คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่3 ผู้กล้าน้อย
ท่ามกลางปราสาทลึกแห่งนี้นั้นไม่มีอะไรให้เชยชมมากมายนักนอกเสียจากกำแพงสูงและลูกกรง
มันเป็นเพียงแค่ที่จองจำของเด็กหญิงต้องสาปที่ทุกคนต่างไม่ต้องการเท่านั้น...เสียงโซ่ตรวนกระทบกันบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยหากแต่ก็ยังถือว่าที่นี้เงียบสงบมากนัก
ดวงตาสีอรุณจับจ้องไปยังท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยผ่านทางหน้าต่างของปราสาท
มือเรียวเท้าคางและอิงแอบพิงขอบหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน
ร้อยทั้งร้อยในชีวิตของมัวเรลล์คือการเฝ้ามองภายนอกผ่านหน้าต่างบานนี้
โซ่ที่ถูกล่ามนั้นไม่ได้ยาวพอให้เธอออกนอกปราสาทได้
“น้องข้า ช่างรู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ยิ่งนัก...เอาแต่จ้องมองท้องฟ้าเช่นนั้น”
เป็นจอมมารหนุ่มที่มักชอบโดดเรียนมาหาเธอเป็นประจำเสมอมาเอ่ยแซะ
ในขณะที่เขานั้นกำลังนั่งเอนพิงโซฟาและไขว่ขาอย่างถือดี
ในมือเปิดอ่านหนังสือเล่มหนาอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน ดวงตาสีเลือดภายใต้กรอบแว่นของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้ากระดาษหนังสือแม้จะเอ่ยแซะเธออยู่ก็ตาม
“นั่นสินะ...มันก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอกกับการจ้องมองท้องฟ้าทั้งวันหรือจะนอนลงที่ตรงนี้”
มัวเรลล์ตอบกลับคำแซะของเด็กหนุ่มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เธอเคยชินกับความปากร้ายของจอมมารหนุ่มผู้นี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...ร่างบางเหยียดตัวไปตามขอบหน้าต่างก่อนจะหลับตาลงอีกครา
“อย่ามานอนตรงนี้....เดี๋ยวก็ได้เป็นหวัดกันพอดี”
แต่เมื่อปิดตาได้ไม่ทันไร
มัวเรลล์ก็พบว่าร่างของตนนั้นลอยเหนือพื้นและหน้าต่างที่ตัวเองนอนพิงอยู่
โดยที่ร่างของเธอนั้นถูกยกขึ้นมาอุ้มโดยเคียร์เนย์ที่คราแรกนั่งอ่านหนังสืออยู่แท้ๆ
“ข้าอยากนอน....”
มัวเรลล์เอ่ยกับเด็กหนุ่มผู้กำลังอุ้มร่างของเธออยู่โดยที่ยังหลับตาอยู่
ใบหน้าของเธอซุกลงที่ไหล่ของเขาอย่างงัวเงีย
“อืม ข้ารู้…เจ้ามันตัวขี้เกียจ...เรย์”
เคียร์เนย์ตอบกลับอย่างเรียบเฉยพลางใช้มือหนาของตนรวบเส้นผมยาวของเด็กหญิงและทัดผมหน้าของเธอเพื่อไม่ให้เกะกะ
ก่อนที่เขาจะยกมือมาลูบและกุมหัวของเธอให้ซุกไหล่ของตนเพื่อไม่ให้คอตกลงไป
จอมมารหนุ่มทำการขนย้ายร่างของเด็กหญิงไปยังโซฟาที่ตัวเองนั่งอยู่...ก่อนที่เขาจะตัดสินใจลงไปนั่งที่โซฟาและให้ร่างของเด็กหญิงนอนทับเขาตรงอก
จากนั้นจึงหยิบหนังสือที่วางไว้มานั่งอ่านต่อ
มือหนาเปิดหน้ากระดาษถัดไปเรื่อยๆ
ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งลูบหัวของเด็กหญิงที่นอนอยู่ไปด้วยราวกับเป็นกิจวัตรประจำวันหรือเรื่องปกติ
ใบหน้าคมซุกลงที่เรือนผมของนางในขณะที่สายตาใต้กรอบแว่นเลื่อนผ่านตัวหนังสือ
ทุกอย่างกลายเป็นความเงียบงัน
เด็กหนุ่มยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อไปและเด็กหญิงก็ยังคงนอนหลับโดยหาได้ใส่ใจไม่
แต่นี้ก็เป็นเพียงเรื่องปกติสำหรับเคียร์เนย์และมัวเรลล์...พวกเขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด
หนำซ้ำยังรู้สึกคุ้นชินและรู้สึกดีเป็นไหนๆ
พวกเขาไม่ใช่คนกระตือรือร้นที่จะครื้นเครงนัก
หากแต่ชื่นชอบในความเงียบสงบเสียมากกว่าอีก อีกทั้งอาจเป็นเพราะฝ่ายของมัวเรลล์ก็ไม่ใช่คนช่างพูดหรือน่ารำคาญเหมือนเจ้าหญิงหรือเจ้าชายคนอื่นๆจึงทำให้เคียร์เนย์รู้สึกว่าเด็กหญิงผู้นี้เหมาะกับตนอย่างยิ่ง...ในฐานะเพื่อนเล่นไม่สิ...เป็นของๆเขา...
