คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : บทที่18 เริ่มเปิดเผย
เรือนผมเกศาต้องจันทร์คล้ายแสงอาทิตย์ยามรุ่งที่เบาบางถูกถักเปียยาวหนึ่งสายแล้วจึงประดับด้วยดอกไม้เครื่องเพชร
ใบหน้างามล้ำของโฉมงามคนโปรดแห่งจอมมารมิได้ตกแต่งอะไรเพราะความเยาว์วัย
เครื่องแต่งกายถูกผลัดเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมที่อิงแอบ...เนื้อผ้าสีดำนั้นไซร้ตัดกับผิวกายขาวดุจหิมะของเธอ
ลวดลายผ้าประดับสีทองและแดงเล็กน้อยนั้นตามความสวยงามที่ไม่มากเกินพอดี
อัญมณีที่ตกแต่งเองก็มิได้ฟุ่มเฟือยจนน่าเกลียด ทว่าสิ่งที่ดูพิเศษนักเมื่ออยู่บนเรือนกายของเด็กหญิงนั้นเป็นสร้อยคอไม้กางเขนกลับหัวที่ดูไม่ดีนัก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อความงดงามบริสุทธิ์ถูกสวมใส่โดยสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้ายกลับเพิ่มพูนความเสน่หาของจอมมารหนุ่มที่มีต่อนาง
“เจ้าช่างงดงามจริงๆ....เรย์ของข้า”
เคียร์เนย์อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเรือนกายของเด็กหญิงในชุดของสตรีชาวมีลาธาที่ดูแล้วช่างดูเหมาะสมกับนางยิ่ง
พลางพยายามดับกิเลสตัณหาที่มีอยู่ไม่ให้ล่วงล้ำนางในตอนนี้
ดวงตาสีโลหิตได้แต่หรี่มองด้วยความเสียดาย
มือของเขาพลางเอื้อมสัมผัสปลายผมของสตรีนางน้อยอย่างเอ็นดูมิได้เกินเลยความคิดโสมมในหัว
“อย่างนั้นเหรอ...”
มัวเรลล์เอ่ยตอบกลับคำชมของจอมมารหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจนัก
เธอยืนนิ่งอย่างว่าง่ายเพื่อให้สาวใช้ทั้งหลายแต่งกายเธอได้สะดวก และหลุบดวงตาสีอรุณให้ก้มต่ำลงหลบสายตาที่จับจ้องตนราวกับต้องการกลืนกินเธอไปทั้งตัวของเขาเพราะความไม่สบายใจ
มือบางภายใต้แขนเสื้อยาวนั้นกำแน่นด้วยความหวั่นใจเล็กๆ....
บางทีมันก็น่าขนลุก....ที่พี่ชายร่วมสายเลือดแม้ต่างมารดามองเธอด้วยความพิศวาสเช่นนั้น...ถึงยังไม่อาจแน่ใจว่าภายในหัวของจอมมารเช่นเขาคิดอะไรกับเธอกันแน่
ทว่าความโปรดปรานอันย้อนแย้งที่ผ่านมาของเขาก็ทำให้เธอหวาดกลัวอยู่เสมอ...
และด้วยความระแวงนี้เอง...มัวเรลล์จึงเผลอตัวยกมือขึ้นสัมผัสลำคอที่ถูกมารร้ายกัดไปเมื่อวันก่อนตามประสาคนครุ่นคิดถึงเรื่องเก่า
ปลายนิ้วเรียวสัมผัสรอยแผลที่ถูกชายหนุ่มทิ้งเอาไว้อย่างช้าๆ....และกลับพบว่า
ร่องรอยแผลลึกที่ถึงขนาดเลือดซึมออกมา...ไม่มีอยู่แล้ว...ดวงตาสีอรุณจึงแอบเบิกกว้างเล็กๆด้วยความแปลกใจ
ก่อนตัดสินใจลูบหลังลำคอของตนอีกคราเพื่อย้ำเตือนความจริงว่าไม่ได้คิดไปเอง...
ทว่าไม่ทันที่เด็กหญิงตัวน้อยจะได้พินิจพิจารณาตน
เป็นเคียร์เนย์ที่เดินเข้ามาใกล้ชิดกับร่างบางซึ่งสวมใส่ชุดเสร็จเรียบร้อยดีแล้วและยกมือจับข้อมือแสนซนของนางที่กำลังลูบรอยแผลที่จางหายไปอย่างปริศนา
รอยยิ้มของมารร้ายยังคงประดับบนใบหน้าที่ล่อลวงผู้คนมามากมาย
ก่อนเอ่ยตอบความสงสัยของเด็กหญิงอย่างคลุมเครือ
“เพราะเรย์เป็นคนพิเศษอย่างไงล่ะ....พระผู้สร้างจึงประทานพรแสนวิเศษนี้มอบให้แด่เจ้า”
“หมายความว่าอย่างไง?”
