ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แด่เธอผู้เป็นสตรีของจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่19 ความรู้สึก[100%]

    • อัปเดตล่าสุด 22 เม.ย. 64


      

    ช่างเป็นหญิงที่ความงดงามเป็นหนึ่งเสียจริง...เรย์

     

    เมื่อได้เห็นร่างของโฉมงามสะคราญที่แม้สตรีใดในโลกีย์ก็มิอาจสามารถงดงามหยาดฟ้าเทียบเคียงประกายศักดิ์ได้...หากตำนานหญิงงามแห่งกรุงกริโคที่เล่าลือกันว่าสามารถก่อสงครามกลางเมืองได้หรือเทพีแห่งความงามทั้งปวงที่พึงตนทระนงนักหนานั้นก็คงสิ้นนามในเร็ววันกระมัง....น่าหวงแหนยิ่งจริงๆ

     

    จอมมารหนุ่มไม่ปฏิเสธเลยว่าในบรรดาสตรีเพศที่เขาได้ลิ้มลองและเชยชมมานั้นยังคงเป็นเด็กหญิงตรงหน้าที่ครอบครองความเป็นหนึ่ง...ดวงตาสีโลหิตอันน่าขนลุกกวาดสายตาสำรวจเรือนกายของดอกไม้งามคนโปรดอย่างพอใจ ริมฝีปากที่มักเย้ยหยันต่อผู้คนทั้งหลายมิได้เผื่อแผ่ความดูแคลนให้แก่นาง...มีเพียงความเอ็นดูและรักใคร่ที่จรดอยู่ปลายรอยยิ้มอันบางเบาของเขาเท่านั้น...

     

    ยังคงปากหวานราวน้ำผึ้งยิ่งนัก...

    รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำสนิทก้าวเดินปรากฏจากชายกระโปรงเล็กน้อยตกกระทบกันเป็นเสียงพื้นทาง ภายใต้คอร์เซ็ทที่รัดไม่แน่นทว่าก็มิได้หลวมจนน่าเกลียดนั้นแสดงท่วงท่าตรงสง่าแม้มิได้รับการอบรมเยี่ยงเจ้าหญิงฐานันดรศักดิ์เฉกเช่นคนอื่นๆ ใบหน้างามล้ำคล้ายรู้จักการวางตัวที่ส่งเสริมบุคลิกตนจึงไม่ได้เชิดสูงจนหยิ่งยโส แต่ก็ไม่ได้ก้มต่ำจนผู้มองเห็นแล้วขัดสายตา

     

    แต่เดิมแล้วบุคลิกของมัวเรลล์ค่อนข้างมีปัญหาไม่มากก็น้อยอันเนื่องมาจากการถูกล่ามโซ่มาโดยตลอดระยะเวลาของวัยเยาว์ แต่เพราะเคียร์เนย์ค่อนข้างใส่ใจกับแม้กระทั่งปัญหาเล็กน้อยนี้ในอดีต จึงคอยฝึกให้เธอก้าวเดินและประคับประคองร่างของเธอมิให้เสียบุคลิกจนชินเป็นนิสัย นับว่าต้องกล่าวสรรเสริญจอมมารร้ายผู้นี้จริงๆนั่นแล...

     

    ทางด้านเคียร์เนย์นั้นยิ่งพิศชมในรูปโฉมและกิริยามารยาทที่ตนคอยพร่ำสั่งสอนมาตั้งแต่นางยังเล็กนักก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเดินเข้าไปประชิดร่างอันเบาบาง....มือหนาของเขาเอื้อมไปสัมผัสปลายผมยาวที่ปกลงบนใบหน้างามล้ำของเด็กหญิงอย่างอ่อนโยนพลางช่วยทัดมันลงที่ข้างหูโดยไม่พูดอะไร...ก่อนก้มตัวลงคุกเข่าที่พื้นเพื่อจัดแจงชายกระโปรงที่แรกเห็นมิเรียบร้อยดีเพราะปลายรองเท้าสามารถปรากฏออกมาได้...

     

    มัวเรลล์ที่เคยชินกับการถูกปฏิบัติอย่างใส่ใจและทะนุถนอมเสมอมาของจอมมารหนุ่มจึงเพียงยืนนิ่งและจ้องมองการกระทำของเขาราวกับผืนผ้าที่ราบเรียบ...

     

    ทว่าสำหรับผู้คนทั้งหลายที่พานพบจอมมารหนุ่มผู้นี้ย่อมรู้ดีว่ามันช่างแสนหยิ่งยโสและดูแคลนสิ่งมีชีวิตอื่นเพียงใด...แม้ตรงหน้าของมันคือจักรพรรดิแห่งมีลาธาผู้ยิ่งใหญ่ก็มิอาจสามารถทำให้มันคุกเข่าลงด้วยความเคารพ รูปปั้นสลักแห่งพระผู้สร้างที่กล่าวกันว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนาก็ไม่อาจก่อความศรัทธาให้แก่มันแสดงความนับถือ....

