คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่12 สหายขี้บ่น
หลังสิ้นสุดบทสนทนาอันแสนน่ารังเกียจซึ่งวจีกรรมคล้ายสร้างภาพนั้นเอลลิโอร่าเพียงก้าวเดินออกจากห้องทรงงานของผู้เป็นจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่อย่างหัวเสีย
พลางขยี้หัวของตนเพื่อระบายอารมณ์และสบถคำหยาบในภาษาฮันเรย์เบาๆแม้จะชั่งใจดีแล้วว่าผู้คนทั้งหลายที่นี้ฟังไม่ออกก็ตาม...ดวงตาอสรพิษกำลังตกผลึกความคิดอย่างเยือกเย็นเมื่อแผนการที่ตนพากเพียรมาทั้งชีวิตวัยเยาว์เริ่มมีอุปสรรคเล็กน้อย...
“ดูท่าแล้วคงไม่แคล้วเจรจาล้มเหลวกระมัง”
เป็นเสียงของสหายคนสนิทเอ่ยขึ้นอย่างเบาบางท่ามกลางความเงียบงันของทางเดินในเส้นทางนี้...ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มอันคุ้นชินผู้เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ครั้งยังเดียงสาในทุ่งกว้าง
ในมือของมันยกชูขวดทึบสีเขียวหม่นซึ่งพันด้วยผ้าหยาบปกปิดแกว่งไปมาเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอก
ก่อนกล่าวเปรยๆกับผู้นายและสหายสนิทคนนี้ว่า ไปพักผ่อนกันเสียหน่อย
เอลลิโอร่าที่คราแรกจะเอ่ยปากติเตียนกับความปากดีของสหายนั้นจึงเงียบลง...พลางเลิกคิ้วเป็นคำตอบตามวิสัยก่อนเอื้อมไปหยิบขวดทึบในมือของวาคินรีส์อย่างไม่ใส่ใจนัก
และเมื่อเปิดฝาขวดเพื่อสูดดมให้แน่แท้ว่าคือสิ่งใด...ดวงตาอสรพิษนั้นก็เบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจก่อนเงยหน้ามองผู้ช่างสรรหามาเพื่อเอ่ยเชยชมว่าพอใจ
“ของดีไม่น้อย...”
.
.
.
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายัณห์นั้นอาบย้อมพื้นหญ้าเขียวขจีให้ดูสุกงอมราวผลแก่...เบื้องหน้าเป็นเพียงพื้นราบอันรกร้างผู้คนเพราะห่างไกลความเจริญอันเป็นปัจจัย
ผืนดินสีน้ำตาลเหลืองหยาบแห้งคล้ายดินดานนั้นทำให้มิสงสัยแปลกใจเลยที่ว่าเหตุใดพืชพรรณมิอาจงอกเงยในดินแดนถิ่นเหนือนี้
และต้นไม้สูงสีดำสนิทปราศใบราวไร้แสงที่ล่อเลี้ยงยังคงตั้งตระหง่านมากมายบดบังการมองเห็นจากภายนอก
ซึ่งด้วยความไร้เหมาะสมทั้งมวลนี้เองกระมังจึงเป็นสถานที่เงียบสงบสำหรับผู้ลาจากความโกลาหลแห่งโลกใบนี้ทั้งสิ้น
‘อึก.....’
