คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่3 การล่า
เอลลิโอร่าที่เพียงพบปู่ร่วมสายเลือดมาเนิ่นนานและมากมายเพียงใด
ก็ยังไม่อาจลบความรู้สึกน่าขนลุกถึงความอันตรายของชายผู้นี้ได้ ทุกครั้งที่พบเจอ
ทุกครั้งที่เลี้ยงดู...ล้วนไม่เคยรู้สึกปลอดภัยนัก
แม้เขาจะไม่เคยทำอะไรเธอเลยแม้แต่น้อย คล้ายสัญชาตญาณบอกกล่าวว่า
ต่อให้ชายผู้นี้เป็นมิตร เขาก็ยังคงน่ากลัวเกินกว่าจะอยู่ร่วม
เป็นชายที่อันตรายอย่างแท้จริง...
ทว่าในฐานะปู่ร่วมสายเลือดและพ่อทูนหัวผู้ดูแลแล้ว...เขาปฏิบัติกับเธอได้ดีเสมอ...ดีเสียจนกระทั่งพ่อบังเกิดเกล้าอย่างคาเดย์มิอาจได้เศษเสี้ยวหนึ่งของชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
หนำซ้ำผู้มอบชื่อให้แก่เธอ...ก็ยังเป็นปู่ร่วมสายเลือดผู้นี้เสียด้วย
นามในโลกนี้มีความหมายมากนัก
มิใช่สิ่งที่เอาเรียกขานกันอย่างเดียว...ผู้คนทั้งหลายต่างเชื่อว่า ชื่อแต่ละนามมีความหมายและความหมายนั้นย่อมหมายถึงการยึดถือและวิถีของคนผู้นั้น
องค์เทพในแต่ละศาสนาของตนจะอวยพรตามความหมายของชื่อ
ยามไปโลกหลังความตาย...หากไร้ชื่อหรือทอดทิ้งมัน ผู้บันทึกทางและผู้เปิดประตูจะมิให้ดวงวิญญาณที่ไร้ชื่อเข้าสู่วัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดอีก...
และนามของเธอคือ’เอลลิโอร่า’ อันเป็นภาษามาจากชนเผ่าฮันเรย์ดั้งเดิมที่มีความหมายว่า’ผู้ยืนหยัดจนแม้ไร้พื้นแผ่นดิน’ นับเป็นความหมายที่เขาต้องการให้เธอเป็น...ไม่ว่าจะเมื่อครั้งเกิดมาหรือต่อไป
“แม้ตัวเจ้าจะไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนบนโลกที่แสนกว้างใหญ่นี้....แต่จงเป็นคนที่ยอมรับตัวเองและยืดหยัดไม่มีวันล้มเฉกเช่นต้นไม้โลกอาเคดาส...แม้โลกจะล่มสลาย
จงเป็นเจ้าที่ยืนแม้กระทั่งคนสุดท้าย เหยียบกองศพพวกมัน....”
นั่นคือคำกล่าวของชายผู้เป็นปู่ที่เอ่ยกับเธอในตอนที่เดินทางมายังจักรวรรดิเฟย์ติสหลังรับรู้การเกิดของเธอ
ซึ่งในตอนนั้นบิดาและมารดาผู้ให้กำเนิดเธอนั้นกำลังค่อนข้างสับสนและยอมรับไม่ได้
จึงเป็นปู่ผู้นี้ที่เอ่ยจัดการความวุ่นวายและยอมเป็นพ่อทูนหัวให้แก่เธอ
ซึ่งจนในกาลปัจจุบันเอลลิโอร่าก็ยังไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดปู่ร่วมสายเลือดผู้นี้จึงช่วยเหลือและเลี้ยงดูเธอกัน...
