอย่างชั่งใจคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง
ทว่าไม่ทันไรก็มีชายชนเผ่าผู้หนึ่งสังเกตเห็นว่าเธอเดินออกมาจากบ้านจึงเอ่ยทักพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง
“เอลลิโอร่า…ได้ข่าวว่าพึ่งกลับมาจากแดนเหนือเมื่อวานเองสินะ
เหนื่อยหรือเปล่า?...จริงสิ! เมื่ออาทิตย์ก่อนข้าได้ใบชามาจากสหายเผ่า’อิสแบร์’ เดี๋ยวจะเอามาแบ่งให้นะ ตอบแทนที่ไปช่วยขนฟางข้าวในคอกม้าข้า
”
“ไม่เป็นไรหรอก...แล้วภรรยาคนที่สามของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? จำได้ว่าตอนข้าไปเฟย์ติสครั้งนี้ เขาใกล้คลอดแล้วสินะ”
เอลลิโอร่าแสร้งยิ้มและเอ่ยถามตอบโต้ในทันที...
“ใช่แล้ว เห็นตาเฒ่าบอกว่าอีกไม่กี่วันเมียข้าก็คลอดแล้ว...อย่าลืมมาร่วมงานลูกข้าจารึกรายชื่อลงพื้นธรณีล่ะ”
ชายชนเผ่ากล่าวอย่างอารมณ์ดีเมื่อเด็กหญิงถามถึงบุตรที่กำลังจะเกิดมา
ก่อนเอ่ยชวนให้ไปร่วมงานเสียด้วยอย่างเต็มใจ
ซึ่งเอลลิโอร่าก็พยักหน้าส่งตามมารยาทและหวังปิดบทสนทนาในไม่ช้า...ทว่าเมื่อได้ยินคำกล่าวต่อมาของชายชนเผ่าก็ทำให้เธอหยุดนิ่งไปชั่วครู่
“แล้วเมียชาวเฟย์ติสของเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง? พวกข้าแทบไม่เคยเห็นเขาตั้งแต่มาอยู่ชนเผ่าเลยนะ คนแดนเหนือนี่อ่อนแอขี้โรคทุกคนรึเปล่านะ?”
เอลลิโอร่ารู้สึกว่ารอยยิ้มของตนนั้นเย็นแข็งขึ้นไม่รู้ตัว...
.
.
.
น้องมีภรรยาแต่เด็กไปแล้ว555----เดี๋ยวจะมาเฉลยอีกทีนะคะว่าน้องมีภรรยาได้อย่างไง(?)
ความคิดเห็น