มืออันหยาบกร้านของเด็กหญิงวัยเยาว์เยี่ยงเอลลิโอร่านั้นยกกระดกขวดสีทึบหม่นขึ้นมาดื่มโดยไม่ใส่ใจกิริยาในศักดิ์องค์หญิงนัก...ท่าทางการนั่งหมดสิ้นจริตจะก้านที่แสร้งว่าสง่างามเฉกเช่นชนชั้นสูงที่ต้องประพฤติ
หน้าขานั้นขัดตะหมาดและชันเข่าขึ้นไว้ข้างหนึ่งผิดธรรมเนียมมารยาทชาวเฟย์ติสที่ถือว่า’ไม่ควรนั่งพื้นดินโดยตรงและ แสดงอิริยาบถที่เปิดเผยเกินไปเพราะถือตนเป็นมนุษย์ผู้ชนชั้นพัฒนาแล้ว’ หากแต่มีหรือที่เอลลิโอร่าจะใส่ใจกับความดัดจริตนั้นท่วงท่าจึงเหลือเพียงความแข็งกระด้างของชนเผ่าที่ตนเติบโตมา
“เป็น’อาร์จาก’ที่ไม่เลวเลย...นับว่าความสามารถในการสรรหาสิ่งต่างๆของสหายข้าผู้นี้ช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก”
เอลลิโอร่ากล่าวเยินยอพอประจบเล็กน้อยให้แก่เด็กชายที่นั่งดื่มข้างกายของตนในช่วงเวลานี้...ซึ่งหากจะให้เปรียบเทียบเครื่องดื่มนามว่า’อาร์จาก’นี้นั้นย่อมต้องนิยามว่ามันคล้ายคลึงกับ’บรั่นดี’ในโลกอดีตชาติราวแปดส่วนของทั้งหมด แต่เดิมมีต้นกำเนิดมาจากชนเผ่าโทอิสในดินแดนทวีปทางใต้อย่างเนย์ยีร์ที่คิดค้นการหมักพืชผลไม้ต่างๆที่เหลือจากฤดูเก็บเกี่ยวเพื่อเก็บรักษารสชาติที่’มิเรียน’องค์เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเพาะปลูกประทานให้อย่างมิสูญเปล่าตามความเชื่อ
ต่อมาเมื่อนักสำรวจชาวเฟย์ติสกลุ่มแรกเดินทางมาพบดินแดนทางใต้เพื่อเปิดแผนที่นั้นก็นำเอาวัฒนธรรมการหมักเครื่องดื่มเหล่านี้กลับไปด้วย
ซึ่งก็กลายเป็นที่แพร่หลายในดินแดนทวีปทางเหนือในเวลาถัดมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น...สรรเสริญข้าอีกเสีย”
วาคินรีส์แกล้งเอ่ยตอบกลับอย่างทีเล่นทีจริงพลางยกขวดสีทึบหม่นของสหายมาดื่มต่ออย่างไม่ใส่ใจนัก
โดยปกติแล้วเขาและเอลลิโอร่านั้นค่อนข้างเว้นระยะห่างระหว่างกันในช่วงเวลาทำงานเนื่องด้วยความจริงจังและหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องแยกแยะ
ทว่าหากเป็นนอกเหนือเวลาการทำงานแล้วสถานะของทั้งสองจึงเป็นสหายสนิทตามประสาวัยที่เติบโตมาด้วยกันเฉกเช่นเดิม
ซึ่งไม่ทันที่วาคินรีส์จะได้หยอกล้อสหายคนสนิทของตนดีพอ...เนื้อแห้งชิ้นเล็กที่ถูกทุบให้บางนั้นก็ถูกจับยัดเข้ามาในปากเพื่อเป็นการตัดความรำคาญโดยง่ายของเอลลิโอร่า...ทำให้คนที่ประมาทเลินเล่ออย่างเขาเกิดอาการสำลักเล็กน้อย
เรียกเสียงหัวเราะสาแก่ใจให้แด่อสรพิษร้ายอย่างไม่ยากเย็น
“กับแกล้มไง”
เอลลิโอร่าแสร้งเอ่ยอธิบายกับสิ่งที่ตนใช้อุดปากสหายช่างกล่าวผู้นี้
แม้จะเห็นนัยน์ตาสีชาที่มองค้อนมายังตนแล้วก็ตามที...แต่มีหรือที่อสรพิษร้ายเยี่ยงเธอจะยี่หระกับมัน
เผลอๆบางทีอาจสร้างความพึงพอใจเสียด้วยซ้ำ
“สมแล้วที่เป็นสหายบัดซบ...แต่เอาเถิด แล้วเจ้าเอาเนื้อตากแห้งนี้มาจากไหนกัน?”