     

    แล้วเหตุไฉนเพียงชายกระโปรงของเด็กหญิงเพียงผู้หนึ่งจึงมีค่าให้มันผู้นี้คุกเข่าลงบนพื้นเยี่ยงปุถุชนหลงเลือนกระทั่งความทระนงที่แม้ใช้ทหารนับสิบนับร้อยกดไหล่มันลงก็มิอาจสามารถทำให้สองขาสัมผัสพื้น...เห็นทีศักดิ์ศรีราวนับหมื่นทองคำมิได้มีตราชั่งที่ปกติสักเท่าไหร่นัก...

     

    และเมื่อข้ารับใช้หญิงซึ่งทำหน้าที่แต่งกายให้แก่เด็กหญิงคนโปรดของผู้เป็นนายนั้นได้มองเห็นภาพเบื้องหน้า...สีหน้าของสตรีแต่ละนางล้วนแสดงความประหลาดใจอย่างเหลือล้น แม้จะพยายามรักษาสีหน้ามิให้หลุดกิริยาที่ไม่สมควรก็ตาม...นับว่ายังรู้จักวางตัวไม่น้อย

     

    ดวงตาสีอรุณของมัวเรลล์อดไม่ได้ที่เหลือบมองท่าทางอันน่าขบขันของผู้คนทั้งหลายที่นี้อย่างไม่ใส่ใจนัก...ก่อนเลื่อนสายตาของตนมาหยุดลงที่จอมมารหนุ่มที่พึ่งจัดชายกระโปรงเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่นานจึงลุกขึ้น....

    ขอบคุณ…”

     

    อย่าได้ใส่ใจ...มาเถิด ข้าจะพาเจ้าไปเดินชมบ้านของพวกเรากันนับจากนี้ไป

    เคียร์เนย์เอ่ยตอบกลับอย่างราบเรียบโดยมิได้สนใจสายตาของผู้คนที่พบเห็น ก่อนยกมือหนาของตนขึ้นเบื้องหน้าของเด็กหญิงคล้ายกำลังบอกอ้อมๆให้นางจับมือของเขาเอาไว้

     

    มัวเรลล์เลือกที่จะส่งมือของตนมอบให้แก่จอมมารหนุ่มโดยไม่พูดอะไร...และเมื่อมือหนารับสัมผัสกับมือที่ค่อนข้างเล็กกว่าของเธอนั้นปลายนิ้วของเขาจึงค่อยๆเกี่ยวพันนิ้วเล็กของเธออย่างเอ็นดูและหวงแหน แรงบีบจากร่างสูงนั้นไม่ได้รุนแรงจนทำให้รู้สึกเจ็บปวด...ทว่าเป็นเพียงเพื่อกระชับให้แนบแน่นจนไร้ที่ว่างเปล่า

     

    การสัมผัสเนื้อต้องตัวของคนทั้งสองนั้นใกล้ชิดจนกลายเป็นความเคยชิน มัวเรลล์มิได้ตระหนักถึงความเกินเลยของคำว่าชายและหญิง เมื่อความสัมพันธ์ของเธอและเขาคลุมเครือ...พี่ชายนั้นสามารถกอดน้องสาวได้ราวปกติหรือไม่...สหายสนิทเพียงหนึ่งหากจะลูบหัวให้กันนั้นคงมิใช่เรื่องที่ผิด...มีสถานะมากมายบนโลกใบนี้ที่คำนิยามต่างๆอาจมิใช่กฎเกณฑ์

     

    และมัวเรลล์ก็มิอยากให้ความสัมพันธ์ของเธอและเคียร์เนย์ชัดเจนแต่อย่างใด...เพราะบางคราความจริงจากเรื่องโสมมก็มักบิดเบี้ยวไปจากความถูกต้อง...

     

    .

    .

    .

     

    ซึ่งคล้ายเป็นกลลวงของงูร้ายที่พยายามหลอกล่อสตรีนางแรกแห่งสวนอีเดนนามว่าลิลิธให้ลุ่มหลงในกิเลส...สวนดอกไม้งามแห่งมวลผกาทั้งหลายนั้นถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อเอาอกเอาใจเด็กหญิงเพียงหนึ่งเดียวของเขา แม้ว่าแท้จริงแล้วทวีปมืดนั้นไซร้ยากที่จะล่อเลี้ยงชีวิตใดบนพื้นดิน เป็นที่รู้กันดีว่าไม่เคยมีพืชพรรณใดสามารถเติบโตในดินแดนที่ถูกทอดทิ้งได้ยาวนานนัก ทว่าจอมมารหนุ่มปรารถนาอย่างยิ่งยวดถึงการที่นางเติบโตในสภาพแวดล้อมอันสมบูรณ์พร้อมและดีที่สุดเท่าที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งใฝ่ถึง...ดังนั้นไม่แปลกที่เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อมอบสิ่งที่คิดว่าดีให้แก่นางอย่างถึงที่สุด

     

    สวนดอกไม้อันงดงามราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายปรัมปรานี้ถูกสร้างขึ้นจากเวทมนต์แห่งการเพาะปลูกและเจริญเติบโตโดยสาวกในองค์เทพผู้โอบอุ้มธรรมชาติและผืนทะเล เขายอมเดินทางจากดินแดนมนุษย์สู่พื้นพงไพรใต้การปกครองของเทพผู้ถือดีนั่นเพื่อตัดชิ้นส่วนร่างกายของสาวกมันมาเป็นแหล่งพลังงาน....