“ข้าขออภัยที่กลับมาช้า...ทว่ามันก็ยังไม่ล่วงเวลาล่า…ประเดี๋ยวหลานจะออกไปล่าอสุรายามค่ำคืนมาบรรณาการให้แก่ท่านในครานี้”
เอลลิโอร่าเอ่ยกับชายผู้เป็นปู่อย่างนอบน้อม
ธรรมเนียมที่ว่ายามออกเดินทางไกลพ้น เมื่อกลับบ้านย่อมต้องมีของฝากหรือบรรณาการให้แก่ญาติผู้ใหญ่ในบ้านเสมอเพื่อบ่งบอกถึงความเอาใจใส่และความสำคัญของคนผู้นั้นเป็นเรื่องปกติสำหรับชาวเผ่าฮันเรย์
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องบังคับหรือเคร่งอะไร
หากใครที่ไม่ได้รู้สึกเคารพญาติผู้ใหญ่ของตนมากมายขนาดนั้นหรือไม่ได้เห็นว่าสำคัญอะไร
ก็มิต้องนำของฝากหรือบรรณาการมาให้ก็ได้
ทว่าสำหรับเอลลิโอร่า
ปู่ร่วมสายเลือดผู้นี้เป็นดั่งเสาไม้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่ให้เธอเกาะกลางมหาสมุทรลึกและไพศาลนี้
ดังนั้นการให้ความเคารพเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง...
“ไม่ต้องลำบากเจ้าขนาดนั้นหรอก...แต่อย่างไรเสีย
ข้าเองก็ไม่ได้สนทนากับเจ้ามาสักพักแล้ว ข้าจะไปออกล่ากับเจ้าด้วยเลยดีกว่า”
คาเอลรอสเอ่ยตอบกลับผู้เป็นหลานด้วยความเมตตาอยู่หลายส่วน
เป็นที่รู้กันดีว่าหลานสาวผู้นี้เป็นที่โปรดปรานของชายผู้ยิ่งใหญ่คนนี้เพียงใด ผู้คนในชนเผ่าเองก็ต่างมิอาจได้รับเศษเสี้ยวความชอบนี้เลยแม้แต่น้อย
“ลำบากท่านเสียแล้ว...”
เอลลิโอร่าไม่ปฏิเสธ ความสัมพันธ์ของเธอและเขาค่อนข้างสนิทสนมกันเยี่ยงคนในครอบครัวอย่างแท้จริง
หนำซ้ำยังเป็นการดีนัก
มีโอกาสไม่บ่อยและผู้คนไม่มากที่จะได้เห็นฝีมือการล่าของชายผู้นี้
เพราะหากเป็นศัตรูหรือเหยื่อก็ย่อมล้วนตกตายลงด้วยน้ำมือของเขา...
.
.
.
เป็นลูกธนูสายหนึ่งที่ถูกยิงออกไปทวนกระแสแรงลมข้ามผ่านทุ่งกว้างและมันก็ทะลุผ่านร่างสิ่งมีชีวิตหนึ่งรูปร่างคล้ายกระต่ายก็ไม่เชิงหมาป่าก็คล้ายๆที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดด้วยความหวาดกลัว...ร่างของสัตว์ตัวนั้นล้มลงไปกับพื้นพร้อมเลือดที่ไหลออกมาทีละนิด
เป็นพสุธาที่คอยซับเลือดของมันในตอนสุดท้ายของชีวิต...เมื่อตัวหนึ่งตาย
จึงเป็นฝูงของพวกมันที่แตกตื่น...
เอลลิโอร่าที่อยู่บนหลังม้าและยังคงอยู่ในท่ายิงธนูแม้หลังปล่อยศรไปแล้วนั้นก็จับจ้องไปยังทุ่งกว้างลาดต่ำลงไปเพื่อมองดูเหยื่อของตนที่สิ้นลม
ในขณะที่ผู้เป็นปู่ก็เฝ้ามองดูเธอจากบนหลังม้าด้านข้างๆอย่างเงียบงัน
“ยิงได้ดี...ทว่าควรยิงให้ลับตามากกว่านี้
ตัวอื่นจะมิได้แตกฝูงมาก....”
คาเอลรอสเอ่ยสอนหลานสาวของตนอย่างราบเรียบ จากนั้นดวงตาอสรพิษผู้เป็นใหญ่จึงหันไปหรี่ตามองดูเหยื่อที่หลานสาวของตนยิงได้อย่างพินิจและชั่งใจ...เมื่อวิเคราะห์จากการยิงแล้ว
ชายแก่จึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวังและเหนื่อยหน่าย...นางทำเช่นนี้อีกแล้ว
“เอลลิโอร่า...ข้านั้นสอนเจ้ามาเนิ่นนาน ว่ายิงเช่นไร
ฆ่าเช่นไร...เหตุใดจึงยิงมันให้ตายในคราเดียวกัน...กลัวมันทรมานมากหรืออย่างไร ความใจดีของเจ้าไม่ก่อประโยชน์ใดในการล่าหรอกนะ...หลานข้า”
คาเอลรอสเอ่ยต่อด้วยความสงบ
ดวงตาผู้เป็นต้นแบบอสรพิษนั้นเหลือบมองเด็กหญิงอย่างเฉยเมย
คำกล่าวของเขาก็คล้ายผู้ใหญ่ที่กำลังสั่งสอนเด็กผู้หนึ่งเท่านั้น
ความเมตตาต่อเหยื่อหรือศัตรูเป็นสิ่งที่โง่เขลาสำหรับชายผู้ผ่านสนามรบและทุ่งกว้างมามากมายเฉกเช่นเขา
“ข้าขออภัย...”