ตั้งแต่ที่เขาได้เจอนางครั้งแรก...คล้ายราวกับสัญชาตญาณในกายได้บอกกับเขาว่า
เด็กหญิงตรงหน้ากำเนิดมาเพื่อเป็นความงดงามและความน่าดึงดูดสำหรับเขาอย่างแท้จริง...เขาหลงใหลมัน
ไม่ว่าจะรูปร่าง ดวงตา จมูก ปาก เรือนผมหรือแม้แต่นิสัย ท่าทาง ทัศนคติ...ทุกอย่างของนางคล้ายถูกสร้างมาเพื่อเป็นดั่งความน่าหลงใหลของเขาทั้งมวล
“ข้าไม่เข้าใจพระบิดาเลยจริงๆ...เหตุใดจึงได้หวาดกลัวเจ้ากันนะ?”
เคียร์เนย์เอ่ยรำพึงออกมาอย่างเชื่องช้า
ในขณะที่ดวงตาสีเลือดเหลือบไปมองเด็กหญิงข้างกายที่นอนหลับอยู่
มือหนาสาวเรือนผมยาวของนางอย่างเบามือ
และเพียงไม่นาน
ดวงตาสีอรุณก็เปิดออกอีกครา...พร้อมกับเอ่ยว่า
“ไม่ใช่ทุกคนจะชอบข้า...เหมือนเจ้า...เคียร์”
ในบทบรรยายของเนื้อเรื่องเกมส์ทั้งหมดกล่าวกันว่า
จอมมารผู้เป็นตัวร้ายของเรื่องราวทั้งหมดนั้นไม่เคยรักใครจริงแม้กระทั่งบิดาผู้ให้สายเลือดของตน...หากแต่เจ้าหญิงต้องสาปกลับเป็นข้อยกเว้น...นางคือคนเดียวที่จอมมารเช่นเคียร์เนย์มอบความรู้สึกและความโปรดปรานให้
ดั่งคำบรรยายในบทเกมส์บทหนึ่ง
‘จอมมารผู้นี้หลงใหลในตัวของเจ้าหญิงต้องสาปเพียงแรกพบ...เขาลืมสิ้นคำทำนายและความหวาดกลัวของผู้คนที่มีต่อนางและก้าวเดินเข้ามาหาตัวตนที่ถูกเกลียดชังและลืมเลือนนี้’
ซึ่งสำหรับมัวเรลล์ที่รู้เนื้อเรื่องเกมส์นี้อยู่แล้วนั้นก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนักกับท่าทีการปฏิบัติของเขาที่มีต่อเธอ
ผู้สร้างเกมส์ก็เคยเกริ่นลอยๆอย่างติดตลกว่า
ตัวละครของเจ้าหญิงต้องสาปนั้นถูกสร้างมาเพื่อคู่กับจอมมารโดยเฉพาะ ไม่มีตัวละครตัวใดจะเหมาะสมหรือคู่กับจอมมารของเรื่องได้เหมือนเจ้าหญิงต้องสาปได้
และนั่นก็หมายความว่า
ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือแม้กระทั่งตัวตนของเธอ....ก็ล้วนถูกสร้างและกำหนดให้เป็นตัวตนที่จอมมารผู้นี้ชอบมากที่สุด....ช่างดูไม่ต่างจากตุ๊กตาที่สามารถปรับเปลี่ยนหัวหรือตัวได้ตามความชอบเลยจริงๆ
“หืม?...เจ้ากำลังบอกว่าข้าชอบเจ้าอย่างนั้นเหรอ...ไม่ดูหลงตัวเองไปหน่อยเหรอ? เรย์”
เคียร์เนย์ฉีกยิ้มบางให้กับคำพูดของเด็กหญิง
ไม่มีผู้หญิงปกติที่ไหนกล้าบอกว่าผู้ชายชอบตัวเองหรอก...นึกสภาพแล้วแตกต่างจากพวกเจ้าหญิงคนอื่นๆที่ทำเป็นเขินอายไม่กล้าพูดอะไรจริงๆ
“หรือไม่ใช่กันล่ะ?”