วาคินรีส์แม้จะนึกชิงชังรอยยิ้มที่แอบแฝงความเย้ยหยันของสหายสนิทผู้นี้
หากแต่ปากก็ยังคงเคี้ยวเนื้อตากแห้งของมันต่อไปไม่หยุดหย่อน....ความคุ้นชินของอาหารดินแดนทางใต้ย่อมสร้างความเจริญกระเพาะได้มากกว่าอาหารดินแดนทางเหนือเป็นไหนๆ
“ข้ามักห่อเสบียงเล็กน้อยเก็บไว้กับตัวเสมอ...เกิดอะไรขึ้นจะได้มิอดตาย”
เอลลิโอร่าเพียงยักไหล่เล็กน้อยกับการกล่าวเหตุผลของตน
นับเป็นความรอบคอบที่ค่อนไปด้วยความหวาดระแวงเสียมากกว่า...เพราะตลอดชีวิตของเธอนั้นค่อนข้างไม่มั่นคงซะเท่าไหร่นัก
การเดินทางไปมาระหว่างเฟย์ติสและเนย์ยีร์บางคราก็เคยเกิดปัญหาความล่าช้าจนเสบียงหมด
หรืออดีตในวัยเยาว์ที่ตนเคยอดอยากก็อาจทำให้เกิดความฝังใจกระมัง
“ให้ตายเถอะ...ทำเอานึกถึงสมัยอดีตที่เจ้ากับข้าต้องกินหญ้าคลุกเกลือเพราะล่าสัตว์หรืออสุราไม่ได้เลยสักตัวทีเดียว
สีหน้าของเจ้าในตอนนั้นสิ้นหวังจนข้าแทบสำลักหญ้าจนติดคอตายเชียว”
วาคินรีส์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยรำลึกความหลังที่แม้อดีตจะยากลำบากหรือเจ็บปวดไปเสียบ้างในบางครา
หากแต่เมื่อเติบโตขึ้นมาและนึกย้อนถึงมันก็กลับพบว่าได้กลายเป็นเพียงเรื่องตลกที่เอาไว้ขบขันระหว่างสหายกันเสียแล้ว
ในความเป็นจริงนั้นแต่เดิมวาคินรีส์มิใช่ชาวเผ่าฮันเรย์โดยบริสุทธิ์แท้...เพราะมารดาของเขานั้นเป็นโอเมก้าจากชนเผ่า’โทอิส’ ซึ่งอันเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่บริเวณอาณาเขตตอนเหนือของดินแดนเนย์ยีร์จนระยะขอบชายแดนจักรวรรดิเฟย์ติสทั้งหมด
จะนับว่าเป็นชนเผ่าที่ภูมิปัญญาที่สุดในมวลชนเผ่าทั้งสิบสามก็ย่อมได้กระมัง...ว่ากันว่าผู้คิดค้นตัวอักษรในมนุษย์ยุคแรกเริ่มเอย...การนับดวงดาราบนผืนฟ้ายามราตรีเพื่อคำนวณระยะทางและทิศทางทั้งหลาย
ตลอดจนเป็นการรู้จักบันทึกเรื่องเล่าและความรู้ต่างๆบนผืนกระดาษเพื่อเรียบเรียงเป็นตำราเล่มแรกของโลกนั้นล้วนก็มาจากชนเผ่าแห่งนี้ทั้งสิ้น
ซึ่งหากจะนับตามประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติแล้วนั้นไซร้ย่อมเป็น’อารยธรรมโบราณเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก’....ทว่าวัฏจักรแห่งความเป็นจริงนั้นไม่มีสิ่งใดยั่งยืนตลอดกาล
อิทธิพลและวัฒนธรรมของชนเผ่าโทอิสเสื่อมถอยลงเมื่อชาวทวีปเหนือเข้ามารุกรานดินแดนเนย์ยีร์ในอดีตกาล
สุดท้ายอารยธรรมที่คราหนึ่งเคยรุ่งเรืองจึงกลายเป็นเพียงบทเรียนในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น
และด้วยอนิจจา...น่าเสียดายนักเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างชนเผ่าโทอิสและชนเผ่าฮันเรย์ค่อนข้างปรปักษ์และไร้ไมตรีต่อกันมาตั้งแต่ครั้งอดีตอันยาวนานจนฝังรากลึกในสายสัมพันธ์ของผู้คนทั้งสองชนเผ่า
ก่อเกิดเรื่องเล่านิทานสู่ลูกหลานของตนเพื่อมิให้ลืมเลือนความขัดแย้งในอดีตที่บรรพบุรุษได้พึงกระทำต่อกัน...ช่างสมสันดานมนุษย์หนอ...
