คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บทที่20 รอยร้าว[100%][สอบถาม]
แสงแดดยามแรกสางแห่งนครต้องสาปนั้นมัวหมองราวรัตติกาล
ความหนาวเหน็บนั้นอาบย้อมพื้นกระเบื้องชวนให้ฝ่าเท้านั้นรู้สึกปวดยามสัมผัส
กลิ่นอายแห่งความตายแลความโศกของปราสาทนั้นบ่งบอกตัวตนของราชวงศ์แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
ดอกไม้งามแห่งจอมมารนั้นคงเป็นสิ่งหนึ่งเดียวกระมังที่ส่องสว่างเหนือสิ่งใดให้แก่ดินแดนแห่งนี้
เรือนผมยาวสีอรุณอ่อนนั้นถูกหวีสางอย่างประณีตโดยเหล่าสาวใช้ผู้ดูแล
แม้นนัยน์ตาคู่งามยังคงปิดสนิทตามประสาคนพึ่งตื่นนอน
ลำคอขาวนวลแลเอียงเล็กน้อยเหมือนจะใคร่นอนหลับอีกครา
ทว่าด้วยรูปลักษณ์ที่ความงดงามเป็นเอกนั้นจึงไม่มีใครคิดติเตียนกิริยาอันคล้ายเกียจคร้านของเด็กหญิงเลยแม้แต่น้อย...ด้วยรูปโฉมดีนั้นมีชัยมากกว่าครึ่ง
ผู้คนจึงย่อมมองว่าดีเช่นกัน
หนำซ้ำยังไม่นับรวมความโปรดปรานของนายเหนือหัวที่มีต่อเด็กหญิงผู้นี้เสียอีก...หากเพียงนางเอื้อนเอ่ย
คำเหล่านั้นคือวาจาสิทธิ์ที่ตัดสินได้แม้กระทั่งชีวิตของผู้คนทั้งหลาย
“ท่านหญิงมัวเรลล์ช่างงดงามเหลือเกินเพคะ…หม่อมฉันมั่นพระทัยอย่างยิ่งยวดนักว่า
แม้นใต้โลกาผืนฟ้าดินนั้นย่อมไม่มีผู้ใดงดงามเทียมเท่าท่านได้แล้ว”
เป็นคำพูดกล่าวชื่นชมที่คล้ายดูจริงใจผสมเคล้าหวังเพียงประจบประแจงจากปากสาวใช้นางหนึ่ง
ดวงตาสีดำสนิทของนางฉายแววความอิจฉาอันเก็บซ่อนอยู่เล็กน้อย พลางคิดอยู่ภายในใจว่า
สตรีเช่นนี้ช่างโชคดี...เกิดมาก็มีรูปโฉมเป็นทรัพย์ประเสริฐแล้ว
ไม่แปลกเลยที่จะยั่วยวนนายเหนือของตนให้ลุ่มหลงได้เช่นนี้
แม้นความจริงนั้นเหล่าสาวใช้ทั้งหลายในปราสาทของเจ้าชายเลือดผสมอย่างเคียร์เนย์นั้นจะคัดหน้าตาแลความสามารถค่อนข้างสูง
เพื่อทำหน้าที่และบำบัดความใคร่ของตน...ทว่าก็มิเคยมีสตรีนางใดเลยที่ได้รับการยกระดับฐานะหรือการปฏิบัติเป็นพิเศษเลยแม้แต่น้อย
เหล่าสาวใช้ทั้งหลายจึงได้แต่นึกอิจฉาอยู่ในใจ
ต้องเป็นความงดงามมหาศาลราวผิดมนุษย์นี่กระมัง...จึงทำให้นายเหนือของตนหันมาสนใจได้เช่นนี้
แลด้วยความปรารถนาอันริษยาเกินพอดีของสาวใช้นางหนึ่งจึงเผลอดึงเส้นผมของเด็กหญิงผู้เป็นนายหญิงแรงไปเสียหน่อย
ทำเอามัวเรลล์ที่คราแรกสะลึมสะลืออยู่นั้นลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
พลางภาพอดีตของการถูกกระชากเส้นผมนั้นย้อนรอยสร้างความหวาดเกร็งให้แก่ร่างกาย
“หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจเพคะ....ข...ขอประทานอภัยด้วยเถิด”
สาวใช้ผู้เมื่อรับรู้ดีว่าตนได้เผลอกระทำผิดอย่างออกนอกหน้านั้น
จึงทรุดตัวลงกับพื้นพลางคุกเข่าลงราวสำนึกผิดเหลือคณานัก
ร่างบางภายใต้ชุดสาวใช้นั้นสั่นเทาราวดาบประหารชีวิตนั้นได้พาดบนลำคอของนางเสียแล้ว
หากเป็นผู้คนปกติย่อมต้องให้อภัยกับความผิดเล็กน้อยนี้อย่างง่ายดาย....หากแต่ตรรกะความคิดของมัวเรลล์นั้นแตกต่าง...
