คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : บทที่15 ความอคติของอาจารย์
ความจริงแล้วพื้นฐานความรู้ดั้งเดิมของพิมพิลาไลยนั้นค่อนข้างดีกว่าเด็กในยุคสมัยนี้มากนัก
แม้ตนจะเกเรโดดเรียนไปบ้างในอดีตชาติ ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการศึกษาในปัจจุบันกับตอนนี้ย่อมแตกต่างกันนักถึงความทั่วถึงและการได้รับการพัฒนาต่อยอดจากหลายยุค
ทำให้เด็กอย่างพิมพิลาไลยที่ไม่ตั้งใจเรียนอะไรมากมายก็ยังมีความรู้มากกว่าเด็กหรือคนทั่วไป
ทว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เธอผ่อนปรนโดยไม่รู้จักใฝ่หาความรู้อีก...ซึ่งพิมพิลาไลยไม่คิดจะเกี่ยงเรียนเช่นอดีตชาติอีกแล้ว
เพราะรู้ดีว่ายุคสมัยนี้กว่าสตรีจะได้เรียนนั้นช่างยากเย็นเพียงใด...
ทว่า....ก็ไม่คิดเลยว่าการเรียนครั้งนี้จะทำให้ตนต้องเจอกับเรื่องลำบากใจไม่น้อยเช่นนี้....
เพราะในห้องเรือนไม้ใหญ่นี้มีเด็กชายที่นั่งถัดไปจากข้างๆนางคือ...ขุนช้าง....
เพราะมารดาไม่เห็นดีด้วยกับการเรียนสูง เรียนไปก็สิ้นเปลือง
อีกทั้งไม่เหมาะสม....จึงช่วยไม่ได้ที่บิดาต้องเสนอแนะให้นางไปเรียนกับครูอาจารย์บ้านขุนช้างแทน
หารค่าเล่าเรียนตามยุติธรรมเหมาะสม หนำซ้ำอ้างว่าไปเพราะเป็นเพื่อนเล่นบุตรสหายก็ไม่น่าเกลียด...ชาวบ้านภายนอกที่เห็นจะได้ไม่มองแปลกไปมาก
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงทำให้พิมพิลาไลยต้องมาเรียนหนังสือหนังหาที่เรือนขุนช้างอย่างช่วยมิได้....
มือบางเกลี่ยหน้ากระดาษอย่างเบาแรงพร้อมดวงตาสีพิศวงที่นิ่งสงบกวาดมองตัวอักษรบนแผ่นอย่างคร่าวๆ
พลางพินิจพิเคราะห์เกี่ยวกับบทเรียนไปบ้าง...คณิตศาสตร์มิใช่เรื่องยากอะไรสำหรับนาง
ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีสูตรอะไรซับซ้อนนัก ทว่าสิ่งที่นางไม่มีพื้นฐานเลยนั้นคงเป็นภาษามอญ บาลี สันสกฤต
นับว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ที่จะเรียนรู้ดี ทว่าสิ่งที่มองข้ามไปมิได้คงเป็นภาษาที่คล้ายอังกฤษ
จีน หรือฝรั่งเศส แม้ในโลกนี้จะมิได้เหมือนโลกก่อนจริงๆ
ทว่าภาษาหรืออาณาจักรบางส่วนก็มีลักษณะคล้ายเดิมอยู่บ้าง ซึ่งการติดต่อค้าขายนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องสื่อสาร...หากต้องการตลาดที่กว้างขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่าวิชาการพาณิชย์กับแพทยศาสตร์ก็สำคัญไม่น้อย ตั้งแต่ชาติตะวันตกเข้ามาก็เริ่มมีหลักสูตรการสอนพวกนี้
จึงเป็นเรื่องดีที่นางจะได้เรียนรู้ด้วย
เมื่อพอตนตรวจสอบบทเรียนทั้งหมดเรียบร้อยอย่างคร่าวๆแล้ว
พิมพิลาไลยจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตนจะตั้งใจเรียนโดยไม่เสียหลุดตามไม่ทันและเมินเฉยต่อเด็กชายข้างๆอย่างสมบูรณ์...
