คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่5 ทำเช่นนั้น
“เจ้ากำลังหลอกทุกคนและคิดจะฆ่าเด็กนั่น...”
น้ำเสียงเย็นเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นกับนางท่ามกลางความเงียบงันภายในห้องที่ไม่มีใครอยู่นอกเหนือจากตัวนางเองและเด็กชายนามว่าขุนช้าง...ซึ่งเจ้าของเสียงนั้นก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กชายคนนั้นเสีย
พิมพิลาไลยที่คราแรกเพียงนั่งเท้าคางเฝ้ามองดูผู้คนลำบากวุ่นวายในการตามหาเด็กชายขุนแผนนั่น
แปรเปลี่ยนท่าทางไปอย่างชัดเจน
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกันคะ?
ข้าไม่เข้าใจ....”
นางหันกลับมามองเด็กชายและใบหน้าที่ฉีกยิ้มกว้าง
“เจ้าจงใจปล่อยให้เด็กนั่นไป...”
เด็กชายหรือขุนช้างเอ่ยด้วยสีหน้าที่เย็นยะเยือกพร้อมกับน้ำเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน
เขามองเด็กหญิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างชัดเจน
เด็กหญิงผู้นี้สามารถพูดกลับดำให้เป็นขาวได้อย่างหน้าตาเฉยและหลอกลวงทุกคนราวกับไม่รู้สึกอะไร
แม้จะน่าประหลาดใจที่ดูเหมือนคำชื่นชมในความฉลาดเกินวัยของเด็กหญิงผู้นี้จะเป็นจริง
ไม่สิ...นางชาญฉลาดมากกว่าในคำเล่าลือเสียอีก แต่หากมองกลับกันแล้วก็เป็นคนประเภทที่ไม่ควรคบเป็นสหายด้วย...อายุเพียงแค่นี้หนำซ้ำยังรู้จักกันไม่นานยังทำเช่นนี้...หากโตขึ้นหรือคบเป็นสหายล่ะก็คงไม่แคล้วสามารถโป้ปดแทงข้างหลังได้อย่างง่ายดายนัก
“ข้าแค่อยากจัดหนังสือเท่านั้นเอง...”
พิมพิลาไลยยังคงแสร้งเอ่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม....บางทีตัวละครในเรื่องราวก็ไม่ได้เดินไปตามบทเท่าไหร่นัก
ขุนช้างที่ควรน่าเกลียดกลับรูปงามและดันฉลาดกว่าที่คิดไว้มากนัก....ฉลาดจนน่าเป็นปัญหาสำหรับนาง...
แต่เดิมการเจริญเติบโตทางสติปัญญาของคนโลกนี้ก็ไวกว่าโลกของนางมากนัก....เด็กโลกนี้ล้วนเรียนรู้และเติบโตไวเกินกว่าวัยจนน่าตกใจ
แต่ก็ไม่ถึงเด็กชายตรงหน้า....เขาคงเป็นเด็กที่ฉลาดล่ะนะ...
ขุนช้างไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทางที่เปลี่ยนจากเดิมนักแม้ฟังคำแก้ตัวของเด็กหญิง
เขาเพียงเอ่ยสั้นๆ
“เลิกเสแสร้งได้แล้ว”
รอยยิ้มของเด็กหญิงที่ได้ฟังฉีกกว้างเพิ่มขึ้น
มันคล้ายรอยยิ้มของคนที่สติไม่ดีนัก เป็นรอยยิ้มโง่ๆที่ใครๆดูก็รู้ว่ามันปลอมนัก
ในคราแรกที่เด็กหญิงผู้นี้ยิ้มนั้นมันดูงดงามและเป็นธรรมชาติยิ่งนัก
แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มนี้เขาถึงพึ่งได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงการเสแสร้งของนางเท่านั้น
“เอาล่ะ....ก็ได้ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”
พิมพิลาไลยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกว้าง
แม้ในดวงตาของนางจะไม่ยิ้มด้วยก็ตาม นางไม่คิดว่าจะต้องเลิกแสดงตัวเป็นเด็กดีเร็วเช่นนี้...ขนาดพวกผู้ใหญ่ยังไม่สังเกตหรือพันศรโยธาที่แม้จะรู้สึกแปลกๆกับนางก็ยังดูไม่ออกเช่นนี้
ดูเหมือนเด็กชายนามว่าขุนช้างคนนี้จะมีบางอย่างไม่ต่างจากนาง...
“ยามเมื่อบ่าวไพร่ไปแจ้ง....เจ้ากลับเมินเฉยและลอบยิ้ม....”
ขุนช้างเอ่ยถึงความผิดปกติของเด็กหญิงผู้นี้
หากเขาไม่สังเกตเห็นนางก็คงไม่รับรู้ถึงความคิดที่ดำมืดเช่นนี้
“ตายจริง...นี่ข้าเผลอยิ้มเหรอเนี่ย...แย่จริงๆ
แต่ดูเหมือนเจ้าเองก็คงว่างมากสินะถึงมองข้าตลอดเวลาเช่นนั้น”
พิมพิลาไลยเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจพลางเอามือทาบอกราวกับประชดประชัด
หากดูก็รู้ว่าแสร้งทำอย่างออกนอกหน้า แต่สุดท้ายก็เลิกเสแสร้งไปพลางจ้องมองสบตากับเด็กชายผู้รู้ดีด้วยรอยยิ้มต่อ
“แล้วไงต่อล่ะ?....เจ้าจะทำอะไรได้กัน? จะเป็นพ่อพระใจบุญไปช่วยเอง? หรือจะบอกความจริงกับทุกคน?”