“ไม่เป็นไร...แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรับใช้ข้าแล้ว”
มัวเรลล์เอื้อนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก นัยน์ตาสีอรุณอันคล้ายราชสีห์นั้นกวาดสายตาเหลือบมองเหล่าสาวใช้อย่างราบเรียบ
พลางเอื้อมมือสัมผัสเส้นผมที่ถูกดึงเบาๆคล้ายแมวที่โดนดึงหาง
“ต...แต่หม่อมฉันแค่เผลอดึงผมของท่านหญิงเองนะเพคะ”
สาวใช้ผู้คราแรกคล้ายกระทำตัวรู้สึกผิดนั้นแสดงสีหน้าซีดเผือกราวดาบประหารในเร็ววัน
เพราะการถูกกล่าวให้เลิกรับใช้นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการกระทำตนไม่ถูกใจนาย
หากนายเหนือหัวอย่างเจ้าชายเคียร์เนย์ทราบ...มีหรือที่เขาจะเก็บพวกนางไว้
จิตใจอันเลือดเย็นและโหดเหี้ยมของผู้เป็นนายเหนือนั้นย่อมเป็นที่ประจักษ์...
“แล้วอย่างไร....”
น้ำเสียงอันไร้ซึ่งความเห็นใจแก่เพื่อนมนุษย์นั้นออกมาจากริมฝีปากบางของเด็กหญิง
คล้ายราวกับว่าคุณธรรมหรือความเมตตาต่อสิ่งมีชีวิตร่วมชาติพันธุ์เดียวกันนั้นได้แห้งเหือดไปกับกองไฟที่เผาไหม้ตนเสียแล้ว
เหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมนัก....เมื่อความผิดเล็กน้อยกระทำเพียงครั้งเดียวนั้นสามารถตัดสินชีวิตของตนได้ถึงเพียงนี้
จึงจะอ้าปากเพื่อโต้เถียงหวังแก้ไขคำตัดสินของเด็กหญิงให้แปรเปลี่ยน
ทว่าคล้ายโชคชะตานั้นไม่เปิดกว้างให้แก่พวกนางสักเท่าไหร่นัก...เมื่อเสียงปลายเท้าอันทิ้งน้ำหนักอันหนักอึ้งนั้นใกล้เคียงเข้ามาเสียแล้ว...
“แหมๆ...ดูเหมือนเจ้าจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดเหลือเกินหนา
เรย์”
เพียงปรากฏรูปลักษณ์ของมารร้ายเฉกเช่นเคียร์เนย์...เหล่าใช้สาวทั้งหลายคล้ายถูกกรีดริมฝีปากและมัดเย็บราวไร้เสียงใดๆ
รอยยิ้มอันฉีกกว้างฉาบย้อมไปด้วยความเย้ยหยันต่อทุกสิ่งนั้นยังคงประดับบนใบหน้าของเขา
ความสั่นเทาของเหล่าผู้อยู่ต้อยต่ำกว่านั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดี....ว่าแม้นภายใต้รอยยิ้มนั้นน่ากลัวเพียงใด
“เอาพวกนางออกไปเสีย...”