     

    ชอบหรือไม่?”

    จอมมารหนุ่มเอ่ยถามอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นประกายแสงในนัยน์ตาสีอรุณคู่งามที่ตนชื่นชอบนักหนา เขานั้นแสนหวังในคำเชยชมจากริมฝีปากบางของนางราวกับสุนัขเลี้ยงที่โง่เขลา

     

    งดงามมากนัก...

    เอลลิโอร่าแม้เดิมทีจะมิได้ชื่นชอบดอกไม้ตามประสาสตรีทั่วไปเท่าใดนัก เพราะมีคติถือว่าพวกมันเหล่านี้ล้วนบอบบางและไร้ประโยชน์ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าความงดงามตรงหน้าช่างตราตรึงใจเสียจนอยากจ้องมองนานเท่านาน

     

    แน่นอนว่าผู้ทำดีย่อมได้รับรางวัลแห่งความชื่นชม...มัวเรลล์มิลืมที่จะเชยชมจอมมารหนุ่มตามความปรารถนาของเจ้าตัว มือข้างหนึ่งที่ไร้พันธะนั้นเอื้อมสูงหมายลูบลงที่ศีรษะของชายหนุ่มข้างกาย...ทว่าน่าเสียดายนักที่ความต่างของความสูงนั้นมีมากพอสมควรตามประสาช่วงวัยที่แตกต่างกัน ทำให้เด็กหญิงจึงเริ่มตั้งใจจะเขย่งปลายเท้าของตนให้เอื้อมถึงโดยดี

     

    แต่ยังไม่ทันไรนักคล้ายจอมมารหนุ่มรับรู้ถึงความน่าเอ็นดูเพียงนี้ของเด็กน้อยคนโปรด มือหนาทั้งสองจึงโอบประคองร่างอันแสนเล็กน้อยและบอบบางของนางให้ลอยขึ้นเหนือพื้นดินและโคลงศีรษะของตนลงมาก้มต่ำใกล้ชิดกับฝ่ามือของเด็กหญิงคล้ายกำลังออดอ้อนให้สัมผัสตนมากขึ้นไปอีก

     

    นิ้วเรียวที่มิเคยหยาบกร้านเพราะถูกจอมมารหนุ่มทะนุถนอมเลื่อนเกลี่ยเรือนผมสีดำสนิทของเขาอย่างเบามือผสานกับความใส่ใจเล็กน้อยที่แม้กระทั่งเคียร์เนย์เองยังสัมผัสได้ เพราะเด็กหญิงมิได้ขยี้ศีรษะของเขาแม้แต่น้อย หากแต่ลากปลายผมของเขาให้เข้าทีเข้าทางเพื่อให้ดูเรียบร้อยดี

     

    หอมข้าหน่อยได้หรือไม่?”

    หัวใจของจอมมารหนุ่มมิเคยได้รับการใส่ใจเพียงนี้มาก่อน ความอ่อนโยนของเด็กหญิงตรงหน้ากำลังทำให้เขาละลายไปกับมัน...ความโลภและกระหายในความพิเศษนี้ทำให้เขารู้สึกอยากครอบครองนางขึ้นทวีคูณ หากจะล้างผลาญโลกใบนี้...เขาจะเหลือนางไว้สักคนเพื่อดูเล่น

     

    มัวเรลล์ที่ได้ยินคำออดอ้อนของจอมมารหนุ่มก็เพียงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ...จากนั้นมือบางทั้งสองจึงเลื่อนขึ้นมากุมใบหน้าที่ผู้คนทั้งหลายต่างหลงใหลมันดั่งห้วงภวังค์แห่งราคะให้ตรงดี แล้วจึงโน้มตัวลงจุมพิตที่เปลือกตาทั้งสองของเขาก่อน....และปลายจมูกโด่งต่อมาเพราะความเอ็นดู ก่อนริมฝีปากบางจะเคลื่อนสัมผัสไปที่แก้มของเขาอย่างนิ่มนวลเป็นการปิดท้าย...

     

    ซึ่งทุกการกระทำของเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมแขนได้ซึมซับลงในความทรงจำของจอมมารหนุ่ม...รอยยิ้มบางที่ประดับบนใบหน้าฉีกกว้างเป็นมุมปากแสดงถึงความพึงพอใจ....อา ช่างอ่อนหวานนัก

     

    .

    .

    .


