คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : บทที่22 ฝันหนึ่งตื่น
“ ----....ค...คือลูกจะโอเคหรือเปล่า
ถ้าแม่กำลังแต่งงานใหม่อีกครั้ง”
ความกังวลแผ่ซ่านในน้ำเสียงอันอ่อนโยนของผู้เป็นมารดา
ดวงตาถนอมใจคู่นั้นเลือกหลบเลี่ยงที่จะสบมองเธอราวหวาดกลัวการหักห้ามในคำตอบของบุตรสาว
เมื่อความรักเริ่มพลีบานในฤดูใหม่ก็ยากจะสรรหาคำใดมาเอื้อนเอ่ย...แม้กระทั่งความรู้สึกของเด็กน้อยวัยเยาว์คนหนึ่ง
‘หากเธอปฏิเสธ....มารดาจะยินยอมตามความปรารถนาของเธออย่างนั้นหรือ?’
ปลายลิ้นของเธอรู้สึกขมขื่นคล้ายน้ำลายของตนมิอาจกลืนลงสู่ลำคอได้
หน้าอกเหมือนถูกบีบรัดอย่างน่าอึดอัดราวค้อนเหล็กตอกลงไป
ใบหน้าเสแสร้งปั้นรอยยิ้มนักหนาตามคำบอกกล่าวหวังดีของมารดานั้นแข็งทื่อจนแปรเปลี่ยนเป็นความเรียบนิ่งโดยไม่รู้ตัว...
“ถ้าแม่มีความสุข....หนูก็มีความสุขค่ะ”
ปากเอ่ยคำโกหกออกมาอย่างง่ายดาย
คำสาปแช่งปะปนความน้อยใจนั้นถูกทุบตีอยู่ในสมองของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ริมฝีปากแข็งเป็นรอยหยักเส้นตรงพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะประดับความยินดีอันจอมปลอมให้แก่มารดาบังเกิดเกล้า
“อย่างนั้นเหรอ....พ่อใหม่ลูกเองก็มีลูกติดเหมือนกัน
เป็นพี่ชายลูกในอนาคต”
ด้วยอายุวัยเยาว์ยังไม่ขัดเกลามากมายในสังคม
ความไม่สบอารมณ์ที่แม้พยายามแสร้งปกปิดของบุตรสาวนั้นจึงมีร่องรอยปรากฏ
หากแต่คล้ายเป็นความเห็นแก่ตัวของมารดาผู้นี้จึงเลือกยอมรับคำโกหกที่รักษาใจตนมากกว่าแลมองข้ามความรู้สึกของบุตรสาวไป
“อา...ค่ะ”
ไม่มีผู้คนทั้งหลายที่อยากฟังเรื่องราวของบุคคลภายนอกซึ่งเข้ามาเสริมเติมแต่งครอบครัวของตนโดยไม่ยินดีหรอก
คำบอกเล่าของมารดาคล้ายขยะที่พ่นออกมาราวสายน้ำไม่หยุดหย่อน
ดวงตาสีดำสนิทเป็นหลุมลึกนั้นค่อยๆจ้องมองใบหน้าของผู้ให้กำเนิดอย่างเงียบๆ
ดั่งการละเล่นของปีศาจวนเวียนอยู่ในหัวสมองของเธอให้แสดงความโกรธาขึ้นมาสักครา....บีบน้ำตาร้องไห้สักหน่อย....ตะโกนแลขว้างปาของเยี่ยงเด็กน้อยตามอายุที่ควรเป็นบ้าง....เช่นนั้นมารดาคงเห็นใจตน
ทว่าน่าเสียดายนักเมื่อสมองน้อยๆของเธอขลาดกลัวเกินกว่าลงมือกระทำ....เธอหวาดกลัวว่าหากเธอทำเช่นนั้น
มารดาจะทอดทิ้งเธอ เฉกเช่นเดียวกับตอนที่มารดาทิ้งบิดาของเธอไป
ชีวิตของเธอไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากสตรีผู้ให้กำเนิดคนนี้
“อย่างนั้นก็ดีเลย....อีกไม่นานพวกเขาจะมาบ้านเราแล้ว
จะได้ทำความรู้จักกัน”
สิ้นคำกล่าวของมารดานั้นทำให้หัวใจดวงน้อยๆยิ่งตระหนักอย่างแท้จริงว่า
ไม่ว่าเธอจะเอ่ยปฏิเสธไป...มารดาก็จะไม่ใส่ใจ
เมื่อคำเอ่ยนัดพบนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วหลังเอ่ยถามความรู้สึกของเธอ...