จอมมารร้ายนั้นย่อมเลือกตามใจสตรีคนโปรดของตนมากกว่ามนุษย์เพศเมียที่ตนได้ร่วมหลับไม่กี่คราอยู่แล้ว
เขาไม่เคยรู้สึกผูกพันหรือเสียดายแม้แต่น้อย...
และเพียงสิ้นคำสั่งของผู้เป็นนายเหนือหัวนั้นเสียงกรีดร้องของเหล่าสาวใช้นั้นก็ปานราวกับถูกส่งทอดไปยังโรงฆ่าสัตว์เสีย
พวกนางพยายามดิ้นรนจากฝ่ามือของเหล่าทหารที่พากันเข้ามาลากฉุดร่างของพวกนางอย่างดิ้นรนเหลือคณานัก
ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้ามาสู่ความเงียบสงบอีกครา...ไร้ซึ่งผู้คนอื่นทั้งหลายแล้ว
มัวเรลล์ที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้แลหลับตาฟังเสียงโหยหวนนั้นจึงค่อยลืมตาตื่นขึ้นมา...ก่อนเหลือบดวงตาสีอรุณนั้นเพื่อสบมองจอมมารหนุ่มที่อยู่ใกล้ตัว
และเอ่ยถามราวชั่งใจ
“ไม่ถามหรือ....ว่าเหตุใดข้าจึงทิ้งพวกนางเพียงเพราะเหตุผลเล็กน้อย?”
“ต่อให้เจ้าตัดสินเพียงเพราะความเอาแต่ใจตน...ข้าก็ยินยอมปฏิบัติทุกอย่างล้วนให้แก่เจ้า”
เคียร์เนย์อดไม่ได้ที่จะยิ้มเอ็นดูเด็กหญิงคนโปรด...เมื่อนางเอื้อนเอ่ยถามเช่นนี้
มือหนาของมารร้ายค่อยๆเอื้อมรวบเส้นผมยาวของนางมาจัดแจงต่ออย่างรักใคร่
โดยไม่แม้นแต่จะมีคำถามใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากที่ฉีกกว้างด้วยรอยยิ้ม
“การรู้จักควบคุมตัวเองแลการยับยั้งช่างใจของพวกนางต่ำเกินไป...”
เพียงเธอมาอยู่อาศัยที่แห่งนี้ไม่นานนัก...พวกนางก็แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาทางสายตาเสียแล้ว
หนำซ้ำบางคนยังเผลอตัวกระทำตนเช่นนี้อีก ความอิจฉา ริษยา แลการดูแคลนเพียงเพราะคิดว่าเธอมีรูปโฉมที่ดีอย่างเดียวเท่านั้น...ความคิดเหล่านั้นแลที่จะทำพวกนางล้ำเส้นในสักวันอย่างไม่ต้องสงสัย...
สายตาของพวกเหล่าสาวใช้นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากสายตาของเจ้าหญิงแห่งวาสตินที่เคยกระทำเลวร้ายกับเธอในอดีตครานั้นเลยแม้แต่น้อย....มัวเรลล์นั้นได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนแล้วว่าความอิจฉาของอิสตรีนั้นน่ากลัวอย่างจริงแท้...
แลไม่มีเหตุผลจำเป็นที่เราต้องเลี้ยงงูพิษที่แม้นยังไม่กัดเรา
ให้หันมากัดเราในสักวัน....