มัวเรลล์ตอบกลับอย่างอวดดี
ในขณะที่ใช้ดวงตาสีอรุณที่เด็กหนุ่มชอบนักหนาช้อนตามองเขา
“นั่นสินะ....ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าข้านั้นชอบเจ้ามากที่สุดในบรรดาทุกสิ่งทั้งมวลแล้ว...”
เคียร์เนย์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้างกว่าเดิม....ดวงตาสีเลือดเหลือบมองดวงตาสีอรุณของเด็กหญิงที่เขาถูกใจมันมากมายนัก...ดวงตาของนางส่องสว่างและงดงามดุจดวงอาทิตย์
หากแต่ก็เฉียบคมและเกรงขามเหมือนราชสีห์
เป็นดวงตาที่ไม่เหมือนผู้ใดและมันก็น่าหลงใหลยิ่ง
“ช่างเป็นเกียร์ติอย่างยิ่งจริงๆ”
คล้ายเด็กหญิงเอ่ยประชดประชันคำตอบของเด็กหนุ่ม...หากแต่สีหน้าและท่าทางกลับเรียบเฉยนัก
สำหรับมัวเรลล์แล้ว
ความโปรดปรานที่เขามอบให้นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากหน้ากระดาษหนังสือที่ถูกกำหนดมาอยู่แล้ว
เผลอๆตัวตนของเธอในตอนนี้ก็เป็นเพียงตัวตนที่ถูกสร้างและกำหนดขึ้นมาเช่นกัน
.
.
.
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องของปราสาทลึกลับที่อยู่ลึกลงไปในพระราชวังไหม?...ลือกันว่ามีปีศาจร้ายน่าเกลียดน่ากลัวถูกขังอยู่
เพราะเป็นเช่นนั้นพระบิดาจึงสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนเข้าไป”
เป็นเสียงหนึ่งจากในบรรดาเจ้าชายผู้น้อยที่กำลังพูดคุยกันและโอ้อวดเรื่องราวตามประสาเด็ก
ซึ่งเรื่องราวที่พูดถึงนั้นก็ช่างน่าสนใจยิ่ง
เพียงพอที่จะทำให้เหล่าเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งหลายสนใจ
“อย่างนั้นเหรอ...แต่ข้าเห็นท่านพี่เคียร์เนย์ออกมาจากแถวนั้นครั้งหนึ่งนะ
หรือว่าเขาจะไปทำอะไรไม่ดีที่นั่นกันนะ”
เป็นเจ้าชายน้อยอีกคนกล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้
ภาพลักษณ์ของเจ้าชายลำดับที่สามอย่างเคียร์เนย์นั้นค่อนข้างแตกต่างจากเจ้าชายผู้พี่คนอื่นๆและมันก็ออกไปทางไม่ดีนัก
จึงทำให้ราชินีและบรรดาพระสนมทั้งหลายต่างกำชับให้บุตรของตนอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับเจ้าชายผู้นี้
เพราะเกรงว่าภาพลักษณ์และความประพฤติของบุตรจะไม่ดีตามไป
“เขาอาจจะทำสัญญากับปีศาจนั่นก็ได้”
เจ้าหญิงน้อยท่าทางน่ารักน่าชังเอ่ยต่ออย่างสนใจ
ในบรรดาพี่ชายทั้งหมด เคียร์เนย์นับเป็นพี่ชายที่เข้าถึงยากและยอดแย่ที่สุด
จึงไม่แปลกนักที่บรรดาน้องๆจะใส่ไข่เรื่องราวของเขาให้ดูแย่กว่าเดิมตามประสาเด็ก
ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ของเหล่าเจ้าชายเจ้าหญิงต้วน้อยนั้นก็ดังมากพอที่จะทำให้คนนอกกลุ่มได้ยินมัน...
