คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4 แม่เลี้ยงคนงาม
“กลับมาแล้วเหรอ เอลลิโอร่า ท่านคาเอลรอส”
เป็นนักล่าวัยผู้ใหญ่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นหลังเห็นสองปู่หลานคนเก่งประจำเผ่ากลับมา
เขาที่กำลังเก็บเนื้อที่พึ่งล่ามาเอาไว้ในครัวนั้นยื่นหน้ามาทักทายด้วยความเป็นมิตร
รอยยิ้มฉีกกว้างด้วยความจริงใจสมคนทุ่งกว้าง
“วันนี้ล่าอะไรมาล่ะ? เสบียงครัวบ้านเจ้ายังล้นเหลืออยู่เลยมิใช่รึ”
เป็นชายชนเผ่าอีกคนที่เป็นโอเมก้าเอ่ยถามขึ้นด้วยความนุ่มนวลกว่าชายนักล่าถึงเจ็ดส่วน
เขากำลังตากเนื้อที่หั่นขนาดพอดีคำและหมักด้วยสมุนไพรต่างๆเพื่อถนอมอาหาร...
“จริงสิ! เอลลิโอร่า ข้าขอบใจนะ
ที่สองอาทิตย์ก่อนมาช่วยข้าปูหลังคาบ้าน เมียข้าอยากเอาเนื้อราซีตากแห้งไปขอบคุณเจ้าอยู่พอดี
แต่ตอนนั้นเจ้าดันไปเฟย์ติสเสียก่อน รอก่อนๆ ข้าจะหยิบเนื้อมาให้”
เป็นนักล่าชนเผ่าอีกคนหนึ่งที่วิ่งมาเอ่ยทัก พร้อมกับหยุดยืนเพื่อหยิบเนื้อตากแห้งจากกระเป๋าของตนพลางยื่นให้แก่เด็กหญิงจนล้นมือ
ทางด้านเอลลิโอร่าที่กลับมาชนเผ่าทีไร
ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้กับความเป็นกันเองที่ประดุจดั่งสายสัมพันธ์ครอบครัวอันแน่นแฟ้นแม้เธอจะไม่ใช่ลูกหรือญาติของพวกเขาก็ตาม...ช่างซื่อนัก
ดวงตาอสรพิษจับจ้องไปยังผู้คนที่ต่างมาทักทายกับเธอด้วยความเป็นมิตร
บ้างถามไถ่ บ้างให้ของ บ้างแลกเปลี่ยน...พวกเขาซื่อตรงอยู่เสมอ
แม้คราแรกที่เธอมาอยู่ที่นี้...พวกเขาที่แม้จะไม่เปิดรับเธอตามประสาคนแดนใต้ ทว่าก็ไม่เคยปิดกั้น...และเมื่อสร้างความเชื่อใจให้กับพวกเขาแล้ว
สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือหัวใจอันเต็มเปี่ยมของพวกเขา
ซึ่งหากเป็นเอลลิโอร่า...เธอก็คงไม่สามารถให้ใจใครได้เต็มที่เท่าพวกเขา
เธอยังคงหวังผลประโยชน์จากผู้อื่นอยู่บ้าง เคลือบแคลงคนอื่นไม่น้อย...และไม่อาจดีกับใคร
หากเขาไม่ทำอะไรให้เธอได้ผลประโยชน์...
เอลลิโอร่าเชื่อในหลักการแลกเปลี่ยน...ดั่งเช่นเงินตราที่แลกสิ่งของ
ใจผู้คนก็แลกใจ....ซึ่งมันทัดเทียมสำหรับเธอ
ปู่ของเธอเลี้ยงดูและสั่งสอนความรู้มากมายให้แก่เธอ
เธอจึงมอบความเคารพและความนอบน้อมให้แก่เขา...ผู้คนในชนเผ่ามอบการเปิดใจและหัวใจของพวกเขาให้แก่เธอ
เธอจึงมอบน้ำใจและมิตรภาพให้แก่พวกเขา...