เอลลิโอร่าเอ่ยรับคำติเตียนจากผู้เป็นปู่อย่างยอมรับ...เพราะนี่คือสิ่งที่เธอกระทำซ้ำอยู่หลายครา
คาเอลรอสนั้นเป็นยอดนักรบและนักล่า...เขาถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆให้กับเธอมามากมายไม่ว่าจะฆ่าสัตว์หรือฆ่าคนด้วยกันเองก็ตาม
ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องหรือสภาพแวดล้อมที่ใช้ประโยชน์ได้เขาก็ยังเป็นผู้บอกเธอโดยใช้จากประสบการณ์ของเขา
“หากเจ้ายิงอสุราลิคบิทได้
จงอย่าพึ่งยิงให้ตาย...พวกมันมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์อยู่บ้าง แต่ไม่มีความคิด เพราะฉะนั้นหากยิงตัวใดตัวหนึ่งไป
จงทำให้มันบาดเจ็บจนวิ่งหนีหรือเดินไปไหนไม่ได้เสียก่อน...แล้วปล่อยทิ้งไว้ชั่วครู่
ประเดี๋ยวครอบครัวหรือตัวในฝูงของมันจะกลับมาช่วยเหลือ และเมื่อถึงครานั้นจึงค่อยยิงครอบครัวหรือตัวในฝูงมันเสีย...”
นั่นคือคำกล่าวสอนหนึ่งของปู่ร่วมสายเลือดผู้นี้
ที่เอ่ยกับเธอในตอนล่าอสุราลิคบิทครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว...เขากล่าวก่อนที่สายธนูของเขาจะปล่อยลงที่ขาของอสุราลิคบิทตัวหนึ่ง
ธนูลูกนั้นเสียบทะลุขาของมันและคล้ายกลายเป็นตะปูที่ตอกขาของมันกับพื้นดิน
มันร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดเสียง....ทว่าเขาก็ยังคงปล่อยธนูลูกที่สองเพื่อเสียบทะลุขาอีกข้างหนึ่งของมันเพื่อให้แน่ใจว่าไม่อาจสามารถหนีได้....
ภาพที่เอลลิโอร่าเห็นในตอนนั้นคือสัตว์ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างน่าสังเวช....จากนั้นไม่นานจึงเป็นอสุราลิคบิทตัวเล็กที่น่าจะเป็นลูกกลับมาช่วยเหลือเพราะคิดว่านักล่าจากไปแล้ว
และเพียงเข้าใกล้ระยะขอบสายตาของผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือด
ลูกธนูก็ค่อยๆเก็บชีวิตลูกอสุราลิคบิทตัวน้อยไปจนหมดอย่างรวดเร็ว...
‘โหดเหี้ยม’
คำๆนี้ผลุดขึ้นมาในหัวของเอลลิโอร่ายามเมื่อเห็นการกระทำและวิธีการของชายผู้เป็นปู่...เขากระทำมันด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยและแววตาที่นิ่งสงบ...
ความจริงแล้วนักล่าในชนเผ่าฮันเรย์ก็ไม่ใช่คนจิตใจอ่อนอะไร
พวกเขามีใจเป็นนักล่าอย่างแท้จริง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้’เลือดเย็น’เท่าคาเอลรอสผู้เป็นปู่ของเธอ...วิถีการล่าของนักล่าแต่ละคนก็ล้วนมีวิธีของตน
แต่ก็ไม่มีใครคิดวิธีหรือกระทำเช่นเขาได้
และซึ่งดูเหมือนเพราะเธอเป็นหลานที่เขาโปรดปราน
เขาจึงเลือกถ่ายทอดความรู้ที่แฝงความเลือดเย็นนี้ให้แก่เธอเพื่อให้เธอเป็นนักล่าที่ล่าได้เก่งและมากกว่าผู้อื่น...โดยที่วิธีการนั้นดูจะโหดเหี้ยมเกินกว่านักล่าคนอื่นเสียอีก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลที่ได้รับก็มากกว่านักล่าคนอื่นเช่นกัน...
