คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่16 ธุลีของคน
มหาเปลวเพลิงกำลังแผดเผาทุกสิ่งในกองไฟที่ลุกโชน...มันกลืนกินสิ่งมีชีวิตที่ดิ้นรนอยู่ภายใต้กรอบดวงตาสีอรุณของเธอ...ใบหน้างามล้ำที่ครั้งหนึ่งเคยเจ็บช้ำและดำธุลีนั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียดผิดรูปลักษณ์
ใจสั่นระรัวราวเสียงกลองเมื่อเห็นภาพของเหล่าผู้คนที่เคยทุบตีและเผาตนทั้งเป็นกำลังดิ้นรนระบำในกองไฟเช่นเดียวกับตน.....นับเป็นครั้งแรกที่มัวเรลล์ได้รับ’ความสุขี’จากตราบาป...ที่ล้ำเส้นศีลธรรมและความเป็นมนุษย์
“เป็นอย่างไรล่ะ...รู้สึกวิเศษไปเลยใช่ไหม เรย์”
สองมือหนาของมารร้ายประคองใบหน้าของเด็กหญิงจากด้านหลังอย่างอ่อนโยนให้จ้องมองภาพของเหล่าคนที่กำลังถูกเผาทั้งเป็นอยู่
ใบหน้าที่หล่อเหลาดุจความลุ่มหลงของราคะเลื่อนลงมาใกล้ชิดข้างหูพลางกระซิบเสียงหวาน
แม้จะไม่ชอบใจแต่มัวเรลล์ก็ไม่อาจปฏิเสธคำกล่าวของจอมมารหนุ่มได้...เพราะเธอรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อยจากดินโคลนที่ฉุดรั้งในจิตใจอยู่
ยามเห็นพวกมันดิ้นทุรนทุรายและกรีดร้องพร้อมด่าทอเธออย่างเกลียดชังนั้นมันทำให้เธอรู้สึกยินดีอย่างยิ่งยวด
เธอทรมานพวกมันก่อนเผาพวกมันดั่งเช่นที่เคยทำกับเธอ อา...นี่ เธอฆ่าคนจริงๆแล้วเหรอเนี่ย....
มือบางอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาอีกคราแม้ดวงตาจะยังคงจับจ้องไปที่กองเพลิงที่แผดเผาผู้คนอยู่ก็ตาม....ความรู้สึกครั้งแรกเป็นอะไรที่แปลกใหม่และน่ากลัว...
“อย่าได้เกรงกลัวต่อศีลธรรมเลย...เพราะศีลธรรมของเจ้าไม่ได้ปกป้องเจ้าจากคนไร้ศีลธรรม....”
เป็นจอมมารหนุ่มที่กล่าวกระซิบข้างหูของเธอต่อคล้ายปลอบประโลม
มือหนาทั้งสองวางลงจากใบหน้าและเอื้อมไปโอบกอดเอวของเด็กหญิงคนโปรดจากด้านหลัง
“ข้าไม่เคยฆ่าคนมาก่อน…”
มัวเรลล์เอ่ยรำพึงออกมาอย่างเลื่อนลอย...เธออยากสารภาพบาปต่อพระผู้เป็นเจ้านะ...ทว่าดูเหมือนจะเป็นมารร้ายเสียมากกว่าที่อยู่ข้างเธอยามสุดท้ายของชีวิตก็ตาม...แขนของจอมมารหนุ่มกอดรัดเธอราวกับอสรพิษผู้หวงแหนไข่ทองคำก็ไม่ปาน
“ข้ารู้...เจ้าเก่งมากแล้ว เรย์”
เคียร์เนย์ไม่ใช่บาทหลวงผู้เคารพคำสอนของพระเจ้าหรือชายผู้ศรัทธาต่อความดี
เขาเป็นจอมมาร....จึงไม่มีคำกล่าวโทษใดๆที่จะต่อว่านาง หากแต่ชื่นชมในความประพฤติผิดนั้นราวสิ่งถูก...