ทว่าจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เอลลิโอร่ามอบใจและกายของตนให้แก่เขา...ดั่งเช่นความทัดเทียมในหลักการของเธอ
“ข้าขอเสียมารยาทกลับบ้านเสียก่อนนะ...ท่านปู่”
เป็นเด็กหญิงที่เอ่ยขึ้นหลังทักทายผู้คนในชนเผ่าอย่างเสร็จสิ้น
เธอเหลือบมองปู่ร่วมสายเลือดของตนอย่างนอบน้อมและหมายหยิบเหยื่อที่ตนล่าไปกับเขาเมื่อไม่นานมามอบให้ตามที่ตั้งใจเพื่อให้เสร็จธุระ
“ครานี้ไม่ต้อง...”
คาเอลรอสเอ่ยปฏิเสธอย่างเรียบเฉย
ก่อนพยักหน้าให้หลานสาวของตนกลับบ้านตามที่ต้องการได้
เขาจูงสายม้าของตนหันหลังกลับโดยไม่พูดอะไรเพื่อกลับบ้านของตนเช่นกัน
แต่เดิมคาเอลรอสก็ไม่ใช่คนเคร่งมารยาทอะไรอยู่แล้ว จึงไม่มีการทำความลาจากกัน
เอลลิโอร่าที่ถูกทิ้งกลางทางไปแล้ว
จึงหันหน้ากลับทางบ้านของตนอย่างเงียบๆโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน ดวงตาของเธอกวาดสายตามองพระจันทร์ทั้งสามอย่างเรื่อยเปื่อย
เพราะระยะทางบ้านของเธอในชนเผ่านั้นค่อนข้างไกลที่สุด...
ตามหลักความจริงแล้วเอลลิโอร่าต้องอาศัยอยู่บ้านของคาเอลรอสผู้เป็นปู่
เพราะเธอยังคงเป็นเด็ก ไม่สิ...นับเป็นทารกสำหรับโลกใบนี้เลยด้วยซ้ำและคาเอลรอสก็เป็นญาติร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของเธอในชนเผ่านี้
ทว่าเพราะความดื้อดึงของเธอจึงร้องขอการแยกตัวออกมา...ด้วยเหตุผลบางประการ...
เมื่อเท้าที่ก้าวถึงเป้าหมายแล้วดวงตาอสรพิษจึงเลื่อนมอง...บ้านของเธอเป็นรูปแบบบ้านที่สร้างจากโคลนดิน
มีลักษณะหลังคาสูงโปร่งเป็นหลังคาหญ้าแฝก มีช่องระบายความร้อนอยู่ด้านบนอันเนื่องมาจากสภาพอาการของดินแดนทางใต้ในตอนกลางวัน
ผนังสูงและมีชายคากว้างเพื่อกันแสงแดด จากนั้นภายนอกก็ฉาบด้วยปูนขาวเพื่อช่วยสะท้อนความร้อน...ซึ่งก็มีผ้าแพรประดับเป็นที่บังแดดอยู่ภายนอกบ้านอีกที
ชาวเผ่าฮันเรย์ส่วนมากจะย้ายที่อยู่ครั้งหนึ่งก็ประมาณแปดสิบหรือร้อยปี
พวกเขาจึงเลือกสร้างกระโจมบ้าง บ้านดินบ้าง โดยไม่สร้างที่อยู่ที่ถาวร
เพราะสุดท้ายก็ไม่ได้อยู่เป็นหลักตลอดไป ทว่าสำหรับเอลลิโอร่าแล้ว
ร้อยปีไม่ใช่เวลาน้อยๆสำหรับเธอหรือเวลาในโลกก่อนด้วยก็ตาม
ดังนั้นการสร้างบ้านดินส่วนน้อยของชนเผ่า จึงไม่ใช่เรื่องเสียเวลาอะไรสำหรับเธอ
เมื่อคำนึงถึงความสะดวกสบายในการอยู่ของอีกคน
“ข้ากลับมาแล้ว....อาลีน”
เอลลิโอร่ากล่าวพลางเดินเข้าบ้านของตนอย่างเรียบๆ
มือของเธอยกผ้าแพรที่ใช้กั่นประตูก่อนหอบสัมภาระมาวางใว้ที่เก็บให้เรียบร้อย
ก่อนเดินไปหยิบชุดและผ้าเช็ดไปมุมหนึ่งของบ้าน
ซึ่งมีที่เก็บน้ำเป็นดินเผาขนาดใหญ่ระดับหนึ่งลักษณะสี่เหลี่ยม