    และช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายนักที่ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมิได้ยั่งยืนราวผืนฟ้าที่เทียบเคียงกับผืนจันทร์ ความทรงจำภายใต้สวนดอกไม้งามต้องหยุดชะงักลง...เมื่อจอมมารหนุ่มพบว่ามีหนอนแมลงกำลังดิ้นรนชวนน่ารำคาญอยู่เบื้องหลัง หากนั้นไซร้จะกระทืบเท้าลงให้จมดินก็คงเปรอะเปื้อนกายหยาบจนเกินไป จึงเห็นว่าการรอมชอมเป็นทางเลือกหนึ่ง

     

    ภายใต้พระราชวังหลักแห่งมีลาธานั้นแม้จะเต็มไปด้วยความงดงามแลสง่าอันเกิดจากความประณีตหนึ่งของช่วงชีวิตมนุษย์หากแต่ก็แอบแฝงความอึมครึมและหม่นหมองอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ด้วยสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากทวีปหลักเป็นส่วนใหญ่จึงไม่แคล้วเลยที่เก้าส่วนจะถอนแบบมาจากเค้าโครงที่พบเห็นได้ในวาสตินหรือดินแดนข้างเคียง เพราะแต่เดิมแล้วทวีปมืดอย่างมีลาธานั้นเป็นอารยธรรมชนพื้นเมืองที่ค่อนไปทางชนเผ่าป่าเถื่อน มิได้มีความเจริญในการพัฒนาเท่าไหร่นัก เมื่อรู้จักการเดินเรือและการค้าการแลกเปลี่ยนในคราแรกจึงรับเอาวัฒนธรรมและศิลปะของทวีปหลักมาเป็นของตน

     

    ยังคงทำตัวน่าขยะแขยงเหมือนเดิมเสียจริงนะ...เคียร์เนย์ คิดว่าพระราชวังอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นซ่องโสเภณีหรืออย่างไรกัน จึงนำสตรีนางใดที่ไร้หัวนอนปลายเท้าเข้ามาอยู่อาศัยถืออภิสิทธิ์ตนเช่นนี้

    เป็นคำติเตียนของจักรพรรดิผู้เป็นใหญ่แห่งมีลาธาอันมีศักดิ์เป็นลุงของเขาเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจนัก เมื่อเบื้องหน้าของตนคือหลานชายที่น่าชิงชังเหลือคณา

     

    ช่างเสร่อเรื่องคนอื่นจริงๆ....ข้าจะนำพาสตรีใดมาอยู่เคียงข้างกาย มันก็เป็นเรื่องของข้า

    ไร้ซึ่งมารยาทอันขัดเกลาต่อความเคารพผู้ยิ่งใหญ่ มีเพียงนัยน์ตาสีโลหิตแสนเย้ยหยันและหยิ่งยโสเทียบปลายดาราที่เหยียบมองลงมาเบื้องหน้าของจักรพรรดิผู้เป็นพระปิตุลาโดยชอบธรรมในสายเลือดกายหยาบ

     

    ดินแดนแห่งนี้มิใช่อาณาจักรวาสติน หากจะกระทำตัวอวดดี...ก็พึงรู้จักประมาณตนเสีย

    ด้วยศักดินาชนชั้นจักรพรรดิมีหรือที่มารัสนั้นไซร้จะชื่นชอบในการประพฤติตัวเฉกเช่นนายตนผู้จองหอง ทว่าเบื้องหลังของหลานชายผู้มีศักดิ์เป็นเพียงองค์ชายโพ้นทะเลนั้นซับซ้อนและอันตรายเกินไป...แม้กระทั่งตัวมันผู้เป็นเอกในดินแดนกว้างใหญ่นี้ก็มิอาจหาญกล้าพอกระทำสิ่งใดซึ่งหน้ามัน

     

    พึงรู้จักประมาณตน?...ช่างน่าขันยิ่งนัก ภายใต้ผืนฟ้าแลโลกานี้นั้นมิได้มีค่าพอให้อันตัวข้าผู้นี้ต้องหวาดกลัวหรอกหนา

    ตัวตนอันแสนหยิ่งยโสและอวดดีนั้นคือสิ่งจริงแท้ที่จอมมารเฉกเช่นเคียร์เนย์ฝังลึกลงในสันดาน...แม้ในยามจุดจบสุดท้ายของชีวิตตนในเรื่องราวทั้งหมด เขาก็ไม่เคยมองว่าตนด้อยกว่าผู้กล้าเลยแม้แต่น้อย...

