ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่เป็นอัลฟ่าหญิงเพียงหนึ่งเดียวในโลกนิยายBL

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2 ดินแดนทางใต้

    • อัปเดตล่าสุด 13 มิ.ย. 63


      

    เสียงเกือกม้าตกกระทบกับพื้นดินทรายอันหยาบกร้านที่คุ้นชิน แรงลมที่ตีผ่านหน้าของเด็กหญิงนั้นก็ยังคงเป็นมาเช่นอดีต ทุ่งกว้างสีฟางอันไพศาลไม่เคยแห้งแล้งนับตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเหยียบเยือนที่นี้ สัตว์น้อยใหญ่ต่างอุดมสมบูรณ์ไม่เคยขาดเนื้อและพืช น้ำลำธารที่ขุดเรียงยาวพ้นสายตาไปนั้นคือแรงของผู้คนที่นี้

     

    เอลลิโอร่าไม่สามารถหาคำใดมานิยามบ้านของตนได้เพียงหนึ่งคำพูดเดียว ที่นี้มีมากเกินกว่าหนึ่งความหมายสำหรับเธอ เป็นวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นความเชื่อที่แตกต่าง เป็นวิถีชีวิตที่มากมาย...ดินแดนทางใต้แห่งนี้เป็นดินแดนไร้การปกครอง เป็นพื้นที่อิสระที่มีชนเผ่ามากมายอยู่ที่นี้โดยแยกตัวกระจัดกระจายน้อยใหญ่กันไป

     

    และที่นี้คือบ้านเกิดของสายเลือดส่วนหนึ่งอันเข้มข้นในกายเธอ...อันเป็นชนเผ่าฮันเรย์ นักล่าผู้เกรียงไกรแห่งดินแดนราบลุ่มเนย์ยีร์

     

    ผู้คนภายนอกอาจเรียกดินแดนแห่งนี้ว่าดินแดนทางใต้ หาได้มีชื่อเรียกดั่งเช่นอาณาจักรหรือจักรวรรดิใดๆอันเนื่องมาจากเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการเปิดต่อโลกภายนอกและยังไม่อาจนับเป็นชนชาติประเทศหนึ่งได้ ทว่าผู้คนที่นี้ก็เรียกขานดินแดนของตนว่าเนย์ยีร์ ซึ่งเป็นภาษาอันมีรากศัพท์จากชนเผ่าโทอิส

     

    ดวงตาอสรพิษคล้ายผ่อนปรนความความสุขุมไปบางส่วน ขณะที่ยกมือเอื้อมกวาดสายลมที่ไม่เคยเปลี่ยนทิศอย่างหวนถึง อาชาคู่ใจคล้ายรับรู้ใจผู้เป็นนายจึงผ่อนปรนความเร็วเพื่อยืดเวลาพักชม...และเพียงไม่นานนักเมื่อนายของตนพอใจแล้วจึงควบมันกลับชนเผ่าอันเป็นบ้าน

     

    ความจริงแล้วการเดินทางของเอลลิโอร่านั้นค่อนข้างซับซ้อน เพราะแรกเริ่มคือการเดินทางด้วยรถม้าเพื่อลงมาทางตอนใต้ของจักรวรรดิเฟย์ติสที่มีระยะทางยาวไกลนักใช้เวลาอยู่เกือบถึงสี่ค่อนวันเต็ม เมื่อสิ้นสุดใต้สุดของขอบแดนจักรวรรดิเฟย์ติสจึงเป็นเธอที่เดินทางกลับต่อโดยคนของชนเผ่าดินแดนทางใต้ต่อแทน อันเนื่องมาจากเพราะต้องการป้องกันข้อขัดแย้งที่จะเกิดในสนธิสัญญาอาณาเขตระหว่างทุ่งกว้างและราบลุ่มเนย์ติส’’ ซึ่งเป็นข้อผลประโยชน์ที่รักษาให้ดินแดนทางใต้ไม่ได้รับการระรานจากบุคคลภายนอกทุ่งกว้างของตน จะไม่มีบุคคลภายนอกคนใดได้รับการเข้ามาเหยียบที่นี้หากไม่ได้รับการยืนยันหรือยอมรับรับรองจากชนเผ่าอย่างน้อยเจ็ดชนเผ่า เพื่อความปลอดภัยและไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นในดินแดนแห่งนี้

