ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่ครานี้เป็นสตรีสองใจนามว่านางวันทอง

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่16 เริ่มเป็นเพื่อน [50%]

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 63


      

    เสียงระฆังแว่วดังตามสายลมประกาศ แสงแดดยามเย็นย้อมผืนฟ้าเป็นสีผลส้มชาด เหล่านกทั้งหลายต่างเริ่มก่อตัวเป็นฝูงเพื่อบินกลับถิ่นและเสียงของดินสอหินขูดลากในกระดานชนวนสำหรับการเรียนนั้นดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา เป็นเด็กทั้งสองที่นั่งนิ่ง แต่มือไม้ก็มิหยุดเขียนทบทวนเรื่องเรียน...

     

    วันนี้พอเท่านี้ก่อน...แต่ถึงข้ากลับไปก็อย่าลืมทบทวนความรู้กันล่ะ ขุนช้างเอ็งจงกลับไปทำโจทย์เลขให้ดี เพราะมีบางข้อที่ยังคำนวณผิด ส่วนนางหนู...กลับไปคัดคำภาษามอญ บาลี สันสกฤตให้ดี...เพราะเอ็งห่วยแตกจนข้าไม่รู้จะพูดอย่างไร แล้วก็ภาษาสยามด้วย...ภาษาชาติตัวเองแท้ๆเหตุใดลายมือจึงพิกลพิการนัก

     

    ชายแก่ที่ได้ยินเสียงระฆังบอกเวลาพร้อมกับฟ้าด้านนอกที่เปลี่ยนสี ทำให้เขารับรู้แล้วว่าถึงเวลากลับ ทว่าแม้จะไปก็ไม่วายเอ่ยกำชับเด็กทั้งสอง..

     

    ข้าจะทบทวนบทเรียนในวันนี้อย่างแน่นอนขอรับอาจารย์โปรดวางใจ

    ขุนช้างเพียงหยุดเขียนดินสอหินในมือ ก่อนตอบกลับคำชายแก่ตามมารยาทและจริงใจ...เพราะต่อให้ชายแก่ผู้เป็นอาจารย์ไม่บอก เขาก็รู้ดีว่าตนบกพร่องอะไรและต้องหมั่นทบทวน

     

    เจ้าค่ะ...

    ส่วนพิมพิลาไลยที่โดนดุทั้งเรื่องภาษาและลายมือก็หงอยไปบ้าง ลายมือของนางนั้นยังคงเป็นสมัยปัจจุบันจึงไม่เหมือนคนสมัยก่อนเท่าไหร่นัก...ส่วนภาษาพวกนั้นเองนางก็ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย...ไม่แปลกที่จะถูกดุ

     

    ทางด้านชายแก่ที่เห็นเด็กหญิงทำหน้าซึมไปบ้าง...แต่เขาก็มิได้คิดจะเอ่ยหรือให้กำลังใจอะไร แล้วจึงเดินออกจากห้องเรียนไปอย่างไม่สนใจด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย...

     

    ใช่ เพราะเขากำลังหงุดหงิดเมื่อยิ่งได้สอนเด็กหญิงผู้นี้ ก็ยิ่งคล้ายสอนมันที่เป็นบิดาของนาง...และที่สำคัญคล้ายว่าตนจะถูกมันหลอกใช้งานอยู่....ยังคงเป็นศิษย์น่าตายจริงๆ

     

    และเมื่อร่างของชายแก่จางหายไปในสายตาของพิมพิลาไลย สีหน้าหงอยจึงกลับมานิ่งสนิทอีกครา พร้อมกับเริ่มตั้งใจเขียนคำอักษรภาษามอญอีกครั้งเพื่อจดจำให้ขึ้นใจ ระหว่างรอพันศรโยธามารับกลับบ้าน...เพราะอย่างไรบิดาของนางก็ติดธุระงานอยู่ คงมารับตอนเย็นมาก...ช่วงรอก็ทบทวนเรื่องเรียนวันนี้ไป

     

    เสียงดินสอหินที่ขูดถูกับกระดานชนวนอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นดังขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว....เพราะเป็นเด็กหญิงอย่างพิมพิลาไลยที่เริ่มงงกับคำศัทพ์และเขียนลบแก้อยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ...

     

    ซึ่งระหว่างความเงียบงันที่พิมพิลาไลยกำลังตั้งใจคัดคำอยู่นั้น ก็มีเสียงของเด็กชายที่ไม่ใช่คนไกลเอ่ยขึ้น พร้อมกับนิ้วที่ชี้มายังกระดานชนวนของนาง

    ตัวนี้เจ้าเขียนผิด...ควรแก้เสีย

     

    เป็นขุนช้างที่กล่าวแนะนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าแววตาคล้ายจริงจังในตอนเรียน เขาใช้นิ้วชี้ของตนเขียนลงบนพื้นไม้เป็นตัวอักษรให้นางดูเป็นตัวอย่าง ทำให้พิมพิลาไลยที่ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะเอ่ยทักหรือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนางก่อนต้องแสดงสีหน้าแปลกใจไม่น้อย ดวงตาสีพิศวงหลุดจากแนวความคิดของตัวเองไปชั่วขณะก่อนเรียกสติกลับมาดั่งเดิมได้

     

    ท....ทำไมถึงมาช่วย?”