     

    กระทำตนเช่นนี้...สุดท้ายยามโรยราใต้ผืนดิน จะมิเหลือผู้ใดกลบฝังให้หรอก

    มารัสเอ่ยแซะหลานชายในสายเลือดของตนอย่างเหลืออด พลางหยิบยกจดหมายเหตุจากราชทูตประจำอาณาจักรวาสตินซึ่งส่งมาไม่นานนักขึ้นมาและโยนมันให้แก่เด็กเหลือขอน่าตายที่ฉีกยิ้มน่าขนลุก

     

    ได้รับข่าวสารแล้วหรือ....นับว่ารวดเร็วไม่เลว

    ดวงตาสีโลหิตของจอมมารหนุ่มเหลือบมองซองจดหมายซึ่งตกลงบนพื้นโดยต่ำ หากแต่ก็มิได้มีทีท่าจะก้มตัวไปเก็บเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งใดกันที่บันทึกลงในหน้ากระดาษเหล่านั้น

     

    อาณาจักรวาสตินกำลังจะเกิดสงครามขึ้นในอีกไม่ช้า...เมื่อตระกูลเอกอัครราชทูตขายชาติอองเดฟสามารถส่งข่าวให้แก่ภาคีกลุ่มรักษาสันติภาพแห่งมวลมนุษย์ได้สำเร็จ เกิดการก่อกบฏขึ้นภายในโดยสามตระกูลมาร์ควิส อีกทั้งอาณาจักรกริโคและยูนาลก็ประกาศฉีกสนธิสัญญาสงบศึก คาดเดาว่าอาจเตรียมก่อสงครามระหว่างดินแดนตามมา

     

    เกิดอะไรขึ้นภายในอาณาจักรวาสตินกันแน่?....ไม่สิ แกคิดจะทำอะไรกัน...ไอ้เด็กเหลือขอ

    เมื่อเห็นนัยน์ตาอันสงบนิ่งและริมฝีปากที่ยังคงโค้งง้ออย่างผิดมารยาทของหลานชายผู้ซึ่งครึ่งหนึ่งก็มีศักดิ์ในสายเลือดเป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรวาสตินนั้นมารัสก็สามารถรับรู้โดยคาดเดา

     

    ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ....เพียงแต่ข้าต้องการให้จักรวรรดิมีลาธาออกคำสั่งถอนกำลังทหารเรือในน่านน้ำอ่าววาสตินทั้งหมดซะ อีกไม่นานดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันเลื่องชื่อนั้นจะกลายเป็นเพียงเศษซากอารยะธรรมเท่านั้น...

    เคียร์เนย์กล่าวประสงค์อันโดยมิชอบธรรมของตนขึ้นคล้ายคำสั่งประกาศิต จากนั้นปลายเท้าของมารร้ายจึงค่อยๆเหยียบย่ำลงที่จดหมายเหตุบนพื้นอย่างผิดมารยาท แม้จะดูแล้วคล้ายไร้การศึกษาและหยาบกร้าน ทว่านัยในคือการบ่งบอกทางอ้อมว่าจดหมายเหตุนี้จะมิถูกกล่าวถึงเป็นอีกครา

     

    มันมิใช่เรื่องราวน่าตลกนะ...เคียร์เนย์  หากอาณาจักรวาสตินล่มสลาย...จะเป็นจักรวรรดิมีลาธาที่ได้รับผลกระทบตามมาเช่นกัน

    หากในมือของมารัสถือมีดนั้นคงไม่ยากต่อการตัดสินใจว่าตนนั้นควรปาดคอของหลานชายในสายเลือดของตนอย่างง่ายดายเช่นไร...แม้มารัสจะมิใช่จักรพรรดิที่ชาญฉลาดหรือเกรียงไกรที่สุดแห่งยุคศตวรรษ ทว่าในฐานะชนชั้นปกครองแล้วก็มิได้ขาดตกบกพร่องจนก่อเกิดการกบฏในหมู่ประชาชน อย่างน้อยเขาผู้เติบโตมาในราชวงศ์แห่งแผ่นดินย่อมรับรู้ดีว่าสิ่งใดก่อเกิดประโยชน์แห่งมวลมีลาธาและสิ่งใดสร้างความเลวร้ายให้แก่ดินแดนอันถูกทอดทิ้งโดยพระผู้สร้างนี้

     

    ความสัมพันธ์ของอาณาจักรวาสตินและจักรวรรดิมีลาธานั้นแม้จะมิได้เป็นความสัมพันธ์อันดีอย่างลึกซึ้ง ทว่าเมื่อมีผลประโยชน์มาคาบเกี่ยวจึงยากนักที่จะแยกออกจากกัน กองกำลังทหารเรือแห่งมีลาธานั้นแต่เดิมเป็นกองกำลังเสริมที่ถูกวางแนวประจำการอยู่บริเวณข้างรอบอ่าววาสตินเฉพาะส่วน เนื่องด้วยสนธิสัญญารักษาความสงบชายแดนน่านน้ำวาสตินซึ่งแต่เดิมเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการรุนรานของอาณาจักรอื่นโดยรอบ ดังนั้นเมื่อการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ขององค์หญิงลำดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิมีลาธาอย่างคาริน่าเกิดขึ้น ผลประโยชน์ที่จักรวรรดิมีลาธายื่นมอบให้จึงเป็นทรัพยากรทหารซึ่งสนับสนุนการป้องกันน่านน้ำรอบข้างอ่าววาสตินซึ่งเป็นจุดบอด แต่ก็วางแนวกำลังระยะห่างเหมาะสมมิได้เข้าใกล้ปากอ่าววาสตินจนดูสามารถปิดปากอ่าวเสียเองได้เพื่อลดความหวาดระแวงในการกระทบกระทั่งแม้สัญญาช่วยเหลือก็ตาม ซึ่งอานิสงส์การวางกำลังทหารเรือช่วยเหลืออาณาจักรวาสตินนั้นก็มีผลประโยชน์คาบเกี่ยวต่อเนื่องเช่นกันคือการป้องกันโจรสลัดในเส้นทางการเดินเรือค้าขายของจักรวรรดิมีลาธามายังทวีปหลักโดยมีอ่าววาสตินเป็นท่าเรือหลัก