     

    ดังนั้นคนของจักรวรรดิจึงไม่มีสิทธิแม้จะมาเหยียบที่นี้ ต่อให้เป็นการส่งเธอกลับก็ตาม...ผู้คนที่นี้ไม่เคยไว้ใจคนภายนอกเท่าไหร่นัก รวมถึงตัวเธอในตอนแรกที่มาอยู่ด้วย...แม้ตอนนี้เอลลิโอร่านั้นค่อนข้างได้รับการยอมรับเฉกเช่นคนที่นี้แล้วก็ตาม...ไม่สิ พอรู้ตัวอีกทีเธอก็ถูกยอมรับโดยคนที่นี้มากกว่าชาวเฟย์ติสเสียอีก

     

    ไม่ว่าจะรูปลักษณ์หรือสีผมและดวงตาล้วนถอดแบบมาจากผู้เป็นปู่ซึ่งเป็นชาวเผ่าฮันเรย์แท้บริสุทธิ์ และระยะเวลาที่เธอเติบโตมาในที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ เธอเติบโตในวัฒนธรรมของชนเผ่าจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไปโดยไม่รู้ตัว

     

    ซึ่งคราแรกที่เธอถูกยอมรับเป็นหนึ่งในคนของดินแดนทุ่งกว้างอย่างแท้จริงก็ตอนเมื่ออายุสิบเอ็ดปี...เป็นครั้งแรกที่ผู้คนทั้งชนเผ่าฮันเรย์ลงนามและจารึกรายชื่อของเธอลงพื้นธรณีแห่งเนย์ยีร์โดยมีองค์เทพไมนาส เทพเจ้าแห่งการล่าและต่อสู้เป็นผู้รับรองและอวยพร

     

    ตลอดระยะเวลาการเดินทางในดินแดนทางใต้นั้นเอลลิโอร่าเลือกที่จะพักหลับนอนกลางทุ่งกว้างอย่างเคยชินโดยตั้งเต็นท์แบบง่ายๆตามที่ตนได้รับการสั่งสอนมา แล้วจึงเปลี่ยนกะกันเฝ้าเพื่อป้องกันสัตว์เข้ามาโจมตีตามเวลา ซึ่งก็กินเวลาเดินทางไปอีกถึงสองสามวันกว่าๆที่จะถึงที่หมาย

     

    ทว่าเวลาของโลกใบนี้ไม่เหมือนกับโลกก่อนของเธอ จึงไม่ใช่ปัญหา...หนึ่งอาทิตย์มีสิบสามวัน ปีหนึ่งมีสิบสามเดือน ทำให้ระยะเวลาของปีมีหกร้อยเจ็ดสิบหกวัน...และผู้คนที่นี้เองก็มีชีวิตอายุยืนยาวกว่าโลกก่อนของเธออย่างแท้จริง อายุไขของมนุษย์ปกติสามัญทั่วไปคือสองร้อยถึงสี่ร้อยปี ทว่าหากมีพลังเวทย์หรือข้อพิเศษในกายมากอายุไขย่อมถูกเลื่อนไปอีกหลายร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเผ่าพันธุ์อื่นก็มีอายุไขยืนยาวยิ่งเสียกว่ามนุษย์อีก

     

    ซึ่งถ้าหากให้นับระยะเวลาที่เธอเติบโตที่นี้ตามโลกก่อนแล้ว เธอมีอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่แล้วด้วยซ้ำและอาศัยอยู่ที่ดินแดนทางใต้นี้เกือบสิบปี...เป็นเวลาที่ยาวนานนักสำหรับเธอ แม้หน่วยการนับเวลาของที่นี้จะไม่ได้ดูยาวนานเลยก็ตาม