“นั่นสินะ...เช่นนั้นข้าจะดูแลเจ้าเอง”
เคียร์เนย์นั้นไม่ได้เอ่ยติเตียนกับความหวาดระแวงของเด็กหญิงแต่อย่างใด
เหตุเพราะนั้นคือความต้องการของเขาอยู่แล้วเสียด้วยซ้ำ...เบื้องหลังเรือนผมของนางน้อยนั้นคือรอยยิ้มที่ฉีกกว้างกว่าเดิมชวนน่าขนลุก
ดวงตาสีโลหิตนั้นส่องประกายราวคลื่นน้ำลึก...
“เช่นนั้นพ่อบ้านส่วนตัวของข้าคงเป็นถึงเจ้าชายแห่งอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เลยเชียวหรือ”
มัวเรลล์เอ่ยอย่างขบขันเล็กน้อยตามประสาความสนิท
พลางเอนศีรษะของตนให้เอียงหลังไปสัมผัสฝ่ามือของจอมมารหนุ่มซึ่งกำลังยุ่งกับการรวบผมของเธออยู่ราวหยอกล้อและออดอ้อนในเวลาเดียวกัน
เคียร์เนย์ซึ่งกำลังตั้งใจรวบมัดเส้นผมของเด็กหญิงอย่างประณีตเพื่อเสริมเครื่องประดับนั้นคิ้วขมวดเล็กน้อย
เมื่อนางตั้งใจเอียงศีรษะมารับการฝ่ามือของเขาอย่างจงใจ
จึงทำให้เรือนผมที่มัดรวบนั้นเสียทรงไปเสียแล้ว...
“อย่าดื้อซน...เรย์”
ริมฝีปากของจอมมารหนุ่มนั้นเอ่ยดุเด็กหญิงคนโปรดเล็กน้อย
ก่อนค่อยๆก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของนางราวสั่งสอนเด็กน้อยให้อยู่ในโอวาท
จากนั้นมือหนาแลหยาบกร้านทั้งสองข้างจึงตัดสินใจปล่อยเส้นผมของนางที่คราแรกตั้งใจรวบมานักหนาให้สยายไปราวกับไม่สนใจอีกต่อไป...เพื่อมาประคองใบหน้าของนางให้เอียงหลังต่อเพื่อเงยมองตนแทน
ดวงตาคู่คมกลมโตของมัวเรลล์นั้นส่องสะท้อนใบหน้าของจอมมารหนุ่มราวกับกระจกใส...ราวกับกาลเวลานั้นช้าลงไปเล็กน้อย...ก่อนที่ริมฝีปากของชายหนุ่มเคลื่อนลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากของเธอเบาๆราวผิวน้ำ...แลหยุดนิ่งลงกลางอากาศ
มีเพียงปลายจมูกของทั้งสองที่แนบชิดกันและดวงตาอันส่งความรู้สึกมากมายถึงกันของเด็กหญิงและชายหนุ่มที่คล้ายเป็นสัญญาณถึงจดหมายที่ทั้งสองปิดผนึกด้วยสีเทียนในแรกเริ่ม...
เพราะสุดท้ายมันได้เปิดผนึกเนื้อความอันบิดเบี้ยวเสียแล้ว....
ดวงตาของมัวเรลล์เบิกกว้างราวกับถูกกระชากให้ร่วงลงจากสรวงสวรรค์....รอยจูบอันแผ่วเบาจากผู้เป็นพี่ชายต่างมารดาร่วมสายเลือดนั้นทำให้เธอตระหนักถึงบาป
นิ้วเรียวบางยกขึ้นมาเอื้อมสัมผัสริมฝีปากของตนอย่างช้าๆ
แลเลื่อนสบมองดวงตาสีโลหิตเบื้องหน้าราวกับใคร่หาความจริงแท้บางสิ่ง
“เราเป็นพี่น้องกันนะ....เคียร์”
“ข้ารับรู้ดี...เรย์”
เคียร์เนย์มิได้แสดงความวิตกกังวลใดๆในรอยยิ้มกว้าง....มือหนาของเขาเพียงลูบแก้มนวลของนางอย่างรักใคร่ด้วยความเงียบงัน
ดวงตาโลหิตอันเย้ยหยันต่อโลกนั้นมิได้เย้ยหยันต่อนางแต่อย่างใด....