มีฝาไม้ขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยเพื่อปิด ป้องกันฝุ่นหรือแมลงตกลงไป
เอลลิโอร่าเอื้อมมือกวักน้ำขึ้นมาเช็ดใบหน้าและปากที่เปื้อนเลือดของตน
จากนั้นจึงใช้ผ้าเช็ดที่หยิบมาเช็ดใบหน้าลวกๆให้แห้งสะอาดอีกที มือกร้านปลดกระดุมถอดชุดของตัวเองออกอย่างไม่ใส่ใจ
เสื้อผ้าถูกโยนทิ้งลงตะกร้าสาน ก่อนใส่ชุดลำลองของชนเผ่าสีดำที่มีลักษณะคล้ายชุดโต๊ปมุลลิมอาหรับของผู้ชายในโลกก่อน
ซึ่งมันมีลวดลายปักเล็กน้อยพอประดับ
โดยปกติแล้วเอลลิโอร่าไม่สวมใส่ชุดผู้หญิงและไม่เคยคิดสวมใส่มัน
อันเนื่องด้วยเหตุผลสองประการคือ ชุดสำหรับผู้หญิงในโลกนี้แทบมีน้อย บางทีอาจต้องสั่งทำเลยด้วยซ้ำเพราะประชากรเพศหญิงในโลกนี้แทบสูญพันธุ์
จึงไม่มีคนคิดผลิตให้ขาดทุน และเหตุผลที่สองคือ ชุดของผู้หญิงไม่ได้มีความสะดวกหรือคล่องตัวอะไรเมื่อเทียบกับชุดของผู้ชาย
เธอไม่เห็นผลประโยชน์อะไรจากการต้องแต่งตัวเป็นหญิง
หนำซ้ำหากให้เธอใส่กระโปรงสีหวานก็คงเป็นเรื่องชวนน่าสะอิดสะเอียนสิ้นดี
เมื่อเอลลิโอร่าแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยดีแล้วและมั่นใจว่าตนสะอาดและไร้คราบเลือด
จึงก้าวเดินไปยังอีกห้องหนึ่งที่มีผ้าแพรม่านสีฟ้าอ่อนกั้นเอาไว้
มือกร้านปัดยกผ้าม่านออกพลางจับจ้องไปยังเบื้องหน้าด้วยแววตาที่อ่อนลงถึงแปดส่วน
ตรงหน้าของเอลลิโอร่าคือ
ห้องขนาดกลางที่ไร้หน้าต่าง มีเพียงช่องระบายความร้อนข้างบนเท่านั้น
ผนังถูกประดับด้วยผ้าแพรหลากสีและลวดลายเพื่อเพิ่มความน่าอยู่ของห้องทดแทนหน้าต่างที่ขาดหายไป
ส่วนพื้นห้องที่โดยปกตินั้นเป็นพื้นดินที่สร้างจากดินโคลนผสมแกลบโดยมีฐานเป็นท่อนไม้เอาไว้ก่อนเพื่อความมั่นคง
ถูกปูทับด้วยผ้าพรมขนสัตว์มากมายจนมั่นใจว่าพื้นนิ่มพอให้คนที่อยู่แม้ล้มลงจะไม่เป็นอันตราย
แสงเชิงเทียนสุกสว่างในห้องพร้อมกับกลิ่นดอกไม้แห้งที่ชาวฮันเรย์ส่วนมากชอบนำดอกไม้ที่มีกลิ่นแรงมาตากแห้งเพื่อลดความฉุน
จากนั้นจึงได้กลิ่นที่พอเหมาะไว้ประดับกลิ่นห้อง และภายในห้องนี้มีเพียงเครื่องใช้อยู่สองสามอย่างเท่านั้นคือเตียงและโต๊ะข้างๆที่เอาไว้วางเชิงเทียนและจานดอกไม้หอมกับเก้าอี้ที่วางไว้มุมห้อง
“ข้าต้องขออภัยจริงๆที่ไม่อาจออกไปต้อนรับท่านได้....ท่านเอลลิ”
เป็นเสียงของชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น มันเป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน
หากผู้ที่ได้ฟังย่อมรับรู้ถึงความอ่อนหวานในตัวของผู้พูดอย่างชัดเจน
เบื้องหน้าของเอลลิโอร่าคือ...คนสำคัญที่สุดที่เธอยกไว้เหนือเกล้า...