และไม่นานนักเสียงฝีเท้าเบากระทบพื้นไม้บนเรือนทางเดินบ่งบอกถึงการมาของผู้สอน
ปรากฏร่างชายแก่ผู้หนึ่งเดินเข้ามายังเรือนห้อง ท่าทางคล้ายบัณฑิตแก่ความรู้หรือเป็นนายข้าหลวงเก่ามาก่อน
สายตากวาดมองขุนช้างอย่างพินิจก่อนเลื่อนมาดูนางคล้ายเย้ยหยันบางส่วน จากนั้นจึงหันกลับไปนั่งโต๊ะสอนตามที่จัดเตรียมไว้ให้
“เจ้าคือขุนช้างสินะ...ขุนศรีวิชัยพ่อของเจ้าเป็นขุนนางใหญ่
ความรู้บริหารยอดเยี่ยมเป็นที่รู้กัน...หากไม่ใช่เพราะพ่อเจ้าเชิญข้ามาสอน
น้อยนักที่คนอย่างข้าจะสอนหนังสือเด็กบ้านใดง่ายๆ....อย่าทำให้ข้าผิดหวังเชียว”
เป็นชายแก่ที่เอ่ยทักกับขุนช้างเป็นอย่างแรก
ก่อนสบมองเด็กชายอย่างวิเคราะห์คล้ายประเมินศิษย์
“ข้าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนโดยไม่ทำให้ท่านผิดหวังครับ”
ขุนช้างเอ่ยตอบกลับคำกล่าวของชายแก่ตามมารยาทที่พึงมีเฉกเช่นประสาผู้น้อย
การมีบิดาเป็นขุนนางใหญ่ ย่อมหมายถึงความกดดันในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
หากพลาดอะไรไปย่อมส่งผลต่อชื่อเสียงและหน้าตาของบิดา เขาจึงต้องวางตัวให้ดีและตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่แล้ว...
พอใช้เวลาเพียงชั่วครู่คุยกับเด็กชายจนรู้ดีแล้ว
ชายแก่จึงหันมามองพิมพิลาไลยที่นิ่งเงียบด้วยความสงบและเอ่ยกับนางด้วยความเย้ยหยันว่า
“นางหนู...คิดอย่างไรจึงมาเรียนอย่างผู้ชายกัน เป็นผู้หญิงเรียนสูงมากไม่ดีหรอกนะ
กลับไปเรียนเย็บปัก ทำอาหารกับมารดาที่เรือนเจ้าจะดีกว่าเสีย”
พิมพิลาไลยที่ได้ยินก็หยุดนิ่งไปชั่วครู่...นางไม่ได้ตกใจหรือรู้สึกแย่อะไรที่โดนชายแก่พูดเช่นนี้
เพราะเตรียมใจมาไม่น้อยหากคิดจะเรียนเยี่ยงพวกผู้ชาย
ทว่านางกำลังคิดหาคำตอบกลับที่ไม่ดูแข็งกร้าวหรือหัวอ่อนจนเกินไปให้ชายแก่ไม่อคติกับตนมากเพิ่มขึ้น
เพราะอย่างไงเสีย นางก็ยังต้องการความรู้จากเขาอยู่
“เป็นตามจริงที่ท่านว่า....เกิดเป็นหญิงย่อมต้องพร้อมเป็นแม่ศรีเรือน
เย็บปักต้องไม่ขาด งานบ้านต้องชำนาญ ทว่าตัวข้าน้อยนั้นเพียงเห็นว่าการเรียนนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่ผืนผ้าหรือแค่หม้อข้าวเท่านั้น....ความรู้นี้หากอยู่กับบิดามารดาย่อมตอบแทนด้วยการทำงาน
หากอยู่กับสามีย่อมส่งเสริมเขาด้วยสิ่งที่เรียนมา
หากอยู่กับบุตรย่อมถ่ายทอดเพื่อสร้างคนมีความรู้ต่อไป....ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น...”