     

    และในที่สุดเอลลิโอร่าและคนของชนเผ่าที่เดินทางมารับร่วมก็เดินทางมาถึงที่ตั้งของชนเผ่าฮันเรย์ในที่สุด

     

    แม้จะเดินทางมาถึงในเวลาตอนค่ำของวันแล้วก็ตาม ทว่าก็ไม่ใช่ปัญหานัก เมื่อโลกใบนี้มีพระจันทร์สาดส่องในช่วงยามราตรีถึงสามดวง จึงทำให้ความสว่างในตอนกลางคืนนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัวสำหรับที่นี้เท่าไหร่ ผู้คนที่นี้ไม่ได้เรียกพวกมันว่าพระจันทร์ พวกเขามีชื่อเรียกของพวกมันเองโดยเรียกขานพวกมันตามความเชื่อในอดีตกาล ดวงจันทร์ดวงแรกคือไอเรย์ พระจันทร์ผู้บอกเล่าอดีตและการเกิด ดวงจันทร์ดวงที่สองคือไกอา พระจันทร์ผู้เฝ้ามองปัจจุบันและการเติบโต ดวงจันทร์ที่สามคือเลเนีย ดวงจันทร์ผู้ส่งสารอนาคตและความตาย ผู้คนทั้งหลายเชื่อว่าไอเรย์ ไกอาและเลเนีย เป็นตัวแทนแห่งโชคชะตาเสียด้วย หากพระจันทร์ดวงใดดับลง ย่อมเกิดเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับความหมายของดวงจันทร์ดวงนั้น ทว่าตั้งแต่บรรพกาลมามีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่หนึ่งในสามดวงจันทร์นั้นดับลง คือ ไอเรย์เมื่อครั้งสงครามเปิดผืนทวีปกับยักษ์น้ำแข็งทากัส หนึ่งในห้าสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับแผ่นดินโลก กล่าวกันว่าเป็นผู้มอบความเย็นให้แก่ฤดูหนาวและผู้คิดค้นการถนอมอาหาร เครื่องนุ่งห่มให้แก่สิ่งมีชีวิตบนผืนโลก ทว่าในตอนสุดท้ายก็เป็นยักษ์น้ำแข็งทากัสที่พ่ายแพ้และถูกเนรเทศไปยังเกนตี ดินแดนเหนือสุดขอบของโลกโดยไม่อาจหวนกลับมา

     

    ความจริงแล้วเอลลิโอร่าใช้เวลาอยู่นานกว่าจะศึกษาและเข้าใจรากความคิดและความเชื่อของผู้คนที่มีสามัญสำนึกปกติในโลกแห่งนี้ มีตำนานที่หลากหลาย มีความเชื่อที่มากมาย แต่ทุกอย่างล้วนสำคัญสำหรับที่นี้ เพราะเธอจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับพวกเขาและเคารพในวิถีนั้น

     