มัวเรลล์ทวนคำกล่าวของจอมมารหนุ่มอย่างไม่เข้าใจนัก
ใบหน้างามล้ำเงยขึ้นมองชายหนุ่มคล้ายอยากทักท้วงถามให้มากความอีกครา
มือบางภายใต้แขนเสื้อยาวนั้นเอื้อมมือไปฉุดชายเสื้อของเขาอย่างเงียบๆราวเด็กน้อยที่ต้องการขอขนมก็ไม่ปาน
ซึ่งนั่นก็เรียกความเอ็นดูให้กับจอมมารหนุ่มอย่างยิ่งยวด...ประกายความโสมมในดวงตาสีโลหิตจางหายลงไปถึงห้าส่วน
มือหนาเอื้อมสัมผัสหลังคอของเด็กหญิงคนโปรดที่ตนเคยกระทำกัดเล่นอย่างอารมณ์ดี...
“คงเพราะพระผู้สร้างแสนหวาดกลัวกระมังว่าร่างอันแสนบอบบางและงดงามนี้จะ’พังไม่เหลือชิ้นดี’เมื่อมาอยู่เคียงข้างคู่กับจอมมารเช่นข้า...”
ด้านมัวเรลล์ที่ได้ฟังคำกล่าวคล้ายทีเล่นทีจริงก็เพียงนิ่งเงียบไป...เพราะเธอรู้สึกว่าที่ผู้สร้างคิดนั้นเป็นเรื่องจริง
การอยู่เคียงข้างกับจอมมารเช่นเคียร์เนย์นั้นรังแต่จะถูกบีบให้แหลกคามือตอนใดก็ได้
จอมมารมิใช่ตัวละครที่รู้จักปกป้องคนรักตนอย่างพระเอกหรือพระรอง...เขามีความซับซ้อนและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่ชัดเจนสมเป็นตัวตนที่แสดงถึงความโสมม
“เอาเถิด...ต่อจากนี้ไป
เจ้าคือเด็กหญิงผู้สูงศักดิ์จากอาณาจักรวาสตินที่ข้าพามาอยู่ด้วยที่จักรวรรดิมีลาธาเพราะความโปรดปราน
อย่าเอ่ยถึงศักดิ์ในอดีต อย่าบอกเล่าความเป็นมา และอย่าวางใจใครที่นี้”
เคียร์เนย์นับเป็นคนหนึ่งที่มีตำแหน่งไม่น้อยในราชวงศ์มีลาธา
อิทธิพลของเขาค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับตอนอยู่อาณาจักรวาสตินแล้วก็นับเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้น
ในทวีปมืดนี้เขาเป็นบุคคลมากอำนาจที่สุดผู้หนึ่ง
ดังนั้นการนำเด็กหญิงปริศนาสักคนมาอยู่โดยปลอมแปลงประวัติและตำแหน่งจึงเป็นเรื่องง่ายดายนัก
ต่อให้ผู้ใดสงสัยก็คงไม่มีความกล้าจะสืบค้นหรือตั้งคำถามต่อตัวเขา
“แล้วตัวข้าอยู่ที่นี้ในสถานะอะไรกันหรือ?”
มัวเรลล์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เธอถูกพามาที่นี้เพราะความต้องการของจอมมารหนุ่ม...ไม่รู้เลยว่าจะต้องวางตัวเช่นไร
ผู้คนจะมองอย่างไง หรือแม้กระทั่งอาจต้องอยู่อย่างหลบซ่อนผู้คนอีกหรือเปล่า
เธอต้องการบทบาทที่ชัดเจน...
“แล้วเจ้าอยากอยู่ในสถานะใดกันล่ะ?”
เป็นจอมมารหนุ่มที่ไม่เอ่ยตอบความอันใดของเด็กหญิง
มีเพียงดวงตาสีโลหิตที่จับจ้องใบหน้างามล้ำของนางเป็นคำตอบชัดอย่างลุ่มลึก
เพราะหากเอ่ยสถานะของนางที่เขาต้องการให้เป็น....นางย่อมยอมรับไม่ได้อย่างแน่แท้
เขาพานางมาอยู่ในดินแดนที่ไม่มีผู้ใดรู้จักนางเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่...ไม่สิ
แค่ปกปิดความจริงอันโสมมทั้งหมดก็เท่านั้น....