ความจริงแล้วพิมพิลาไลยไม่ได้นึกถึงการมีสามีหรือบุตรแต่อย่างใด
ทว่าก็เพียงกล่าวอ้างให้ตนดูนอบน้อมไม่คิดใหญ่เทียบเท่าบุรุษก็เท่านั้น
ในสังคมเช่นนี้ ผู้ชายส่วนมากย่อมไม่มีใครชอบสตรีที่เก่งหรือฉลาดกว่าตนอยู่แล้ว...ดังนั้นแสร้งทำตัวอ่อนน้อมจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าการปะทะ
“เข้าใจพูดดีเสียจริง...หากเป็นเช่นนั้นสตรีบ้านใดอยากเล่าอยากเรียน
คงต้องเรียนทั้งหมดกระมั้ง”
ชายแก่หรี่ตามองดูเด็กหญิงที่แม้จะดูนิ่งสงบยอมคน
ทว่าเมื่อได้ยินคำตอบกลับก็ทำให้รู้ว่า เด็กนี่เป็นพวกใฝ่สูงไม่น้อยและเข้าใจพูดจาสมลูกพ่อค้า...
“ไม่หรอกค่ะ...ความรู้ย่อมเป็นของผู้ใฝ่เรียน”
พิมพิลาไลยตอบกลับคำแซะของชายแก่ด้วยท่าทางสงบเงียบ
แม้จะเริ่มรำคาญกับความอคติของชายแก่ตรงหน้าก็ตาม
ซึ่งระหว่างบทสนทนาของเด็กหญิงและอาจารย์ผู้สอนนั้นก็เป็นขุนช้างที่เหลือบมองนางด้วยความแปลกใจและพินิจพิจารณา...เขาแอบรู้สึกประหลาดไม่น้อยในตอนที่บิดาเอ่ยว่านางจะมาเรียนเป็นเพื่อนตน....ซึ่งในคราแรกเขาคิดว่านางหาเหตุผลมาเข้าใกล้ตนเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างที่ไม่น่าพิสมัยเป็นแน่
เพราะเหตุการณ์เกือบโดนทำร้ายในตอนนั้นทำให้ขุนช้างรู้สึกระแวงอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้มาเห็นท่าทางอันนิ่งเฉยที่ทบทวนตำราอย่างจริงจังนั้นทำให้ขุนช้างเริ่มเกิดความสงสัยและลังเลว่านางมาเพื่อเรียนจริงๆอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้น...ข้าจะรอดูเจ้าแล้วกัน”
ชายแก่แม้อคติกับเด็กหญิงไม่น้อยที่คิดใฝ่สูงจะเรียนเทียบเท่าบุรุษ
ทว่าก็แอบถูกใจกับคำพูดคำจาของนางอยู่บ้าง
นับเป็นเด็กเข้าใจคิดดี...ในอดีตของเขาที่เคยสอนเด็กมา บ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ บ้างเป็นบุตรขุนนางชั้นผู้ใหญ่...ซึ่งเด็กพวกนั้นมิได้ใส่ใจการเรียนเท่าไหร่นัก
ขี้เกียจ ติดเล่นเป็นส่วนมาก น้อยนักจะตั้งใจเรียนโดยไม่โดนบิดามารดาบังคับหรือดุด่า
แต่กลับเป็นเด็กหญิงตรงหน้าที่พยายามสรรหาให้ตนจะได้เรียน....นับว่าเป็นความแตกต่างจริงๆ
“เอาล่ะ...ต่อจากนี้ข้าจะเริ่มสอนแล้ว...เปิดตำราเสีย...”
.
.
.
“หากมีจำนวนเลขอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบห้าเพิ่มขึ้นสามสิบสองและนำไปลบกับสิบสี่...จะได้จำนวนเท่าใด”
เสียงของชายแก่เอ่ยถามขึ้นด้วยความแคลงใจไม่น้อย
พร้อมกับไม้เท้าที่กำแน่นเคาะกระทบกับพื้นไม้ห้องเรือนราวคาดคั้นเป็นทางอ้อม
ดวงตาสีเข้มจ้องมองมายังเด็กหญิงอย่างไม่ปิดบัง เพราะตั้งแต่เกิดมาในชีวิตนี้ของเขานั้นย่อมไม่เคยพบเจอเด็กคนใดที่สามารถทำโจทย์เลขทั้งหลายที่ใว้ใช้สำหรับเรียนเป็นเวลาหลายชั่วยามได้เสร็จรวดเร็วปานนี้
พิมพิลาไลยที่ถูกถามเพียงเงียบไปชั่วครู่
ปลายนิ้วชี้ขยับเขียนโต๊ะไม้เปล่าๆเพื่อพอให้ตัวเองจินตนาการคำนวณตัวเลขได้ในใจ
ก่อนได้คำตอบที่คิดไว้...จึงเอ่ยตอบอย่างสงบเงียบว่า
“สองร้อยสามค่ะ”
ชายแก่ที่ได้ฟังก็นิ่งเงียบไปสักพัก
ก่อนเปิดดูตำราที่ตนจดเอาไว้เพื่อสั่งสอนเด็ก....ซึ่งโจทย์เลขข้อนี้
เขาก็คิดไว้สำหรับเด็กโต ซึ่งที่ผ่านมาเด็กทั้งหลายกว่าจะหาคำตอบได้ก็นานพอตัว...แต่ทว่าเด็กหญิงผู้นี้กลับใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวก็หาคำตอบได้เสียแล้ว...ไวยิ่งกว่าเขาอีก...
“ผู้ใดเป็นคนสั่งสอนเจ้า?”
เขาไม่เชื่อว่าเด็กตัวน้อยอายุเท่านี้จะรู้จักคำนวณได้โดยไม่มีใครสอน
ทว่าก็นับว่าแปลกประหลาดอยู่ดีเพราะสมองเด็กอายุเท่านี้ก็ไม่น่าเข้าใจเรื่องเรียนที่ซับซ้อนเท่าใดนัก....ความฉลาดที่เล่าลือคงไม่ใช่เรื่องอวดอวยกระมั้ง...
“ขอเอ่ยเรียนตามตรง...ข้านั้นโชคดีมีบิดาประเสริฐส่งเสริมความรู้ตั้งแต่ครั้งจำความ
มีการจ้างอาจารย์สอนมาบ้างประปรายพอเป็นพื้นฐาน....ทว่าที่เหลือก็ล้วนเป็นคำชี้แนะสั่งสอนของบิดา...”
พิมพิลาไลยเอ่ยยกความดีให้กับพันศรโยธาเพื่อตัดปัญหา
เพราะอย่างไรเสียหากจะบอกว่าตนนั้นมีความรู้อดีตชาติอยู่ก็คงถูกมองว่าเป็นผีบ้า...อีกทั้งพันศรโยธาก็เป็นคนคอยสอนนางจริงๆ
ดังนั้นหากจะโยนเรื่องนี้ไป ก็นับว่าไม่ได้แย่อะไร
“เจ้าพันศรโยธาอย่างนั้นรึ...ยังคงทำอะไรผิดแปลกจากชาวบ้านเหมือนเดิมจริงๆ”
เมื่อได้รับคำตอบจากเด็กหญิง ภาพของบุรุษหน้ายิ้มที่มักชอบทำอะไรให้ประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในความทรงจำของชายแก่
บิดาของนางเองก็เป็นศิษย์ของเขาเช่นกัน...
ตัวมันสมัยครั้งวัยเยาว์ก็นับว่าเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายในช่วงเวลานั้น...จนอาจเรียกว่าเป็นศิษย์คนโปรดของเขาเลยก็ว่าได้
ตระกูลบ้านพันศรโยธานั้นแม้เป็นพ่อค้า ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะนั้นร่ำรวยมากมายและมีเส้นสายพอจะเป็นขุนนางชั้นใหญ่คนหนึ่งได้
จึงไม่แปลกที่จะส่งเสียบุตรหลานของตนได้เรียนเยี่ยงเจ้าขุนมูลนายหรือลูกข้าราชการได้อย่างสบายๆ
แต่น่าเสียดายนักที่ต้นกำเนิดเป็นพ่อค้าเช่นไรคนบ้านนี้ก็คิดเป็นพ่อค้าเช่นนั้น...