“สิ่งที่พวกเราจะกระทำนั้นมันน่ารังเกียจแลผิดศีลธรรมนักหนา...ผู้คนจะไม่ยอมรับมัน”
มัวเรลล์เอ่ยตักเตือนจอมมารหนุ่มอย่างเชื่องช้าคล้ายหวังให้เขาได้ครุ่นคิดเสียหน่อย
ความสัมพันธ์อันคลุมเครือนี้มิควรก้าวล้ำเส้นให้ความผิดเด่นชัด
“เพราะเป็นเช่นนั้นไง...ข้าจึงทำให้ทุกอย่างที่ปฏิเสธพวกเรานั้นหายไป”
มีเหตุผลมากมายที่ทำให้จอมมารเฉกเช่นเคียร์เนย์ปรารถนาที่จะทำลายโลกใบนี้...ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงผืนดินหรือท้องฟ้าที่ตนเหยียบแลเงยมอง
แต่หมายถึงผู้คน...อารยธรรม...เศษซากปรัชญาความคิด
ทุกสิ่งที่สิ่งมีชีวิตนั้นยกตนเหนือธรรมชาติเล่นละครราวเป็นพระผู้เป็นเจ้า
กำหนดทุกสิ่งและสร้างกฎเกฑณ์ทุกอย่าง สุดท้ายก็ลงท้ายด้วยการทำลาย...
“ยอมรับมาเถิด...เรย์
เจ้าเองก็ไม่เคยมองข้าเป็นพี่ชาย....”
รอยยิ้มอันฉีกกว้างของจอมมารหนุ่มนั้นคล้ายราวกับกล่าวว่ารับรู้ทุกสิ่ง
แลเอื้อนเอ่ยราวกับลวงลึกเข้าไปในจิตใจของเด็กหญิง
มือหนาค่อยๆเกลี่ยดวงตาราชสีห์อรุณคู่งามของนางเป็นการบอกอ้อมๆว่า
ดวงตามักเป็นหน้าต่างของดวงใจก็ไม่ปาน
“……”
เป็นริมฝีปากบางที่ขบเม้มเข้าหากันอย่างราบเรียบ...พลางหลุบนัยน์ตาลงเพื่อหลบเลี่ยงความจริงอันแสนโสมมนี้
เพราะมันคือความจริงแท้ที่เธอไม่เคยมองเคียร์เนย์เป็นพี่ชายจริงๆของตนเลย
เมื่อตัวตนของเขาคือจอมมาร...อัตตาอันเป็นเอกหนึ่งเดียวนี้ มันกลบมิดซึ่งมุมมองทางสายเลือดหรือแม้กระทั่งความเป็นคนของเขาในสายตาของเธอ
ไม่มีผู้ใดเคยคิดว่ามนุษย์ธรรมดาสามัญนั้นสามารถนับญาติร่วมสายเลือดกับจอมมารได้....แลเธอเองก็เช่นกัน
“ความสัมพันธ์ในเริ่มแรกของเรามันบิดเบี้ยวตั้งแต่แรกแล้ว...เรย์”
“เพราะฉะนั้น’ต่อให้สารภาพบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า...ชีวิตของเจ้าและข้าก็จะมิได้รับความเมตตาหรอกหนา’”
จอมมารหนุ่มเฉกเช่นเคียร์เนย์นั้นมิเหมือนชายผู้นั้น...เขานั้นขลาดกลัวต่อบาปอย่างแท้จริง
ศรัทธราต่อพระเจ้าจนกลายเป็นความโง่เขลา....สุดท้ายชีวิตจึงไม่เหลือแม้กระทั่งความสุขตามความเชื่อของตน
จนต้องสร้างตัวตนของเขาขึ้นมาในฐานะจอมมาร....ตัวละครผู้กระทำทุกสิ่งตามความต้องการของตนโดยไม่สนใจสิ่งใด
‘พอแล้ว....หยุดได้แล้ว
ต่อให้พวกเราสารภาพบาปต่อพระผู้เป็นเจ้า
ชีวิตของฉันกับเธอก็ไม่ได้รับความเมตตาหรอกนะ ----‘
คล้ายเศษเสี้ยวความทรงจำในอดีตชาติของมัวเรลล์ซ้อนทับลงในคำกล่าวของจอมมารหนุ่มเมื่อครู่.....เธอหยุดนิ่งชะงักลงราวกับรู้สึกแปลกประหลาดราวกับเห็นภาพฝันที่พยายามลืมเลือน....