เด็กน้อยวัยเยาว์ผู้โชคร้ายเฉกเช่นวาคินรีส์ผู้เติบโตมากับความปะปนในสายเลือดจึงกลายเป็นรอยด่างในสังคมชนเผ่าเนย์ยีร์....ในเริ่มแรกเขากำเนิดและเติบโตในชนเผ่าโทอิสอันเป็นแดนของมารดาท่ามกลางความเหยียดหยามทางเชื้อสายของตน
และต่อมาด้วยโรคร้ายได้พรากชีวิตของมารดาอันเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวจนสิ้นไป...จึงทำให้เขาต้องมาอาศัยอยู่ในชนเผ่าฮันเรย์ตามความดูแลของผู้เป็นบิดาในระยะเวลาต่อมา...
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่วาคินรีส์จะมิสามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตอยู่เยี่ยงนักล่าในชนเผ่าฮันเรย์ได้...ตลอดช่วงชีวิตของเขาในวัยเยาว์เติบโตมาในสภาพสังคมของชนเผ่าที่นิยมความรู้และการถือตนมีหรือที่มือจะหยาบกร้านจับอาวุธล่าสิ่งมีชีวิต
และคล้ายมีสำนวนของชนเผ่าฮันเรย์ที่เอาไว้เชิงดูถูกผู้อ่อนแอว่า’คนขี้ขลาดย่อมดึงดูดคนขี้ขลาด’
เพราะทั้งเอลลิโอร่าและวาคินรีส์ต่างก็ล้วนถูกสายเลือดและอดีตที่เติบโตมาตราหน้าว่าเป็นเพียง’คนนอก’ในสายตาของชนเผ่าทั้งมวล....จึงมีเพียงเธอและเขาทั้งสองที่จับมือพึ่งพิงกันท่ามกลางความลำบากและการถูกปฏิเสธในการใช้ชีวิตอยู่
เป็นมิตรภาพประโลมโลกซึ่งแม้แต่อสรพิษร้ายอย่างเอลลิโอร่าก็มิอาจหาญกล้าตีค่าน้ำใจของมันเป็นราคา
“แล้วเหตุใดจึงไม่สิ้นหวังกัน?”
เอลลิโอร่าขบยิ้มบางเล็กน้อยยามคิดถึงภาพอดีตตามเรื่องเล่าของสหายสนิท
เธอไม่ใช่ผู้ชื่นชมในความลำบากเท่าไหร่นัก...แต่ก็ไม่ปฏิเสธเลยว่าความลำบากนั้นเองที่สร้างตัวตนแห่งความพยายามและอดทนให้แก่เธอได้เป็นอย่างดี
พลางคิดแล้วมือกร้านก็หยิบเนื้อแห้งขึ้นมาฉีกกินโดยไม่ใส่ใจนัก
รสชาติอันหยาบกระด้างของหญ้าสากและเม็ดเกลือสกปรกยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นในความทรงจำ...