โดยเฉพาะเรื่องที่นางและเขาเป็นพี่น้องครึ่งสายเลือดกัน....จะไม่มีใครได้รับรู้...ความรักความโปรดปรานที่ผิดประเวณีนั้นเป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ...ทว่าจอมมารเช่นเขาก็มิได้แยแสต่อศีลธรรมและเส้นบรรทัดฐานของสังคมเหล่านั้น
ตัวเขาปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะมีนางมาอยู่เคียงข้างกายในทุกเวลาของชีวิต....
หนึ่งสิ่งที่ผู้สร้างนั้นกระทำผิดพลาดคือการที่มิได้บรรยายรูปธรรมของความโปรดปรานที่จอมมารเช่นเขามีต่อเด็กหญิงผู้นี้
คำเขียนที่ว่าเพียงโปรดปรานและรักใคร่นั้นมิได้เจาะจงในความสัมพันธ์ฉันพี่น้องหรือครอบครัว
จึงไม่แปลกเลยที่มันจะเปิดโอกาสให้ตัวตนอันบิดเบี้ยวอย่างเขามีความคิดเกินเลยผิดแผกคนปกติทั่วไปได้
ซึ่งจอมมารหนุ่มก็รู้ดีว่าเด็กหญิงที่ตนแสนโปรดปรานและรักใคร่นั้นมิได้มีความคิดน่าขยะแขยงเหมือนตน....
“เช่นนั้นเป็นน้องสาวต่างมารดาเหมือนเดิมล่ะ”
มัวเรลล์เอ่ยสถานะที่ตนคิดออกให้แก่ชายหนุ่ม
เพราะอย่างไรเสียเธอก็เป็นน้องสาวของเขาจริงๆ
หากจะเอ่ยพึ่งบารมีของเขาจะมิได้ขัดปาก เพราะอย่างน้อยก็มีสายเลือดร่วมกัน....
คำตอบที่แสนตรงไปตรงมาและเป็นความจริงนั้นทำให้จอมมารหนุ่มที่ได้ฟังอดไม่ได้ที่จะขบยิ้มอย่างเอ็นดู
มือหนาและหยาบกร้านทั้งสองของเขาประสานเอวบางของนางให้แนบชิดใกล้กับตัวเขา
ใบหน้าของมารร้ายที่ล่อลวงผู้คนเสมอนั้นยื่นอิงแอบหน้าผากไปทาบกับหน้าผากของเด็กหญิงตัวน้อยจนไม่เหลือช่องว่าง
ดวงตาสีโลหิตสบมองดวงตาสีอรุณที่ช้อนมองตนอย่างชมชอบ ก่อนตัดสินใจค่อยๆจุมพิตลงบนแก้มทั้งสองของนางอย่างรักใคร่...
“ข้าไม่เคยนับเจ้าเป็นน้องสาว....เรย์”
คำกล่าวเพียงสั้นๆของจอมมารหนุ่มนั้นทำให้มัวเรลล์คล้ายรู้สึกขนลุกและผิดแปลกในเวลาเดียวนี้...ร่างของเธอเกร็งไปชั่วขณะและเงยมองเขาด้วยความไม่อยากเข้าใจ
ทว่าไม่ทันที่มัวเรลล์จะได้เอ่ยอะไรต่อ
ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้นสามคราคล้ายรหัสบางอย่าง....ทำให้เคียร์เนย์ต้องปล่อยมือจากร่างของเด็กหญิงตัวน้อยอย่างเรียบเฉย
ก่อนที่เขาจะก้าวเดินออกจากห้องไปโดยบอกเพียงว่าไปทำธุระสักพักเท่านั้น
.
.
.