อา...ทั้งๆที่เหมือนเคยได้ยินคำกล่าวแบบนี้แท้ๆ....แต่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด
.
.
.
แด่พายุเพลิงโหมกระหน่ำราวคลื่นทะเลคลั่ง แลเสียงกรีดร้องของมนุษย์อันแทรกซ้อนรวมร้อยบรรเลงเป็นโซนาตาแห่งความวุ่นวายอันแสบแก้วหู พลทหารป่าเถื่อนเดินทัพราวไม่เคลื่อนถอยหมายมั่นทำลายอมิตรให้หมดสิ้น แม้นปราการศึกหินอันแข็งกร้าวก็ล่มสลายลงกลายเป็นเพียงหินผาอันแตกแยก ลูกปืนแลกระสุนนั้นคือความเมตตาต่อข้าศึกในยามสุดท้ายของชีวิตผู้ปราชัยนั้นแล....น่าสิ้นหวังอย่างยิ่งยวดนัก....
ดวงตาสีมรกตอันขลาดกลัวของยูริอัสนั้นถูกภาพแห่งความโหดร้ายนั้นดึงดูดราวต้องมนต์สะกด...เมื่อดินแดนอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้เป็นเจ้าตามพันธสัญญาเดิมนั้นกลายเป็นเพียงนรกอันหยาบช้าบนพื้นภูมิอย่างน่าสังเวช
สวนสวรรค์บนแผ่นดินผืนสุดท้ายแห่งมวลมนุษย์นั้นได้ล่มสลายเสียแล้ว...
เด็กน้อยวัยเยาว์อันวันหนึ่งจะเติบใหญ่เป็นผู้กล้านั้นได้ลิ้มลองถึงความโหดเหี้ยมของสงครามอย่างแท้จริง สองเท้าของผู้อ่อนแอนั้นก้าววิ่งหนีเยี่ยงคนขลาดหวังรักษาชีวิตตน แม้นคำอ้อนวอนหวังขอความช่วยเหลือมากมายเพียงใดจากผู้คนบนทางเดินนั้นจะส่งระงมเป็นบทเพลงอันโศกนาฏกรรม ทว่าความตระหนักรู้ถึงชีวิตแห่งตนนั้นได้กระซิบข้างหูของผู้กล้าตัวน้อยให้มอบความรักให้แก่ตนเสียก่อนมอบให้คนอื่น...
ยูริอัสทอดทิ้งเหล่าเจ้าหญิงแลเจ้าชายผู้คราหนึ่งเคยเหยียบซ้ำเขาอย่างไร้ซึ่งความลังเล...มือสกปรกที่พวกมันรังเกียจนักหนานั้นถูกสะบัดออกยามที่พวกมันร้องขอความช่วยเหลือคณานัก เมื่อความเป็นจริงนั้นโหดร้าย...จิตใจของผู้กล้าเฉกเช่นยูริอัสในเริ่มแรกเองจึงมิอาจใสสะอาดได้เช่นกัน
หากพระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า’ผู้คนทั้งหลายจงรักเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอย่างคุณอนันต์เสียเถิด’ ยูริอัสจะโต้เถียงแลเอ่ยตอบว่า’จงรักผู้คนที่ควรรักจึงถูกต้อง’
ตัวตนของยูริอัสนั้นเดิมเป็นเพียงกลุ่มก้อนของความเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้รับความสุขใดๆบนพื้นฐานของชีวิต ดังนั้นความยุติธรรมของเขาจึงอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง...
