คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2 ดินแดนทางใต้
เสียงเกือกม้าตกกระทบกับพื้นดินทรายอันหยาบกร้านที่คุ้นชิน
แรงลมที่ตีผ่านหน้าของเด็กหญิงนั้นก็ยังคงเป็นมาเช่นอดีต
ทุ่งกว้างสีฟางอันไพศาลไม่เคยแห้งแล้งนับตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเหยียบเยือนที่นี้
สัตว์น้อยใหญ่ต่างอุดมสมบูรณ์ไม่เคยขาดเนื้อและพืช น้ำลำธารที่ขุดเรียงยาวพ้นสายตาไปนั้นคือแรงของผู้คนที่นี้
เอลลิโอร่าไม่สามารถหาคำใดมานิยาม’บ้าน’ของตนได้เพียงหนึ่งคำพูดเดียว
ที่นี้มีมากเกินกว่าหนึ่งความหมายสำหรับเธอ เป็นวัฒนธรรมที่หลากหลาย
เป็นความเชื่อที่แตกต่าง เป็นวิถีชีวิตที่มากมาย...ดินแดนทางใต้แห่งนี้เป็นดินแดนไร้การปกครอง
เป็นพื้นที่อิสระที่มีชนเผ่ามากมายอยู่ที่นี้โดยแยกตัวกระจัดกระจายน้อยใหญ่กันไป
และที่นี้คือบ้านเกิดของสายเลือดส่วนหนึ่งอันเข้มข้นในกายเธอ...อันเป็นชนเผ่า’ฮันเรย์’ นักล่าผู้เกรียงไกรแห่งดินแดนราบลุ่มเนย์ยีร์
ผู้คนภายนอกอาจเรียกดินแดนแห่งนี้ว่าดินแดนทางใต้
หาได้มีชื่อเรียกดั่งเช่นอาณาจักรหรือจักรวรรดิใดๆอันเนื่องมาจากเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการเปิดต่อโลกภายนอกและยังไม่อาจนับเป็นชนชาติประเทศหนึ่งได้
ทว่าผู้คนที่นี้ก็เรียกขานดินแดนของตนว่า’เนย์ยีร์’
ซึ่งเป็นภาษาอันมีรากศัพท์จากชนเผ่า’โทอิส’
ดวงตาอสรพิษคล้ายผ่อนปรนความความสุขุมไปบางส่วน
ขณะที่ยกมือเอื้อมกวาดสายลมที่ไม่เคยเปลี่ยนทิศอย่างหวนถึง
อาชาคู่ใจคล้ายรับรู้ใจผู้เป็นนายจึงผ่อนปรนความเร็วเพื่อยืดเวลาพักชม...และเพียงไม่นานนักเมื่อนายของตนพอใจแล้วจึงควบมันกลับชนเผ่าอันเป็นบ้าน
ความจริงแล้วการเดินทางของเอลลิโอร่านั้นค่อนข้างซับซ้อน
เพราะแรกเริ่มคือการเดินทางด้วยรถม้าเพื่อลงมาทางตอนใต้ของจักรวรรดิเฟย์ติสที่มีระยะทางยาวไกลนักใช้เวลาอยู่เกือบถึงสี่ค่อนวันเต็ม
เมื่อสิ้นสุดใต้สุดของขอบแดนจักรวรรดิเฟย์ติสจึงเป็นเธอที่เดินทางกลับต่อโดยคนของชนเผ่าดินแดนทางใต้ต่อแทน
อันเนื่องมาจากเพราะต้องการป้องกันข้อขัดแย้งที่จะเกิดใน’สนธิสัญญาอาณาเขตระหว่างทุ่งกว้างและราบลุ่ม’เนย์ติส’’
ซึ่งเป็นข้อผลประโยชน์ที่รักษาให้ดินแดนทางใต้ไม่ได้รับการระรานจากบุคคลภายนอกทุ่งกว้างของตน