    ภาพของกระโจมมากมายที่มีสีหม่นพลิ้วไปตามสายลมในยามค่ำคืน บางที่ตั้งด้วยเสาไม้กล้าจากต้นเบาบับ บางก็ตั้งด้วยเสาเหล็กจากศิลาดำ บางครั้งผู้มีเวลาหน่อยหรือทุนกำลังทรัพย์เยอะก็เลือกที่จะสร้างที่อยู่เป็นรูปเป็นร่างจากโคลนดินทรายที่ต้องก่อเป็นอิฐอีกที ลวดลายของผ้าแพรที่ใช้ปิดบังความร้อนในยามกลางหรือหรือเป็นผ้ากั้นม่านนั้นคล้ายลวดลายอาหรับในชาติก่อนของเธอ ผู้คนที่นี้แต่งกายคล้ายชุดชนเผ่าอาหรับก็ไม่เชิงจีนก็คล้ายๆบางส่วน ซึ่งชุดที่เธอสวมใส่ในตอนที่ยังอยู่จักรวรรดิเฟย์ติสนั้นคือชุดที่ถูกดัดแปลงให้เป็นทางการของจักรวรรดิเฟย์ติสเพื่อความเหมาะสมในการเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ที่ยังคงเป็นชาวเฟย์ติสอยู่ นับเป็นเรื่องไร้สาระปนความละเอียดละอ่อนที่ว่า อย่างน้อยเธอก็ถูกให้แสดงจุดยืนว่าราชวงศ์เฟยติส์เช่นเธอไม่ได้กลายเป็นชนเผ่าไปเสียหมด กระแสการเหยียดและต่อต้านพวกชนเผ่าในดินแดนทางใต้นั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น จึงไม่แปลกที่หากเธอปฏิบัติตัวเยี่ยงคนชนเผ่าทั้งๆที่เป็นหนึ่งในราชวงศ์เฟย์ติส ย่อมถูกกล่าวหาไม่เหมาะสมและใฝ่หาความล้าหลัง ความชาตินิยมของจักรวรรดิอันเป็นถิ่นเกิดนั้นบ้าคลั่งพร้อมกับการเทิดทูนจักรพรรดิและเหล่าราชวงศ์เฉกเช่นสมมติเทพ หากเธอทำอะไรผิดแผกจากประเพณีหรือวัฒนธรรมของเฟย์ติสอย่างชัดเจนย่อมถูกกดดัน

     

    เอลลิโอร่าเพียงถอนหายใจเบาๆกับความจริงที่แสนย้อนแย้งนี้...ทั้งที่บิดาเป็นผู้ขับไล่เธอมาอยู่ที่นี้เองแท้ๆ ทว่ากลับกันก็มิยอมให้ลืมตนว่าเป็นชาวเฟย์ติส คล้ายเด็กที่เดินไปได้เพียงแค่ครึ่งสะพานเท่านั้น หากเลือกเดินไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง สายสะพานก็ล้วนถูกตัด...

     

    กว่าจะกลับมาจากเมืองผู้ดีก็เสียนาน นึกว่าจะลืมทุ่งหญ้ากว้างๆเสียแล้ว

     

    เป็นภาษาชนเผ่าฮันเรย์และเสียงของเด็กชายวัยแรกรุ่นที่เอ่ยขึ้นเสียงกร้าวคล้ายประชดประชัน ดึงสายตาของเอลลิโอร่าให้เหลือบมองได้เป็นอย่างดี เพราะเขาล้วนเป็นคนที่เคยผ่านสายตาของเธอมา

     

    ทว่ากลับไม่ได้มาเพียงแค่เสียงกล่าว ลูกธนูสายตรงทวนกระแสลมเฉียดผ่านใบหน้าด้านข้างของเอลลิโอร่าอย่างรวดเร็ว ดวงตาอสรพิษหรี่ตาลงคล้ายพินิจการกระทำที่ไม่รู้ความของเด็กชายอย่างชั่งใจ

     

    ผู้คนที่นี้แม้จะบ้าเลือดมากไปหน่อยก็ตาม...ทว่าก็ไม่ได้ไร้หัวคิดเช่นเด็กนี่....น่าตายจริงๆ

     

    เสี้ยวของความคิดของเอลลิโอร่าบอกให้เธอบีบคอมันให้ตายเสีย ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงทุ้มของชายผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาก่อน...มันเป็นน้ำเสียงทุ้มต่ำลึกชวนให้ผู้ที่ได้ฟังถูกล่อลวงคล้ายกลกับดัก...