ใบหน้าถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมสีครามเสมอ....มีเพียงเรือนผมยาวสีฟ้าอ่อนเท่านั้นปรากฏให้เห็นนอกผ้าคลุม
เรือนร่างดูบอบบางและอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นคนชนเผ่าฮันเรย์หรือคนทั่วไป
ผิวสีขาวซีดนั้นยิ่งขับให้อีกฝ่ายดูขี้โรคมากกว่าสุขภาพดี บรรยากาศรอบตัวนั้นดูนิ่มนวลและชวนให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ
‘อาลีน เบลล์’
เขาคือแม่เลี้ยงและพ่อบ้านคนรับใช้เพียงคนเดียวของเธอ...แต่เดิมเป็นข้ารับใช้ในวังหลวงก่อนถูกคัดเลือกให้มาเป็นแม่เลี้ยงของเธอหลังจากตอนเธอเกิดได้เพียงสามวัน...ซึ่งเขามีเพศเป็น’โอเมก้า’ ดูเหมือนคนโลกนี้มีความคิดที่ว่าเพศโอเมก้านั้นจะอ่อนโยนและนิ่มนวลกว่าผู้ชายที่เป็นอัฟฟ่าและเบต้า
เหมาะแก่การทำหน้าที่ดูแลเลี้ยงเด็ก จึงทำให้อาลีนเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลือกให้เลี้ยงดูเธอ...
“ไม่เป็นไรหรอก...นอนพักแบบนั้นน่ะถูกต้องแล้ว
สุขภาพของเจ้ายิ่งไม่แข็งแรงอยู่”
เอลลิโอร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลงถึงเจ็ดส่วน
ความสุขุมที่เอาไว้ปิดกั้นผู้คน...ลดหย่อนลงเมื่อเป็นชายตรงหน้าเธอ
เธอเดินไปลากเก้าอี้ไม้ที่มุมห้องมาอยู่ข้างๆเตียงของเขาก่อนนั่งลง
มือกร้านของเด็กหญิงเอื้อมมือไปสัมผัสมือบางของชายบนเตียงด้วยความคิดถึงและหวงแหน
“สบายดีไหม?...มีใครรังแกเจ้ารึเปล่า?...หรืออาการเจ็บป่วยกำเริบหรือไม่?”
เอลลิโอร่าเอ่ยถามคำถามมากมายกับแม่เลี้ยงของตนด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่ามือกร้านของเธอก็ลูบมือบางของเขาอย่างเบามือที่สุดเท่าที่คนหนึ่งกระทำได้
“ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ...ต้องขอบคุณความเมตตาของท่านเอลลิต่างหาก”
อาลีนเอ่ยตอบอย่างเจียมตนและพลางส่ายหน้าใต้ผ้าคลุมเบาๆให้คุณหนูของตนสบายใจ
ทั้งที่แท้จริงแล้วร่างกายของตนนั้นก็เป็นที่รู้กันดี...