    เป็นคำกล่าวแรกที่พิมพิลาไลยเอ่ยกับขุนช้าง....นางไม่เข้าใจเขา เด็กชายผู้นี้มีสติดีรึเปล่า...นางเคยจะทำร้ายเขาแท้ๆ แถมเจ้าตัวก็น่าจะดูออกว่านางไม่ได้คิดดีอะไรกับเขาเลย...

     

    ก็เพราะเจ้ากำลังลำบากเรื่องเรียนภาษามอญอยู่มิใช่รึ

    ขุนช้างเพียงตอบกลับคำถามของเด็กหญิงอย่างง่ายๆ แม้จะเข้าใจในสิ่งที่นางคิดก็ตาม...

     

    ไม่...ไม่ใช่เรื่องนั้น...เจ้ายังกลัวข้าอยู่เลยไม่ใช่หรือไงในตอนแรก

    พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะระแวงบ้าง...เพราะตนเป็นคนเริ่มทำไม่ดีกับอีกฝ่ายก่อนตั้งแต่แรก...เขาจะมาทำดีตอบนางได้อย่างไร

     

    ใช่...แต่บิดาของเจ้าก็บอกข้าไปแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าป่วย

    ขุนช้างรู้สึกอยากดีดหน้าผากของนางเล็กน้อย ที่ทำท่าเหมือนหวาดระแวงตน ทั้งที่ต้องเป็นเขาต่างหากที่จะต้องระแวงนาง...ให้ตายเถอะ

     

    แล้วไม่กลัวอาการของข้ากำเริบเสียสติมาบีบคอเจ้าหรือ?”

    พิมพิลาไลยรู้สึกว่าขุนช้างก็ยังคงเป็นเด็ก....เขาดูสะเพร่านัก เพราะหากนางเป็นเขา...นางก็คงถอยห่างตัวเองเช่นกัน

     

    แล้วจะให้ทิ้งคนป่วยหรือ...ไม่ใช่ต้องดูแลหรือเข้าใจเจ้าให้มากขึ้นอย่างนั้นรึ หากคิดแต่กลัวเช่นนั้นคนกลุ่มเจ้าคงโดดเดี่ยวอย่างน่าเศร้านัก...

    ขุนช้างเอ่ยตอบเด็กหญิงตามความคิดของตน

     

    ซึ่งพิมพิลาไลยที่ได้ยินคำตอบของขุนช้าง...ก็คล้ายหยุดนิ่งไปด้วยความแปลกใจชั่วขณะ นางเงยหน้ามองเขาด้วยสีหน้าโง่งม พร้อมปากที่ขยับเล็กน้อย...ดวงตาสีพิศวงที่มักมองโลกในแง่ร้ายคล้ายกำลังได้เห็นบางอย่างที่ตนไม่เคยทำและไม่เคยมีอยู่ในความคิด…

     

    หากกล่าวกันตามจริงแล้ว...ตั้งแต่เกิดมาในอดีตชาติจนเป็นพิมพิลาไลย นางไม่เคยเจอคนประเภทจะทำดีกับคนอื่นได้โดยไม่อคติหรือหวังผลเช่นนี้มาก่อนหากไม่นับบิดาในชาตินี้ที่รักใคร่นางตามสายเลือด...

     

    ต่อให้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเจ้า ทว่าเรียนในห้องเรือนเดียวกัน อย่างไรก็โดนทำร้ายได้อยู่ดีมิใช่หรือ...มิสู้เรียนรู้ว่าจุดใดทำให้เจ้ารู้สึกผิดปกติหรือจุดใดทำให้เจ้าสงบลงได้จะดีกว่าอย่างนั้นเหรอ...

    ขุนช้างเอ่ยอธิบายเสริมเมื่อเห็นนางไม่เชื่อถือ...เขาไม่รู้ว่านางไปเจอผู้คนประเภทไหนกันมา จึงคิดว่าการที่คนทำดีด้วยกลายเป็นเรื่องแปลกใจเช่นนี้

     

    เอาเถิด...หยุดมองโลกในแง่ร้ายเสีย แล้วมาคัดคำศัพท์ใหม่ได้แล้ว....

    เด็กชายนั้นเกียจคร้านที่จะเอ่ยเถียงกับเด็กหญิง...จึงนั่งลงข้างๆนางพลางใช้มือตบลงที่แผ่นกระดานชนวนเบาๆเพื่อบอกให้ตั้งใจทบทวนอ้อมๆราวกับเป็นอาจารย์คนที่สอง

     

    ทำให้พิมพิลาไลยทำได้เพียงพยักหน้าของตนเบาๆ...และทำตามคำกล่าวของเด็กชายอย่างเงียบๆคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง เพราะนางก็ไม่รู้ว่าจะเถียงเด็กชายต่อไปเพื่ออะไร

    อือ...

     

    และเมื่อขุนช้างเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายของเด็กหญิง ก็ทำให้เขาเผลอหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย...ดูเหมือนนางจะเป็นเด็กดีได้สินะ...

     

    .

    .

    .


    T
    B

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×