เอลลิโอร่าใช้เวลาอยู่สามเดือนในการทำใจกับการฆ่า...พื้นฐานสามัญสำนึกดั้งเดิมของเธอคือคนปกติในโลกก่อน
มิเคยทำร้ายหรือฆ่าสิ่งมีชีวิตใด...ทว่าเพื่อความอยู่รอด
เธอจึงต้องปรับตัว...ในคราแรกที่เธอไม่ยอมฆ่าสัตว์ยามเมื่อมาชนเผ่าฮันเรย์ครั้งแรกๆ
ก็เป็นชายผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดผู้นี้ที่ปล่อยเธออดอาหารไปเองถึงสามวัน
เพื่อให้เธอเข้าใจว่า’ที่นี้คือชนเผ่ากลางทุ่งกว้างหากไม่ล่าแล้วจะเอาอะไรกิน’ ทำให้เธอจำใจต้องฆ่าสัตว์เพื่อปากท้องครั้งแรก...
ซึ่งในช่วงแรกๆที่มาอยู่ในชนเผ่าฮันเรย์นั้นชีวิตความเป็นอยู่ของเอลลิโอร่าค่อนข้างลำบาก
เธอไม่เคยล่าและไม่เคยฆ่าสิ่งมีชีวิตใด หนำซ้ำวิถีชีวิต ความเป็นอยู่
วัฒนธรรมและธรรมเนียมก็ล้วนแตกต่างจากเฟย์ติสราวฟ้ากับเหว...สิ่งสำคัญที่สุดคงเป็นภาษา...เธอในตอนนั้นไม่อาจสื่อสารกับใครนอกจากปู่ร่วมสายเลือดที่วัยหนุ่มเคยแต่งเข้าราชวงศ์เฟย์ติสกับแม่เลี้ยงชาวเฟย์ติสที่ติดตามมาด้วย...
เธอใช้เวลาหนึ่งปีในการร่ำเรียนภาษาชนเผ่าและเธอก็ใช้เวลาสี่ปีในการเรียนรู้ที่จะเป็นนักล่า...เอลลิโอร่าตระหนักดีว่าเธอไม่ใช่อัจฉริยะ...
เมื่อเห็นสีหน้าของหลานสาวที่แม้จะเรียบเฉยทว่าดวงตาฉายแววความรู้สึกผิดเจือปนที่ตนไม่สามารถกระทำอย่างที่เขาต้องการได้
คาเอลรอสจึงเพียงขี่ม้ามาใกล้ๆและยกมือหนาอันหยาบกร้านเกินบรรยายที่ล้วนผ่านดาบผ่านอาวุธต่างๆมามากมายไว้บนหัวของเด็กหญิงก่อนลูบเบาๆด้วยความเอ็นดู
“เอลลิ...ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบวิธีการเช่นนี้ แต่ถ้าเจ้าจะสงสารพวกมัน
ช่วยเหลือพวกมัน...แล้วเจ้าจะเป็นนักล่าได้อย่างไร...แล้วเจ้าจะเอาอะไรกินกัน
หากเจ้าล่าตัวเดียว...เจ้าจะอิ่มเพียงผู้เดียว แต่หากเจ้าล่าได้เยอะ
ครอบครัวของเจ้าก็จะอิ่มเช่นกัน....”