ทางด้านเอลลิโอร่าที่ได้ยินก็เพียงนิ่งไป
มือกร้านที่ลูบมือบางอย่างเบาๆอยู่นั้นเผลอบีบแรงเล็กน้อย...ดวงตาอสรพิษมองชายตรงหน้าอย่างรู้สึกผิด
เขาก็ยังคงเลือกโกหกเธออยู่วันยังค่ำ...ร่างกายของเขาอ่อนแอจนแทบต้องอยู่บนเตียงเป็นส่วนมากเพียงใดมีหรือที่จะปกปิดได้
หนำซ้ำยังมีโรคร้ายจากยาพิษในอดีตอีก....ร้อยทั้งร้อยย่อมไม่มีทางไม่เป็นอะไร
ภาพของอดีตในวันวานตีย้อนเข้ามาในสมองของเอลลิโอร่า
ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดและความสำคัญของชายตรงหน้าราวกับคมมีดกรีดที่ผ่าหัวใจของเธอ....พอรู้ตัวอีกที
ร่างของเธอก็ก้มลงไปและหัวของเธอก็แนบลงที่มือบางของเขาที่มีมือกร้านของเธอกุมอยู่
“ข้าขอโทษ อาลีน....ข้าขอโทษจริงๆ”
มีเพียงเสียงที่ลอดมาจากมือทั้งสองที่กุมอยู่...มันคือน้ำเสียงที่สั่นเทาเพราะความรู้สึกผิดในอดีตของตน
แม่เลี้ยงหนุ่มที่ได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะยกมือที่ไร้แรงอีกข้างขึ้นมาลูบหัวของเด็กหญิง
“ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอกครับ...มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษและขอบคุณท่าน...กระทั่งข้าเป็นเศษขยะ
ท่านก็ยังไม่ทอดทิ้งข้า”
อาลีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่นและสมเพชตัวเอง...เขาเป็นข้ารับใช้แท้ๆ
เหตุใดจึงต้องให้ผู้เป็นนายลำบาก หนำซ้ำยังต้องมาแบกภาระเช่นเขาอีก
แม้ตนจะร้องขอให้นางทิ้งตัวเองเพื่อลดภาระเพียงใด
กลับเป็นนางที่ปฏิเสธและจับมือของเขาเรื่อยมา...เป็นความสมเพชตัวเองอย่างถึงที่สุดและความซาบซึ้งต่อผู้เป็นนายอย่างหาใดเปรียบ
“เจ้าไม่ใช่เศษขยะ...อาลีน แล้วจะไม่มีวันเป็นด้วย...”
เอลลิโอร่าเงยหน้าของตนขึ้นจากมือบาง เธอเอ่ยชัดอย่างแข็งกร้าวพลางทอดมองอีกฝ่ายอยู่สักพักด้วยความนิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยว่า
“ข้าอยากเห็นหน้าเจ้า อาลีน”
และเพียงคำขอนั้นก็ทำให้ร่างบางบนเตียงต้องแข็งทื่อและชะงัก....มือบางที่ถูกกุมอยู่สั่นเทาแม้พยายามสงบนิ่งเพียงใด
“ต...ตัวข้าไม่น่ามองเพียงใด...ท่านก็น่าจะรับรู้ดี
เหตุใดจึงขอดูมันเช่นนี้เสมอกันล่ะครับ”
อาลีนได้แต่เบือนหน้าของตนหลบภายใต้ผ้าคลุมพลางพยายามปกปิดมัน
เขารู้สึกอับอายกับใบหน้าของตน มันคือความน่าเกลียดอย่างแท้จริง
แต่เหตุใดคุณหนูจึงอยากมองมันตลอดเวลากัน...
“ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าเห็นหน้าเจ้าเสียหน่อย....ตามใจข้าเช่นทุกคราเถิดหนา
คนดี”
เอลลิโอร่าเอ่ยอย่างนิ่มนวลและเปี่ยมด้วยความเอ็นดู...มือกร้านเอื้อมล่วงเข้าไปในใต้ผ้าคลุมและลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยนเช่นทุกที
ดวงตาอสรพิษจ้องมองเขาอย่างตรงไปตรงมาคล้ายบุรุษคนหนึ่งที่อยากเชยชมความงามของหญิงงาม...