ซึ่งตัวเขาอุตส่าห์จะฝากฝังมันกับญาติผู้ใหญ่ในวงขุนนางให้สอบเข้ารับราชการได้ตำแหน่งดีๆ
ทว่ามันดันไม่รู้คุณ แกล้งสอบตกหน้าตาเฉยหนำซ้ำยังตีหน้าเศร้าแสร้งเสียใจ....ไอ้เด็กเวรนี่น่าตายยิ่ง
และเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของนางหนูที่คล้ายลูกศิษย์น่าตายอย่างมันถึงสิบส่วน
ก็ยิ่งทำให้เขาแน่ใจแล้วว่าสายเลือดตระกูลบ้านนี้ช่างทำให้เขาปวดประสาทได้ดีจริงๆ
ทว่าอย่างไรเสียชายแก่ก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเจ้าพันศรโยธาถึงกล้าส่งบุตรสาวของตนมาเรียนทั้งที่รู้ว่ามันผิดจารีตผิดแผกจากธรรมเนียมผู้คน...
เพราะความรู้ในระดับเริ่มต้นของบุตรมันนั้นก็น่ากลัวแล้ว...แม้จะเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าบุตรสาวเพียงคนเดียวของมันชาญฉลาดแต่เล็ก
ทว่าขุนช้างที่เป็นบุตรขุนศรีวิชัยเองก็ถูกเล่าลือในความฉลาดเช่นกัน
แต่เมื่อมาทดสอบกับตัวแล้ว เด็กชายนามว่าขุนช้างนั้นชาญฉลาด เพียงสอนครั้งเดียวก็จดจำและนำไปเรียนรู้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเด็กหญิงนามว่าพิมพิลาไลยนั้นต่างออกไป....เมื่อเขาอธิบายหนึ่งส่วน...นางจะถามถึงสิบส่วน
แต่หากนางเข้าใจและพอใจกับข้อมูลที่ได้รับมาเพียงพอแล้ว...เขาแทบไม่จำเป็นต้องสอนนางด้วยซ้ำ...เป็นความฉลาดที่น่าขนลุก...
“น่าเสียดายจริงๆ หากเจ้าเกิดเป็นผู้ชายล่ะก็...คงดีกว่านี้...”
ชายแก่อดไม่ได้ที่จะรำพึงออกมาเบาๆ
สายตาคล้ายเวทนาเล็กน้อยก่อนจางหายไป...อย่างไรเสียเรื่องที่เด็กตรงหน้าเป็นผู้หญิง
ก็ยังคงดูไม่ดีนักในสายตาของเขา ผู้หญิงที่ฉลาดกว่าผู้ชายนั้นอาจนำพามาซึ่งความยากในการปกครอง...
ส่วนพิมพิลาไลยที่ได้ยินก็ทำได้เพียงเงียบเท่านั้น...เพราะหากเกิดเป็นผู้ชายอย่างที่ชายแก่ตรงหน้าพูดจริง
ทุกอย่างก็คงลงตัวอย่างที่เขาเอ่ยนั่นแหละ...ความจริงแล้วพันศรโยธาผู้เป็นบิดาเองก็แอบผิดหวังลึกๆที่นางดันมิใช่บุตรชาย...
ธุรกิจการค้าของบ้าน การศึกษา การทำงาน
โอกาส...หรือสิทธิ์เสียง...ในต่างโลกนี้ล้วนมีไว้สำหรับผู้ชาย ไม่แปลกเลย...ที่เส้นขีดทางสังคมจะแบ่งแยกนางให้ออกจากกันอย่างชัดเจน
ทว่าอย่างน้อยนางก็ยังโชคดีมากมายนัก
ที่เกิดมาในครอบครัวมีทรัพย์สินและเส้นสาย....เพราะหากเกิดเป็นชนชั้นกลางหรือล่างลงไป
ก็คงไม่มีสิทธิ์จะได้ทำหรือเรียกร้องอะไรเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ซึ่งพิมพิลาไลยก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องสู้เพื่อสิทธิสตรีหรือความเท่าเทียมแต่อย่างใด...นางทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเท่านั้น
เพราะแค่ตัวนางคนเดียวก็สร้างปัญหาแล้ว ไม่มีจิตใจเมตตาที่ไหนจะไปช่วยคนอื่นหรอก....
แต่เอาเถิด...ตอนนี้ตั้งใจเรียนให้บิดาภูมิใจก็พอแล้ว...
.
.
.
ความคิดเห็น