คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่16 เริ่มเป็นเพื่อน [50%]
เสียงระฆังแว่วดังตามสายลมประกาศ
แสงแดดยามเย็นย้อมผืนฟ้าเป็นสีผลส้มชาด เหล่านกทั้งหลายต่างเริ่มก่อตัวเป็นฝูงเพื่อบินกลับถิ่นและเสียงของดินสอหินขูดลากในกระดานชนวนสำหรับการเรียนนั้นดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เป็นเด็กทั้งสองที่นั่งนิ่ง แต่มือไม้ก็มิหยุดเขียนทบทวนเรื่องเรียน...
“วันนี้พอเท่านี้ก่อน...แต่ถึงข้ากลับไปก็อย่าลืมทบทวนความรู้กันล่ะ
ขุนช้างเอ็งจงกลับไปทำโจทย์เลขให้ดี เพราะมีบางข้อที่ยังคำนวณผิด
ส่วนนางหนู...กลับไปคัดคำภาษามอญ บาลี สันสกฤตให้ดี...เพราะเอ็งห่วยแตกจนข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร
แล้วก็ภาษาสยามด้วย...ภาษาชาติตัวเองแท้ๆเหตุใดลายมือจึงพิกลพิการนัก”
ชายแก่ที่ได้ยินเสียงระฆังบอกเวลาพร้อมกับฟ้าด้านนอกที่เปลี่ยนสี
ทำให้เขารับรู้แล้วว่าถึงเวลากลับ ทว่าแม้จะไปก็ไม่วายเอ่ยกำชับเด็กทั้งสอง..
“ข้าจะทบทวนบทเรียนในวันนี้อย่างแน่นอนขอรับ…อาจารย์โปรดวางใจ”
ขุนช้างเพียงหยุดเขียนดินสอหินในมือ
ก่อนตอบกลับคำชายแก่ตามมารยาทและจริงใจ...เพราะต่อให้ชายแก่ผู้เป็นอาจารย์ไม่บอก
เขาก็รู้ดีว่าตนบกพร่องอะไรและต้องหมั่นทบทวน
“เจ้าค่ะ...”
ส่วนพิมพิลาไลยที่โดนดุทั้งเรื่องภาษาและลายมือก็หงอยไปบ้าง
ลายมือของนางนั้นยังคงเป็นสมัยปัจจุบันจึงไม่เหมือนคนสมัยก่อนเท่าไหร่นัก...ส่วนภาษาพวกนั้นเองนางก็ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย...ไม่แปลกที่จะถูกดุ
ทางด้านชายแก่ที่เห็นเด็กหญิงทำหน้าซึมไปบ้าง...แต่เขาก็มิได้คิดจะเอ่ยหรือให้กำลังใจอะไร
แล้วจึงเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างไม่สนใจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย...
ใช่
เพราะเขากำลังหงุดหงิดเมื่อยิ่งได้สอนเด็กหญิงผู้นี้
ก็ยิ่งคล้ายสอนมันที่เป็นบิดาของนาง...และที่สำคัญคล้ายว่าตนจะถูกมันหลอกใช้งานอยู่....ยังคงเป็นศิษย์น่าตายจริงๆ
และเมื่อร่างของชายแก่จางหายไปในสายตาของพิมพิลาไลย
สีหน้าหงอยจึงกลับมานิ่งสนิทอีกครา พร้อมกับเริ่มตั้งใจเขียนคำอักษรภาษามอญอีกครั้งเพื่อจดจำให้ขึ้นใจ
ระหว่างรอพันศรโยธามารับกลับบ้าน...เพราะอย่างไรบิดาของนางก็ติดธุระงานอยู่
คงมารับตอนเย็นมาก...ช่วงรอก็ทบทวนเรื่องเรียนวันนี้ไป
เสียงดินสอหินที่ขูดถูกับกระดานชนวนอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นดังขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว....เพราะเป็นเด็กหญิงอย่างพิมพิลาไลยที่เริ่มงงกับคำศัทพ์และเขียนลบแก้อยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ...
ซึ่งระหว่างความเงียบงันที่พิมพิลาไลยกำลังตั้งใจคัดคำอยู่นั้น
ก็มีเสียงของเด็กชายที่ไม่ใช่คนไกลเอ่ยขึ้น
พร้อมกับนิ้วที่ชี้มายังกระดานชนวนของนาง
“ตัวนี้เจ้าเขียนผิด...ควรแก้เสีย”
เป็นขุนช้างที่กล่าวแนะนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าแววตาคล้ายจริงจังในตอนเรียน
เขาใช้นิ้วชี้ของตนเขียนลงบนพื้นไม้เป็นตัวอักษรให้นางดูเป็นตัวอย่าง
ทำให้พิมพิลาไลยที่ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะเอ่ยทักหรือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนางก่อนต้องแสดงสีหน้าแปลกใจไม่น้อย
ดวงตาสีพิศวงหลุดจากแนวความคิดของตัวเองไปชั่วขณะก่อนเรียกสติกลับมาดั่งเดิมได้
“ท....ทำไมถึงมาช่วย?”