     

    หนำซ้ำยังไม่ต้องกล่าวเอ่ยถึงการรักษาสถานะคงอยู่ของคาริน่าเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิมีลาธาองค์สุดท้ายอันนับเป็นสายเลือดที่มีค่าที่สุดในราชวงศ์ทมิฬนั้นแล หากอาณาจักรวาสตินซึ่งเป็นที่พำนักอันนับว่าปลอดภัยที่สุดล่มสลายไป...ก็คงไม่ต้องพูดถึงความปลอดภัยของเจ้าหญิงสายเลือดแห่งมีลาธาองค์สุดท้ายผู้นี้

     

    อีกทั้งสนธิสัญญาการค้าระหว่างทวีปหลักและจักรวรรดิมีลาธาก็อาจส่งผลกระทบอยู่ไม่มากก็น้อยเมื่ออาณาจักรวาสตินที่ทำหน้าที่ค้ำประกันความน่าเชื่อถือจากภาคีกลุ่มรักษาสันติภาพแห่งมวลมนุษย์สิ้นสุดลง ทั้งยังไม่นับรวมการเป็นอาณาจักรสื่อกลางในการกระจายสินค้าและติดต่ออาณาจักรอื่นโดยรอบ

     

    หากคำนึงเช่นนั้นก็คงมิผิดแปลกอะไร....หากแต่จะยื่นมือช่วยเหลืออาณาจักรที่รู้อยู่แก่ใจว่าพ่ายแพ้ มิสู้ร่วมมือกับอาณาจักรอื่นทั้งหลายเพื่อยึดพื้นที่ส่วนบริเวณท่าเรือขนส่งบางส่วนเป็นของตนเองจะดีกว่าหรือ

    ดั่งงูร้ายที่รับรู้สันดานดิบแห่งมวลมนุษย์ทั้งหลายแล มันยื่นความคิดอันโสมมที่ล่อลวงความโลภและเห็นแก่ตัวให้แก่จักรพรรดิเบื้องหน้าผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนก้าวเดินโน้มตัวพลายกระซิบแผนการความฝันหวานลวงโลกแด่พระปิตุลาโดยศักดิ์สายเลือด

     

    หากกระทำเช่นนั้นความน่าเชื่อถือของจักรวรรดิมีลาธาต่อภาคีกลุ่มรักษาสันติภาพแห่งมวลมนุษย์จะมิดูแหลกเหลวหรือ...

    มันมิใช่เรื่องง่ายดายเลยที่ทวีปมืดอย่างจักรวรรดิมีลาธาสามารถทำการติดต่อค้าขายกับทวีปหลักได้โดยไร้การยืนยันความน่าเชื่อถือจากภาคีกลุ่มรักษาสันติภาพแห่งมวลมนุษย์ซึ่งเป็นสหพันธ์ร่วมดินแดน การแปรเปลี่ยนฝั่งพันธมิตรจะทำให้จักรวรรดิมีลาธากลายเป็นนกสองหัว

     

    ห่วงใยภาพลักษณ์เสียจริงหนา....แท้จริงแล้วเพียงเรากล่าวอ้างการประณามความผิดของอาณาจักรวาสตินให้เป็นที่ประจักษ์แก่ดินแดนทั้งหลาย พลางแสร้งประกาศจุดยืนว่ายึดถือความถูกต้องโดยมิสนับสนุนอาณาจักรที่ผิดแม้จะมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็ตาม ความชอบธรรมในการฉีกสัญญาระหว่างอาณาจักรวาสตินและจักรวรรดิมีลาธาก็มิใช่เรื่องยากอะไร

    เคียร์เนย์แสยะยิ้มบางให้แก่จักรพรรดิผู้เป็นลุงตามสายเลือด แม้แท้จริงแล้วจะมิได้เอ่ยถึงการมีอยู่ของคาริน่าผู้เป็นมารดาให้อีกฝ่ายได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรเสีย...หลังสิ้นสุดสงครามเมื่ออาณาจักรวาสตินล่มสลายตามความต้องการของเขา การมีแพะรับบาปในชนวนสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้สืบสาวจนมาถึงตัวเขานั้นคงไม่มีผู้ใดเหมาะสมเทียบเคียงมารดาของเขาแล้ว...แต่หากจะให้กล่าวความจริงแด่จักรพรรดิมารัสผู้เป็นพี่ชายของนางแล้วเห็นทีก็คงเป็นเรื่องที่โง่เขลาเช่นกัน

     

    เอาเถิด...เขาคิดถึงเด็กน้อยของตนเสียแล้ว

     

    .