“เอาเถิด...ดื่มเพื่ออวยพรแด่ความหรรษาแห่งองค์เทพไดนาส”
ว่าแล้ววาคินรีส์ก็ยกชูขึ้นเพื่อกระดกดื่มอย่างผิดมารยาท
แล้วจึงโยนขวดทึบหม่นอันเป็นของชั้นดีให้แก่สหายของตนดื่มต่อตามความคุ้นชิน
เวลาแห่งการร่ำสุราของเหล่าสหายวัยเยาว์ทั้งสองยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศในห้วงคำนึง
แม้แท้จริงแล้วความสุขอันสรรหามานั้นมิได้อยู่ที่เมรัยหรือกับแกล้มที่หยิบมา หากแต่เป็นภาพของเด็กหญิงและเด็กชายทั้งสองกอดคอพลางบรรยายความทุกข์และความสุขร่วมกันนั้นคือสามัญของมิตรภาพที่พวกเขาแบ่งปันแด่กันเสมอมา...
และสุดท้ายย่อมต้องมีผู้ปราชัยจากฤทธิ์น้ำเมาอย่างน่าสมเพช....
“ให้ตายเถอะ....หากข้ารับรู้ว่าต้องเดินทางไปยังวิหารศาสนหลักแห่งจักรวรรดิเฟย์ติส
คงไม่ปล่อยตนเถลไถลดื่มหนักร่วมกับเจ้าเช่นนี้หรอกหนา”
เป็นเอลลิโอร่าที่บ่นพึมพำออกมาเล็กน้อยเพื่อกระทบสหายคนสนิทที่ข้างกายในครานี้ขาทั้งสองทรงตัวไม่อยู่กับพื้นเสียแล้ว หากแต่ก็มิได้ส่งผลทำให้แผ่นหลังตรงสง่าอันเกิดจากการฝึกฝนมาของอสรพิษร้ายแหลกเหลวเยี่ยงผู้เชิญชวนในเริ่มแรกแต่อย่างใด สุราเมรัยทั้งหลายสำหรับเธอแล้วนั้นไซร้เป็นเพียงน้ำเปล่าไร้แก่นสารเสียด้วยซ้ำไป...
‘ก....แกร๊บ....แกร๊บ...’
เสียงของใบไม้สีเขียวอมแก่ขนาดพอประมาณฝ่ามือนั้นถูกพับลงกึ่งส่วนโดยที่มีสมุนไพรบดแห้งวางเติมลงไปอยู่เล็กน้อย...แล้วค่อยบรรจงห่อมันให้รูปพอดีคำตามความเหมาะสม
ก่อนที่เอลลิโอร่าจะนำมันเข้ามาเคี้ยวในปากอย่างไม่ใส่ใจ ระหว่างนั้นมือกร้านก็ปัดชายเสื้อคลุมของตนเบาๆเพื่อความเรียบร้อยเป็นระเบียบ
ดวงตาอสรพิษพลางสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบกายตามนิสัยอันขี้ระแวงและพึงสังเกต
ซึ่งการเคี้ยวใบไม้ห่อด้วยสมุนไพรบดแห้งนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับการเคี้ยวหมากในโลกก่อนอดีตชาติของเธอเลยทีเดียว
เป็นวัฒนธรรมการรักษาความสะอาดฟันของชนเผ่าฮันเรย์ตามดั้งเดิม แม้โดยปกติแล้วจะนิยมเคี้ยวเพียงยามเช้าสายและก่อนนอนเท่านั้นเพราะเป็นเวลาแห่งการเริ่มต้นและสิ้นสุดมื้ออาหารตามอคติความเชื่อ