และก็เป็นดั่งเช่นทุกครา....เป็นแม่เลี้ยงหนุ่มที่ไม่อาจต้านเด็กหญิงตรงหน้าได้
สุดท้ายจึงยอมพยักหน้าเบาๆเชิงอนุญาตด้วยความอับอายอย่างถึงขีดสุด
ทำให้เอลลิโอร่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในลำคอออกมาเบาๆเพราะความเอ็นดูแม่เลี้ยงของตน
เขาน่ารักดีจริงๆ
มือกร้านปัดผ้าคลุมสีครามของชายหนุ่มบนเตียงลงอย่างช้าๆและเบามือ
ก่อนเผยถึงรูปลักษณ์ที่พยายามปกปิดต่อผู้คนมามากมาย
ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวผิดจากคนปกติทั่วไปหนำซ้ำคล้ายมีรอยเหมือนโดนน้ำกรดสาดใส่อยู่ประดับใบหน้า
ทว่ามันก็ไม่ได้กลบดวงตาสีฟ้าอ่อนอันอ่อนโยนของเขาได้...แม้จมูกจะบิดเบี้ยวไป
แม้ริมฝีปากจะขาดหายไปบางส่วน หรือผิวหนังจะหยิกงอและรอยแผลเป็น แม้ทุกอย่างที่เป็นเขาในตอนนี้จะถูกใครๆกล่าวว่าอัปลักษณ์...
เอลลิโอร่าก็ยังคงมองเขาเช่นเดิม...ดวงตาอสรพิษจับจ้องไปยังใบหน้าที่ไร้การปกปิดของเขา
แสงจากเชิงเทียนสาดกระทบเข้ากับชายผู้อ่อนหวานตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าอ่อนหลุบตาลงหลบสายตาของเธอเพราะความอับอายและเขินอายในเวลาเดียวกัน
ครั้งหนึ่งอาลีนเคยเป็น’โฉมงาม’....เขาคือชายที่งดงามคนหนึ่งในดวงตาของเธอ ทว่าเพราะความอ่อนแอและอ่อนด้อยในตัวเธอ....โฉมงามตรงหน้าจึง’สิ้นโฉม’และ’พังลง’
“อา...เจ้ายังคงงดงามในสายตาข้าเสมอ อาลีน”
เอลลิโอร่าอดไม่ได้ที่จะมองใบหน้าของเขา
มือกร้านยังคงลูบไล้ใบหน้านั้นอย่างอ่อนโยนและเบามือคล้ายกลัวเหลือเกินว่าจะสร้างความเจ็บให้แก่เขาต่อให้เพียงเล็กน้อยก็ตาม...แม้มันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ทว่าดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นก็ยังคงอ่อนหวานและนิ่มนวลเสมอ
ไม่เคยมีคำตัดพ้อหรือด่าทอใดหลุดออกจากปากของชายผู้อ่อนหวานคนนี้...แม้เธอจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตของเขาจมลงสู่เหวลึกก็ตาม
เอลลิโอร่าหวังไม่น้อยที่เขาจะด่าเธอ ว่าเธอ
เพื่อบรรเทาความรู้สึกผิด...แต่อาลีนก็ไม่เคยเลย
ภาพของเขาไม่อาจลบความงามในใจได้
เอลลิโอร่าได้ตระหนักแล้วว่าโฉมงามผู้นี้ได้ตราตรึงเธออย่างแท้จริงแม้ไร้รูปลักษณ์ที่เคยเป็น
‘โฉมงามอย่างไรก็คือโฉมงาม’
.
.
.
ประวัติของอาลีนที่มีต่อหนูเอลลิโอร่าไม่ธรรมดานะคะ555----น้องหวงคนนี้สุด
ความคิดเห็น