“มันไม่ใช่เรื่องที่ควรชม....เคียร์”
เอลลิโอร่าแม้จะเป็นผู้กระทำ
ทว่าเธอก็รับรู้ดีเสมอว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นมันผิด...ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเอ่ยชมเธอราวกับเป็นเรื่องปกติ...ความผิดที่ได้รับการสรรเสริญ
นานวันจะกลายเป็นค่านิยมที่บิดเบี้ยว...
สุดท้ายเมื่อกองไฟมอดดับลงสู่เถ้าธุลี....ร่างของเหล่าคนที่เคยเต้นระบำอย่างน่าสงเวชในทะเลเพลิงก็ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว
ไม่มีกายหยาบหรือรูปลักษณ์ที่เคยแสดงในความทรงจำของมัวเรลล์
มือบางหยิบเศษขี้เถ้านั้นขึ้นท่ามกลางความร้อน
ก่อนโปรยมันลงกลางสายลมไม่เหลือเค้าของกลุ่มผง...
สำหรับชาววาสตินแล้วนี่คือการหยามเกียร์ติอย่างถึงที่สุด....การเผาร่างหรือศพของพวกเขานั้นเป็นดั่งการทำลายกายหยาบในโลกหลังความตาย...เมื่อไร้ร่าง
จึงไม่อาจสามารถเดินทางไปยังสรวงสวรรค์ได้
ไม่มีการกลับมายังโลกคนเป็นและไม่สามารถไปต่อไปในชีวิตอื่นได้
นับเป็นการตัดขาดพวกเขาอย่างแท้จริง
แม้กระทั่งนักโทษที่กระทำผิดในดินแดนนี้ก็ยังได้รับการฝังลงสู่ผืนธรณี....ไม่มีผู้ใดโหดเหี้ยมพอจะทำลายชีวิตผู้หนึ่งให้ดับสิ้นลงในวัฏจักรตลอดกาล....
ซึ่งการกระทำของพวกมันที่ตั้งใจเผาเธอทั้งเป็นเช่นกันนั้นเรียกความโทสะให้ทวีคูณ...พวกมันไม่ได้เห็นเธอเป็นมนุษย์เลยจริงๆด้วยซ้ำ
“กษัตริย์คาเทียสจะทำเช่นไรเมื่อเห็นผงธุลีของบุตรทั้งหลาย?”
มัวเรลล์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างอ้อมๆกับจอมมารหนุ่มเพราะกังวลว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต...จำนวนคนที่เธอฆ่าไปนั้นก็มิใช่น้อยๆ...ราวห้าหกคนเสียจะนับได้
“ไม่ต้องห่วง....ทุกอย่างอยู่ในมือข้าหมดแล้ว”
เคียร์เนย์ฉีกยิ้มบางอย่างไร้กังวลเมื่อได้ยินคำถามของเด็กหญิง...ใบหน้าคมซุกลงที่ไหล่ของเด็กน้อยของตนอย่างออเซาะ
ซึ่งการกระทำของเขานั้นบ่งบอกถึงทุกสิ่งที่กำลังเต้นรำอยู่ในแผนการของเขาทั้งสิ้น....
"ข้าล่ะทำใจชอบเจ้าไม่ลงจริงๆนั่นแหละ”
มัวเรลล์ที่เห็นรอยยิ้มและท่าทางที่แสนสบายๆของจอมมารหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกกับมัน....สิ่งมีชีวิตที่กำลังกอดเธออยู่นั้น...น่ากลัวและอันตราย...บางทีในสักวันข้างหน้าเธอก็อาจจะตายอีกคราเพราะความต้องการของเขาก็ได้....มันไม่เคยปลอดภัยเมื่ออยู่ข้างผู้ชายคนนี้
ในห้วงความคิดบอกให้เธอออกห่างจากเขา....ใช่....ไม่มีชีวิตที่ปลอดภัยที่ไหนอยู่ใกล้ระเบิด...
ทว่ามือหนาข้างหนึ่งของจอมมารหนุ่มกลับเอื้อมขึ้นมาจับใบหน้าของเธอให้หันมามองเขา...ใบหน้าทั้งสองแทบแนบชิด
ปลายจมูกชนกันบ่งบอกถึงความใกล้ ดวงตาไม่อาจละจากเขาได้...