เป็นเด็กชายวัยเพียงสิบปีสภาพมอมแมมที่อยู่นอกกลุ่มของเจ้าชายเจ้าหญิงทั้งหลาย...เขามีเรือนผมสีทองเป็นประกายดุจทองคำก็ไม่ปาน
ดวงตาสีเขียวมรกตมีค่าและเอกลักษณ์อย่างยิ่งยวด
ใบหน้าที่แม้ยังเด็กก็นับว่ารูปงามยิ่ง
หากโตขึ้นไปก็คงไม่แคล้วกลายเป็นชายหนุ่มรูปงามมากผู้หนึ่งอย่างไม่ยากเย็น
เขาคือเจ้าชายลำดับที่แปด
ยูริอัส ลอเรน วาสติน
ซึ่งถึงแม้สถานะของเขาจะเป็นเจ้าชายก็ตาม...หากแต่ก็กลับโดนดูถูก
เมื่อมารดาของเขานั้นเดิมทีมีฐานะเป็นสาวใช้...หาใช่สตรีชนชั้นสูง...เฉกเช่นมารดาของเจ้าหญิงเจ้าชายคนอื่นๆ
และเมื่อเป็นเช่นนั้น
เขาก็มักถูกกีดกันและถูกรังแกเสมอ...เผลอๆในใจลึกๆแล้วของทุกคนไม่นับเขาเป็นเจ้าชายในราชวงศ์เสียด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้นต่อให้เขาหายไป...ทุกคนก็จะไม่สนใจ....
และเมื่อได้ยินข่าวลือของปราสาทลึกลับนั่นก็ทำให้เด็กชายตัวน้อยเกิดประกายความรู้สึกในแววตา...หากเขาไปหาปีศาจนั่น
เขาจะถูกมันกินหรือเปล่านะ?
คิดแล้วความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นก็มากมายพอที่จะทำให้เด็กชายคิดจะก้าวเดินไปยังปราสาทลึกลับเพียงคนเดียว
.
.
.
ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นแตกต่างจากที่ยูริอัสคิดเอาไว้มากมายนัก
ปราสาทลึกลับที่แสนน่ากลัวนี้
แม้มันจะน่ากลัว....หากแต่ก็หาได้ดูสยองขวัญเหมือนที่คิดเอาไว้
มันดูเงียบสงบและโดดเดี่ยวมากมายนัก...
ความจริงหากเขาไม่ถูกปิศาจกิน
เขาก็อาจจะผูกคอตายที่นี้ก็คงเป็นความคิดที่ไม่เลว...เพราะก็คงไม่มีใครจะมาที่นี้หรอก
ความจริงแล้วที่นี้...ถูกพระบิดาสั่งปิดตาย...ห้ามผู้ใดเข้าไปโดยเด็ดขาดนอกเสียจากคนที่ได้รับอนุญาต...จึงไม่มีทางที่จะมีคนเข้ามาที่นี้ได้ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย....
ส่วนเขาที่เข้ามาได้นั้นก็คงต้องขอบคุณเส้นทางแปลกๆเส้นทางหนึ่งที่เขาบังเอิญเจอเข้าพอดี...คล้ายราวกับมีใครจงใจทำมันขึ้นเพื่อเดินทางมาที่นี้โดยเฉพาะ
ยูริอัสไม่คลายความสงสัยเท่าไหร่นัก
หากแต่เหตุผลที่เขามาที่นี้นั้นชัดเจนอยู่แล้ว จึงไม่คิดจะสงสัยอะไรอื่นอีก
ร่างของเด็กชายเคลื่อนเดินไปนั่งที่พื้นโดยพิงกำแพงปราสาท....เขาก้มมองพื้นดินที่ตัวเองนั่งอยู่ก่อนจะเงยมองท้องฟ้าอย่างเหนื่อยล้าเมื่อพยายามคิดทบทวนอดีตและความต้องการของตัวเองในตอนนี้...เอาล่ะ
เป็นไงเป็นกันล่ะทีนี้
“นี่....เจ้าหนู ไม่มีผู้ใดบอกเจ้าหรืออย่างไรกันว่า
ที่นี้ไม่ใช่ที่ควรเข้ามาน่ะ”
เป็นเสียงของเด็กหญิงผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น....น้ำเสียงของนางดูเต็มไปด้วยความเรียบเฉยและน่าเกรงขามแบบแปลกๆ
แม้จะไม่ใช่น้ำเสียงที่ใหญ่หรือเข้มอะไรก็ตาม
แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กชายผู้ขี้ขลาดสะดุ้งและรีบเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของเสียง
และเขาก็พบว่าผู้เอ่ยกล่าวนั้นอยู่ไม่ไกลกับเขาเลยด้วยซ้ำ
ก็ตรงหน้าต่างข้างๆกำแพงที่เขาพิงอยู่....