เป็นคำกล่าวแรกที่พิมพิลาไลยเอ่ยกับขุนช้าง....นางไม่เข้าใจเขา
เด็กชายผู้นี้มีสติดีรึเปล่า...นางเคยจะทำร้ายเขาแท้ๆ
แถมเจ้าตัวก็น่าจะดูออกว่านางไม่ได้คิดดีอะไรกับเขาเลย...
“ก็เพราะเจ้ากำลังลำบากเรื่องเรียนภาษามอญอยู่มิใช่รึ”
ขุนช้างเพียงตอบกลับคำถามของเด็กหญิงอย่างง่ายๆ แม้จะเข้าใจในสิ่งที่นางคิดก็ตาม...
“ไม่...ไม่ใช่เรื่องนั้น...เจ้ายังกลัวข้าอยู่เลยไม่ใช่หรือไงในตอนแรก”
พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะระแวงบ้าง...เพราะตนเป็นคนเริ่มทำไม่ดีกับอีกฝ่ายก่อนตั้งแต่แรก...เขาจะมาทำดีตอบนางได้อย่างไร
“ใช่...แต่บิดาของเจ้าก็บอกข้าไปแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าป่วย”
ขุนช้างรู้สึกอยากดีดหน้าผากของนางเล็กน้อย
ที่ทำท่าเหมือนหวาดระแวงตน
ทั้งที่ต้องเป็นเขาต่างหากที่จะต้องระแวงนาง...ให้ตายเถอะ
“แล้วไม่กลัวอาการของข้ากำเริบเสียสติมาบีบคอเจ้าหรือ?”
พิมพิลาไลยรู้สึกว่าขุนช้างก็ยังคงเป็นเด็ก....เขาดูสะเพร่านัก
เพราะหากนางเป็นเขา...นางก็คงถอยห่างตัวเองเช่นกัน
“แล้วจะให้ทิ้งคนป่วยหรือ...ไม่ใช่ต้องดูแลหรือเข้าใจเจ้าให้มากขึ้นอย่างนั้นรึ
หากคิดแต่กลัวเช่นนั้นคนกลุ่มเจ้าคงโดดเดี่ยวอย่างน่าเศร้านัก...”
ขุนช้างเอ่ยตอบเด็กหญิงตามความคิดของตน
ซึ่งพิมพิลาไลยที่ได้ยินคำตอบของขุนช้าง...ก็คล้ายหยุดนิ่งไปด้วยความแปลกใจชั่วขณะ
นางเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าโง่งม พร้อมปากที่ขยับเล็กน้อย...ดวงตาสีพิศวงที่มักมองโลกในแง่ร้ายคล้ายกำลังได้เห็นบางอย่างที่ตนไม่เคยทำและไม่เคยมีอยู่ในความคิด…
หากกล่าวกันตามจริงแล้ว...ตั้งแต่เกิดมาในอดีตชาติจนเป็นพิมพิลาไลย
นางไม่เคยเจอคนประเภทจะทำดีกับคนอื่นได้โดยไม่อคติหรือหวังผลเช่นนี้มาก่อนหากไม่นับบิดาในชาตินี้ที่รักใคร่นางตามสายเลือด...
“ต่อให้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้า
ทว่าเรียนในห้องเรือนเดียวกัน
อย่างไรก็โดนทำร้ายได้อยู่ดีมิใช่หรือ...มิสู้เรียนรู้ว่าจุดใดทำให้เจ้ารู้สึกผิดปกติหรือจุดใดทำให้เจ้าสงบลงได้จะดีกว่าอย่างนั้นเหรอ...”
ขุนช้างเอ่ยอธิบายเสริมเมื่อเห็นนางไม่เชื่อถือ...เขาไม่รู้ว่านางไปเจอผู้คนประเภทไหนกันมา
จึงคิดว่าการที่คนทำดีด้วยกลายเป็นเรื่องแปลกใจเช่นนี้
“เอาเถิด...หยุดมองโลกในแง่ร้ายเสีย แล้วมาคัดคำศัพท์ใหม่ได้แล้ว....”
เด็กชายนั้นเกียจคร้านที่จะเอ่ยเถียงกับเด็กหญิง...จึงนั่งลงข้างๆนางพลางใช้มือตบลงที่แผ่นกระดานชนวนเบาๆเพื่อบอกให้ตั้งใจทบทวนอ้อมๆราวกับเป็นอาจารย์คนที่สอง
ทำให้พิมพิลาไลยทำได้เพียงพยักหน้าของตนเบาๆ...และทำตามคำกล่าวของเด็กชายอย่างเงียบๆคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง
เพราะนางก็ไม่รู้ว่าจะเถียงเด็กชายต่อไปเพื่ออะไร
“อือ...”
และเมื่อขุนช้างเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายของเด็กหญิง ก็ทำให้เขาเผลอหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย...ดูเหมือนนางจะเป็นเด็กดีได้สินะ...
.
.
.
B
ความคิดเห็น