“ข้าชอบเจ้า...เรย์”
เป็นคำสารภาพของจอมมารหนุ่มที่เอ่ยกับเด็กหญิงตรงๆ
ดวงตาสีเลือดประสานมองดวงตาคู่งามของนางโดยราวกับว่าทั้งโลกมีเพียงนาง
ความจริงใจที่เอ่ยคล้ายหนักแน่นจนทำให้ทุกอย่างที่เคยได้ยินนั้นไม่จีรัง
อา...บางทีเธอก็รู้สึกชิงชังคนสร้างเกมส์มากมายนัก...เพราะดูเหมือนเธอจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเคียงคู่กับเขาจริงๆนั่นแหละ...
คงมีเพียงความอบอุ่นที่หนาวเย็นนี้ที่โอบกอดเธอเท่านั้น...มิใช่ความรักของพระเจ้าหรือผู้คน...
.
.
.
เสียงบรรเลงของเครื่องดนตรีโลหะเป่าดังขึ้นกระทบสายลมฝน
ดอกไม้ถูกโปรยปรายลงมาด้วยฝีมือมนุษย์เพื่อแต่งแต้มงานพิธีอันเศร้าสร้อยนี้ให้ดูสวยงาม
เสียงบทสวดของนักบวชทั้งหลายช่างเบาบางเมื่อเทียบกับเม็ดฝนที่ตกลงมา
บุคคลผู้มายืนยันร่วมงานล้วนแต่เป็นคนสำคัญทั้งสิ้น...
งานศพของเด็กหญิงนิรนามคนนี้ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่งยวด....
ยูริอัสไม่เคยเห็นงานศพที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดมากกว่าความเสียใจเท่างานศพของเด็กหญิงนิรนามคนนี้มาก่อน
ผู้คนในงานไม่มีแม้แต่เสี้ยวน้ำตา...พวกเขาจ้องมองโลงศพนั้นด้วยความอึดอัดมากกว่าความสงสาร
บางทีการมาร่วมงานศพครั้งนี้ ทุกคนในงานล้วนเกือบทั้งสิ้นแทบไม่รู้จักเด็กหญิงนิรนามที่ตายไป...
ในโลงไม้ที่ควรเป็นร่างของผู้เสียชีวิตก็กลับเป็นเพียงโครงธุลี...ซึ่งร่างที่ถูกเผาจะไม่มีวันได้เวียนว่ายตายเกิดอีกครา
นั่นคือข้อเท็จจริงในความเชื่อของชาววาสตินหรืออาณาจักรโดยรอบก็ตาม...และด้วยความเชื่อเช่นนี้จึงทำให้งานศพของเด็กหญิงผู้นี้ช่างดูย้อนแย้งนัก
การที่นางถูกเผาจนเหลือแค่ธุลีเช่นนี้แล้ว...ทว่าการจัดงานฝังศพให้อีกครั้งทั้งที่ไร้ร่างกายหยาบ
มันจะมีประโยชน์อะไรได้กัน....
ดวงตาสีมรกตของยูริอัสเหลือบมองไปยังผู้คนที่ต่างซุบซิบเรื่องราวของเด็กหญิงปริศนาคนนี้จนแทบไม่เหลือเค้าผู้ดี
บ้างก็ว่านางคือนักโทษที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของวาสตินก็เป็นได้
เพราะหากไม่ชั่วร้ายจนยากเกินอภัยจะมีหรือที่จะถูกเผาร่าง
บ้างก็ว่านางคือแม่มดผู้ซ่อนตัวจากราชวงศ์วาสตินมาเนิ่นนาน...