ส่วนเอลลิโอร่าที่พึ่งดื่มสุรามาไม่นานนั้นจึงเคี้ยวมันเพื่อดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของน้ำเมรัย...เธอไม่ใคร่ชอบพอกับวิธีการรักษาความสะอาดฟันของชาวเฟย์ติสเป็นส่วนมากที่นิยมมักนำเอาหินแร่ชนิดหนึ่งมาบดและผสมกับเกลือเล็กน้อยก่อนนำมาทาบริเวณฟันเป็นยาสีฟันแล้วจึงค่อยแปรงด้วยขนสัตว์ตากแห้งจนปลายแข็งกระด้าง
ซึ่งสัมผัสของมันค่อนข้างหยาบไปเสียหน่อย...จนเอลลิโอร่าคิดว่าอาจส่งผลต่อเหงือกและฟันอยู่เล็กน้อย
จึงเพียงใช้ทำความสะอาดเป็นเพลาตามความเหมาะสมพอดี
และเมื่อเคี้ยวไปได้สักพักจึงคายทิ้งลงที่พื้นข้างทางพงหญ้าลึก...ก่อนนำผ้าผืนหนึ่งที่ติดตัวเพิ่มเติมนั้นขึ้นมาเช็ดปากอย่างเงียบๆ
ปลายเท้าซึ่งสวมใส่โดยรองเท้าหนังของชาวเฟย์ติสลากเขี่ยศีรษะของวาคินรีส์ซึ่งนอนสลดกับพื้นหญ้าคล้ายใคร่ครวญคิด
และเมื่อแลเห็นว่าความน่าสังเวชนี้เป็นของจริงแท้...จึงเพียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและตัดสินใจเอื้อมมือกร้านจับขาข้างหนึ่งของสหายเพื่อลากเดินทางกลับไป
ทำให้ใบหน้าและลำตัวของวาคินรีส์ระไปกับพื้นโดยมิใส่ใจความสกปรกแลเสียงร้องเรียกความเจ็บปวดจากแรงเสียดสีกับก้อนหินดินทรายของผู้ถูกลากแต่อย่างใด...
“ไอ้อสรพิษสารเลว!
เห็นสหายเป็นเศษซากขยะหรืออย่างไร อ่อนโยนสักเล็กน้อย...คงไม่ตายกระมัง”
วาคินรีส์อดไม่ได้ที่จะพ่นคำด่าทอแก่สหายแสนดีของตน
เพราะร่างกายของเขาในยามนี้ถูกเศษหินดินทรายขูดลากจนเกิดบาดแผลอันมีโลหิตไหลออกมาเป็นทางเท้าแล้วเสียกระมัง...พลางนึกเสียใจที่คบอสรพิษไร้หัวใจเช่นมันเป็นสหายเหลือเกิน....
“จะกล่าวโทษข้าเสียทั้งหมดมิได้หรอก...ในเมื่อเจ้าคออ่อนราวเด็กน้อยแรกเกิดเช่นนี้
คงต้องต้มน้ำนมแพะให้ดื่มแทนเสียดีกว่า”
แว่วเสียงหัวเราะอันเย้ยหยันร่ำไรมาจากลำคอของอสรพิษร้าย
พร้อมกับคำกล่าวเชิงดูถูกตามประสามิตรสหายที่มักเอ่ยกัดกันเสมอมา
หากแต่แรงลากจากมือกร้านก็ค่อยๆผ่อนปรนเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กชายนั้นเกิดบาดแผลจริงแท้...
“ปากเสีย!”
มันมิได้คออ่อนปานนั้นเสียหน่อย...ทว่าหากให้เทียบกับร่างกายผิดมนุษย์มนาของอสรพิษร้ายผู้เป็นสหายแล้ว
ทหารผ่านศึกที่เล่าลือกันว่าแน่ ยังต้องพ่ายแพ้มันเสียด้วยซ้ำไป!
.
.
.
ตอนนี้เป็นสตอรี่เฮฮาสั้นๆของน้องกับเพื่อนตามประสาเด็กๆที่แอบผู้ปกครอง(?)มากินเหล้านะคะ(ฮา) ก่อนเจอเนื้อเรื่องจริงจังเล็กน้อยในเวลาต่อไป(´∀`)---
ความคิดเห็น