     

    กลับมาแล้วเหรอ...เอลลิโอร่า

     

    ซึ่งทันทีที่เจ้าของเสียงนั้นเดินย่างก้าวเท้ามาใกล้...เอลลิโอร่าที่อยู่ในฐานะผู้น้อยกว่า ก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมของฮันเรย์ โดยค้อมตัวลงและเอื้อมนำมือขวาของบุรุษผู้นี้มาแตะหน้าผากของตนก่อนเลื่อนลงมาจุมพิตหลังมือของเขาอีกที

     

    ธนูไม่ยิงศร ทวนไม่ทิ้งหอก นักล่าไม่จากทุ่ง…ขอสาบานต่อองค์เทพไดนาส

     

    เอลลิโอร่าเอ่ยด้วยภาษาชนเผ่าฮันเรย์ตามปกติ กล่าวคำทักทายพื้นฐานอันเป็นธรรมเนียมของผู้กลับมาจากการเดินทางตามมารยาทของฮันเรย์

     

    ธนูไม่ยิงศร ทวนไม่ทิ้งหอก นักล่าไม่จากทุ่ง…ขอให้องค์เทพไดนาสอวยพรแด่เจ้า

    เป็นเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่คล้ายเมตตาและเอ็นดูเธออยู่หลายส่วน มือหนาที่ถูกจุมพิตยกขึ้นแตะปลายจมูกของเอลลิโอร่าก่อนชักมือกลับ

     

    หลังเสร็จสิ้นการทักทายตามธรรมเนียม เอลลิโอร่าจึงยืดหลังกลับมาตรงและจ้องมองบุรุษที่ตนทำความเคารพเบื้องหน้าอย่างตรงไปตรงมา

     

    รูปลักษณ์เป็นเอกเหนือใครในดินแดนทุ่งกว้างแห่งเนย์ยีร์นี้ ใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งกว่าชายใดที่พานพบนั้นเป็นดั่งตัวแทนความรูปงามที่สมบูรณ์พร้อมในฐานะชายผู้ทรงปัญญาและชายชาตินักรบ เรือนผมยาวสีดำถูกปล่อยโดยไม่มัดรวบอย่างไม่เป็นทางการนั้นชวนให้ดูมีเสน่ห์และลึกลับ ดวงตาสีเหลืองอำพันคล้ายอสรพิษที่แท้จริงนั้นลึกล้ำดูซับซ้อนและยากหยั่งถึง  ผิวสีแทนที่เป็นสีผิวปกติของผู้คนดินแดนทางใต้อันเนื่องมาจากสภาพอากาศและวิถีชีวิตความเป็นอยู่นั้นไม่ได้ทำให้เขาดูแย่ลงแม้แต่น้อย ทว่ากลับยิ่งส่งเสริมเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ยิ่งขึ้นไปอีก บรรยากาศรอบกายที่แผ่ออกมานั้นแม้จะพยายามปกปิดให้ตนดูปลอดภัยและดูคล้ายเฉกเช่นคนปกติทั่วไป ทว่าความแข็งแกร่งและอำนาจที่คล้ายเป็นภัยต่อทุกสิ่ง ก็ทำให้สัญชาตญาณมนุษย์ร้องเตือนอยู่ดีว่า เขาคือผู้อยู่เหนืออย่างแท้จริง...เป็นตัวตนที่เหนือขั้นกว่าชนชั้นปกครองไปเสียอีก...

     

    เขาคือบุคคลที่สร้างตำนานอีกหนึ่งบทของเผ่าพันธุ์มนุษย์....ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยครองแผ่นดินเกือบครึ่งโลก ประกาศสงครามและล่าอาณานิคมอย่างบ้าคลั่ง เขาคือตัวแทนสงครามและความบ้าคลั่งที่ใช้เรียกขานในฐานะมนุษย์

     

    คาเอลรอส

     

    ชายผู้มอบสายเลือดอันเข้มข้นและเป็นพ่อทูนหัวของเธอ....ปู่ร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียว

     

    .

    .

    .


    อยากจะใบ้ว่าค้ำคอร์เรื่องนี้รุนแรงมากๆนะคะ เพราะฉะนั้นไม่ได้หมายถึงพี่น้องอย่างเดียวน้าาาา55555-----หอมกลิ่นไฟนรกจริงๆ5555



    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×