“เจ้าเป็นใครน่ะ?! แล้วทำไมถึงอยู่ที่นี้ได้กันล่ะ?!---”
ยูริอัสเผลอร้องตะโกนถามด้วยความตกใจ
แต่ก็ต้องเผลอหยุดชะงักลงไป...เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของเจ้าของเสียงที่เขาหวาดระแวง...ดวงตาสีมรกตเบิกกว้างพร้อมกับลมหายใจที่หยุดลงไปชั่วขณะ
ขอสาบานต่อเทพีแห่งความงามทั้งปวง....เขาไม่เคยเห็นเด็กหญิง
ไม่สิ...สตรีคนใด งดงามมากมายมหาศาลเพียงเท่าเด็กหญิงตรงหน้านี้มาก่อน
ราวกับไม่ใช่มนุษย์...สง่างามและน่าเกรงขามดุจราชสีห์
ตัวตนราวเทพ ดูส่องสว่างราวกับเทพอพอลโล่และมีความงดงามเยี่ยงเทพีอโฟรไดท์....เขาไม่เคยเห็นมนุษย์คนใดมีความซับซ้อนและน่าพิศวงเช่นนี้มาก่อน
“เป็นเจ้าต่างหากที่มาทำอะไรที่นี้....มิใช่ ข้า”
นางตอบกลับเขาพลางเท้าคางขอบหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน
ท่าทางของนางนั้นทำให้ยูริอัสได้สติและจ้องมองนางด้วยความลุ่มหลงอย่างไม่อาจช่วยได้
เขาหยุดนิ่งและไม่สามารถทำอะไรได้อีก...
ฝ่ายของเด็กหญิงเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นจึงได้แต่ถอนหายใจ...ก่อนจะยกมือทั้งสองที่ถูกคล้องด้วยโซ่ตรวนขึ้นและปรบมือไม่ดังแต่ก็ไม่เบาซึ่งมันก็เพียงพอเรียกสติคนได้
“นี่ เจ้าหนู....ที่นี้ไม่ใช่สถานที่ที่ควรเข้ามาหรอกนะ”
เด็กหญิงเอ่ยกับเขาในขณะที่ดวงตาสีอรุณคู่พิศวงและงดงามเกินบรรยายเหลือบมองมาที่ยูริอัส...ทำให้เด็กชายอดที่จะรู้สึกขนลุกไม่ได้
“เจ้าเป็นใครน่ะ?...นางฟ้าเหรอ?
ไม่สิ หรือเป็นเทพกันแน่?”
ยูริอัสลืมสิ้นเหตุผลการมาที่นี้และลืมสิ้นความหวาดระแวงทั้งมวลเมื่อเห็นรูปโฉมอันงดงามมากมายมหาศาลอย่างน่าพิศวงของเด็กหญิงตรงหน้า...
และคล้ายเมื่อได้ยินคำถามของเด็กชาย
ก็ทำให้เด็กหญิงหัวเราะออกมาเบาๆพลางฉีกยิ้มเอ็นดูและกล่าวว่า
“ข้ามิใช่นางฟ้าหรือเทพอย่างที่เจ้าพูดหรอกนะ...เจ้าหนู
ข้าน่ะเป็นมนุษย์ธรรมดาเยี่ยงเจ้านี่แหละ”
“แล้วทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี้ได้กันล่ะ?...ที่นี้กักขังปีศาจเอาไว้มิใช่หรือไง?”
ยูริอัสที่ถูกหัวเราะใส่แสดงความไม่พอใจนัก
เหตุใดนางจึงแสดงทีท่าราวกับว่าเขาเป็นเด็กกัน หนำซ้ำยังเรียกเขาว่า เจ้าหนู ทั้งๆที่รูปลักษณ์แล้วก็คงอายุใกล้เคียงกันหรืออย่างมากก็ไม่ห่างกันมากมายนัก
ส่วนทางด้านของเด็กหญิงที่ได้ยินคำกล่าวของเด็กชาย
ก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยหากแต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกจะเรียบเฉยด้วยซ้ำ
“ปีศาจ?....ที่นี้ไม่มีปีศาจอย่างที่เจ้าว่าหรอกนะ...กลับไปซะ”
“ถ้าไม่มีปีศาจอยู่ที่นี้
แล้วเจ้าทำไมถึงอยู่ที่นี้ได้กันล่ะ.....แถมยัง...ถูกล่ามโซ่เอาไว้อีก...”