    .

    .

     

    เพล้ง!’

     

    ออกไป! อย่ามาแตะต้องตัวข้านะ....ได้โปรด หากพวกเจ้าเข้ามาใกล้ตัวข้าเพียงนิดเดียว...ข้าจะฆ่าพวกเจ้าแน่! เพราะฉะนั้นถอยออกไปให้หมดเสีย!”

     

    เสียงกรีดร้องอันบ้าคลั่งของสตรีวัยเยาว์อันบอบบางนั้นโหยหวนขึ้นราวอสูรกายร้าย กระจกชั้นดีซึ่งถูกหลอมอย่างประณีตบ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้เป็นนายนั้นถูกเด็กหญิงทุบทำลายจนมิเหลือชิ้นดี ของเหลวสีแดงจากปลายมือเล็กที่ฉีกขาดจากเศษกระจกที่ตนทุบนั้นวาดระบายสีผ้าห่มบนเตียงให้ย้อมกลายเป็นดั่งกุหลาบ ร่างนวลนางนั้นแสดงความคลุ้มคลั่งราวคนบ้าที่สิ้นสติ

     

    และเหล่าสาวใช้ทั้งหลายต่างหวาดผวากับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า...เมื่อพวกนางเพียงแค่เข้าไปปลุกเด็กหญิงของนายท่านเพราะเล็งเห็นว่าเคียงใกล้เวลารับประทานอาหารมื้อค่ำแล้วก็เท่านั้น

     

    อนิจจา....เหตุใดความเพริศพรายอันเหนือความงดงามใดทั้งปวงบนโลกใบนี้โดยซึ่งผู้เป็นนายท่านได้ครอบครองนั้นจึงกลายเป็นความบ้าคลั่งราวคนบาปผู้ถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์เช่นนี้...

     

    ทว่าเพียงเสียงปลายเท้าอันหนักอึ้งผิดแปลกมารยาทโดยศักดิ์สายเลือดองค์ชายนั้นก้าวเดินกระทบพื้นหินอ่อนอันเป็นทางเดิน...ดังกังวานราวกลบทุกสิ่งภายใต้ปราสาทอันมืดมิดนี้ให้สยบแก่มันอย่างไม่ยากเย็น เป็นดั่งสัญญาณแด่ผู้คนทั้งหลายเบื้องอาณัติถึงการมาของนายเหนือหัวแห่งพวกมัน

     

    อย่าได้หวาดกลัวเลยหนา....เรย์ของข้า

    ดวงตาสีโลหิตเหลือบมองเรือนร่างที่คืบคลานลงบนผืนผ้าห่มอย่างบ้าคลั่งด้วยนัยน์ตาเรืองรอง ใบหน้าอันหล่อเหลาเยี่ยงตัวแทนความลุ่มหลงแห่งบาปราคะนั้นแสยะยิ้มบาง ก่อนเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ชิดเด็กหญิงคนโปรดโดยหาได้สนคำเตือนใดๆจากเหล่าสาวใช้ไม่...

     

    และเพียงปลายเท้าของมารร้ายได้ก้าวเดินชิดใกล้เอื้อมมือ...เศษกระจกในมือของเด็กหญิงตัวน้อยก็ถูกเขวี้ยงใส่อย่างรุนแรง มันเฉียดกายใบหน้าของเขาจนข้างแก้มเริ่มปรากฏโลหิตไหลรินเล็กน้อย...หากแต่นั่นก็มิได้ทำให้จอมมารหนุ่มหยุดก้าวเดินต่ออย่างใด...มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นสูงกลางอากาศพลางโบกสะบัดเบาๆเป็นการสั่งอ้อมๆให้ผู้คนที่เหลือออกไปเสีย

     

    ซึ่งคำสั่งของผู้เป็นนายเฉกเช่นเคียร์เนย์นั้นคือสูงสุด....ไม่มีผู้ใดโง่เขลาและหาญกล้าพอที่จะขัดคำสั่ง เมื่อปลายทางของมันคือความทรมานเยี่ยงนรกบนดิน เหล่าสาวใช้ทั้งหลายจึงเพียงปิดปากเงียบและเคลื่อนถอยออกจากห้องแห่งนี้อย่างเงียบงัน

     

    เมื่อสิ้นผู้คนมากมายที่รายล้อม...มือหนาทั้งสองของจอมมารหนุ่มจึงเอื้อมคว้าตัวเรือนร่างของเด็กหญิงมาอยู่ใต้อ้อมกอดของเขา และทิ้งตัวลงนอนบนผืนเตียงซึ่งแปดเปื้อนไปด้วยเลือดของนางอย่างมิใส่ใจ ทำให้ร่างของมัวเรลล์จึงล้มตัวลงนอนตามชายหนุ่มซึ่งโอบกอดตนอยู่เช่นกัน

     