คาเอลรอสเอ่ยสั่งสอนหลานสาวของตนด้วยน้ำเสียงที่นิ่มนวลลงถึงหกส่วน...หลานผู้นี้ไม่ใช่คนไม่รู้ความ
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งอะไรให้มากความ
ในคราแรกที่เขาพานางมาจากจักรวรรดิเฟย์ติส
เป็นนางที่ยอมปรับตัวเข้ากับที่นี้โดยลบล้างทิฐิของตนด้วยเวลาเพียงไม่นาน
ซึ่งคาเอลรอสเชื่อว่าหากเป็นราชวงศ์เฟย์ติสคนอื่นย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น
คนแดนเหนือนั้นหัวสูงและหยิ่งยโสในตัวเอง ซึ่งหลานชายคนโตของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นชาวเฟย์ติสตามฉบับนิยมแท้อย่างชัดเจน
“แต่เราจำเป็นต้องใช้วิถีการเช่นนี้จริงๆหรือ?...ท่านปู่”
เอลลิโอร่าเอ่ยถามพลางเงยหน้ามองสบตาชายตรงหน้า...’เอลลิ’เป็นชื่อเรียกที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เรียกเธอ
หนึ่งในนั้นคือเขา แต่ทว่าก็ไม่ได้เรียกเช่นนี้ตลอดเวลานัก
ทุกครั้งที่เรียกก็มักเป็นตอนปรับความเข้าใจของเธอหรือสั่งสอนเธอตรงๆก็ตาม
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงต้องเสียเวลามากมายในการล่าอสุราแต่ละตัวล่ะ
เมื่อเรามีวิธีที่เสียเวลาน้อยลงและได้ผลมากกว่า...อย่าเอาเวลาไปใส่ใจเหยื่อ
ทั้งที่สุดท้ายมันก็ลงกระเพาะเจ้าอยู่ดี มันนับเป็นเรื่องไร้สาระ
ราชสีห์เวลากินเหยื่อมันก็ไม่เคยถามความเห็นของเหยื่อ...”
คาเอลรอสเห็นความเมตตาในการล่าของหลานสาวอยู่ถึงหกส่วน
ความจริงแล้วนักล่าปกติก็คงทำอะไรเช่นนางเพราะพวกเขาไม่ได้หวังการล่าที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้
ทว่าเมื่อนางเป็นหลานเพียงคนเดียวที่เขานับและโปรดปรานนั้นคาเอลรอสก็หวังให้นางเป็นหนึ่งและเก่งกล้าทั้งทักษะและจิตใจ
ดั่งเช่นพ่อแม่ที่หมายให้บุตรแข็งแกร่งจนมิอาจมีสิ่งใดมาทำร้ายได้ ซึ่งความโหดเหี้ยมและเลือดเย็นที่เขาสั่งสอนนี้จะทำให้นางมีภูมิคุ้มกันหากเมื่อนางต้องเจอกับความโหดร้ายในชีวิตข้างหน้าที่อาจเกิดขึ้น
“อา ข้าเข้าใจแล้ว...”
เอลลิโอร่าเพียงพยักหน้าอย่างว่าง่ายด้วยความจำใจ เพราะเธอรู้ดีว่าปู่ของตนนั้นเป็นคนเช่นไร
เขาเป็นคนดูแลเธอดีและสั่งสอนเธอดีเช่นกัน...ทว่าการสั่งสอนของเขานั้นก็เที่ยงตรงเกินไป...ยอมหักไม่ยอมงอ
หากไม่ยอมทำอีก เขาก็จะกระทำให้นางแทนและเพิ่มความโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ เป็นการบีบบังคับให้กระทำเองในที่สุด...
“เอาเถอะ...สักวันเจ้าจะเข้าใจ ลงไปดื่มเลือดมันเสีย”
คาเอลรอสที่แม้เห็นหลานรักพยักหน้าตอบรับคำสอนของตนแล้ว
ทว่ามีหรือจะดูไม่ออกว่านางย่อมจำใจตอบรับ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยว่าอะไรเพราะรู้ดีว่าในตอนสุดท้ายก็ต้องเป็นนางที่ยอมกระทำเอง
“นั่นสินะ...แล้วตอนข้าไม่อยู่’อาลีน’เป็นอย่างไรบ้าง เขาสบายดีไหม?”
เอลลิโอร่าเก็บคันธนูของตนลงและควบม้าไปยังพื้นที่ลาดต่ำในจุดที่ตนยิงเหยื่อได้
พลางเอ่ยถามถึงแม่เลี้ยงคนสำคัญของตนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างชัดเจน
ซึ่งทางฝ่ายคาเอลรอสยามเมื่อได้ยินหลานรักของตนเอ่ยถึงมัน
ก็เพียงถอนหายใจอีกคราด้วยความเบื่อหน่าย...ตั้งแต่ที่นางมาอยู่ชนเผ่าฮันเรย์ครั้งแรกจนกาลปัจจุบัน
ก็มีเพียงหนึ่งสิ่งที่หลานผู้นี้ยกไว้เหนือสิ่งใด...