มารดาอันเป็นสามัญชนแห่งเขานั้นเป็นสตรีใฝ่สูงหวังปีนป่ายสายเลือดกษัตริย์ชั้นปกครองเพื่อความสุขสบายตลอดชีวิตของตน นางทุบตีเขาด้วยความรุนแรงเพียงหวังความเห็นใจจากพระผู้เป็นบิดา นางด่าทอเขาในสายเลือดอันหยาบโคลนโดยสามัญชนของนาง แลสุดท้ายนางก็จากไปโดยไร้สิ้นความห่วงใยหรือคำร่ำลาพร้อมกับเงินตราที่มากมาย...
ในยามที่เขามีอายุเพียงสี่ปีนั้นได้ตระหนักรู้แล้วว่า’ความรักของมารดานั้นมิได้ยิ่งใหญ่เกินกว่าค่าของกระดาษ’
ส่วนบิดาผู้สูงศักดิ์ของเขานั้นสมบูรณ์พร้อมยิ่งในฐานะของกษัตริย์...หากแต่เมื่อเป็นฐานะของบิดาแล้วนั้นไซร้คงเป็นเพียงคนแปลกหน้า เขาเมินเฉยต่อความอยุติธรรมของเหล่าบุตรทั้งหลาย ยามเขาถูกกลั่นแกล้งก็มิเคยมีคำตัดสินใดออกมาจากปากอันเล่าลือว่าเที่ยงตรงนักหนา...ดวงตาที่คอยมองประชาชนทั้งมวลอย่างทรงธรรม นั้นมีความรักมากกว่ามองบุตรนอกคอกคนนี้เสียอีก...
“ข้าต้องรอด....”
คำเอื้อนเอ่ยของยูริอัสนั้นแผ่วเบาสวนทางกับปณิธานความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ของเขา....สองเท้ายังคงก้าววิ่งต่อไปแม้นฝ่าเท้าอันไร้ซึ่งรองเท้าจะเจ็บปวดกับก้อนหินแลก้อนกรวดที่ตนต้องเผชิญ...
‘มีชีวิตอยู่ต่อไป...จงเลือกที่จะพิสูจน์ตนซะหาใช่เลี่ยงหนี...เชื่อข้า แล้วเจ้าจะกลายเป็นคนที่น่าภาคภูมิ...ยูริอัส’
เสียงของเด็กหญิงผู้หนึ่งยังคงดังก้องกังวานในหัวของเขา...แลมันจะเป็นเหตุผลหนึ่งเดียวที่ทำให้เขาในตอนนี้ใคร่ปรารถนาที่จะมีชีวิตต่อไป...
“รอก่อน! ได้โปรดช่วยเหลือข้าด้วยค่ะ....ขาของข้าติดอยู่ในหลุมนี้”
เสียงร้องเรียกของสตรีนางหนึ่งนั้นเอ่ยอ้อนวอนราวกับสายลมมาจากข้างหลังของยูริอัส....เรือนผมสีทองอร่ามดุจทองคำแท้นั้นบ่งบอกถึงความเป็นชนชั้นสูง ดวงตาสีฟ้าอ่อนเจือปนสีครามนั้นดูสูงค่ายิ่ง แม้นเครื่องแต่งกายนั้นจะดูชำรุดแลแปดเปื้อนโคลนเล็กน้อยหากแต่เนื้อผ้านั้นคือของชั้นดี หนำซ้ำยังมินับรวมใบหน้างดงามตามฉบับพิมพ์นิยมของชาววาสตินอีก....