จะไม่มีบุคคลภายนอกคนใดได้รับการเข้ามาเหยียบที่นี้หากไม่ได้รับการยืนยันหรือยอมรับรับรองจากชนเผ่าอย่างน้อยเจ็ดชนเผ่า
เพื่อความปลอดภัยและไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นในดินแดนแห่งนี้
ดังนั้นคนของจักรวรรดิจึงไม่มีสิทธิแม้จะมาเหยียบที่นี้
ต่อให้เป็นการส่งเธอกลับก็ตาม...ผู้คนที่นี้ไม่เคยไว้ใจคนภายนอกเท่าไหร่นัก
รวมถึงตัวเธอในตอนแรกที่มาอยู่ด้วย...แม้ตอนนี้เอลลิโอร่านั้นค่อนข้างได้รับการยอมรับเฉกเช่นคนที่นี้แล้วก็ตาม...ไม่สิ
พอรู้ตัวอีกทีเธอก็ถูกยอมรับโดยคนที่นี้มากกว่าชาวเฟย์ติสเสียอีก
ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือสีผมและดวงตาล้วนถอดแบบมาจากผู้เป็นปู่ซึ่งเป็นชาวเผ่าฮันเรย์แท้บริสุทธิ์
และระยะเวลาที่เธอเติบโตมาในที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ
เธอเติบโตในวัฒนธรรมของชนเผ่าจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไปโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งคราแรกที่เธอถูกยอมรับเป็นหนึ่งในคนของดินแดนทุ่งกว้างอย่างแท้จริงก็ตอนเมื่ออายุสิบเอ็ดปี...เป็นครั้งแรกที่ผู้คนทั้งชนเผ่า’ฮันเรย์’ลงนามและจารึกรายชื่อของเธอลงพื้นธรณีแห่งเนย์ยีร์โดยมีองค์เทพ’ไมนาส’ เทพเจ้าแห่งการล่าและต่อสู้เป็นผู้รับรองและอวยพร
ตลอดระยะเวลาการเดินทางในดินแดนทางใต้นั้นเอลลิโอร่าเลือกที่จะพักหลับนอนกลางทุ่งกว้างอย่างเคยชินโดยตั้งเต็นท์แบบง่ายๆตามที่ตนได้รับการสั่งสอนมา
แล้วจึงเปลี่ยนกะกันเฝ้าเพื่อป้องกันสัตว์เข้ามาโจมตีตามเวลา ซึ่งก็กินเวลาเดินทางไปอีกถึงสองสามวันกว่าๆที่จะถึงที่หมาย
ทว่าเวลาของโลกใบนี้ไม่เหมือนกับโลกก่อนของเธอ จึงไม่ใช่ปัญหา...หนึ่งอาทิตย์มีสิบสามวัน
ปีหนึ่งมีสิบสามเดือน ทำให้ระยะเวลาของปีมีหกร้อยเจ็ดสิบหกวัน...และผู้คนที่นี้เองก็มีชีวิตอายุยืนยาวกว่าโลกก่อนของเธออย่างแท้จริง
อายุไขของมนุษย์ปกติสามัญทั่วไปคือสองร้อยถึงสี่ร้อยปี ทว่าหากมีพลังเวทย์หรือข้อพิเศษในกายมากอายุไขย่อมถูกเลื่อนไปอีกหลายร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นก็มีอายุไขยืนยาวยิ่งเสียกว่ามนุษย์อีก
ซึ่งถ้าหากให้นับระยะเวลาที่เธอเติบโตที่นี้ตามโลกก่อนแล้ว
เธอมีอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่แล้วด้วยซ้ำและอาศัยอยู่ที่ดินแดนทางใต้นี้เกือบสิบปี...เป็นเวลาที่ยาวนานนักสำหรับเธอ