ใบหน้าเรียบนิ่งรู้สึกชาราวแช่น้ำแข็งเย็น
มืออันเล็กน้อยหากแต่แข็งกร้าวราวก้อนหินกำฝ่ามือของตนเบาๆคล้ายบอกตัวเองให้อดทนอ้อมๆ
บางทีผู้ใหญ่ก็มักแสดงความเห็นของตนเป็นใหญ่และบอกว่าเด็กอย่างเธอไม่มีเหตุผลมากพอ..เสียงบรรยายคุณความดีว่าแก่คนรักใหม่ของมารดานั้นยังคงบรรเลงออกมาราวเครื่องดนตรีเพลงพังๆ
เธอตัดสินใจเมินเฉยต่อทุกสิ่งและเลือกที่จะไม่รับฟังมากกว่านำมาใส่ใจให้รู้สึกขุ่นมัว...
“ฟังแม่อยู่หรือเปล่า…-----“
เมื่อเห็นท่าทางไม่ยินดียินร้ายของบุตรสาวนั้นทำให้สตรีผู้เป็นมารดากังวลกับการปฏิบัติตนของเด็กน้อยที่อาจกระทำเสียมารยาทกับว่าที่สามีใหม่
จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะพรรณนาความดีและกำชับความสำคัญของบุคคลภายนอกที่จะเข้ามาเป็นครอบครัวตนในเร็ววัน
แลแน่นอนว่าคำกล่าวใดๆล้วนไม่เปิดรับเมื่อผู้ฟังมีอคติ
เด็กน้อยมีเสี้ยวความคิดว่ามารดาของตนนั้นโง่เขลาหรืออย่างไร
จึงมองไม่ออกเลยว่าเธอนั้นไม่อยากยุ่งเกี่ยว การพยายามดึงดันให้เธอไปมีส่วนร่วมโดยที่มีความรู้สึกไม่ชอบพอนั้นก็รังแต่จะสร้างความอึดอัดให้แก่ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น...
“ภาษาอังกฤษของหนูยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่....เพราะฉะนั้นให้หนูอยู่เงียบๆก็พอแล้วค่ะ”
แม้นเป็นเด็กน้อยวัยเยาว์ที่ความคิดอาจไม่ซับซ้อนมากมายนัก
แต่เธอก็เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาหรือความวุ่นวายที่จะเกิดตามวิสัยเอาตัวรอด
“ลูกมาอยู่อเมริกาได้เนิ่นนานสักพักแล้วนะ”
คล้ายเป็นคำติเตียนอ้อมๆของมารดา
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้มระบายความไม่พอใจเล็กน้อย ปลายปากพร่ำบ่นรำพึงนักหนาว่าเสียเวลามากมายโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
ความผิดหวังอันเป็นเวทีแสดงความรู้สึกประดับบนใบหน้าของมารดานั้นยิ่งทำให้ความขุ่นมัวในใจของเด็กหญิงตัวน้อยจมดิ่งลึกลงไปคล้ายซากทะเล
‘เพราะแทบไม่มีใครพูดคุยกับเธอเลยด้วยซ้ำ...แม้กระทั่งตัวของมารดาเองก็เถอะ’
ปิดปากของตัวเองให้สนิทเมื่อเส้นกั้นความอคติของมารดานั้นแสดงออกมาราวสัญชาตญาณ...แก้วหูรับฟังคำกล่าวทั้งหลายก่อนถ่ายเทมันออกมาเป็นเพียงลมปากอันเบาบาง
แลเมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่เสียงสัญญาณกริ่งประตูดังขึ้นก็คล้ายหยุดความน่ารำคาญทั้งมวลในคราเดียว...
ราวมนต์สะกดอันน่าประหลาดที่มารดาของเธอหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วรีบวิ่งออกไป...ช่างน่ายินดีจริงๆ
ทว่าเพียงไม่นานนักความนิ่งสงบบนใบหน้าของเธอก็แตกกระจายลง...เมื่อปรากฏเป็นรูปร่างของบุรุษชาวนอร์ดิกอเมริกันชนสองคนตามแบบฉบับพิมพ์นิยมในหน้าหนังภาพยนตร์ทั้งหลายที่มองชมผ่านตา....ความคิดในแง่ลบของเธอได้ตระหนักว่าพวกเขานั่นแลคือกลุ่มคนที่เธอใคร่ปฏิเสธ...