นั่นคือ
แม่เลี้ยงชาวเฟย์ติสที่นางเอาติดตามมาด้วย...นางรักมันและถนอมมันเสียยิ่งกว่าตัวเองอีก
“ยังไม่ตาย”
คาเอลรอสเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจพลางควบม้าตามไปโดยไม่พูดอะไร
เขาไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดหลานสาวผู้นี้จึงต้องใส่ใจ’ข้ารับใช้’เพียงคนเดียวมากมายนัก รูปลักษณ์ของมันก็แสนอัปลักษณ์
ความสามารถก็น้อยนิดหนำซ้ำนิสัยก็ยังอ่อนแออีก...หากเป็นเขา
เขาคงเลือกทอดทิ้งมันไปแล้ว
เอลลิโอร่าที่เมื่อมาถึงศพของเหยื่อที่ตนล่าแล้ว
จึงลงจากหลังม้าและหยิบแท่งเหล็กเงินยาวลักษณะคล้ายเข็มทว่ามีขนาดใหญ่กว่านักขึ้นมา
ก่อนเจาะลงที่ตัวสัตว์นั้นให้เลือดไหลออกมา...และหยิบแก้วจอกขนาดเล็กที่มีลวดลายศิลปะของชนเผ่าฮันเรย์ขึ้นมารองรับเลือดนั้นให้พอดีจอก
จากนั้นเอลลิโอร่าก็ยกมันขึ้นดื่มราวกับเป็นเรื่องปกติ...ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับชนเผ่าฮันเรย์
เพราะชนเผ่าฮันเรย์นั้นแต่ดั้งแต่เดิมก็เป็นชนเผ่านักล่าเร่ร่อนในทุ่งกว้างแห่งนี้
พวกเขาที่เป็นนักล่านั้นมีธรรมเนียมที่ว่า ทุกครั้งที่ล่าสิ่งมีชีวิต...ต้องนำเลือดของสิ่งมีชีวิตนั้นมาดื่ม
เพราะมีความเชื่อที่ว่าเป็นการให้เกียร์ติเพื่อจดจำชีวิตนั้นและนำชีวิตนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา...
แรกเริ่มเอลลิโอร่าก็แขยงที่จะต้องดื่มเลือดสดๆเช่นกัน...แม้มันจะไม่มากก็ตาม
ทว่าเมื่อตนมาอยู่ชนเผ่า นักล่าทั้งหลายต่างก็ปฏิบัติกัน ดังนั้นเธอก็ต้องเคารพวิถีชนเผ่าเช่นกัน...นานวันเข้าจึงกลายเป็นความเคยชินและเลือดที่ดื่มเองก็ไม่ได้สร้างผลกระทบให้กับร่างกายของเธอแม้แต่น้อย
นับเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์...ดูเหมือนโลกนี้จะไม่อิงวิทยาศาสตร์เท่าไหร่นัก
“เอาล่ะ....ได้เวลากลับบ้านไปหาโฉมงามแล้วกระมั้ง”
เอลลิโอร่าสะบัดแก้วจอกที่เปื้อนเลือดสัตว์ลงพื้นเบาๆก่อนเก็บมัน
พลางยกมือเช็ดคราบเลือดที่เปื้อนปากอย่างขอไปทีและนำเหยื่อที่ล่ามาได้กลับขึ้นม้าเพื่อเตรียมควบกลับ
เธอหวังกลับเผ่าไปเจอคนที่กำลังเฝ้ารอเธอยู่...
คาเอลรอสได้แต่มองหลานของตนด้วยความระอา โฉมงามงั้นรึ?...ช่างกล้าพูด คงมีนางคนเดียวเท่านั้นที่มองมันเป็นโฉมงาม...
สุดท้ายสองปู่หลานจึงค่อยๆควบม้ากลับชนเผ่าในค่ำคืนที่แสงจากดวงจันทร์ทั้งสามสาดส่อง....
.
.
.
น้องเป็นคนชนเผ่าที่แท้ทรู---5555
ปล.สปอยต่อว่า ฮาเร็มน้องหลากหลายมาก แต่ขอบอกก่อนว่าฮาเร็มน้องไม่ได้มีคนหน้าตาดีทั้งหมดนะคะ น้องเขาไม่มองคนที่หน้าอย่างเดียว จะมีหลายๆปัจจัยที่น้องเลือกใครสักคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตตัวเอง----
ความคิดเห็น