ดวงตาสีมรกตของเด็กชายเลื่อนมองไปยังปลอกคอเหล็กและโซ่ตรวนที่ข้อมือของเด็กหญิงด้วยความไม่เข้าใจ
“ความขี้สงสัยฆ่าแมวตายได้นะ...เจ้าหนู”
เป็นเด็กหญิงที่เอ่ยเสียงเย็นทั้งที่ประดับรอยยิ้มอยู่
การที่เขาแอบเข้ามาที่นี้ก็นับว่าผิดมหันต์แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่เด็กชายผู้นี้จะต้องรับรู้อะไรเกี่ยวกับเธอ
ส่วนที่เขาเข้ามาได้นั้น...ก็คงเพราะเส้นทางลับที่จอมมารผู้นั้นเปิดทิ้งเอาไว้เป็นแน่...น่าตายยิ่ง
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามาที่นี้เพื่ออะไร....หากจะมาพักเหนื่อยที่นี้ก็คงไม่ใช่สถานที่ที่ถูกนัก”
เป็นเด็กหญิงที่เอ่ยขึ้นอย่างทีเล่นทีจริงพลางจับจ้องไปที่เด็กชายอย่างเฉื่อยชา
“ข้าไม่ได้มาที่นี้เพื่อพักอะไรสักหน่อย...ก็แค่อยากหายไปเท่านั้นเอง...”
เด็กชายเอ่ยตอบเด็กหญิง...หากแต่ประโยคสุดท้ายดูจะเบาบางลงอย่างชัดเจน
หากไม่ได้อยู่ใกล้หรือหูดีก็คงไม่ได้ยิน
ซึ่งเด็กหญิงก็อยู่ใกล้พอที่จะได้ยิน....เธอหลับตาลงราวกับเหมือนไม่ใส่ใจคำพูดของเด็กชายนัก
มือบางที่ถูกล่ามโซ่ตรวนนั้นเอื้อมลงไปยังศีรษะของเด็กชายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า
“เจ้าจะไม่หายไปหรอก...ไม่มีทาง”
“ไม่รู้อะไรแท้ๆอย่ามาทำเป็นพูดดีหน่อยเลยน่า!....ข้าแค่คิดว่าจะมาให้ปีศาจกินเท่านั้นแหละ!”
ยูริอัสที่ได้ฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเด็กหญิง
ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด เด็กหญิงเพิ่งเคยเจอเขาแท้ๆ
ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่เขาต้องเจอเลยด้วยซ้ำ แถมยังมาลูบหัวตามใจชอบอีก
คิดแล้วยูริอัสก็ปัดมือของเด็กหญิงออกไป
“มาให้ปีศาจกินอย่างนั้นเหรอ?....น่าขำ
หากเจ้าต้องการจะตายจริงๆ คงไม่มารออะไรแบบนี้หรอกนะ เจ้าหนู”
เป็นเด็กหญิงที่หัวเราะขึ้นมาเบาๆอีกครั้งพร้อมกับดวงตาสีอรุณที่เปิดออก
คนที่คิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ...แทบไม่สนใจอะไรแล้วด้วยซ้ำ...
ครั้งหนึ่งในอดีตชาติ...เธอเคยหนีปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาอย่างมหาศาล....ลืมสิ้นภาระหน้าที่หรือแม้กระทั่งคนข้างหลังว่าจะเป็นอย่างไร
แค่มีมีดเล่มเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เธอในตอนนั้นทำทุกวิธีการจบชีวิตตัวเอง
และสุดท้ายเธอก็ไม่ตายในตอนนั้นจากการช่วยเหลือ
ภาพน้ำตาของผู้เป็นมารดาที่ร่ำไห้ต่อหน้ากลายเป็นความรู้สึกผิดชั่วชีวิตครั้งหนึ่ง
‘ทำไมทำอะไรไม่คิดถึงใจแม่บ้างเลย...’
ภาพในอดีตยังคงย้ำเตือนเด็กหญิงเสมอมาถึงการมีชีวิต...เธอไม่ได้มองเรื่องการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งผิดและก็ไม่ได้มองการใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่าย
ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกายชั่วครู่ก่อนดับลง...รอยยิ้มฉีกกว้างเผยให้เห็นเขี้ยว
ก่อนที่เธอจะเอ่ยประโยคหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กชายไป
“นี่...เจ้าหนู เรามาพนันกันไหม?”
“พนัน?....พนันอะไร?”