ซึ่งผู้เคาะประตูเป็นสัญญาณเรียกนั้นคือชายหนุ่มในเครื่องแต่งกายทหารมีภูมิฐานที่ดี
เขามีเรือนผมสีดำสนิทตามพันธุกรรมของชาวทวีปมืดโดยแท้
ดวงตาสีดำสนิททว่าเจือปนเทาเล็กน้อย
ใบหน้าแม้ไม่ได้หล่อเหลาเท่าเจ้าชายผู้เป็นนายของตน แต่ก็ดูดีในระดับคนทั่วไปเห็นแล้วรูปงาม
ร่างกายสูงใหญ่ท่าทางไหล่ตรงผ่าเผยสมชายชาติทหารที่ฝึกมา สีหน้าขึงขังยิ่งส่งเสริมให้เขาดูเป็นคนจริงจังจนชวนรู้สึกอึดอัด
“มีความเคลื่อนไหวในอาณาจักรวาสตินแล้วสินะ”
เคียร์เนย์เอ่ยประเด็นบทสนทนาอย่างเรียบเฉย
เขาที่พึ่งเดินออกจากห้องมาเพียงเอื้อมมือไปปิดประตูจากด้านหลัง
ก่อนก้าวเดินห่างจากประตูพอเหมาะไม่ให้เสียงคุยงานของตนรบกวนเด็กหญิงในห้อง
“เป็นเช่นนั้นพะยะค่ะ....ดูเหมือนทางกษัตริย์คาเทียสจะพยายามควบคุมข่าวเรื่องการตายของเหล่าเจ้าหญิงเจ้าชาย
มิให้รั่วไปถึงประชาชนเพราะกลัวว่าความน่าเชื่อถือจะตกต่ำลง อีกทั้งกังวลว่าอาจเป็นประเด็นให้ต่างอาณาจักรเล่นกระแสโจมตีได้
แต่ถึงอย่างนั้นภายในราชสำนักก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด...ตระกูลมาร์ควิส’อาควาฟ’ ‘จานอล’และ’เปเซล’ทั้งสามพยายามเรียกร้องให้มีการตรวจสอบสืบสวนการตายโดยใช้คนของตัวเองเพราะไม่เชื่อใจในเจ้าหน้าที่รัฐที่อาจเบี่ยงเบนไปทางกษัตริย์คาเทียส
ส่วนตระกูลเอกอัครราชทูต’อองเดฟ’ก็พยายามแอบส่งข้อมูลข่าวสารไปยังต่างอาณาจักรกลางเพื่อฟ้องร้องความเป็นธรรมกับองค์กรภาคีกลุ่มรักษาสันติภาพแห่งมวลมนุษย์...แล้วก็อีกสองอาณาจักรอย่างกริโคและยูนาลยังคงไม่เคลื่อนไหวอะไร
เพราะพระสนมในสายพระวงศ์ของสองอาณาจักรถูกกักตัวไว้ที่ปราสาทส่วนตัวจนกว่าคดีจะจบลงเนื่องจากกลัวว่าทั้งสองจะส่งข่าวไปบอกแก่ต้นอาณาจักรของตน”
ชายหนุ่มในชุดทหารหรือ’วาตินนอฟ’เอ่ยรายงานคร่าวๆ พลางยื่นซองบรรจุเอกสารซึ่งเป็นข้อมูลละเอียดให้แก่นายของตนเพื่ออ่านดู
แต่เดิมแล้วอาณาจักรวาสตินค่อนข้างมีระบบราชการที่โปร่งกว่าจักรวรรดิมีลาธา
ดังนั้นจึงค่อนข้างเป็นเรื่องง่ายในการหาข้อมูลอย่างไม่ยากเย็น
“แล้วการวางตัวของมารดาข้าตอนนี้ล่ะ?”
เคียร์เนย์ที่ได้รับข้อมูลมาก็เปิดซองเอกสารขึ้นมาอ่านอย่างง่ายๆ
ปากพลางเอ่ยถามข้อมูลยิบย่อยที่จำเป็นอย่างไม่ใส่ใจนัก
แม้สมองจะขบคิดตามอยู่ก็เถอะ
“พระนางทรงส่งจดหมายไปแสดงความเสียใจกับพระสนมแห่งกริโคและยูนาลทั้งสองถึงปราสาทส่วนตัว....นอกจากนั้นยังพยายามเรียกร้องให้กษัตริย์คาเทียสยอมรับข้อเสนอการสืบสวนโดยคนของมาร์ควิสทั้งสาม”
วาตินนอฟเอ่ยตอบกลับคำถามของเจ้าชายหนุ่มแม้จะขมวดคิ้วเล็กน้อยกับคำถามที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอะไร
“มารยาจริงๆ”
ส่วนทางด้านเคียร์เนย์ที่ได้ฟังก็เพียงยิ้มเยาะกับความเสแสร้งของมารดาที่เป็นหนึ่ง
และปิดซองเอกสารเมื่ออ่านจบลงแล้วด้วยความเรียบเฉย
ความจริงแล้วเรื่องราวการตายของเจ้าหญิงเจ้าชายตัวน้อยทั้งหกแห่งราชวงศ์วาสติน’มิใช่ความบังเอิญ’
จะมีหรือที่โอกาสเด็กที่โง่เขลาทั้งหลายจะผ่านเข้ามาในปราสาทต้องห้ามที่เต็มไปด้วยผนึกชั้นสูงได้
แล้วจะมีหรือที่เด็กโง่เขลาทั้งหลายที่ทำร้ายเด็กน้อยของเขาจะบังเอิญล้วนแต่มีต้นตระกูลฝั่งมารดาที่ปฏิปักษ์กับราชวงศ์วาสตินได้ทั้งหมด...