ยิ่งฟังก็ยิ่งไร้สาระ...เมื่อคนตายนั้นไม่ใช่คนที่พวกเขารู้จักหรือต้องใส่ใจ
การพูดสนุกปากจึงดำเนินต่อไป
ยูริอัสไม่เคยเข้าใจคนพวกนี้....ปากพร่ำบอกว่าตัวเองสูงส่งเกิดเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายผู้สูงค่า
ขุนนางผู้ดีเด่นหรือแม้แต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่น่าเคารพ
ทว่าคนพวกนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนชั้นใด เอ่ยคำร้ายอย่างง่ายดาย ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่เห็นหัว
ความเคารพในฐานะคนนั้นช่างน้อยนิด
กษัตริย์คาเทียสผู้เป็นบิดาแม้จะดีมากในฐานะกษัตริย์หรือคนผู้หนึ่ง...ทว่าเมื่อในหน้าที่ของบิดาแล้วกลับช่างห่างไกลยิ่งนัก
เขาไม่เคยทอดมองบุตรทั้งหมดอย่างทั่วถึง....มีเพียงบุตรผู้เกิดจากสตรีมากอำนาจหรือทรงรักยิ่งเท่านั้นที่ได้รับความโปรดปรานหรือตามใจ
และพี่ชายต่างมารดาผู้นั้นก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน....
เรือนผมสีดำสนิทดุจขนนกแห่งความชั่วร้าย
ดวงตาสีแดงฉานดั่งเลือดชวนน่าขนลุก ใบหน้าดูดีแต่แสยะยิ้มดูแคลนใครต่อใครเสมอ....แม้ในงานศพนี้
รอยยิ้มของเขาก็ยังคงไม่จางหาย หนำซ้ำเสียงหัวเราะอันย้ยหยันต่อทุกสิ่งก็ดังขึ้นผิดมารยาทพิธีงานศพ
การที่เจ้าชายลำดับที่สามมาเข้าร่วมงานศพนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดเช่นกัน
เพราะใครๆต่างก็รู้ดีว่าเจ้าชายผู้นี้ไม่เคยปรากฏตัวหากเขาไม่อยาก
แม้เป็นพิธีสำคัญของอาณาจักรก็น้อยนักและแทบไม่เห็นเขา
“น่าเศร้าจริงๆที่แม้แต่คนในงานก็ยังไม่รู้ว่านางในโลงศพนี้คือใคร...ว่าไหมพระบิดา?”
เป็นเจ้าชายแกะดำผู้นั้นที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางงานศพ
ดวงตาสีแดงค่อยๆกวาดสายตามองทุกคนในงานก่อนหยุดลงที่กษัตริย์คาเทียสตรงๆอย่างผิดมารยาทคล้ายกำลังแซะ....
งานพิธีศพนี้จัดขึ้นเพราะกษัตริย์คาเทียสประสงค์....แต่เขาก็ไม่ได้บอกอะไรนัก
แม้แต่คนในโลงศพนั้นก็ไม่มีนามอะไรเลย
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนในงานจะต่างรู้สึกงุนงงกับเขานัก
“รักษากิริยามารยาทด้วยเคียร์เนย์....ที่นี้คือพิธีงานศพ”
กษัตริย์คาเทียสเอ่ยเตือนบุตรชายผู้แหกคอก
เพราะการกระทำของเขานั้นเสียภาพลักษณ์เจ้าชายอย่างเห็นได้ชัด
“จะจริงจังไปใย...แม้แต่ชื่อเด็กคนนั้นท่านยังไม่รู้เลย.....พอตายแล้วจึงรู้สึกผิดรึไง
เอ๋…หรือว่า
ในใจท่านต่อให้เด็กคนนั้นทุกข์ทรมานก็ยังคงอยากให้ฝืนสังขารมีชีวิตต่อไปล่ะ”
เคียร์เนย์เอ่ยไม่ดังแต่ก็ไม่เบา....เรียกร้องความปวดประสาทให้กับองค์กษัตริย์ผู้ทรงธรรมคล้ายหวังให้เกรี้ยวตายไปข้างหนึ่ง
“งานพิธีศพนี้ไม่ว่าท่านจะจัดขึ้นเพราะความรู้สึกผิดหรืออย่างน้อยควรเป็นเกียร์ติแก่นาง....ทว่าสุดท้ายความยุติธรรมของท่านก็ได้เบี้ยวไปแล้ว”
คำกล่าวของพี่ชายต่างมารดาผู้นี้สร้างความสงสัยให้แก่ยูริอัสอย่างยิ่งยวด...เขาหมายถึงอะไรกัน
กษัตริย์คาเทียสจึงนิ่งเงียบเช่นนั้นและรอยยิ้มที่น่าขนลุกนั่นไม่ใช่ความโศกเศร้าในงานศพแม้แต่น้อย...