ยูริอัสสามารถตัดสินในใจเพียงคราแรกพบเลยว่าสตรีผู้นี้มิใช่สามัญชนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเตรียมก้าวเดินเพื่อวิ่งหนีต่อไป...เพราะสำหรับเขาแล้วชนชั้นสูงนั้นเป็นพวกเห็นแก่ตัวและรับมือด้วยความลำบากอย่างแท้จริง...หนำซ้ำยังมิต้องพูดถึงความล่าช้าในการหลบหนีอีก เมื่อประเมินโดยสายตาของยูริอัสแล้วขาข้างหนึ่งอันติดหลุมของสตรีนางนี้นั้นคงได้รับบาดเจ็บอย่างแน่แท้ หากเขาช่วยเหลือขึ้นมา ย่อมต้องมารับผิดชอบพานางหลบหนีไปด้วยอีกคน...
แลถึงการนั้นเขาเองก็มิอาจมีความเมตตาใดที่จะทำให้ตนต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่ไม่รู้จักกัน...โดยต้องมาเสี่ยงชีวิตตัวเองเพราะเหล่าทหารข้าศึกตามล่าทันหรอกหนา
ความเห็นแก่ตัวอันเป็นพื้นฐานของมนุษย์นั้นยังคงปรากฏได้แม้กระทั่งในตัวของผู้กล้าตัวน้อย....
“ข...ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนกับเจ้าอย่างแน่นอน หากเจ้าให้ความช่วยเหลือกับข้า....อาณาจักรวาสตินล่มสลายแล้ว แม้นเจ้าหนีรอดพ้นคมดาบทหารข้าศึกได้ ทว่านับเวลาจากนี้ไปเจ้าจะกลายเป็นเพียง’คนเถื่อน’ แลหากเป็นเช่นนั้นคงยากลำบากไม่แพ้การกลายเป็น’ทาสแลเชลยสงคราม’กระมัง”
เมื่อสตรีวัยเยาว์รับรู้ถึงความไร้เยื่อใยใดๆของเด็กชายที่มีต่อนาง ข้อเสนอถึงผลประโยชน์อันมีค่าจึงถูกเอื้อนเอ่ยออกมาเพื่อต่อรองชีวิตของตน
“อันตัวข้ามีสายเลือดของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรมิลล์เทน....ย่อมหาทางขออพยพเป็นผู้ลี้ภัยแลขอสัญชาติอาณาจักรมิลล์เทนได้อย่างแน่นอน”
“เป็นข้อเสนอที่ดี....แต่ข้าจะมั่นใจได้เยี่ยงไรว่าสิ่งที่เจ้าพูดคือความจริงแท้...โดยเฉพาะในยามสงครามซึ่งผู้คนต้องเอาตัวรอดเช่นนี้”
ยูริอัสนั้นมิใช่เด็กน้อยในวันวานซึ่งคิดฆ่าตัวตายในวันนั้นแล้ว...ยิ่งเขาปรารถนาที่จะมีชีวิตมากเท่าใด ความหวาดระแวงย่อมมีมากขึ้นเท่านั้น
“เช่นนั้นขอสาบานด้วยนามอันศักดิ์สิทธิ์แห่งสายเลือดสองอาณาจักรหลอมร่วม ฟิเลน่า เดอ ฟัวส์!”
.
.
.
ทุกคนคะคือไรท์อยากสอบถามว่าจะเป็นไรไหม ถ้าไรท์อยากติดเหรียญอ่านล่วงหน้าหน่อยเป็นค่าขนมกาแฟ เพราะเวลาไรท์มานั่งปั่นนิยายก็ค่อนข้างกินเวลานานพอสมควรในชีวิตประจำวันของไรท์(ฮา)
ความคิดเห็น