หากความบังเอิญที่เหมาะเจาะเช่นนี้นับว่าเรียกปาฏิหาริย์แล้ว
ทว่าน่าเสียดายนักที่มันเป็นเรื่องที่เขาวางแผนเอาไว้ทั้งหมดสิ้น...
แต่เขาก็หาใช่ผู้กระทำด้วยมือตัวเองไม่...เป็นมารดาของเขาต่างหากที่กระทำแทนโดยที่เขาไม่ต้องลงแรงอะไรเสียด้วยซ้ำ
เพียงแค่เขาจงใจแสร้งแสดงความสำคัญของเด็กหญิงคนโปรดออกนอกหน้าก็ทำให้มารดาบังเกิดเกล้าแสนริษยาและหึงหวงอย่างโง่งมจนวางแผนหาวิธีกำจัดเด็กน้อยของเขาโดยที่นางไม่คำนึงถึงผลกระทบใดๆเลยแม้แต่น้อยสมความเห็นแก่ตัวอันเป็นนิสัยหลัก
สตรีเช่นคาริน่ายึดถือความคิดและความต้องการของตัวเองเป็นหนึ่งดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่นางจะไม่คิดถึงผลกระทบของอาณาจักรหรือแม้กระทั่งมนุษยชาติแม้ตนจะกำจัดเด็กต้องสาปไปก็ตาม
ซึ่งนั่นทำให้มารดาผู้นี้เป็นตัวเลือกหนึ่งในการเป็นแพะรับบาปให้แก่เขาได้ดี....
จอมมารหนุ่มไม่นิยมชมชอบในการลงมือด้วยตัวเองนัก
เขาก็เหมือนตัวร้ายทั่วไปตามเนื้อเรื่องที่ชักใยทุกสิ่งอยู่เบื้องหลัง....ผลประโยชน์ที่ได้นั้นมีแต่ทวีคูณ....
“เช่นนั้นจงปล่อยให้พวกมันทะเลาะกันเองไปเสียก่อน....แล้วจึงค่อยส่งหลักฐานชิ้นพิเศษไปก็ยังไม่สาย”
เคียร์เนย์เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
เขาไม่ได้คาดหวังว่าอาณาจักรวาสตินจะแตกภายในวันเดียว ความแตกแยกของภายในราชสำนักจะทำให้คนในชาติแบ่งก๊กแบ่งเหล่าง่ายต่อการยุยงปลุกปั่นยิ่ง
ด้านวาตินนอฟที่ได้ยินก็เพียงนิ่งเงียบ แม้ตนเป็นนายทหารใต้บัญชาของเจ้าชายผู้นี้
ทว่าเขาเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวความคิดหรือแผนการของผู้เป็นนายทั้งหมด
บางทีคำสั่งทั้งหลายที่เขาได้รับอาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของแผนร้าย ถึงสงสัยใคร่รู้ก็มิกล้าท้วงถามเพราะหน้าที่ของเขาคือการปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น
และในระหว่างนั้นเองคล้ายจอมมารหนุ่มก็ละความสนใจจากการสนทนา
ใบหน้าหล่อเหลาของมารร้ายที่เรียบนิ่งยามพูดคุยกับข้ารับใช้นั้นมองเผินไปยังประตูที่ตนปิดสนิทเอง
จากนั้นจึงเอ่ยปากกับนายทหารเบื้องหลังอย่างเลือดเย็นว่า
“ก้มหัวมองพื้นซะ....หากไม่อยากถูกควักลูกตา”
ซึ่งวาตินนอฟที่ได้ยินคำสั่งก็แสดงความงุนงงและไม่เข้าใจเท่าใดนัก
หากแต่ก็รีบปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
ศีรษะของนายทหารก้มลงต่ำจนเห็นเพียงพื้นกระเบื้องทางเดินและเท้าของตน
ก่อนใบหูจะได้ยินเสียงก้าวเดินของเจ้าชายผู้เอ่ยคำสั่งกำลังเดินจากไป จากนั้นจึงเป็นเสียงประตูที่ถูกเปิดออกอย่างเบามือ...
.
.
.
ความคิดเห็น