ยูริอัสรู้สึกขนลุกและหวาดระแวงเด็กหญิงในทันที...แต่เหมือนราวกับดวงตาราชสีห์คู่นั้นสะกดให้เขาต้องจ้องมองและรับฟังนาง
“หลังจากนี้อีกสิบปี...จงเลือกมีชีวิตอยู่และฝ่าฟันอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา....แล้วเจ้าจะได้พบกับความสุขที่ได้รับเยี่ยงวีรชน”
เด็กหญิงตรงหน้าเอ่ยขึ้นอย่างมั่นคงและชัดเจนราวกับมั่นใจว่าอนาคตของเด็กชายผู้นี้จะเป็นเช่นไร
“แล้วทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วยล่ะ? เห็นอนาคตรึไง? อย่ามาหลอกกันซะให้ยากเลย!”
ยูริอัสที่แม้ยังเด็ก
แต่ก็ไม่ใช่จะคิดไม่ได้ เขามองว่านางกำลังคิดจะถ่วงเวลาเขาไม่ให้ฆ่าตัวตายโดยหลอกว่าจะพบความสุข
“คิดว่ามันเป็นเกมส์สิ....เจ้าหนู”
เป็นเด็กหญิงที่เอ่ยกับเขาก่อนที่นางจะฉีกยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนโยน....มือบางของนางวางลงที่หัวของเด็กชายอีกคราก่อนจะลูบหัวของเขาอย่างเบามือ
คล้ายภาพตรงหน้างดงามเกินกว่าที่เขาจะสามารถจดจำได้
ดวงตาสีมรกตพร่ามัวยามเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นและร่างกายก็หยุดชะงักลงทุกสิ่งเมื่อถูกลูบหัว
พอรู้ตัวอีกที...ยูริอัสก็พบว่าตัวเองได้ออกมานอกปราสาทลึกแล้วและอยู่ที่สวนราชวังตามเดิม...แม้มันจะเย็นมากแล้วก็ตาม
เจ้าหญิงเจ้าชายคนอื่นก็ล้วนกับปราสาทของตนไป
เขาออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
คล้ายพึ่งได้สติ
ยูริอัสรีบหันซ้ายขวาในทันที
หากแต่ก็ไม่ค้นพบร่องรอยของหลักฐานที่เขาไป...ปราสาทลึกลับนั่น...เขาเคยเข้าไปจริงๆเหรอ?
ความสับสนก่อเกิดขึ้นมาในใจของเด็กชายเล็กน้อย...ก่อนที่เขาจะพบว่ามือของตัวเองนั้นกำเศษดินเอาไว้อยู่....และเมื่อคลายมืออกมา
เขาก็จดจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาได้ไปนั่งพื้นดินที่นั่น...
แสดงว่าเป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ?....แล้วก็เด็กผู้หญิงคนนั้นด้วย?
ภาพของเด็กหญิงผู้งดงามมหาศาลอย่างน่าพิศวงไม่อาจลืมเลือนในหัวสมองของยูริอัสได้....และคำพูดของนางอีกประโยคก่อนจากกัน
‘มีชีวิตต่อไป...จงเลือกที่จะพิสูจน์ตนซะหาใช่เลี่ยงหนี....เชื่อข้า
แล้วเจ้าจะกลายเป็นคนที่น่าภาคภูมิ….’ยูริอัส’’
และคำพูดประโยคนี้ของเด็กหญิงคล้ายราวกับมันมีมนต์วิเศษ...เพราะหลังจากนี้ไป...เป็นเด็กชายผู้ขี้ขลาดที่จะเติบโตขึ้นอย่างสง่าเพียงเพราะเชื่อในคำพูดของนาง
ซึ่งในขณะที่เด็กชายตกอยู่ในภวังค์คำพูดของเด็กหญิง...เขาก็พึ่งนึกได้อีกคราว่า..
เหตุใดนางจึงรู้ชื่อของเขาได้กัน?
.
.
.