“ไม่มีประโยชน์หรอก...ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ล้วนเป็นคนบ้านข้า
เด็กนั่นเองก็ดื้อซนจริงๆ....แล้วก็ไม่มีใครมาสงสัยคำพูดของเด็กน้อยอย่างข้าหรอกนะ”
ต่อให้เด็กชายไปกล่าวประกาศความจริงกับพวกผู้ใหญ่
ก็ยากนักที่ใครจะเชื่อ เพราะสุดท้ายบ่าวไพร่ในเหตุการณ์ก็เป็นคนของนาง
หนำซ้ำหากความจริงปรากฏย่อมถูกลงโทษหนักเป็นแน่แท้
ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากโดนลงโทษหรอกจริงไหม...ส่วนตัวนางก็สามารถหาข้อแถได้มากมายนักเพราะยังเป็นเด็กจึงไม่รู้ความหรือต่อให้โดนทำโทษจริงมีหรือที่พันศรโยธาผู้รักบุตรสาวจะยอม
“นี่เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมากัน?...เจ้ากำลังฆ่าคนอยู่นะ....สามัญสำนึกของเจ้ามันหายไปไหนกัน?”
“ทำไมเจ้าถึงทำเช่นนี้...เจ้ากำลังฆ่าคนที่พึ่งรู้จักกันไม่ถึงชั่วยามเนี่ยนะ...บ้ารึเปล่า?”
ขุนช้างเอ่ยด้วยความตกตะลึง
สิ่งที่เด็กหญิงกล่าวไม่ใช่ความรู้สึกผิดของตนแต่เป็นหนทางเอาตัวรอดจากความผิดของตัวเอง
“ข้าไม่ได้ฆ่าเขาสักหน่อย มันหลงเข้าไปป่าเองต่างหาก”
เมื่อได้ยินดังนั้นพิมพิลาไลยคล้ายรู้สึกตระหนักถึงสิ่งที่ตนทำมากขึ้น
...แม้คราแรกนางจะตั้งใจอย่างนั้นก็ตาม แต่เมื่อได้ยินคำพูดเสียดแทงก็อดไม่ได้ที่จะเถียงออกไป
อา...หยุดย้ำสิ่งที่นางทำได้แล้ว! นางรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร! แต่จะให้นางปล่อยให้เด็กนั่นมาฆ่านางในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่อง!
เธอกลัวตาย กลัวตายอย่างมากมาย....มันทั้งดำมืดและอ้างว้าง
ภาพของตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดในห้องผ่านั้นยังคงจดจำได้ดี...และมันอาจทำให้เธอจดจำไปจนวันตาย...ร่างไร้วิญญาณของตัวเองในตอนนั้นช่างทุเรศและน่ากลัวนัก มันทั้งเหวอะหวะและเต็มไปด้วยเลือด
เธอตายคาด้วยสภาพเช่นนั้น...นับว่าน่าอดสูสิ้นดี
“แต่นั่นก็เป็นการฆ่าเด็กนั่นทางอ้อมมิใช่หรือไง? เจ้าจะบอกว่าเด็กอายุอย่างข้ากับเจ้าหลงป่าลึกไปเช่นนั้นจะปลอดภัย?”
ขุนช้างไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้เด็กหญิงอายุเพียงเกือบเท่าเขาชั่วร้ายได้เพียงนี้
พิมพิลาไลยได้แต่เพียงหลับตาและสูดหายใจเข้าเบาๆเพื่อควบคุมอารมณ์
ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและจ้องมองเด็กชายอย่างตรงไปตรงมาด้วยแววตาที่ยากจะเข้าใจ
“อา....เพราะเจ้าไม่รู้อะไรจึงกล้าพูดเช่นนั้น....”
จริงอยู่ที่นางอาจทำเกินไป...ทั้งๆที่นางก็อาจจะเลือกปฏิเสธขุนแผนในอนาคตเพื่อหลีกเลี่ยงก็ได้
ไม่ก็เล่นตามบทแล้วแต่งงานกับขุนช้างไม่ก็คนอื่นแทนเพื่อจบเรื่อง
แต่พิมพิลาไลยมีความหวาดกลัวมากเกินไป....เธอหวาดระแวง.....หากมันจบแบบเดิมล่ะ?
อนาคตไม่แน่นอน....หากสุดท้ายนางลงเอ่ยกับขุนแผนอยู่ดีล่ะ? มันอาจมีเหตุผลอะไรก็ได้ที่ทำให้นางจบดั่งตามบทประพันธ์...
เพราะฉะนั้นสู้ทำให้ขุนแผนหายไปตั้งแต่แรกก็ยังดีกว่าเสียอีก...
แม้มันอาจจะเป็นการที่นางฆ่าคนทางอ้อมก็ตาม....แต่นางเองก็ไม่ได้ฆ่าด้วยมือตัวเองเสียหน่อย
....
นางยอมรับว่าตัวเองนั้นเห็นแก่ตัวและเลวพอที่จะทำเช่นนี้เพื่อชีวิตของตัวเอง
.
.
.
ความคิดเห็น