อยู่ๆภาพของเด็กหญิงผู้งดงามล้ำในปราสาทลึกลับนั้นก็ปรากฏขึ้นในสมองของยูริอัสอย่างไม่อาจคาดเดาได้...เขารู้สึกว่างานศพครั้งนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขานึกถึงนาง...เป็นไปไม่ได้หรอกกระมั้ง...
ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก....หากจะบังเอิญเช่นนั้น
พระเจ้าคงเล่นตลกมากเกินไป...
.
.
.
ภายใต้ความมืดมิดของปราสาทอันโสมมแห่งเจ้าชายลำดับที่สาม....มันคล้ายมิติมืดที่ไร้สิ่งใด
ทุกอย่างล้วนเป็นสีดำ ไม่มีหน้าต่างหรือแม้แต่พื้นยืน....มองไปไหนก็หาได้มีทางออกไม่
ทว่าเด็กหญิงผู้เกียจคร้านก็มิได้ใส่ใจเช่นเคย...เธอยังคงนอนหลับบนเตียงผ้าที่จอมมารหนุ่มจัดหามาให้
เพราะเกรงว่าในมิติโลกกระจกของเขาจะทำให้นางหลับไม่สบายเท่าไหร่จึงหอบผ้าชั้นดีมาปูให้
‘ตึก...ตึก....ตึก....’
เสียงเท้าที่กระทบกับพื้นอย่างผิดมารยาทนั้นบ่งบอกถึงการมาของคนผู้หนึ่งที่คุ้นชิน....ดวงตาสีอรุณที่ปิดอยู่จึงค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อหมายมองเขา
แม้ร่างกายจะยังคงไหลนอนบนพื้นผ้าอย่างขี้เกียจก็ตามที
“กลับมาแล้วเหรอ....เคียร์”
มัวเรลล์เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ก่อนยกมือขยี้ตาเบาๆไล่ความขี้เกียจเพื่อเตรียมลุกจากที่นอน
ทว่ามือของจอมมารหนุ่มก็ได้กดไหล่นางเบาๆเชิงบอกอ้อมๆว่านอนต่อไปก็ได้
ซึ่งเด็กหญิงก็ไม่ปฏิเสธความขี้เกียจของตน...โน้มตัวลงนอนผืนผ้าตามเดิม
“อืม...น่าเสียดายนักที่เจ้าไม่สามารถไปร่วมงานศพจอมปลอมนั้นได้....มีแต่เรื่องน่าขำทั้งสิ้น...พวกเขาไม่รู้จริงๆด้วยซ้ำว่าศพนั่นไม่ใช่เจ้า...แต่เป็นกลุ่มก้อนธุลีของเจ้าหญิงเจ้าชายที่ตนเคยเห็นในวังมาเนิ่นนานแท้ๆ”
เคียร์เนย์อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มกับมุขตลกที่ตัวเองได้สร้างขึ้นไว้
มือหนาทั้งสองข้างของจอมมารหนุ่มเอื้อมลงไปรวบร่างของเด็กหญิงที่นอนอยู่อย่างเบามือโดยที่ไม่ลืมนำผ้าห่มมาห่อตัวนางไว้ด้วย
ก่อนจัดแจงท่าทางของเด็กหญิงในอ้อมกอดให้สบายที่สุด
มือหนากุมศีรษะของนางให้พิงไหล่ของตน ปัดปลายเส้นผมที่ปกหน้าให้อย่างเอ็นดู
เมื่อแน่ใจว่าเด็กหญิงเรียบร้อยดีแล้ว จอมมารหนุ่มจึงเริ่มก้าวเท้าพร้อมเด็กหญิงที่โอบอุ้มเดินทางไกล...
“เอาล่ะ...ข้าจะพาเจ้ากลับมาตุภูมิของข้า
เราไปอาศัยอยู่ที่นั่นกันเถอะนะ...เรย์”
.
.
.
ความคิดเห็น