มัวเรลล์ที่หลังจากได้พบกับแขกพิเศษที่หลงเข้ามายังปราสาทลึกแห่งนี้ก็ได้แต่เพียงนึกคิดอย่างเรียบเฉย
ก่อนจะยิ้มบางพลางลูบขอบหน้าต่างที่ตนโผล่ไปพูดกับเด็กชายอย่างอารมณ์ดี
‘ยูริอัส ลอเรน วาสติน’....หนึ่งในตัวเอกของบทเกมส์...ไม่สิ
เป็นพระเอกหลักของเรื่องราวเลยด้วยซ้ำ
‘เพราะฉะนั้นเธอจึงมั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันตายในตอนนี้และมีอนาคตที่ดีรออยู่’
เขาผู้เป็นเจ้าชายที่เกิดจากหญิงสาวสามัญชน....ครอบครองพลังธาตุแสงอันแสนวิเศษ...และกลายเป็นผู้กล้าผู้ส่องสว่างเหนือใคร
รูปลักษณ์ที่โดดเด่นแม้จะถูกปกปิดด้วยคราบสกปรกเพียงใด
ก็ยังเด่นชัด...ยูริอัส ตัวเอกของเรื่องราวผู้นี้นับเป็นตัวละครที่โดดเด่นยิ่ง ร้อยทั้งร้อย...หากนำตัวละครตัวเอกทั้งหมดมารวมกัน
ยูริอัสก็ยังคงโดดเด่นกว่าผู้ใดอยู่ดี
และตัวเอกที่เปรียบดั่งลูกรักของผู้สร้างมีหรือจะตายในอายุยังน้อย
ก็เข้าใจหรอกว่าประวัติของยูริอัสนั้นถูกสร้างมาเพื่อเป็นตัวทดสอบและแสดงให้เห็นถึงความลำบากในช่วงวัยเด็กของเขาก็ตาม
จึงทำให้เด็กชายผู้นี้เติบโตมาเป็นคนที่มองทุกคนอย่างเท่าเทียมและยุติธรรมตามประสาผู้กล้า
ช่างต่างจากจอมมารผู้อยู่กับเธอจริงๆ...
สำหรับเคียร์เนย์แล้ว
เขานับเป็นหนึ่งในเจ้าชายสายเลือดบริสุทธิ์ด้วยซ้ำไป....เพราะมารดาของเขามียศเป็นถึงเจ้าหญิงจากทวีปมืดและอำนาจที่มารดาของเขาถือครองนั้นก็ติดตัวเขาตามมาตั้งแต่ถือกำเนิดซึ่งมันมากล้นกว่าผู้ใด...เป็นชีวิตที่เกิดมาสมบูรณ์แบบแท้ๆ
“มีหนอนแมลงหลงเข้ามาจนได้สินะ…”
เป็นเคียร์เนย์ที่ยื่นมองมัวเรลล์ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
เขามองเด็กหญิงที่คล้ายกำลังอารมณ์ดี...ซึ่งเขาไม่ชอบมันซะเท่าไหร่
“เอาน่า...เจ้าก็ส่งเขาออกไปแล้วมิใช่หรือไง”
มัวเรลล์สัมผัสได้ดีว่าเด็กชายข้างหลังของตนนั้นอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก
คงเพราะการมาของยูริอัสที่เผลอเข้ามาที่นี้
เมื่อนึกย้อนภาพตอนที่เธอคุยกับยูริอัสได้ไม่ถึงชั่วยาม จอมมารหนุ่มก็รับรู้การมาของอีกคนที่ไม่ใช่ตนและจัดการใช้เวทย์เคลื่อนย้ายส่งตัวเอกของเรื่องราวออกไปทันที คิดแล้วก็อดขำไม่ได้เลยจริงๆ...
“ข้าจะปิดเส้นทางลับนั่น...”
เคียร์เนย์เอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
เมื่อนึกถึงเด็กชายผู้หนึ่งที่บังเอิญพบทางเขาเข้า....หรือเขาจะสร้างกับดักไว้ที่ทางด้วยก็ดีเหมือนกัน
แล้วค่อยไปสร้างเส้นทางใหม่
มัวเรลล์ที่เห็นจอมมารหนุ่มกำลังหมกมุ่นกับความคิดเรื่องเส้นทางก็เผลอหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
จอมมารที่เก่งนักเก่งหนา...ก็สะเพร่าเป็นเหมือนกันสินะ
เคียร์เนย์ที่เห็นเด็กหญิงหัวเราะตน
ก็ส่งสายตาดุเด็กหญิงไป ก่อนจะเดินเข้าไปโอบกอดเธอจากด้านหลัง
ใบหน้าของเขาซุกลงที่เรือนผมยาวของเธอพร้อมกับมือหนาที่สางเส้นผมของเธออย่างหวงแหนราวกับเด็กๆ
“ข้าไม่อยากให้ใครเห็นเจ้า....เรย์ รู้ตัวรึเปล่าว่าความงดงามของเจ้าน่ะสะกดผู้คนให้ลุ่มหลงยิ่งเสียกว่ามนต์ของไซเรนตัวใด....ข้าหวง”
.
.
.
ความคิดเห็น