แม้หน่วยการนับเวลาของที่นี้จะไม่ได้ดูยาวนานเลยก็ตาม
และในที่สุดเอลลิโอร่าและคนของชนเผ่าที่เดินทางมารับร่วมก็เดินทางมาถึงที่ตั้งของ’ชนเผ่าฮันเรย์’ในที่สุด
แม้จะเดินทางมาถึงในเวลาตอนค่ำของวันแล้วก็ตาม
ทว่าก็ไม่ใช่ปัญหานัก เมื่อโลกใบนี้มีพระจันทร์สาดส่องในช่วงยามราตรีถึงสามดวง
จึงทำให้ความสว่างในตอนกลางคืนนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับที่นี้เท่าไหร่
ผู้คนที่นี้ไม่ได้เรียกพวกมันว่าพระจันทร์ พวกเขามีชื่อเรียกของพวกมันเองโดยเรียกขานพวกมันตามความเชื่อในอดีตกาล
ดวงจันทร์ดวงแรกคือไอเรย์ พระจันทร์ผู้บอกเล่าอดีตและการเกิด
ดวงจันทร์ดวงที่สองคือไกอา พระจันทร์ผู้เฝ้ามองปัจจุบันและการเติบโต ดวงจันทร์ที่สามคือเลเนีย
ดวงจันทร์ผู้ส่งสารอนาคตและความตาย ผู้คนทั้งหลายเชื่อว่าไอเรย์ ไกอาและเลเนีย
เป็นตัวแทนแห่งโชคชะตาเสียด้วย หากพระจันทร์ดวงใดดับลง
ย่อมเกิดเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับความหมายของดวงจันทร์ดวงนั้น ทว่าตั้งแต่บรรพกาลมามีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่หนึ่งในสามดวงจันทร์นั้นดับลง
คือ ไอเรย์เมื่อครั้งสงครามเปิดผืนทวีปกับ’ยักษ์น้ำแข็งทากัส’ หนึ่งในห้าสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับแผ่นดินโลก
กล่าวกันว่าเป็นผู้มอบความเย็นให้แก่ฤดูหนาวและผู้คิดค้นการถนอมอาหาร
เครื่องนุ่งห่มให้แก่สิ่งมีชีวิตบนผืนโลก ทว่าในตอนสุดท้ายก็เป็นยักษ์น้ำแข็งทากัสที่พ่ายแพ้และถูกเนรเทศไปยัง’เกนตี’ ดินแดนเหนือสุดขอบของโลกโดยไม่อาจหวนกลับมา
ความจริงแล้วเอลลิโอร่าใช้เวลาอยู่นานกว่าจะศึกษาและเข้าใจรากความคิดและความเชื่อของผู้คนที่มีสามัญสำนึกปกติในโลกแห่งนี้
มีตำนานที่หลากหลาย มีความเชื่อที่มากมาย แต่ทุกอย่างล้วนสำคัญสำหรับที่นี้
เพราะเธอจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับพวกเขาและเคารพในวิถีนั้น
ภาพของกระโจมมากมายที่มีสีหม่นพลิ้วไปตามสายลมในยามค่ำคืน
บางที่ตั้งด้วยเสาไม้กล้าจากต้นเบาบับ บางก็ตั้งด้วยเสาเหล็กจากศิลาดำ บางครั้งผู้มีเวลาหน่อยหรือทุนกำลังทรัพย์เยอะก็เลือกที่จะสร้างที่อยู่เป็นรูปเป็นร่างจากโคลนดินทรายที่ต้องก่อเป็นอิฐอีกที