แลไม่ทันที่คำเอื้อนเอ่ยใดๆจากริมฝีปากบางที่ขบเม้มเข้าหากัน...ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลภายใต้กรอบแว่นสี่เหลี่ยมอันเทอะทะชวนคุ้นเคยนั้นก็กวาดสายตามาบรรจบ...รอยยิ้มแรกพบเปี่ยมความอ่อนโยนซึ่งอาบย้อมใจเธอราวแสงสว่างพร่ามัวนั้นเด่นชัด...
ถึงรูปลักษณ์ของผู้ส่งสารคำสอนพระเจ้าที่ตราตรึงอยู่ในหัวสมองของเธอเสมอมา...
“บาทหลวง-----“
“ตายจริง....รู้จักกันอย่างนั้นเหรอ?”
คำอุทานของมารดายิ่งตอกย้ำความจริงอันน่าพิลึกลือลั่น
ดวงตาสีดำสนิทยิ่งระบายความเย้ยยันราวกับว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องโง่เขลา
เสียงหัวเราะอันเหือดแห้งจากลำคอเล็กคล้ายรีดเค้นออกมาอย่างวิกลในขณะเดียวกัน
“ครับ...แต่ดูเหมือนคุณหนูตัวน้อยจะเข้าใจผิดไปหน่อยน่ะครับ
ผมเป็นอนุศาสนาจารย์ในนิกายโปรแตสแตนต์ ไม่ใช่บาทหลวงหรอกครับ”
เป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวลเอ่ยตอบกลับอย่างเชื่องช้าด้วยความใจเย็น
พลางเลื่อนสบมองกิริยาของเด็กน้อยราวขำขันประดุจลูกแกะตัวน้อยพบเจอหมาป่าก็ไม่ปาน
“นี่...’อามิธ’ จะมาเป็นพี่ชายคนใหม่ของลูกนะ...”
ราวกับมีภูตพรายมากระซิบหยอกล้อ...เผยโฉมรอยยิ้มอันน่าแสนวิเศษของเทวดาผู้บริสุทธิ์อันเยื้องย่างลงมาบนพื้นโลกมนุษย์
แล้วชำระล้างโคลนโสมมเช่นตัวเธอในสักวัน...
หากแต่แท้จริงแล้วคือกลลวงบาปจากพระเจ้า...ดั่งบททดสอบของโมเสสผู้แหวกข้ามทะเลแดงสู่แสงชัยอิสระ
แลน่าเสียดายนัก....เมื่อมิใช่มนุษย์ทุกคนที่สามารถก้าวข้ามผ่านบททดสอบนี้ไปได้
รุกล้ำสู่ห้วงนรกอเวจี เฉลิมฉลองปราชัยเพื่อดื่มด่ำไวน์คราสุดท้ายก่อนบรรจงก้าวเท้าเต้นรำไปพร้อมกับซาตาน
.
.
.
“พี่ชาย...อย่าร้องไห้นะคะ...”
เสียงไร้เดียงสาดุจแก้วใสชวนรู้สึกบอบบางยามแตกหักนั้นเอื้อนเอ่ยในภาษาต่างดินแดนที่เขาไม่คุ้นเคยนัก...ถึงเรือนผมสีดำสนิทเป็นพลอยนิล
สบมองกับดวงตากลมคู่งามราวนัยน์กวาง แลมือไม้อันแสนเล็กน้อยที่กลับพยายามโอบล้อมความเจ็บปวดของเขาราวกับว่ามันสามารถปกป้องโลกทั้งใบได้
ซึ่งช่างน่าขัน....เมื่อความอบอุ่นเล็กๆนี้กลับรู้สึกปลอดภัยมากกว่าใต้แสงของรูปปั้นพระผู้เป็นเจ้าที่เขาอ้อนวอนเสียอีก
แม้นภาษาต่างดินแดนจะมิได้มีความสำคัญอะไร
เมื่อเทียบเท่ากับภาษาแม่ของเขาอันคล้ายคลึงความเป็นสากล
หากแต่เพราะความใกล้ชิดและการดูแลซึ่งกันและกันเสมอมา
ทำให้ทั้งสองเรียนรู้สิ่งต่างๆของอีกฝ่ายเพื่อยอมรับและเข้าใจกัน
เขาจึงรับรู้ถึงความห่วงใยที่พยายามปกปิดจากผู้คนอื่นของเด็กหญิงตัวน้อยผ่านภาษาที่แตกต่าง
“พี่ไม่เป็นไร....----“
ร่องรอยแตกร้าวของกระจกแว่นนั้นมิอาจปกปิดหยดน้ำตาไหลรินอันมากล้นของเด็กหญิงตัวน้อยได้
เสียงด่าทอของบิดาบังเกิดเกล้าผสมเคล้าความเย็นชาราวไร้หัวใจของมารดาเลี้ยงที่แปลกประหลาดนั้นได้ทอดทิ้งพวกเขาหลังบานประตู
ข้อมือของเขาถูกบิดพลิกจนผิดรูปลักษณ์ชวนน่าขนลุก