    ข...ข้าฝันร้ายว่าตัวเองถูกเผาทั้งเป็นอีกคราแล้ว...ถูกก้อนหินทุบปาจนกว่าจะตายแล้วจึงฟื้นขึ้นมาถูกทุบตีต่อ จากนั้นพวกมันก็ค่อยๆล่วงมือเข้ามาในกายข้า...บางจิกเนื้อและผมของข้าจนฉีกขาด แล้วจึง----

    มัวเรลล์เอ่ยขึ้นอย่างวิกลวิจริตราวคนบ้าที่สิ้นสติไปเสียนั้นบ่งบอกถึงความหวาดกลัวของเธออย่างแท้จริง...ถึงอดีตอันสร้างความเจ็บปวดผิดความเป็นมนุษย์สามัญซึ่งย้อนรอยหลอกหลอนภายในสมองของเธออยู่

     

    แม้จะแสร้งทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแค่ไหน....ทว่าก็มิอาจปกปิดบางสิ่งที่กลายเป็นรอยบาดแผลที่ฝังรากลึกลงในจิตใจของเธอได้เลยแม้แต่น้อย...

     

    ข้ารู้....หวาดกลัวมากใช่หรือไม่ เพียงเห็นรูปลักษณ์ทั้งหลายของพวกมันก็แสนน่าหวาดระแวงอย่างแท้จริง

    จอมมารร้ายมิได้ปฏิเสธความหวาดกลัวในใจของเด็กหญิงคนโปรด...มือข้างหนึ่งของมันลูบศีรษะของนางราวกับปลอบโยนพลางกดซุกใบหน้างามให้ฝังลึกลงลำคอของตนเอง พลางใช้มืออีกข้างนั้นกระชับอ้อมกอดร่างอันบอบบางให้ชิดใกล้

    จงจำไว้เถิดหนา...อย่าไว้ใจผู้ใด นอกเสียจากอันตัวข้าเพียงผู้เดียว....เพราะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดบนโลกใบนี้รักเจ้าเทียมเท่าข้าอีกแล้ว เรย์

     

    ริมฝีปากของงูร้ายค่อยๆฉีกกว้างอยู่เบื้องหลังแลพร่ำเอ่ยราวล่อลวงว่าไม่มีสิ่งใดในโลกที่ควรเชื่อใจ นอกจากตน นิ้วยาวของเขาบรรจงเกลี่ยปลายผมของนางขึ้นมาทัดหูอย่างเอ็นดูแล้วจึงโน้มตัวลงจุมพิตใบหูเล็กนั้นด้วยความรักใคร่เหลือคณา

     

    นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างน่าพอใจเสียจริงเชียว....สำหรับจอมมารร้าย

     

    เพราะไม่มีสิ่งใดสั่งสอนและสร้างความน่าจดจำได้ยอดเยี่ยมไปมากกว่าการเป็นผู้ถูกกระทำจากสิ่งที่เป็นเสียเอง....ต่อให้ตัวเขาผู้เป็นมารร้ายเอ่ยสร้างความชิงชังในตัวมนุษย์ให้แก่นางเพียงใด ก็คงไม่อาจสร้างความเกลียดชังได้เทียบเท่ากับการเผชิญเสียเอง...

     

    แม้นสติปัญญาที่ถือครองอยู่นั้นจะดีงามเพียงใด....ปากเอ่ยพร่ำบอกปฏิเสธว่ารู้จักแยกแยะมนุษย์ชั่วช้าที่พานพบนั้นมิอาจตัดสินมนุษย์ทั้งมวลบนโลกได้ ทว่าส่วนลึกภายในจิตใจนั้นจะเที่ยงตรงเช่นนั้นจริงหรือ

     

    และความวิกลจริตและตื่นกลัวของเด็กหญิงใต้อ้อมกอดของเขานั้นก็คือคำตอบ...

     

    เจ้าน่ะมีเพียงแค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว...เรย์

     

    คำรำพึงจากงูร้ายนั้นค่อยๆกลืนกินปณิธานอันบริสุทธิ์ของเด็กหญิงตัวน้อยในอ้อมกอดทีละนิด มันพึงปรารถนาอย่างยิ่งยวดถึงสวนสวรรค์แห่งอีเดนที่มีเพียงมันและนางบนโลกใบนี้ แลมันจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะฉุดรั้งสตรีผู้เป็นดั่งลิลิธของตนให้ตกลงสู่บาปอันไร้ที่สิ้นสุด...

     

    .

    .

    .

     

    ในเรื่องความรักของอีพี่จอมมารนั้นอยากนับว่าเป็นความรักที่ไม่บริสุทธิ์เลยสักนิด(ฮา) 

     

    ปล.ตอนนี้จะเปิดเผยว่าน้องเรย์ได้รับผลกระทบจากการถูกทรมานก่อนตายในครั้งก่อนอยู่นะคะ ถึงเห็นว่าน้องพยายามนิ่งๆไม่ตามเกมส์จอมมารแต่ว่าเรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นค่อนข้างฝังใจน้องเลยล่ะค่ะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×