ลวดลายของผ้าแพรที่ใช้ปิดบังความร้อนในยามกลางหรือหรือเป็นผ้ากั้นม่านนั้นคล้ายลวดลายอาหรับในชาติก่อนของเธอ
ผู้คนที่นี้แต่งกายคล้ายชุดชนเผ่าอาหรับก็ไม่เชิงจีนก็คล้ายๆบางส่วน ซึ่งชุดที่เธอสวมใส่ในตอนที่ยังอยู่จักรวรรดิเฟย์ติสนั้นคือชุดที่ถูกดัดแปลงให้เป็นทางการของจักรวรรดิเฟย์ติสเพื่อความเหมาะสมในการเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ที่ยังคงเป็นชาวเฟย์ติสอยู่
นับเป็นเรื่องไร้สาระปนความละเอียดละอ่อนที่ว่า
อย่างน้อยเธอก็ถูกให้แสดงจุดยืนว่าราชวงศ์เฟยติส์เช่นเธอไม่ได้กลายเป็นชนเผ่าไปเสียหมด
กระแสการเหยียดและต่อต้านพวกชนเผ่าในดินแดนทางใต้นั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น
จึงไม่แปลกที่หากเธอปฏิบัติตัวเยี่ยงคนชนเผ่าทั้งๆที่เป็นหนึ่งในราชวงศ์เฟย์ติส ย่อมถูกกล่าวหาไม่เหมาะสมและใฝ่หาความล้าหลัง
ความชาตินิยมของจักรวรรดิอันเป็นถิ่นเกิดนั้นบ้าคลั่งพร้อมกับการเทิดทูนจักรพรรดิและเหล่าราชวงศ์เฉกเช่นสมมติเทพ
หากเธอทำอะไรผิดแผกจากประเพณีหรือวัฒนธรรมของเฟย์ติสอย่างชัดเจนย่อมถูกกดดัน
เอลลิโอร่าเพียงถอนหายใจเบาๆกับความจริงที่แสนย้อนแย้งนี้...ทั้งที่บิดาเป็นผู้ขับไล่เธอมาอยู่ที่นี้เองแท้ๆ
ทว่ากลับกันก็มิยอมให้ลืมตนว่าเป็นชาวเฟย์ติส คล้ายเด็กที่เดินไปได้เพียงแค่ครึ่งสะพานเท่านั้น
หากเลือกเดินไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง สายสะพานก็ล้วนถูกตัด...
“กว่าจะกลับมาจากเมืองผู้ดีก็เสียนาน นึกว่าจะลืมทุ่งหญ้ากว้างๆเสียแล้ว”
เป็นภาษาชนเผ่าฮันเรย์และเสียงของเด็กชายวัยแรกรุ่นที่เอ่ยขึ้นเสียงกร้าวคล้ายประชดประชัน
ดึงสายตาของเอลลิโอร่าให้เหลือบมองได้เป็นอย่างดี เพราะเขาล้วนเป็นคนที่เคยผ่านสายตาของเธอมา
ทว่ากลับไม่ได้มาเพียงแค่เสียงกล่าว ลูกธนูสายตรงทวนกระแสลมเฉียดผ่านใบหน้าด้านข้างของเอลลิโอร่าอย่างรวดเร็ว
ดวงตาอสรพิษหรี่ตาลงคล้ายพินิจการกระทำที่ไม่รู้ความของเด็กชายอย่างชั่งใจ
ผู้คนที่นี้แม้จะบ้าเลือดมากไปหน่อยก็ตาม...ทว่าก็ไม่ได้ไร้หัวคิดเช่นเด็กนี่....น่าตายจริงๆ
เสี้ยวของความคิดของเอลลิโอร่าบอกให้เธอบีบคอมันให้ตายเสีย
ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงทุ้มของชายผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน...มันเป็นน้ำเสียงทุ้มต่ำลึกชวนให้ผู้ที่ได้ฟังถูกล่อลวงคล้ายกลกับดัก...