เศษเลือดและก้อนเนื้อฉีกขาดบางส่วนเป็นดั่งของน่าขยะแขยงที่เผยโฉมออกมาจากร่างกายของเขาเป็นตราบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
“หนูจะอยู่ข้างๆพี่เอง...เพราะฉะนั้นอย่าหวาดกลัวที่จะไม่มีใคร
ต่อให้พระเจ้าที่พี่เชื่อจะไม่มีอยู่จริง”
เป็นคำกล่าวเรียบสงบที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งใดๆ
แม้นโดยปกติแล้วเด็กหญิงตัวน้อยจะรับรู้ดีว่าเขาอาจไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อตนเอ่ยถึงพระเจ้าอย่างไร้ศรัทธา
แลช่างน่าแปลก...เมื่อเขากลับไม่รู้สึกขุ่นเคืองอย่างที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
เพียงมือเล็กคู่นั้นกอบกุมฝ่ามือที่อัปลักษณ์ด้านชาของเขาอย่างอ่อนโยน
ปัดเป่าซึ่งความเจ็บปวดทั้งหลายจากโลกความเป็นจริงที่โหดร้ายเหลือคณานัก อบอุ่นคล้ายเปลวไฟโชติช่วงท่ามกลางฤดูเหมันต์หนาวเหน็บ
ก่อนมันจะกลายเป็นเพียงฝันหนึ่งตื่นในชั่วพริบตาของชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง....
นัยน์ตาสีโลหิตเลือดของมารร้ายลืมตาตื่นขึ้นอย่างเชื่องช้า....เรือนผมยาวสีดำกาทมิฬนั้นปกลงมาคลอเคลียบนใบหน้าเค้าคมอันเย้ายวนสตรีเพศ
ก่อนที่ปลายนิ้วหนาจะยกเลื่อนขึ้นมาสูดดมฝ่ามือของตนราวหวนคำนึง....ถึงกลิ่นรัญจวนของความอ่อนโยนในเนรมิตวันวาน
แม้นกำเนิดเจ็บตายกี่หมื่นอดีตชาติ พานพบผู้คนมามากมายล้วนไม่จีรัง....ใช่ว่าชีวิตในภพกาลก่อนของตนนั้นมิเคยมีคนเคียงคู่กายหรือไร้สิ้นพันธะใดมากมาย...จักนารีหรือบุรุษเพศ
ก็ลิ้มลองความรู้สึกแลรสชาติเสพสังวาสเป็นอาจิณ
หากเอ่ยถามว่ามีสตรีใดที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนกว่าเด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นหรือไม่...เขาย่อมตอบว่ามีอย่างแท้จริง...นิสัยหรือรูปลักษณ์ของนางนั้นมิได้หายากอะไรในผู้คนนับพันล้าน...
ทว่าเพราะความโปรดปรานนั้นมิจำเป็นต้องเป็นสตรีที่งดงามที่สุดหรือดีเลิศประเสริฐอันเป็นหนึ่ง
ความชอบคือความชอบ...ต่อให้มีดรุณีเพียบพร้อมซึ่งความอ่อนโยนมากมายกว่านางเพียงใด แต่เขากลับพึงใจปรารถนาซึ่งความอ่อนโยนแม้นเพียงน้อยนิดของนางเท่านั้น...ดั่งมีโซ่ตรวนมาตีตราให้มันคงรักพิมพ์แด่นางเพียงผู้เดียว
ช่างขลาดเขลาราวสุนัขโง่งมในความภักดี
คำสาปของความเป็นนิรันดรนั้นคือชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดโดยไม่อาจร้างลืม
มารร้ายเฉกเช่นมันไม่สามารถใช้ชีวิตโดยแบกรับความรู้สึกและความทรงจำที่อาบย้อมไปด้วยความผูกพันทั้งมวลนับพันนับหมื่นอดีตชาติได้...จึงเลือกหลงลืมอดีตชาติเหล่านั้นไป...เพื่อรักษาตัวตนให้คงอยู่
มิให้เสียสติแลบิดเบี้ยวตัวตนของชีวิตตัวเองไปมากกว่านี้...ถึงเช่นนั้น
เด็กหญิงตัวน้อยในวัยเยาว์กลับเป็นสิ่งเขาไม่อาจลบทิ้งในความทรงจำที่มากมายได้...
“ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งใดๆที่ข้าส่งคนไปเผากรุงหลวงแห่งอาณาจักรมิลล์เทน...เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรไม่เข้าเรื่อง
วาตินนอฟ.”
คำกล่าวด้วยความสัตย์จริงเพียงหนึ่งเดียวของคนบาปนั้นคือความไร้สัจจะ
คำสัญญาอันเลือนลอยนั้นเป็นเพียงลมปากของมารร้าย ตัวตนเฉกเช่นมันคือความชั่วร้ายอันโดยชอบธรรมของโลกใบนี้
หาได้มีความคิดตื้นเขินกะหลั่วๆเหมือนดั่งตัวร้ายโง่งมที่ยังคงมีศีลธรรมความคิดของมนุษย์ในบทประพันธ์ทั้งหลาย
“ท่านเอื้อยเอ่ยคำสัญญาแด่ท่านหญิงน้อยไปแล้วมิใช่หรือพะยะค่ะ”
ปลายนิ้วเรียวหนาของจอมมารหนุ่มทิ้งเคาะพื้นโต๊ะเป็นจังหวะเล็กน้อยอย่างผิดมารยาท
ปลายเท้าไขว่ห้างเป็นเยื้องย่างชวนยโสในกิริยา นัยน์ตาสีโลหิตเลื่อนสบไปมาราวครุ่นคิดไม่ขาดสาย
ถึงตัวมันแด่ความฉิบหายแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลายนั้นเป็นของคู่กัน ดังนั้นหากเอ่ยมุสาเพียงเล็กน้อย
กระทำตนเชิดหุ่นอยู่เบื้องหลังสักหน่อย ทั้งมวลย่อมเป็นเรื่องง่ายดายราวกลืนกินน้ำ
“หากคำโกหกนั้นเป็นเพียงคำหลอกลวงตั้งแต่เริ่มแรกแล้วจึงใยต้องใส่ใจ?”
การมีชีวิตอยู่ของผู้กล้าตัวน้อยนั้นรังแต่จะสร้างความพินาศให้แก่เขาและนาง...ดาบศักดิ์สิทธิ์ของเทพีแห่งโชคชะตาทั้งสามนั้นหาได้เสียบลงมาทะลุหัวใจของมารร้ายเช่นมันเพียงผู้เดียวเท่านั้น....หนึ่งชีวิตอันบริสุทธิ์ที่มันโอบอุ้มนั้นจะกลายเป็นเครื่องสังเวยแด่คนบาปราวคำประกาศของพระผู้เป็นเจ้า
ช่างน่าขันนัก....นี้หรือความถูกต้องที่เอาชนะความรู้สึกของมนุษย์ผู้หนึ่ง...
หากพระผู้เป็นเจ้าเฉกเช่นชายผู้โง่เขลาคนนั้นประสงค์ให้นางจบชีวิตลงในบทสุดท้ายเพื่อความถูกต้อง...เคียร์เนย์นั้นแลที่จะต่อต้านมัน
แล้วกระทำสิ่งบาปทั้งมวลบนโลกเพื่อตัวนาง
‘ข้านั้นแตกต่างจากเจ้า....อามิธ’
.
.
.
กลับมาแล้วค่าาา-----ขอโทษที่หายไปนานนะคะ เนื่องจากพยายามปรับตัวกับการเรียนมหาลัยอยู่
แล้วก็ปวดหลังหนักมากจนแทบทิ้งดิ่งบนเตียงเลยค่ะ555
ปล.ถ้าคำบรรยายตรงไหนผิดหรือสำนวนตรงไหนอ่านไม่เข้าใจ
ทักได้นะคะ ส่วนตัวก็ห่างจากงานเขียนมาสักพักเลยรู้สึกฝืดๆเวลาคิดคำหน่อยน่ะค่ะ
ปล.ที่2 เนื้อเรื่องจะค่อยๆเฉลยปมแล้วค่ะ!
ความคิดเห็น