“กลับมาแล้วเหรอ...เอลลิโอร่า”
ซึ่งทันทีที่เจ้าของเสียงนั้นเดินย่างก้าวเท้ามาใกล้...เอลลิโอร่าที่อยู่ในฐานะผู้น้อยกว่า
ก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมของฮันเรย์ โดยค้อมตัวลงและเอื้อมนำมือขวาของบุรุษผู้นี้มาแตะหน้าผากของตนก่อนเลื่อนลงมาจุมพิตหลังมือของเขาอีกที
“ธนูไม่ยิงศร ทวนไม่ทิ้งหอก นักล่าไม่จากทุ่ง…ขอสาบานต่อองค์เทพไดนาส”
เอลลิโอร่าเอ่ยด้วยภาษาชนเผ่าฮันเรย์ตามปกติ กล่าวคำทักทายพื้นฐานอันเป็นธรรมเนียมของผู้กลับมาจากการเดินทางตามมารยาทของฮันเรย์
“ธนูไม่ยิงศร ทวนไม่ทิ้งหอก นักล่าไม่จากทุ่ง…ขอให้องค์เทพไดนาสอวยพรแด่เจ้า”
เป็นเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่คล้ายเมตตาและเอ็นดูเธออยู่หลายส่วน
มือหนาที่ถูกจุมพิตยกขึ้นแตะปลายจมูกของเอลลิโอร่าก่อนชักมือกลับ
หลังเสร็จสิ้นการทักทายตามธรรมเนียม
เอลลิโอร่าจึงยืดหลังกลับมาตรงและจ้องมองบุรุษที่ตนทำความเคารพเบื้องหน้าอย่างตรงไปตรงมา
รูปลักษณ์เป็นเอกเหนือใครในดินแดนทุ่งกว้างแห่งเนย์ยีร์นี้
ใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งกว่าชายใดที่พานพบนั้นเป็นดั่งตัวแทนความรูปงามที่สมบูรณ์พร้อมในฐานะชายผู้ทรงปัญญาและชายชาตินักรบ
เรือนผมยาวสีดำถูกปล่อยโดยไม่มัดรวบอย่างไม่เป็นทางการนั้นชวนให้ดูมีเสน่ห์และลึกลับ
ดวงตาสีเหลืองอำพันคล้ายอสรพิษที่แท้จริงนั้นลึกล้ำดูซับซ้อนและยากหยั่งถึง ผิวสีแทนที่เป็นสีผิวปกติของผู้คนดินแดนทางใต้อันเนื่องมาจากสภาพอากาศและวิถีชีวิตความเป็นอยู่นั้นไม่ได้ทำให้เขาดูแย่ลงแม้แต่น้อย
ทว่ากลับยิ่งส่งเสริมเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ยิ่งขึ้นไปอีก บรรยากาศรอบกายที่แผ่ออกมานั้นแม้จะพยายามปกปิดให้ตนดูปลอดภัยและดูคล้ายเฉกเช่นคนปกติทั่วไป
ทว่าความแข็งแกร่งและอำนาจที่คล้ายเป็นภัยต่อทุกสิ่ง ก็ทำให้สัญชาตญาณมนุษย์ร้องเตือนอยู่ดีว่า
เขาคือผู้อยู่เหนืออย่างแท้จริง...เป็นตัวตนที่เหนือขั้นกว่าชนชั้นปกครองไปเสียอีก...
เขาคือบุคคลที่สร้างตำนานอีกหนึ่งบทของเผ่าพันธุ์มนุษย์....ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยครองแผ่นดินเกือบครึ่งโลก
ประกาศสงครามและล่าอาณานิคมอย่างบ้าคลั่ง
เขาคือตัวแทนสงครามและความบ้าคลั่งที่ใช้เรียกขานในฐานะมนุษย์
‘คาเอลรอส’
ชายผู้มอบสายเลือดอันเข้มข้นและเป็นพ่อทูนหัวของเธอ....ปู่ร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียว
.
.
.
อยากจะใบ้ว่าค้ำคอร์เรื่องนี้รุนแรงมากๆนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายถึงพี่น้องอย่างเดียวน้าาาา55555-----หอมกลิ่นไฟนรกจริงๆ5555
ความคิดเห็น